"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,พระเอกคลั่งรัก,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,มิตรภาพ,ปัญหารุมเร้า,ครอบครัว,ความรัก,รัก,รักดราม่า,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความมืดสุดท้าย : Final Shadow"ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด เรายังคงตามหาแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจ" ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามถูกทำลายลงเป็นเสี่ยง ๆ เหลือไว้เพียงบาดแผลในใจ
อดีตมีผลกับเส้นทางชีวิตในอนาคต
จริงเหรอ?
“พัดเป็นแค่ลูกแหง่ติดพ่อเองเหรอ? ไม่น่าเชื่อเลยนะ” จุนเอ่ยขึ้น ขณะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในร้านอาหาร ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจและปนความสมเพชเล็กน้อย
“แปลกใจเหมือนกันที่คนกร่างอย่างมันจะแพ้พ่อตัวเอง” ปอนด์เสริม ก่อนจะจิบเครื่องดื่มในแก้วด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“ฉันเก็บเรื่องนี้ไว้เพื่อเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะใช้จัดการพัด” ซอลตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่นพอให้ทั้งสองคนจับความตั้งใจได้
“แต่กูว่าแจ้งความไว้ก็ดีเหมือนกันนะ เผื่อพ่อมันตลบหลังเรา” ปอนด์เสนอด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันคิดเรื่องนั้นไว้เหมือนกัน” ซอลตอบสั้น ๆ ดวงตาจับจ้องไปที่เอกสารบนโต๊ะ
ร้านอาหารในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจากโต๊ะอื่น ๆ แต่ในมุมของพวกเขากลับมีเพียงบทสนทนาอันตึงเครียด ทั้งสามคนกำลังวางแผนจัดการพัด ซอลที่เคยลังเลในอดีต ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“แล้วทำไมถึงไม่บอกเรื่องนี้ตั้งแต่แรก? จะปล่อยให้เรื่องมันวุ่นวายทำไม” จุนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เพราะรู้ว่าพ่อพัดมันโหดขนาดไหนไง” ปอนด์พูดพลางกลอกตา รอยยิ้มประชดประชันผุดขึ้นบนใบหน้า
“จนถึงตอนนี้มันก็ยังต้องเกาะพ่ออยู่ ถ้าพ่อมันตัดหางเมื่อไหร่ พัดก็คงไม่ต่างอะไรจากหมาตัวหนึ่ง ถ้าไม่มีเงิน มันก็ไม่มีใครเหลือแล้ว”
ซอลมองหน้าปอนด์ ก่อนจะยิ้มมุมปากเล็กน้อย ความคิดในใจสะท้อนออกมาผ่านสายตาที่เรียบนิ่ง เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้พ้นมือไป
“ยังพอมีเวลา ฉันว่าเรารีบไปจัดการกันเถอะ” ซอลพูด ก่อนจะยื่นเอกสารบางอย่างให้จุนและปอนด์ดู
“ฉันแจ้งความไว้แล้ว เหลือแค่ไปคุยกับพ่อพัดให้จบ ยังไงพ่อมันก็คงไม่ยอมให้ตัวเองเสียชื่อหรอก” น้ำเสียงของซอลเย็นชา ดวงตาที่มองผ่านกระดาษนั้นบ่งบอกถึงความมุ่งมั่น
จุนกับปอนด์มองหน้ากัน ความเงียบแปลก ๆ แทรกตัวระหว่างพวกเขา ก่อนจุนจะกระซิบเบา ๆ
“เพื่อนมึงน่ากลัวได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“มันน่ากลัวกว่าที่มึงคิดอีก” ปอนด์กระซิบตอบ รอยยิ้มแห้ง ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้า
บนท้องถนนที่เงียบสงบ รถของซอลแล่นผ่านย่านที่เต็มไปด้วยบ้านหรูหรา สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเงียบสงัดยามค่ำคืน ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงบ้านพัด บ้านหรูหลังโตตั้งตระหง่าน น้ำพุสูงกลางสวนหน้าบ้านส่องประกายภายใต้แสงไฟ แต่ความมืดรอบด้านกลับทำให้บรรยากาศดูอึมครึม
“คุณหนูซอล ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” ป้าแม่บ้านออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น เธอพยักหน้าให้จุนและปอนด์อย่างสุภาพ ก่อนจะหันมาพูดกับซอล
