เทพธาตรี เทพแห่งแผ่นดิน กับเทพพฤกษา ผู้ดูแลผืนป่าเป็นเพื่อนกัน แต่ดันต้องมาตีกันเพราะผู้หญิงคนเดียว แต่ว่าไปไปมามา ตีกันไปตีกันมาลงเอยกันแบบ งงๆ เรื่องแบบนี้ใช่เรื่องบังเอิญจริงเหรอ
แฟนตาซี,ย้อนยุค,ไทย,ชาย-ชาย,ผจญภัย,ผจญภัย,พีเรียดไทย,BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เปลี่ยนชะตา changeเทพธาตรี เทพแห่งแผ่นดิน กับเทพพฤกษา ผู้ดูแลผืนป่าเป็นเพื่อนกัน แต่ดันต้องมาตีกันเพราะผู้หญิงคนเดียว แต่ว่าไปไปมามา ตีกันไปตีกันมาลงเอยกันแบบ งงๆ เรื่องแบบนี้ใช่เรื่องบังเอิญจริงเหรอ
"เจ้ากับข้ามาสู้กัน"
ณ วังปฐพี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเทพปฐพี ธาตรีหรือดินแดนกำลังจะเดินออกไปข้างนอกคนเป็นพ่อจึงเอ่ยถามเจ้าลูกตัวดีจะแอบออกไปที่ใดอีก
"จักไปที่ใดเจ้าตัวดี" คนเป็นพ่อเอ่ยทักลูกชายที่กำลังจักเดินออกจากวังด้วยท่าทีที่ต่างไปจากที่เป็นลูกชายของเขาปกติจะนิ่ง สุขุม หนักแน่นแลเป็นคนที่ค่อนข้างปากหนัก แม้จะเป็นคนที่พูดอะไรตรงไปตรงมา แต่ว่าจะพูดแต่ละครั้งนั้นยากเย็นเสียเหลือเกิน หากมีทีท่าเช่นนี้คงจักมีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่จะทำให้ลูกชายปากหนักคนนี้กล้าพูดคงหนีไม่พ้นสหายคนสนิทของเขากระมัง
"ลูกนัดพฤกษ์ไว้ขอรับท่านพ่อ" ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหน้าตาหล่อเหลา ผิวสีน้ำผึ้งร่างกายกำยำที่ใคร ๆ ก็ต่างอยากสัมผัสแลได้ครอบครองผู้เป็นพ่อเดาเคยผิดเสียเมื่อไหร่ แต่ท่าทางเช่นนี้คงไม่ได้นัดกระมังเพียงแต่ไปโดยไม่บอกอีกฝ่ายเสียมากกว่า
"จักไปวังพฤกษารึ พ่อฝากนี้ไปให้เจ้าพฤกษ์ได้หรือไม่" ว่าแล้วผู้เป็นพ่อก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ลูกชายเป็นผังการจัดระเบียบการแบ่งหน้าที่ เขาเองก็เอ็นดูสหายของลูกชายอยู่ไม่น้อยเลย เด็กคนนี้ต้องเจออะไรมากมายนัก ไม่เพียงแต่เป็นผู้ปกครองตั้งแต่ยังเล็ก ซ้ำยังต้องเสียทั้งพ่อแลแม่ในเพลาเดียวกัน ก็นึกสงสารมีกะไรที่พอช่วยได้เขาก็จักช่วย
"กระไรหรือขอรับ" ธาตรีเอ่ยถามด้วยความสงสัยเหตุใดท่านพ่อจึงต้องฝากของไปให้ด้วยคงมิใช่กะไรแปลก ๆ กระมัง
"นี้ดินแดนสหายของเจ้าเป็นถึงเทพพฤกษาผู้ดูแลผืนป่าเชียวหนาเจ้าข้าเอ็นดูเจ้าพฤกษ์มาตั้งแต่เล็ก แลสงสาร นี้คือแผนระเบียบที่จะช่วยให้เทพพฤกษาดูแลปกครองคนของตนได้ง่ายขึ้น"
