"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
เพียงแค่คุณเปิดใจแล้วลองรับมัน
ร้านพี่เตที่กลายเป็นจุดรวมตัวของซอลและปอนด์ในช่วงนี้ เพราะเป็นสถานที่เดียวที่พัดไม่มีทางจะย่างกรายเข้ามาอย่างแน่นอน เพื่อนสนิททั้งสองรวมถึงรุ่นพี่ที่รักนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดของร้าน เป็นทำเลที่ไร้ผู้คนจะเดินเข้ามา
“เห็นไหมล่ะพวกกูเตือนแล้วว่ามันไม่ปกติ” ปอนด์พูดด้วยความโมโหเมื่อฟังเรื่องที่พัดทำกับซอลบนรถ
“แล้วมึงจะทนไปถึงไหนวะซอล” พี่เตถามเสริม
ซอลเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ซองใสที่ด้านในบรรจุผงสีขาวไม่น่าไว้ใจ ถูกซ้อนด้วยถุงซิปใสอีกใบที่ใหญ่กว่า
“วันนั้นตอนมันเบรกรถซองนี้หล่นลงมาที่เท้าซอลพอดี”
“นี่มัน…” ปอนด์มองของในมือซอล สีหน้าตกใจเล็กน้อย
“สันดานเดิมยังอยู่สินะ”
“กูคิดว่ามันน่าจะพนันกับเพื่อนไว้โดยมีกูเป็นหมากในเกม”
ซอลเปิดโซเชียลเพื่อนของพัดให้พี่เตและปอนด์อ่าน บทสนทนาบนหน้าจอกำลังคุยกันเรื่องของพัดที่กำลังจะพ่ายแพ้การเดิมพันอะไรสักอย่าง
โพสต์ของพัด : อะไรที่เป็นของกู ยังไงก็เป็นของกู :)
เรย์ : กูรอรับทรัพย์อยู่นะ
จูน่า : เวลาจะหมดแล้ว อย่ามัวแต่ปากดี
พัด : พวกมึงรอเลย กูไม่แพ้แน่
“คนที่ระวังตัวอย่างมันมาพลาดให้โดนจับได้ง่าย ๆ แบบนี้เหรอวะ” ปอนด์ข้องใจเมื่อเห็นข้อความตรงหน้า
“ก็คนระวังตัวอย่างมันนี่แหละทำให้กูเสียเวลาอยู่นาน ถ้ากูไม่ถ่ายเก็บไว้ก็ไม่มีหลักฐานหรอก กว่ากูจะหาข้อมูลเอาผิดมันได้กูอดทนมาเกือบเดือนนะ” ซอลพูดแล้วถอนหายใจ เขาปรับท่านั่งให้ผ่อนคลายกว่าเดิม ศีรษะพิงพนังด้านหลังราวกับเขาเหนื่อยกับเรื่องนี้มาพอสมควร
“แล้วจะเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนี้ทำไม ถ้ามึงพลาดขึ้นมา…” พี่เตพูดอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ จะเล่นกับคนอย่างพัดต้องรอบคอบอยู่แล้ว” ซอลหลับตาลงอย่างสบายหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการเอาผิดชายรักแรกของเขามายาวนาน
ขณะเดียวกัน มีรถปริศนาจอดอยู่หน้าร้านนานมากพอกับเวลาที่ซอลมาอยู่ที่ร้านนี้ ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถ สูบบุหรี่อย่างใจเย็น สายตาจับจ้องเข้าไปในร้านราวกับว่าเขากำลังรอใครสักคนอยู่…
บรรยากาศในร้านที่ดูเงียบสงบเริ่มแผ่วลง ความรู้สึกที่รอคอยมานานผสมกับความอึดอัดที่ต้องเก็บไว้ในใจ ซอลรู้ดีว่าเกมที่เขาเลือกเล่นนี้ไม่ง่าย และการเผชิญหน้ากับพัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เหมือนการเสี่ยงที่เขาไม่รู้ว่าจะปลอดภัยแค่ไหน แต่หากไม่ทำอะไรสักอย่างเขาก็จะติดอยู่ในวงจรนี้ต่อไปไม่สิ้นสุด