“คุณท่านอยู่ที่ห้องทำงานค่ะ คุณหนูรอที่ห้องรับแขกก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าไปตามให้”
“ซอลนัดคุณลุงไว้แล้ว...” ซอลยังพูดไม่ทันจบ เสียงทุ้มหนักแน่นของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นจากทางเดินด้านใน
“หนูซอล ไม่เจอกันนานเลยนะ” พ่อของพัดปรากฏตัวในชุดลำลอง ดวงตาของเขามีแววตื่นเต้นเล็กน้อยที่ได้พบซอล
ซอลยกมือไหว้อย่างนอบน้อม จุนและปอนด์ทำตามด้วยท่าทีที่ประหม่าเล็กน้อย พ่อพัดหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกวักมือให้พวกเขาเข้าไปนั่งในห้องรับแขก พ่อพัดนั่งลงตรงข้ามกับซอล ท่าทีสุขุมและแววตานิ่งสงบของเขาทำให้จุนกับปอนด์ที่นั่งข้างซอลรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ซอลไม่พูดอ้อมค้อม เขาเริ่มเล่าเรื่องพัดและปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาอย่างตรงไปตรงมา พร้อมยื่นหลักฐานที่เขารวบรวมไว้ให้พ่อพัดดู
“หนูต้องอดทนมานานแค่ไหน? ทำไมไม่มาบอกลุงให้เร็วกว่านี้?” พ่อพัดถามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเสียใจ ดวงตาของเขามองภาพถ่ายในมือด้วยความผิดหวัง
“เพราะซอลเคยเชื่อว่าพัดคนเดิมจะกลับมาได้ แต่ตอนนี้ซอลรู้แล้วว่าคนคนนั้น...ไม่มีอยู่อีกต่อไป” น้ำเสียงของซอลสั่นเล็กน้อย แต่แฝงไปด้วยความมั่นใจที่ทำให้จุนและปอนด์มองเขาด้วยความทึ่ง
“จากกล้องวงจรปิดหน้าบ้านซอลคืนนั้นชัดเจนมากเลยครับ ว่าพัดคงไม่จบแค่นั้น” ปอนด์พูดเสริม น้ำเสียงจริงจังจนทำให้พ่อพัดนิ่งไปพักใหญ่
“ซอลแจ้งความไว้แล้วค่ะ” ซอลพูดเสียงเรียบ
“แต่ถ้าเรื่องนี้ยังไม่จบ ซอลอาจจะต้องเอาหลักฐานเกี่ยวกับยาเสพติดของพัดมาเปิดเผย...คุณลุงคงไม่อยากให้ชื่อเสียงของครอบครัวต้องเสียหายเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม?”
พ่อพัดถอนหายใจยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนและความโกรธ เขามองซอลด้วยแววตาเสียใจ ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ลุงจะจัดการเรื่องนี้เอง”
ซอลยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยกมือไหว้
“ดึกมากแล้ว ซอลขอตัวก่อนดีกว่า” เขากล่าวลาพร้อมโอบกอดพ่อพัดแน่น ราวกับชายคนนี้เป็นเสมือนพ่อของเธออีกคน
ระหว่างทางกลับ จุนมองใบหน้าของซอลผ่านกระจกมองหลัง เขาเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าที่ดูสงบขึ้น แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้จะจบง่าย ๆ อย่างที่พวกเขาหวังหรือไม่
“มันจะจบจริง ๆ ใช่ไหม?” จุนถามในที่สุด
“ฉันไม่รู้...” ซอลตอบพลางหลับตาลงพิงพนักเบาะ เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังขึ้นในรถ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
คืนนั้นซอลนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาในคอนโดของจุน แก้วนมอุ่น ๆ ที่จุนเตรียมไว้ถูกกุมไว้แน่นในมือ แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะดื่ม สายตาของเขามองเหม่อออกไปทางหน้าต่าง ความคิดวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ หัวใจของเขายังไม่คลายความกังวล
“ยังกังวลอยู่เหรอ?” เสียงของจุนดังขึ้นทำลายความเงียบ เขาเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดลำลองสบาย ๆ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ก็...นิดหน่อย” ซอลเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย จุนเดินมานั่งลงข้าง ๆ ซอล ดวงตาเรียบนิ่งของเขามองซอลด้วยความอ่อนโยน
“อย่าคิดมากเลย ยังไงเธอก็ทำดีที่สุดแล้ว” เขาพูดปลอบโยน น้ำเสียงนุ่มนวลอย่างคนที่ตั้งใจจริง ๆ ที่จะบรรเทาความเครียดของอีกฝ่าย