"จริงด้วยขอรับสหายลูก เป็นผู้ครองผืนป่าแล้ว งั้นลูกไปหนาขอรับ"ธาตรีรับของที่ท่านพ่อยื่นให้ หลังจากนั้นก็เดินทางไปวังพฤกษาไปเจอหน้าสหายที่สนิทราวกับพี่น้องที่คลานตามกันออกมาไม่นานก็ถึงวังพฤกษา วังพฤกษาก็ตามชื่อวัง พื้นที่ขนาดใหญ่มีคฤหาสน์ ที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ชื่อว่าหอสักทองที่พักของเทพฤกษา
"พฤกษ์" พอมาถึงก็ตะโกนเรียกสหายในทันทีเสียงตะโกนนั้นดังไปเสียทั้งป่าพูดไปผู้ใดจักเชื่อว่าเจ้าของเสียงนั้นคือเทพธาตรี
"ดินแดน เหตุใดมามิบอกเล่า เชิญด้านในก่อน"ใบหน้างดงามราวกับเอล์ฟในตำนานฝั่งตะวันตกผิวขาวตากลมผมยาวดำสนิทตัดกับชุดสีเขียวเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะในตาสีเขียวมรกตดวงหน้าที่ใครเห็นก็เป็นต้องเอ็นดูร่างกายเพรียวบางอย่างผู้ช่วยเหลือ ท่าทางเรียบร้อยกิริยามารยาทงดงามอย่างดอกไม้ น้ำเสียงไพเราะจับจิต แต่เทพธาตรีก็ไม่ได้คิดกะไรเกินไปกว่าคำว่าสหายเลยแม้แต่น้อย สิ้นเสียงหวานนั้นดินแดนจึงดินเข้าไปในวังตามคำชวนของเจ้าของวัง
"พ่อข้าให้นำสิ่งนี้มาให้เจ้า" บุตรของเทพปฐพียื่นสิ่งที่ท่านพ่อของเขาฝากมาให้พร้อมกลับยิ้มน้อย ๆ ให้ไป เป็นรอยยิ้มที่ใช่ว่าจะได้เห็นกันง่ายเสียเมื่อไหร่หากไม่ใช่พฤกษ์ไม่รู้ว่าจักเคยเห็นหรือไม่ก็มิอาจรู้ได้
"ขอบน้ำใจ แต่มิเห็นต้องลำบากมาเองเสียก็ได้" ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสหายมาด้วยตัวเองเช่นนี้ คงมิได้มีแค่แผนวางระเบียบกระมัง ที่มาถึงวังพฤกษาคงหนีไม่พ้นชวนเที่ยวเป็นแน่
"ข้ามิได้เพียงมาส่งของข้ามาหาเจ้า"
"มาหาข้า" พฤกษ์ทวนคำพูดของอีกคนเป็นการถามย้ำจริงหรือไม่ มีเหตุจำเป็นอันใดต้องมาทั้งที่ตนก็รู้อยู่เต็มอกว่าเหตุใดสหายผู้นี้ถึงมาที่นี่
"ข้ามาชวนเจ้าไป..เดินเล่นด้วยกันข้าเห็นว่าเจ้าโหมงานหนักไหนจะแรงกดดันที่เจ้าไม่ควรได้รับมันเร็วขนาดนี้อีก" ไม่ผิดจากที่คาดการไว้ธาตรีพูดออกไปอย่างไม่ปิดบังเขาเห็นสหายของตนโหมงานหนักทั้งเรื่องรักษา แลฟื้นฟูเสียจนไม่มีเวลาได้ไปไหนจึงอยากชวนสหายออกไปเดินเล่นด้วยกันอยู่แต่กับงานชีวิตไร้สีสันเสียหมด เทพพฤกษาคือเทพแห่งการรักษาหากโหมงานนักเช่นนี้เกรงว่าล้มเอาได้ง่ายๆ
"ย่อมได้ ไปกันเลยเถอะ" เจ้าของวังพฤกษาตบปากรับคำ ทั้งคู่เดินเข้าออกจากวังพฤกษาไปด้วยกัน เดินชมดอกไม้ในเขตของปกครองของเทพพฤกษา
ทั้งสองเดินเข้าไปในสวนของวังพฤกษา ในสวนงดงามรวมกับสวงสวรรค์พืชพันธุ์นานาชนิดเขียวชอุ่มดอกไม้หลากสีสัน งดงานแลยังดูสดชื่นพลังชีวิตเปี่ยมล้นเหมาะกับการพักผ่อนยิ่งนัก