“มึงมั่นใจนะซอลว่าไม่มีทางออกที่ปลอดภัยกว่านี้” พี่เตมองซอลด้วยความห่วงใย ก่อนจะวางมือบนบ่าของเขา
ซอลพยักหน้าเบา ๆ แววตาเขาสะท้อนถึงความแน่วแน่ แม้จะมีความอ่อนล้าซ่อนอยู่ลึก ๆ ปอนด์ที่นั่งฟังมาตลอดก็เอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ
“มึงไม่ได้สู้คนเดียวนะซอล มีอะไรก็บอกพวกกูเลย”
ทั้งสามนั่งอยู่ในความเงียบที่แฝงไปด้วยความเข้าใจ และกำลังใจที่ส่งผ่านกันอย่างเงียบ ๆ
เสียงกระดิ่งประตูร้านก็ดังขึ้น ทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง ผู้ชายที่ดูคุ้นตาเดินเข้ามา สายตาของเขามองตรงมาทางซอลโดยไม่หลบเลี่ยง
“กูว่ามีคนมารับมึงแล้วนะ” ปอนด์ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เอื้อมมือจับแขนซอลไว้เบา ๆ พร้อมกระซิบ
ชายร่างสูงเดินตรงเข้ามาหาซอลอย่างไม่ลังเล หนุ่มมาดเข้มที่ไม่มีใครคิดว่าจะเจอเขาง่าย ๆ แต่กลับเข้าออกที่นี่เป็นว่าเล่นในช่วงนี้
“ถ้าเสร็จธุระกันแล้วผมขอตัวซอลหน่อยนะครับ” จุนพูดขึ้นยิ้ม ๆ
“เอาตัวไปได้เลย ถ้าคนนี้พวกเราพร้อมยกให้” กระทิงเพื่อนรักเปลี่ยนอารมณ์ไวอย่างกับกิ้งก่า น้ำเสียงของปอนด์พูดด้วยความยินดี
“แต่งวันไหนเชิญพี่ด้วยนะ” พี่เตเสริมคำพูดของปอนด์
“เซฟกูบ้าง ทั้งเพื่อนทั้งพี่ หวงกูจริง ๆ” ถึงจะพูดเชิงประชดแต่ซอลก็ไม่รู้ตัวว่าเขากำลังยิ้มอยู่บาง ๆ
ซอลเดินออกไปกับจุนอย่างเต็มใจ แม้จะไม่รู้ว่าเขาจะพาไปที่ไหนแต่การอยู่กับจุนนั้นไม่เคยทำให้เขาลำบากใจแม้แต่น้อย แถมทำให้เขาสุขใจเสียยิ่งกว่าอะไร ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันความรู้สึกที่เหมือนผีเสื้อบินอยู่ในท้องมันเอ่อล้นขึ้นมาทุกครั้ง ยิ่งในช่วงนี้ที่อยู่ด้วยกันบ่อยมากขึ้น เขารู้สึกได้ถึงความชัดเจนของความสัมพันธ์นี้เพียงแต่ทั้งคู่กลับไม่เคยพูดมันออกมาตรง ๆ
“วันนี้จะพาไปไหนอีกคุณผู้ชาย” ซอลถามทั้งที่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มอยู่แบบนั้น
“กินข้าวหรือยัง?” จุนตอบแบบไม่ตรงคำถาม
“กินแล้วแต่...”
ทั้งคู่เงียบไปครู่หนึ่งปล่อยให้ความเงียบภายในรถดำเนินไปอย่างนั้น ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกันราวกับนัดกันมา
“กะเพราหมูสับไข่ดาว!!”
ความเงียบก่อนหน้านี้ถูกเติมเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บรรยากาศภายในรถเต็มไปด้วยความอบอุ่น ไม่มีใครอธิบายความสัมพันธ์นี้ได้แต่ทั้งคู่รับรู้ว่าเป็นความสบายใจของกันและกัน ซอลและจุนไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าช่วงนี้เขาตัวติดกันมากแค่ไหน นอกเสียจากเวลาที่พัดมารับส่งซอลทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลาที่ว่าง
“พรุ่งนี้ว่างไหม?”