“ฉันกลัวว่าพัดจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ ...” ซอลพูดเบา ๆ แววตาฉายความลังเล
จุนมองหน้าเขา ยกมือแตะที่บ่าซอลแล้วลูบเบา ๆ ความอบอุ่นผ่านสัมผัสนั้นราวกับเขาพยายามส่งผ่านกำลังใจ
“ไปพักเถอะ...วันนี้เธอเหนื่อยมากแล้ว”
ซอลเงยหน้ามองจุน สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนของจุนทำให้หัวใจที่หนักอึ้งของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย ราวกับคำพูดของจุนสามารถประคับประคองความกังวลนั้นไว้ไม่ให้ท่วมท้น
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ฉันอยู่ตรงนี้นะ” จุนพูดต่อ น้ำเสียงของเขาหนักแน่นพอที่จะทำให้ซอลรู้สึกถึงความจริงใจ
ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ซอลถอนหายใจเบา ๆ และยิ้มบาง ๆ จุนเปลี่ยนท่าทางนั่งให้ตรงขึ้น แล้วจับมือของซอลขึ้นมากุมไว้
สัมผัสของมือจุนทำให้ซอลชะงักเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้ดึงมือกลับ ดวงตาของทั้งสองคนสบกันในความเงียบ จุนยกมือซอลขึ้นช้า ๆ ก่อนจะจูบลงไปเบา ๆ ตรงรอยแผลเป็นที่มือของเขา
“เจ็บมาตั้งเยอะ...ยังทำได้ขนาดนี้ แบ่งมันมาที่ฉันบ้างก็ได้” จุนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกจากใจจริง
ซอลรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทางสัมผัสนั้น ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว ความรู้สึกวาบหวามที่ไม่คุ้นเคยแล่นไปทั่วร่าง ขณะที่ใบหน้าของจุนเริ่มโน้มเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
หัวใจของทั้งคู่เริ่มเต้นแรงจนได้ยินชัดในความเงียบ เสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากของจุนจะสัมผัสลงมา ซอลกลับเบือนหน้าหลบไปด้านข้างและดึงมือกลับเบา ๆ
“ขอโทษ...ฉันทำให้เธออึดอัดหรือเปล่า?” จุนชะงักไปเล็กน้อย เขาถอยตัวกลับห่างออกจากซอล ใบหน้าที่แดงระเรื่อของเขาฉายแววสับสน
“ฉันไปนอนก่อนนะ” ซอลตอบไม่ตรงคำถาม เขาลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องนอนเล็กโดยไม่มองหน้าจุนอีก
จุนยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิม เขาก้มมองมือของตัวเองที่เพิ่งกุมมือซอลเมื่อครู่ ความอบอุ่นยังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้ว แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวลและความผิดหวังเล็กน้อย
‘เราผลีผลามเกินไปหรือเปล่านะ...’
เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง สายตาจับจ้องไปที่ประตูห้องนอนที่ซอลเพิ่งปิดลง ในค่ำคืนที่เงียบงันนี้ แม้ทั้งสองจะอยู่ใกล้กัน แต่กลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ยังคงขวางกั้นระหว่างพวกเขา…
ซอลเดินกลับเข้าห้องนอนเล็ก เขายืนนิ่งอยู่ที่หลังประตู ใจเต้นแรงจนแทบจะกลบความเงียบของห้อง เขาเอนตัวพิงบานประตู มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหน้าอกขณะที่หัวใจกำลังเต้นระรัว
“ใจเย็นไว้...เขาอาจจะทำไปเพราะสงสารก็ได้” ซอลพึมพำกับตัวเองพยายามปรามความคิดที่แล่นวนอยู่ในหัว แต่ไม่ว่าจะพยายามพูดปลอบตัวเองยังไง หัวใจของเขาก็ไม่ยอมฟังคำสั่งนั้นเลย
‘ชอบเขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะกู...’
เขาหลับตาลง พยายามกลั้นความรู้สึกที่เหมือนจะล้นทะลักออกมา ซอลไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป เขารู้ดีว่าเขาชอบจุนมากแค่ไหน มากเกินกว่าคำว่าแฟนคลับที่ชื่นชมศิลปิน หรือคำว่าเพื่อนร่วมงานที่มาร่วมสร้างความฝันไปด้วยกัน มันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่านั้น...