"สวนเจ้าดูสดชื่นยิ่งนัก" อีกฝ่ายเอ่ยชมแต่คงจักลืมไปเสียแล้วกระมังว่าสหายของตนนั้นเป็นเทพพฤกษา หน้าที่คือดูแลต้นไม้มีพลังแห่งการรักษา สวนดอกไม้ในวังพฤกษาจะไม่สดชื่นได้อย่างไรคงแปลกพิลึก
"ดินแดน" พฤกษ์กดเสียงต่ำลง
"หือ" ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มผิดจากพฤกษ์ที่ตอนนี้เริ่มไม่พอใจเสียแล้ว
"ข้าคือเทพพฤกษา" และก็บอกกล่าวถึงสถานะของตน
"จริงด้วย เพลานี้เจ้ามีความสุขอยู่หรือ" ธาตรีก็ถามขึ้นมาเขารู้ว่าสหายเขาเจอกระไรแต่อีกฝ่ายไม่เคยพูดหรือปริปากเลยสักครั้งเทพพฤกษาไม่ใช่คนปากหนักเพียงแค่ไม่มีผู้ใดถามก็จักไม่พูด เพียงแต่ในสถานะสหายเขาอยากให้อีกฝ่ายได้พูดสิ่งที่เก็บไว้ออกมาบ้าง อย่างน้อยได้สบายใจขึ้นมานิดหน่อยก็ยังดี
"เหตุใดจึงถามเช่นนี้ ข้าดูมิมีความสุขใช่หรือไม่" แม้รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงตนแต่เขาเองก็ยังคงอยากถามยืนยันให้แน่ใจจากปากของอีกฝ่าย
"ข้าเพียงเห็นว่าสหายข้าเพลานี้แววตา ดูไร้ความสุข" เขาพูดออกไปตามตรง
"จักว่าเช่นนั้นก็ถูก อันที่จริงสิ่งที่ว่าความสุขนั้นข้าหาไม่เจอนานแล้ว" เทพพฤกษายอมเอ่ยปากพูดตามสิ่งที่ตนรู้สึกความรู้สึกมีความสุขมันหายไปนานเสียแล้วจริง ๆ เขาดูต้องดีทุกอย่าง ทุกอย่างต้องออกมาดีกดดันอยู่ตลอดเวลาต้องแบกบางอย่างไว้ตลอดเวลา
"เช่นนั้นฤๅ"
"เป็นเช่นนั้น และเป็นเช่นนั้นมานานมากแล้ว ท่านพ่อถูกลอบสังหารจากคนใน ท่านแม่ก็สังหารคนที่สังหารท่านพ่อข้า ไม่นานท่านแม่ตรอมใจตามท่านพ่อไป ข้าต้องมารับหน้าที่ ที่ใหญ่หลังโดยมิทันได้เตรียมใจ คนในปกครองคาดหวังในตัวข้า แรงกดดันมหาศาลเข้ามาหาข้าโดยมิทันได้ตั้งตัว..ตั้งแต่เด็ก แต่หากข้าไม่ทำก็มิมีผู้ใดทำ ข้าคือพฤกษ์หากหน้าที่นี้ข้ามิทำก็มิมีผู้ใดทำแล้ว" ความอัดอั้นตันใจนานนับหลายปีถูกระบายออกมาในครั้งเดียวแต่กลับไม่มีน้ำตาร่วงหล่นมาให้เห็นคงเพราะเทพองค์นี้ถูกสอนให้อดทนมาตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นก็ห้ามหลั่งน้ำตาให้ผู้ใดเห็นเขาจึงมักให้มันตกอยู่ข้างในจนเป็นนิสัย
"เหนื่อยหรือไม่" ธาตรีพูดไปด้วยท่าทีที่เป็นห่วงเมื่อเห็นสหายมีสิ่งที่ต้องแบกรับมากมายถึงเพียงนี้ ดูเหนื่อยน่าดู เมื่อมีคนถามเช่นนั้นน้ำตาของเทพพฤกษาก็แทบน้ำตาร่วงแต่มีหรือจะเห็นน้ำตาของเขาได้ง่ายๆ ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกนะ
"เหนื่อยสิถามได้นี้ข้ายังเป็นเด็กอยู่นะ" ตอบไปตามความจริงเจอแบบนี้ต่อให้ไม่ใช่เด็กก็เหนื่อยอยู่ดีนั่นแหละ