“วันหยุดน่ะ ไม่ได้ไปไหน” ซอลตอบกลับแบบไม่ได้คิดอะไร
“เสียดาย พรุ่งนี้มีคอนเสิร์ตที่อยากไปซะด้วยแต่กดบัตรไม่ทัน” ซอลได้แต่พูดแล้วถอนหายใจ เมื่อนึกถึงคอนเสิร์ตวงเกาหลีที่เขาหลงรักแต่ไม่มีโอกาสได้ไป แต่ขณะนั้นสายตาของจุนมองไปที่กระจกมองหลัง เขาสังเกตเห็นรถคันหนึ่งที่ขับตามมาห่าง ๆ เป็นเวลานานโดยที่ซอลไม่รู้ตัว
จุนเลือกร้านอาหารข้างทางเล็ก ๆ ที่เป็นร้านประจำของทั้งคู่ เขาวางซองจดหมายสีขาวลงตรงหน้า ทำให้ซอลเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ
“นี่อะไร?” ซอลถาม พลางยิ้มมุมปาก
“ลองเปิดดู” จุนยักไหล่เบา ๆ แต่สายตาเขาแฝงความคาดหวัง
ซอลเปิดซองดู ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นทันทีเมื่อเห็นบัตรคอนเสิร์ตวงที่เขาอยากไป
“นาย...ได้มันมายังไง” ดวงตาเบิกโตด้วยความดีใจ ซอลหัวเราะออกมาเบา ๆ
“พูดถึงวงนี้ตลอดเลยนี่ ลืมวงของฉันไปแล้วมั้ง คนตั้งใจไปต่อคิวกดบัตรแต่เช้าเลยนะ” จุนยิ้มและหันไปตักข้าวเข้าปากต่อ ซอลอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง ทั้งดีใจและตื้นตันใจ
“ขอบคุณนะ แล้วนายจะไปด้วยเหรอ ทำไมมีสองใบ?” ซอลเอ่ยถาม น้ำเสียงยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“แน่นอนสิ ฉันเป็นคนซื้อนะ จะให้เธอไปคนเดียวหรือไง” จุนพูดยิ้ม ๆ พลางสบตาซอล
“ไม่เห็นเคยบอกว่าเป็นแฟนบอยของวงนี้ด้วย” ซอลพูดแซวจุนทั้งที่ไม่รู้เลยว่าเขาไม่รู้จักวงนี้ด้วยซ้ำ เพียงแค่หาข้ออ้างที่จะอยู่กับซอลก็เท่านั้น
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ จุนขับรถไปส่งซอลที่บ้าน เขาก็พบว่ารถคันนั้นหายไปตั้งแต่ออกจากร้าน ถึงแม้จะคลายกังวลลงบ้าง แต่เขายังรู้สึกไม่สบายใจนัก เขาส่งซอลถึงหน้าประตูบ้านอย่างเงียบ ๆ
“คืนนี้อย่านอนดึกล่ะ…พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันมารับ” จุนพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“รู้แล้วน่า…พรุ่งนี้เจอกัน” ซอลยิ้มกว้าง มือจับซองบัตรคอนเสิร์ตไว้อย่างหวงแหน
“ฝันดีนะ” จุนยิ้มให้ซอล แต่ภายในยังคงกังวลกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น จุนเก็บเรื่องรถคันนั้นไว้ในใจและตั้งใจจะอยู่กับซอลให้มากขึ้น
จุนกลับขึ้นไปนั่งบนรถอยู่สักพัก เขาคิดเรื่องรถน่าสงสัยคันนั้นความไม่สบายใจก่อตัวขึ้นทีละน้อยแต่จุนพยายามที่จะไม่คิดอะไรมาก อาจจะเป็นความเข้าใจผิดหรือคิดไปเองก็ได้ ก่อนจะขับรถกลับคอนโด แต่เมื่อจุนออกรถไปได้ไม่นาน รถคันเดิมเคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่หน้าบ้านซอล
พัดนั่งมองรถของจุนที่ออกห่างไป ดวงตาเย็นเยียบสลับกลับมามองที่หน้าต่างห้องของซอลด้วยความรู้สึกขมขื่นที่อัดแน่น นัยน์ตาของเขาสั่นระริกด้วยความหึงหวงและโกรธแค้น ความอยากเอาชนะของพัดปะทุขึ้นแทบจะถึงขีดสุด
“มึงจะเล่นกับกูใช่ไหม…”
จุนมารอรับซอลที่หน้าบ้านแต่เช้า คุณย่าเปิดประตูออกมาเตรียมร้านตามปกติก็พบชายหนุ่มที่คุ้นตาแต่งตัวดูดียืนอย่างเขินอายที่หน้าบ้าน
“ไอ้หนุ่มที่เคยมาช่วยที่ร้านนี่ เพื่อนซอลใช่ไหม?”