ทุกสิ่งที่จุนทำ...มันมากเกินกว่าที่ใครจะทำให้เขาได้ จุนเป็นคนแรกที่ทำให้ซอลรู้สึกถึงความอบอุ่นและการใส่ใจที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ความรู้สึกนี้ก็มาพร้อมกับความกลัวและความไม่แน่ใจ จุนคิดเหมือนกับเขาหรือเปล่า? หรือทั้งหมดเป็นเพียงความใส่ใจธรรมดาที่ซอลตีความเกินไปเอง
ซอลถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในวังวนของความคิด เขาเดินไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนมองเพดาน ดวงตาเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ พลางยกมือลูบรอยแผลเป็นบนมือเบา ๆ
ในห้องนั่งเล่น จุนยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิม ภาพเมื่อครู่ที่เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ซอลยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ดวงตาจ้องมองแก้วนมที่ซอลวางทิ้งไว้อย่างเลื่อนลอย หัวใจยังเต้นแรงจากความใกล้ชิดที่เพิ่งเกิดขึ้น ความรู้สึกที่เขามีต่อซอลมันชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธได้อีกแล้ว จุนไม่ได้แค่ใส่ใจซอลเพราะเป็นคนที่เขาอยากปกป้อง ความรู้สึกนี้มันลึกซึ้งกว่านั้น
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กลัว กลัวว่าความรู้สึกของเขาจะทำให้ซอลอึดอัด หรืออาจทำให้ซอลถอยห่างจากเขา จุนยกมือขึ้นกุมหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าประตูห้องนอนเล็ก เขาหยุดอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องบานประตูที่ซอลเพิ่งปิดไป เขาอยากจะเคาะประตู อยากถามให้แน่ชัดว่าซอลรู้สึกยังไง แต่ความกลัวก็หยุดเขาไว้
‘กำลังคิดอะไรอยู่นะ...’
‘ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันอยู่ตรงนี้นะ...’
คำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในใจ ซอลยกมือขึ้นแตะที่หน้าอกข้างซ้าย รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขามองไปที่ประตูห้อง แม้ความไม่แน่ใจจะยังคงอยู่ แต่เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างน่าประหลาด
สองคนที่อยู่กันคนละห้อง แม้ไม่มีบทสนทนาใดต่อจากนี้ แต่หัวใจของพวกเขากลับส่งความรู้สึกถึงกัน ความเงียบที่เต็มไปด้วยคำถามและความหวัง ค่ำคืนนี้อาจไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่ความรู้สึกของทั้งคู่ก็กำลังเติบโตขึ้นทีละนิด...
เช้าที่สดใสถูกทำลายด้วยเสียงตะโกนจากโทรศัพท์ที่ผ่านออกมา
“ใครเขาจูบเพราะสงสารกันวะ มึงเพี้ยนปะ!”
ซอลที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ชะงักไป เขารีบวิ่งมาที่โทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะและกดลดเสียงลง
“มึงอย่าแหกปากสิ ปอนด์! กูเปิดลำโพงอยู่” ซอลกระซิบเบา แต่ในใจกลับเต้นแรงจากคำพูดของเพื่อน
“พวกมึงยอมรับเถอะว่าชอบกันอยู่ ชาวโลกเขารู้กันหมดแล้ว!” ปอนด์ยังไม่หยุดโจมตี น้ำเสียงเต็มไปด้วยความล้อเลียน
ซอลชะงักไปครู่หนึ่ง ความเงียบในห้องราวกับตอกย้ำคำพูดของปอนด์
“แต่…เขาไม่เคยพูดนี่ ว่าเขารู้สึกยังไงกันแน่” น้ำเสียงของซอลฟังดูอ้อยอิ่งและเต็มไปด้วยความลังเล
“โอ๊ย! ซอล เรื่องของมึงเถอะ แค่นี้ เจอกันที่ออฟฟิศ!” ปลายสายถอนหายใจยาว ปอนด์ตัดสายไป ทิ้งให้ซอลยืนอึ้งอยู่หน้าจอโทรศัพท์ จิตใจของเขายังว้าวุ่นกับคำพูดของเพื่อน เขาเผลอมองตัวเองในกระจก แววตาสับสนสะท้อนกลับมาจากเงาในกระจก ก่อนจะสลัดความคิดนั้นและออกไปทำงาน
แม้ทั้งคู่จะมาถึงออฟฟิศด้วยกันเหมือนเช้าวันปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติกลับเป็นความรู้สึกในใจของซอลและจุน ความเงียบระหว่างทางที่มักจะเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกลายเป็นบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัด เมื่อมาถึงตึกเขารีบปลดเข็มขัดนิรภัยและเปิดประตูรถทันที