"งั้นเหรอ"
"ใช่" แม้ข้างในจะเป็นเช่นไรก็ตามเขาเลือกที่จะส่งรอยยิ้มหวาน ๆ นั้นส่งไปให้แม้เป็นรอยยิ้มดูฝืนเหลือเกินก็ตาม
"ข้ากลับเห็นเจ้าเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้ปกครองที่ดี" เขาเห็นเป็นเช่นนั้นจริง ๆ อีกฝ่ายดูโต ดูเป็นผู้ใหญ่เสียมากกว่าผู้ใหญ่บางคนอีก ใจเย็นเห็นใจคนรอบข้างและชอบเก็บหลาย ๆ อย่างไว้บนหลังตนเองบางครั้งก็ลืมดูแลความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน
"อย่ามาอวยข้าเสียให้ยากเลยข้าไม่ หลงกลเจ้าหรอกนะ"
"ข้าพูดจริง ๆ" แม้จะเป็นการปลอบใจแต่กลับทำให้เทพพฤกษาผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง
"ข้าอยากเล่นน้ำ"
"ไปสิเทพองค์อื่นก็น่าจะเล่นน้ำกันอยู่"ทั้งสองเดินเงียบ ๆ อยู่สักพักดินแดนก็พูดขึ้น
"ไปสิไป"
ทั้งสองก็เดินทางไปแหล่งน้ำธรรมชาติพอไปถึงก็มีเทพหลายองค์เลยที่เล่นน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้ว เสียงพูดคุยกัน เทพแห่งชีวิตก็มา พิรุณก็มี ชลธีก็มา รวมถึงเทพแห่งแสงอย่าง ปภาวดีก็มาด้วยเช่นกัน
"ลงไปกัน"
"นั้นเทพธาตรีกับเทพพฤกษานี้" เสียงใสของใครคนหนึ่งร้องทักขึ้นมาเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากปภาวดี
"ข้าเอง"พฤกษาเอ่ยขึ้นก่อนที่ทั้งสองลงไปเล่นน้ำ "เป็นเช่นไรกันบ้างขอรับสบายดีอยู่หรือ" เสียงนุ่ม ๆ กล่าวทักทายเหล่าเทพอย่างเป็นมิตรพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต่างหลุ่มหลงในรอยยิ้มนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง
"สบายดี" เสียงดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน
"สงสัยฝนท่าจะตกแล้วกระมัง เทพพฤกษาออกจากวังได้" ชลธีเอ่ยปากแซวไม่ขาดเนื่องด้วยสหายผู้นี้ค่อนข้างจะเก็บตัวอยู่แต่ในวังนานครั้งจะเห็นหน้าค่าตาจึงอดที่จะแซวไม่ได้
"เรื่องนั้นต้องถามเทพพิรุณขอรับ" มีหรือพฤกษาจะยอมให้แซวสีน้ำเรียบๆรวมกับน้ำเสียงนิ่งๆทำเอาคนแซวถึงกลับหน้าชาไปเลยทีเดียว
"เกี่ยวกระไรกับข้า" เทพพิรุธกล่าวกับทั้งสอง เทพพิรุณเป็นเทพที่รักสงบไม่ชอบยุ่งวุ่นวายกลับใคร สนิทสุดก็คงจะเป็นเทพเหมันต์กับเทพพฤกษากระมัง
"พฤกษ์มาได้อย่างไรกัน" ครานี้เป็นปภาวดีถามขึ้นมาบ้าง
"ธาตรีชวนมา" แม้จะสงบนิ่งแต่ท่าทีนั้นผู้ใดมองก็รู้ได้ว่าเทพพฤกษานั้นไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่ออีกฝ่ายอยู่ใกล้ แก้มขาวกับแดงระเรื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น