“คะ…ครับ” จุนตอบอึกอักเล็กน้อย
“มาหาซอลเหรอ มา ๆ เข้ามาทานข้าวเช้าก่อน เจ้าซอลน่าจะใกล้ลงมาแล้วล่ะ” คุณย่าเอ่ยชวนจุนทานข้าวเช้า น้ำเสียงอ่อนโยนและท่าทางใจดีของคุณย่าทำให้จุนปฏิเสธไม่ลง
ซอลเดินลงมาพบจุนที่นั่งคุยกับคุณย่าด้วยท่าทางอ่อนน้อม เขาดูเกร็งเล็กน้อยที่นั่งคุยกับผู้ใหญ่สองต่อสอง คุณย่าไถ่ถามเรื่องส่วนตัวของจุนตามประสาคนแก่ที่อยากรู้จักเพื่อนของหลาน
“คุณย่าถามจนจุนเกร็งหมดแล้ว ซอลนึกว่ากำลังสอบสวนผู้ต้องหาซะอีก ฮ่า ๆ” ซอลพูดแซวคุณย่าด้วยรอยยิ้ม
“ก็นอกจากเจ้าปอนด์ ย่าแทบไม่เคยเจอเพื่อนของซอลเลยนี่ ยิ่งหนุ่มหล่อแบบนี้ใช่เพื่อนจริงหรือเปล่า” คุณย่าตอบกลับอย่างรู้ทัน คำพูดนั้นทำให้ซอลและจุนสำลักข้าวต้มจนต้องจิบน้ำตาม
“คุณย่าพูดอะไร จุนน่ะมีแฟนแล้ว” ซอลตอบปัดคำพูดของคุณย่า
“ผมยังไม่มีแฟนครับ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไปเถอะเดี๋ยวรถติด” ซอลรีบลุกหนีก่อนที่การสนทนานี้จะทำให้เขาเขินไปมากกว่านี้ ซอลเข้าไปหอมแก้มคุณย่าเหมือนทุกวันก่อนจะออกจากบ้านไป
ทั้งคู่ขึ้นรถพร้อมเดินทางไปยังอารีน่าฮอล สถานที่จัดคอนเสิร์ตของวันนี้ ระหว่างทางจุนเปิดเพลงของวงนี้เพื่อที่เขาจะพอร้องและขยับตามเพลงได้บ้างขณะที่อยู่ในคอนเสิร์ต แต่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์จุนกลับดังขึ้นขัดจังหวะเพลงที่กำลังหวานซึ้ง หน้าจอแสดงชื่อ จันทร์เจ้า เขารับโทรศัพท์โดยที่ไม่ตัดการเชื่อมต่อกับรถยนต์ของเขา
“ว่าไง” จุนรับสาย เขาเอ่ยถามอย่างเรียบ ๆ
“ออกไปไหนแต่เช้า ทำไมไม่ปลุก” จันทร์เจ้าตอบกลับน้ำเสียงของเธอดูหงุดหงิดไม่น้อย
“ก็เห็นนอนกำลังสบาย น้ำลายยืดเต็มหมอนขนาดนั้นไม่อยากขัด”
“ไอ้เด็กบ้า! ก็บอกว่าวันนี้มีนัดให้ปลุกด้วย ถึงได้ถ่อมานอนที่คอนโดนายนะ” หญิงสาวยังคงพร่ำบ่นอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าวเช้าอยู่บนโต๊ะนะ กินก่อนออกไปด้วยเดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหาอีก ขี้เกียจหอบไปโรงพยาบาล” จุนตอบกลับอย่างเป็นห่วง เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนกับว่าเขาได้กวนประสาทได้สำเร็จ
“กองไว้ตรงนั้นแหละความเป็นห่วงนั่นน่ะ ถ้าฉันไปไม่ทันแกต้องรับผิดชอบ!” จันทร์เจ้าตอบกระแทกเสียงแล้วตัดสายทันที
“ผู้หญิงอะไรขี้บ่นเป็นคนแก่” จุนส่ายหัวพร้อมหัวเราะในลำคอเบา ๆ
ซอลนั่งฟังทั้งคู่คุยกันอย่างสนิทสนม เขาอดสงสัยที่จะถามถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ได้ แม้จุนจะเคยพูดถึงความสนิทนั้นเอาไว้แต่เขาก็ยังคงอยากได้คำตอบที่ชัดเจนเพื่อเคลียร์ความขัดข้องความในใจนี้ให้คลายลงเสียที
“ที่พูดกับคุณย่าว่าไม่มีแฟน…พี่เจ้าจะไม่น้อยใจเหรอ”
“แล้วเจ้าจะน้อยใจทำไม?”
