เทพธาตรี เทพแห่งแผ่นดิน กับเทพพฤกษา ผู้ดูแลผืนป่าเป็นเพื่อนกัน แต่ดันต้องมาตีกันเพราะผู้หญิงคนเดียว แต่ว่าไปไปมามา ตีกันไปตีกันมาลงเอยกันแบบ งงๆ เรื่องแบบนี้ใช่เรื่องบังเอิญจริงเหรอ
แฟนตาซี,ย้อนยุค,ไทย,ชาย-ชาย,ผจญภัย,ผจญภัย,พีเรียดไทย,BL,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เปลี่ยนชะตา changeเทพธาตรี เทพแห่งแผ่นดิน กับเทพพฤกษา ผู้ดูแลผืนป่าเป็นเพื่อนกัน แต่ดันต้องมาตีกันเพราะผู้หญิงคนเดียว แต่ว่าไปไปมามา ตีกันไปตีกันมาลงเอยกันแบบ งงๆ เรื่องแบบนี้ใช่เรื่องบังเอิญจริงเหรอ
"เจ้ากับข้ามาสู้กัน"
ความเดิมตอนที่แล้ว
"ท่านพึงใจหญิงพินใช่หรือไม่"
"เจ้ารู้... ใช่ข้าพึงใจเทพแห่งแสง"
"หากเป็นเช่นนั้นข้ากับท่านคงเป็นสหายกันต่อไปมิได้" ดวงตาแดงก่ำเบิกโพลงด้วยความโกรธและโมโหมากถึงมากที่สุดเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับเขา
"หมายความเช่นไร"
"หมายความตามที่กล่าว ข้ากับท่านคงเป็นสหายกันอีกต่อไปมิได้แล้ว"
"เจ้าก็พึงใจ.. เทพแห่งแสง...งั้น..รึ" มือไม้เริ่มเย็นชืดขึ้นมาเสียอย่างนั้นในใจเหมือนถูกมีดกรีดเข้ามาอย่างช้าๆ น้ำตาของอีกฝ่ายเริ่มไหลรินความปวดหนึบยังคงไม่จางหายพฤกษาไม่แม้แต่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ
"ข้ามิมีอันใดต้องคุยกับท่าน ท่านมีเรื่องจักถามเพียงเท่านี้ใช่ฤๅไม่ หากใช่เชิญท่านกลับไปในที่ของท่านมิต้องเจอกันอีก" พฤกษายังยืนยันคำเดิมคือเขาไม่อยากเจอหน้าสหายผู้นี้ แลไม่อาจเป็นสหายกันได้อีก และยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่อาจให้อีกฝ่ายมาเหยียบที่นี่อีก
"ประเดี๋ยว.."
"มิมีอันใดต้องพูดอีก ท่านทำลายความหวังสุดท้ายของข้าด้วยมือท่านเอง เช่นนี้จะยังเป็นสหายกันได้อยู่ฤๅ หากท่านมีสมองมีปัญญาก็คงจักรู้ได้ว่ามันมิมีทางเป็นเช่นเดิมได้แล้ว ท่านกลับไปเสียเถอะ" ความในใจทั้งหมดของเทพพฤกษาได้ถูกพูดออกมาจนหมด เขาพูดออกมาโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องถามนั้นคงถึงที่สุดของเขาแล้ว
"มิเป็นเช่นนั้นมิได้รึเป็นสหายกันต่อไปมิได้หรือเจ้า"
"ไม่มีทางกลับไปเป็นเช่นนั้นได้เสียแล้ว ท่านทำลายความไว้ใจของข้า ตรงนี้ มันเจ็บจนชาเสียแล้ว ต่อแต่นี้เราคือศัตรูกัน ออกไปไม่ต้องมาเหยียบวังข้าไปให้พ้น" น้ำตายังคงไหลรินเป็นทางใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในใจของธาตรีเขาไม่เคยเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้กลับหลั่งน้ำตาเพียงเพราะเขา ความเจ็บปวดนี้เขารับรู้แล้วเขาก็ไม่คิดจักอยู่ให้อีกฝ่ายเจ็บไปมากกว่านี้ซ้ำยังไม่อยากเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายมิหนำซ้ำคนที่ทำให้มันไหลกับเป็นตนเสียเองยิ่งไม่อาจอยู่ให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำ
.