"เป็นเช่นนั้น"
"เจ้าสองคนดูสนิทกันมากเนอะ" แล้วก็เป็นชลธีองค์เดิมที่ถามขึ้นมา
"สนิทขอรับ" ใบหน้าที่ขึ้นสีเมื่อครู่หายวับไปกับตาแม้ยังหลงเหลือความน่าเอ็นดูไว้อยู่ ไม่ว่าจักเป็นอิริยาบถใดก็ตามของเทพพฤกษาช่างดูอ่อนช้อยนุ่มนวลน่าถนอมยิ่ง
"จริงหรือ"
"จริงแท้" ธาตรีที่เงียบมานานพูดขึ้นมาบ้างก่อนจะโอบไหล่สหาย
"ข้าเชื่อ" พิรุณเป็นคนกล่าว
"ว่าแต่เทพแห่งแสงช่วงนี้เป็นเช่นไรบ้าง เล่นน้ำเสร็จไปเดินเล่นกับเราได้หรือไม่" ครั้งนี้เป็นเสียงของธาตรีที่เอ๋ยชวน
"ได้สิ" สายตาที่ทั้งสองส่งให้กันพฤกษากลับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างแต่เขาเลือกที่จะไม่ใส่ใจแต่เขาก็เริ่มตงิดในใจขึ้นมาไม่น้อย
"เป็นอันใดไป" เมื่ออีกตนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างจึงได้ท้วงขึ้น สีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจทำให้เทพธาตรีเริ่มหวั่นใจว่าสหายจะชอบคนเดียวกันกับเขา
"มิมีกระไร" แล้วพฤกษ์ก็ปลีกตัวออกมา ปภาวดีคือความหวังเดียวของเขาที่จะปัดเป่าปมในอดีตของเขาได้ เขาเองก็รู้ธาตรีคงมิทำเช่นนั้นพฤกษ์จึงเดินออกมาเล่นอีกฟากหนึ่งเพื่อไม่ให้ตนเองคิดมาก
"เหตุใดมาเล่นคนเดียว" จู่ ๆ ก็มีสองเทพเข้ามาคุยกับเขานั้นคือเทพมหาสมุทร กับพิรุณ
"ข้า..มิมีอันใด" พฤกษ์กล่าวออกไปเช่นนั้น
"เช่นนั้นรึ แต่สีหน้าหาได้เป็นเช่นที่ท่านกล่าว" ครั้งนี้เทพพิรุณเป็นคนถามบ้าง
"ก็แค่ไม่อยากคิดไปเอง"
"เหตุใด"
"ไม่อยากคิดไปเองว่าสหายจะแทงข้างหลัง" ความในใจของพฤกษาได้ถูกพูดออกมาจนได้ เขาเพียงแต่อยากเก็บเอาไว้เงียบๆ หากมิมีผู้ใดสังเกตเห็น แต่กลับมีคนสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเขาและได้เอ่ยถามเขา และด้วยนิสัยจึงจำใจต้องกล่าวออกไป
"งั้นก็ถามสิ หากไม่ถามจะรู้รึ"
"ข้ากลัว" กลัวคำตอบที่จะออกมาว่าเขาคิดถูกแล้ว
"มีอันใดต้องกลัว"
"กลัวคำตอบอย่างไรเล่า" การที่โดนหักหลังคงจะเจ็บมิใช่น้อยและหากเป็นเช่นนั้นทั้งสองคนจะเป็นเช่นไรต่อไปคงมิต้องบาดหมางกันดอกรึ เพราะเขารู้ดีอย่างไรเล่าว่าหากเป็นเช่นนั้นคงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสหายกันอีก "หากเป็นเช่นนั้นข้ากลัวว่าข้ากับธาตรีจะต้องกลายเป็นศัตรูกัน"
"และถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละเจ้า อย่างไรมันก็คือความจริง"ชลธีเสริมทัพไม่ว่าจักเร็วหรือช้าอย่างไรเรื่องใดจักเกิดก็ต้องเกิดหนีไม่พ้นนั้นคือความจริงจักหนีเช่นไรก็ยากจักหนีพ้น
"ข้าไม่อยากเจ็บ หากเจ็บครั้งนี้ข้ากลัวข้าจะไม่ใช่ข้าแบบนี้"
"ถึงอย่างไรเจ้าก็หนีความจริงไม่พ้นดอก เร็วหรือช้าเจ้าก็ต้องรับรู้อยู่ดี"
"ข้าทราบดี"
"ไม่เป็นไรดอก ต่อให้เจ้าบาดหมางกับดินแดนข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า" ท่าทีของอีกฝ่ายแม้จะดูสบายดูไม่ได้อะไรกับคำพูดของตัวเองเท่าไหร่แต่พฤกษ์กลับสัมพันธ์ได้ถึงความจริงใจและที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคือความจริง
"ขอบน้ำใจ"
"ข้าเต็มใจ"
"ทำกะไรกันในที่เงียบ ๆ เช่นนี้"
"เปล่า"
"ข้ามา..." เมื่อเห็นสายตาของพฤกษาชลธีที่กำลังจักพูดก็ต้องเงียบลงทันทีก่อนจะตอบ "ข้าเพียงเห็นว่าพฤกษ์อยู่ผู้เดียวจึงเข้ามาก็เท่านั้น สหายเจ้ามาแล้ว พวกข้าสองคนขอตัว"
"อือ"
"มิต้องคิดมากหนาเจ้าจะเกิดอันใดก็ตามข้าเต็มใจอยู่ข้างเจ้า" พิรุณพูดจบทั้งสองก็เดินจากไป พฤกษ์อึ้งรวมไปถึงดินแดนเองก็อึ้งแลสงสัยว่าเหตุอันใดจึงต้องมีคนนี้อยู่ข้างสหายเขาจักเกิดอะไรขึ้นร้ายแรงถึงขั้นเขาอยู่ข้างสหายสนิทมิได้เชียว
"เหตุใด จักเกิดเหตุอันใดขึ้น"
"มิมีอันใด"
"มิมีอันใดเหตุใดพิรุณจึงกล่าวเช่นนั้น"
"ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเพลานี้ เช่นนั้นเพลานี้ข้าบอกเจ้าไม่ได้"
"เกี่ยวข้องกับข้า"
"ไปๆ ไม่เล่นน้ำแล้วชวนหญิงพินไปชมสวนเถิด"
"หากเจ้าต้องการเช่นนี้ข้าก็จักไม่คาดคั้นเจ้า" แม้ในใจอยากรู้เพียงเท่าใดก็ตามแต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากพูดจะทำเช่นไรได้
.
.
ณ สวนดอกไม้
"งดงานเสียจริง" ปภาวดีเอ่ยปากชมไม่หยุดตั้งแต่เท้าแตะเข้ามาในสวนในการปกครองของเทพพฤกษา
"เช่นนั้นหรือ" เทพพฤกษายิ้มน้อย ๆ ท่าทีเอียงอายอย่างคนขี้เขิน ทำเอาทั้งเทพแห่งแสงและเทพแห่งดินอมยิ้มไปตาม ๆ กัน
"ก็นั้นเทพพฤกษานี้เจ้า จักไม่งดงามได้อย่างไร"
"ไว้ข้าไปวังปฐพีดีหรือไม่"
"ดีสิ แต่วังข้ามิมีสวนดอกไม้ดอกหนาเจ้า มีเพียงรูปปั้นแกะสลักเท่านั้น"
"จริงหรือข้าจักไป" ปภาวดีแลธาตรีเดินคุยกันกะหนุงกะหนิงราวกับคู่รักก็ไม่ปานเมื่อเห็นเช่นนั้นพฤกษาจึงเดินปลีกตัวออกมาแล้วกลับวังของตนปล่อยให้สองคนนั้นเดินด้วยกันไปแบบนั้นแหละดี ทั้งความหวังที่จะได้ปัดเป่าความหมองมัวในจิตใจนั้นคงเป็นไปมิได้แล้ว แลยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป
.