“ก็นายกับพี่เจ้า…”
“อย่าบอกนะว่าคิดไอ้พี่เจ้าเป็นแฟนฉัน?” จุนพูดจบก็ขำลั่นจนหน้าแดง
“ตลกชะมัด ไอ้พี่เจ้าน่ะเป็นลูกติดของพ่อก่อนที่พ่อจะมาแต่งงานกับแม่ของฉัน พี่เจ้าเสียแม่ไปตั้งแต่เล็กน่ะ” จุนอธิบายเรื่องเข้าใจผิดนี้ให้ซอลฟังพร้อมเสียงขำที่อดไม่ได้
“เราโตด้วยกันมาสองคนพ่อกับแม่ก็มักจะยุ่งกับงานเราเลยสนิทกันมากล่ะมั้ง”
ซอลฟังอย่างตั้งใจ เขารู้สึกอายที่เข้าใจว่าทั้งคู่เป็นแฟนกันมาเสียตั้งแต่สมัยที่เขายังฝึกงานอยู่
“ไม่ใช่แค่ซอลหรอกที่คิดแบบนี้ ฉันแค่ไม่ให้เจ้าบอกใครน่ะ มันน่าสนุกดีที่ปล่อยคนพวกนั้นเข้าใจผิดแล้วจับกลุ่มคุยกัน มันเป็นเรื่องตลกของฉันกับเจ้าที่ชอบเอามาคุยกัน เพราะงั้นไม่ต้องคิดมากนะ”
“ก็…แค่สงสัยเอง ทำไมฉันต้องคิดมากด้วย” ซอลตอบอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เขาทำแก้มป่องราวกับน้อยใจที่จุนไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
จุนขยี้ผมสีน้ำตาลของซอลจนผมเสียทรงด้วยความเอ็นดู
“ไม่รู้ว่าที่ซอลคิดมากจะเป็นเพราะเข้าใจผิดหรือเพราะฉันไม่เคยเล่ากันแน่ แต่เวลาเธอน้อยใจจนแก้มป่องแบบนี้น่ะ…ก็น่ารักดีนะ”
ซอลรีบยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง เขาไม่เคยรู้ตัวว่าจุนสังเกตเห็นพฤติกรรมนี้ของซอลตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ดูท่าเขาน่าจะเผลอทำไปแล้วหลายครั้งเสียด้วย
เมื่อถึงหน้าประตูซอลและจุนเข้าแถวรอเดินเข้าฮอล คนข้างหลังเริ่มดันเข้ามาทำให้จุนเบียดเข้าหาซอล เหมือนจังหวะตกหลุมรักที่ทำให้ใจของจุนเต้นแรง ซอลที่รับรู้ถึงความอุ่นที่อยู่ด้านหลัง ยังมีมือสองข้างที่กางออกอยู่ข้างตัวเพื่อกันคนที่เบียดเข้ามาไม่ให้เบียดซอลเกินไป ไม่ใช่แค่จุนแต่ซอลก็เริ่มใจสั่นเมื่อเห็นสิ่งที่จุนทำ ปากกระจับกระแทกเบา ๆ ที่หัวของซอลแบบไม่ตั้งใจ ความร้อนแผ่ซ่านไปถึงใบหูของทั้งสองคนแม้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุแต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งคู่ใจเต้นแรงขึ้น ราวกับเสียงเบสที่ดังกระแทกหัวใจ