“อืม…งั้นฉันไปทำงานก่อนนะ” ซอลพูดเร็ว ๆ แล้วเดินลิ่วไปขึ้นลิฟต์ด้วยความรู้สึกสับสนโดยไม่รอคำตอบจากจุน
จุนมองตามแผ่นหลังที่รีบเร่งของซอลอย่างครุ่นคิด เขารู้ว่าซอลพยายามหลบหน้า บางทีอาจเป็นเพราะความอึดอัดจากเมื่อคืน แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดไป
ซอลทิ้งตัวลงกับเก้าอี้เหมือนหมดแรง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เสี้ยววินาทีนั้น เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้น
//ติ๊ง//
ข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมาบนหน้าจอจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก
เสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมงานรอบตัวค่อย ๆ จางหาย ซอลจ้องข้อความบนหน้าจอ ความเย็นวาบแล่นผ่านกระดูกสันหลัง นัยน์ตาเริ่มสั่นไหว เขาไม่จำเป็นต้องเดาเลยว่าใครเป็นคนส่งข้อความนี้มา
เช้าวันเดียวกัน พัดนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในบ้านหลังใหญ่ที่ดูโอ่อ่าแต่กลับรู้สึกเหมือนมีเงาความกดดันแผ่กระจายไปทั่ว
“คุณพัดคะ คุณท่านเรียกพบที่ห้องทำงานค่ะ” เสียงของป้าแม่บ้านเอ่ยอย่างสุภาพ แต่น้ำเสียงนั้นก็ไม่อาจปกปิดความหวาดหวั่นที่มีต่อเขาได้
พัดเงยหน้าขึ้น ดวงตาดูกร้าวแต่ในใจกลับสั่น เขารู้ทันทีว่าการเรียกครั้งนี้ต้องมีอะไรแน่ ๆ พัดสูดลมหายใจลึกก่อนจะเคาะประตูสองครั้ง
//ก๊อก ๆ //
“พัดเองครับพ่อ”
เขารีบเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องทำงานที่ตกแต่งด้วยไม้สักและของสะสมหรูหรา พ่อของเขานั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ใบหน้าของชายผู้ทรงอำนาจดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“นั่งลง” เสียงต่ำและเรียบนั้นทำให้พัดรู้สึกเกร็งจนแทบจะทรุดลงกับเก้าอี้ตรงข้าม
พ่อโยนซองเอกสารสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ พัดหยิบมันขึ้นมาเปิด และสิ่งที่เขาเห็นในนั้นทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน มันคือสำเนาเอกสารแจ้งความของซอล ความโกรธในใจพัดลุกโชนราวกับไฟที่ไม่มีวันดับ แต่เขาไม่แสดงออกให้พ่อเห็นแม้แต่น้อย
“มึงคิดว่ากูจะตามเช็ดล้างเรื่องที่มึงทำได้ตลอดไปเหรอ?” พ่อพูดเสียงเรียบแต่แฝงความกดดัน พัดยังนิ่ง น้ำเสียงที่หนักแน่นของพ่อยังคงดังต่อ
“ไหนบอกว่าจะเลิกยุ่งกับยา ถ้าซอลเอาจริงขึ้นมามึงมีปัญญารับผิดชอบไหม?” น้ำเสียงของพ่อเริ่มสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะผิดหวัง น้ำตาคลออยู่ที่ดวงตาแต่เขาก็ยังเก็บกลั้นเอาไว้
“พ่อเชื่อคนอย่างมันเหรอ?” พัดกัดฟันพูด น้ำเสียงกร้าวแต่ยังพยายามควบคุม
“หลักฐานมันชัดขนาดนี้ มึงจะพูดอะไรอีก?” พ่อชี้ไปที่เอกสาร น้ำเสียงโกรธจัดของพ่อทำให้พัดเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าฝ่ามือ สายตาของเขามองต่ำเหมือนไม่อยากรับรู้สิ่งที่พ่อพูดอีกต่อไป
“มึงจะไม่ได้อะไรจากกูถ้ายังทำตัวแบบนี้!” เสียงของพ่อหนักแน่นจนพัดรู้ว่าเขาหมายความตามนั้นทุกคำ
“และถ้ามึงยังยุ่งกับยา…กูจะเป็นคนพามึงเข้าคุกเอง”
พ่อพูดจบก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้พัดนั่งอยู่ท่ามกลางความเงียบที่แสนอึดอัด เขารู้ดีว่าพ่อไม่ได้พูดเล่น
มือทั้งสองกำแน่นจนสั่น สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวแต่ไม่ใช่ต่อตัวเอง เขากลับโยนความผิดทั้งหมดไปที่ซอล
“มึงก็ไม่ต่างจากกูหรอก…ซอล” พัดพึมพำ ดวงตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความคิดถึงชัยชนะครั้งนี้ฉายชัดขึ้นในหัวของเขา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด...เขาจะทำให้ซอลพังทลาย
หากอดีตที่ผิดพลาดไปกลับทำร้ายปัจจุบัน
เพียงแก้ไขให้มันถูกต้องเพื่ออนาคตที่ดีกว่าเดิม