"ที่วังปฐพีนอกจากจักมีรูปปั้นแกะสลักแล้วยังมีเครื่องปั้นดินเผาที่วิจิตรงดงาม"
"จริงหรือเจ้าคะข้าอยากไปเห็นด้วยตาสักคราเสียจริง"
"จริงแท้ดั่งคำข้า มิมีมุสาเลยสักคำหากมิเชื่อถามเจ้าพฤกษ์เสียก็ได้ พฤกษ์ไปบ่อยเสียจนนึกว่าเรือนตน ใช่หรือ..."เมื่อพูดถึงอีกคนแลหันกลับไปด้านหลังกลับไม่พบบุคคลที่เอื่อยถึงเมื่อครู่ ใบหน้าทั้งสองถอดสีเขารู้ดีว่าอาการเช่นคือกระไรเมื่อไหร่ที่เทพพฤกษาทิ้งมารยาทที่เคยมีนั้นคือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนั้นคือไม่อาจร่วมทางกันได้อีก เขาไม่รู้เลยว่านี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เดินข้างกันเช่นเมื่อครู่
"เทพพฤกษาหายไปที่ใด" ปภาวดีเอ่ยถามด้วยความตกใจ
"ข้าซวยเสียแล้วเจ้า"
"งั้นข้าลาเจ้าค่ะ เข้าเขตปกครองเทพพฤกษานานเสียแล้วเกรงว่าท่านพ่อท่าแม่จะเป็นกังวล"เมื่อนางเห็นสีหน้าของธาตรีมิสู้ดีนางจึงขอกลับก่อนเสียจักดีกว่า
"เช่นข้าก็ขอไปคุยกับพฤกษาเสียก่อนจักมาเมื่อใดบอกข้าหนา"ทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน ธาตรีมุ่งหน้าไปหอสักทองเพื่อจะพูดคุยกับสหายผู้นั้น
"พฤกษ์!!!" เมื่อถึงหอสักทองดินแดนก็ตะโกนเรียกชื่อใครคนหนึ่งเสียงดังฟังชัด ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลแลหวาดกลัว
"มีกระไรหรือขอรับ" ผู้ที่มาเปิดประตูให้มีท่าทีที่ต่างออกไปจากเดิมแม้ใบหน้านั้นจะนิ่งอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่ใช่กับเขา แต่เพลานี้เทพพฤกษาดูเย็นชาเสียกว่าอยู่กับผู้อื่นเสียอีก
"ขอเข้าไปได้หรือไม่"
"ขอรับ" แม้จะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงตอบรับคำขอของเขา ธาตรีเดินเข้าไปข้างในหอสักทองจักคุยกับพฤกษาให้รู้เรื่องว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ระหว่างเขาสองคน
"เหตุใดจึงกลับมิบอก ผิดวิสัยเจ้านัก" ธาตรีถามเหตุผลตรงไปตรงมาตามนิสัยของเจ้าตัว
"กล่าวตามตรงขอรับมิอยากอยู่ตรงนั้นขอรับ" ความห่างเหินของการเรียกสรรพนามในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกปวดใจขึ้นมากะทันหันเขาไม่อาจเสียสหายผู้นี้ไป แต่เพลานี้เหมือนเขากำลังจะเสียไปแล้ว
"ด้วยเหตุใด"
"หากท่านอยากให้ข้าถามข้าก็จักถาม ในเมื่อท่านมิอยากเป็นสหายกันต่อข้าก็จักถามท่าน"
"มิเป็นสหายกันต่อ หมายความเช่นไร"
"มิมีอันใดซับซ้อนนี้ขอรับ หมายความตามที่กล่าว ข้าจักถามท่านแล้วหนาขอรับ"
"ห่างเหินเหลือเกินเจ้า"
"ท่านพึงใจหญิงพินใช่หรือไม่"
"เจ้ารู้ ใช่ข้าพึงใจเทพแห่งแสง"
.
.
.
.
.
.
.
.
ช่วงคำถามท้ายตอน
ในเมื่อเจอคนที่อยากจริงจังด้วยเขาคือความหวังเดียวคือแสงสว่างเดียวในชีวิตแล้วคุณดันรู้ว่าเพื่อนของคุณก็ต้องการแสงสว่างนี้เช่นเดียวกันคุณจะทำเช่นไร จะตัดเขาออกจากความเป็นเพื่อนหรือไม่เมื่อเขากำลังจะแย่งสิ่งสำคัญที่สุดไปจากคุณ