ดนตรีเพลงแรกเริ่มบรรเลงขึ้น ดวงตาของซอลเป็นประกายเมื่อเจอศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบกับตาจนเขารู้สึกหัวใจพองโต เสียงเพลงดังกึกก้องในใจ ความตื่นเต้นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน แสงไฟจากแท่งไฟที่ส่องประกายเหมือนทะเลดาวส่องสว่างไปทั่วทั้งฮอล แสงสีที่โอบล้อมทุกคน เสียงร้องนุ่มหูราวกับอยู่ในฝัน ทำนองเพลงช้าพลิ้วไหวดุจผ้าบางที่ปลิวไปตามลม
จุนค่อย ๆ ขยับมือไปจับที่นิ้วก้อยของซอลช้า ๆ ซอลที่สัมผัสได้ถึงไออุ่นที่มือนั้น จุนลังเลเล็กน้อย เขาเหลือบมองท่าทีของซอลด้วยหางตาก่อนจะขยับไปจับมือของซอล สัมผัสนั้นทำให้เขารู้สึกอุ่นใจอย่างที่หาคำอธิบายใดไม่ได้
การกระทำของจุนทำให้ซอลเสียอาการเล็กน้อย เขาก้มหน้ามองสิ่งที่จุนทำเล็กน้อย ราวกับเสียงรอบตัวจางหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ดังมากกว่าเสียงหัวใจเสียด้วยซ้ำ
“เพลงนี้หมายความว่าอะไรเหรอ?” จุนยื่นหน้าเข้าใกล้ซอลและกระซิบที่ข้างหู
“สื่อถึงคนคนหนึ่งที่เจ็บปวดเรื่องความรัก...จนเกลียดเรื่องโรแมนติกเข้าไส้ เป็นเพลงเศร้าที่ฉันชอบมาก ๆ เลยล่ะ” ซอลตอบกลับขณะที่ยังคงมองไปที่ศิลปินตรงหน้า
“แต่…เรื่องโรแมนติกมันก็ไม่ได้แย่เสมอไปหรอกนะ” จุนพูดปนยิ้มบาง ๆ
ซอลหันกลับไปมองหน้าของจุน เขากำลังโฟกัสศิลปินบนเวที สายตาที่ตั้งใจดูเหมือนเวลาทำงาน จมูกโด่งรับแสงสปอตไลต์บนเวที เสียงเพลงที่เคล้าไปด้วยความเศร้า กับมืออุ่น ๆ ที่จับไว้ตลอดทั้งเพลง หัวใจที่เต้นแรงมากขึ้นในขณะที่จ้องมองหน้าเขา
‘หรือนี่คือความโรแมนติกที่เราเคยเกลียดกันนะ’
ความรู้สึกลังเลเล็ก ๆ แทรกเข้ามาอาจเพราะแผลที่เคยได้รับมันเป็นเหมือนเงาที่หลอกหลอนอยู่ตลอดจนทำให้เขา กลัวความรัก มาตลอดหลายปี การเปิดใจรับใครเข้ามาเป็นเรื่องยากสำหรับซอล แต่ความรู้สึกพิเศษนี้กลับเข้ามากวนใจของเขาอีกครั้งหนึ่ง ศิลปินที่เคยเป็นแรงบันดาลใจในชีวิต บัดนี้ เขาได้ก้าวเข้ามาเป็น ส่วนหนึ่งของความสุข มากกว่าการเป็นศิลปินไปแล้ว…
เพลงเศร้าที่ชอบมากที่สุด…กับคนที่ยืนกุมมืออยู่ข้าง ๆ ตอนนี้ เขากำลังทลายกำแพงในใจที่ซอลเคยตั้งไว้จนสูงตระหง่าน มันกำลังค่อย ๆ พังลงมาทีละนิด ความรักที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างบาดแผล ตอนนี้กลับมีใครบางคนเข้ามาสมานแผลนั้นทีละน้อย
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
คือสิ่งที่เคยคิด…ว่าเป็นไปไม่ได้