.
สาวใช้ในหอสักทอง เห็นแล้วก็อดนึกสงสารผู้เป็นนายไม่ได้จึงเดินเข้านั่งข้างๆแต่เธอก็มิได้พูดอัดใดออกไป
"มีอันใดหรือ"
"บ่าวมิมีอันใดเจ้าค่ะ"
"เหตุใดจึงนั่งอยู่เช่นนี้"
"บ่าวอยากอยู่ข้างคุณพฤกษ์เจ้าค่ะ ข้างกายคุณพฤกษ์ยังมีบ่าวอยู่เจ้าค่ะ"
"ขอบน้ำใจเองนัก" คุณพฤกษ์เอื้อมมือมาลูบหัวเด็กสาวหน้าตาธรรมดาๆ ตอนนี้กลับเป็นคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ ลูบหัวอยู่พักหนึ่งเทพพฤกษาก็ลงไปกอดเข้ากับบ่าวคนสนิทซ้ำยังร้องห่มร้องไห้ปานใจจะขาด
"ฮึก.....ฮึก..ฮือ..ข้า.."
"มิต้องกล่าวกระไรแล้วเจ้าค่ะ บ่าวทราบเรื่องแล้วเจ้าค่ะ" เด็กสาวกล่าวพลางกอดอีกฝ่ายไว้จนเทพพฤกษาผู้นายเข้มแข็งดีขึ้นมาได้บ้าง
"ข้าดีขึ้นแล้วขอบน้ำใจเองมาก"
"เจ้าค่ะงั้นบ่าวทำกระไรให้ทานหนาเจ้าคะ"
"ขอบน้ำใจเองมาก"
"หามิได้เจ้าค่ะนายท่านฝากคุณพฤกษ์ไว้กับบ่าวกระไรที่บ่าวช่วยได้บ่าวก็จักช่วยเจ้าค่ะ"หลังจากนั้นเธอก็เดินไปทำอะไรให้พฤกษ์ทาน ส่วนพฤกษ์ก็เข้าห้องบรรทมไปทำเสร็จเธอก็ยกเข้ามาให้ในห้องและออกไปปล่อยให้เจ้านายของเธออยู่คนเดียวสักพัก
"ใช่ต่อแต่นี้เราคือศัตรูกัน แล้วเหตุได้ข้าจักยอมปล่อยความหวังเดียวของข้าให้กับคนอย่างเจ้ากัน เรื่องแบบนี้ใครเร็วใครได้ แล้วเหตุใดข้าจะต้องมานั่งเสียใจกับคนอย่างเจ้า" พฤกษาปาดน้ำตาออกปั้นยิ้มอย่างที่เขาถนัดแต่ข้างในใจนั้นกลับคิดแผนการร้ายบางอย่างไว้ ในเมื่อเป็นคนดีแล้วโดนหักหลังเพราะงั้นก็จักเลวให้ถึงที่สุดในหัวของเขาตอนนี้มีเพียงเท่านี้
"ความทรมานในตอนนี้ต้องหายไป" จากนั้นเขาก็ทานข้าวที่สาวใช้ยกมาให้และก็กินเข้าไปจนหมดก่อนจะยกออกมาไว้ข้างนอกละเข้านอน แท้จริงในใจครั้งนี้จะแค้นสุดแสนจะแค้นใจแต่เขาเองก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเขาในตอนนี้ต้องพักผ่อนให้มากจะได้มีแรงสู้กับคนพวกนั้น และก็รู้ด้วยว่าการตัดสินใจเช่นนี้คนอื่นจะมองเช่นไร เขาคงกลายเป็นตัวร้ายที่พยายามทำให้เทพทั้งสองที่รักกันแยกออกจากกัน แต่แล้วอย่างไรในเมื่อเขาไม่อยากทรมานกับอาการเจ็บปวดภายในจิตใจ ก็ต้องทำเช่นนี้ มันเป็นวิธีเดียวที่จะบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้
.
วันต่อมา
เทพพฤกษาก็ใช่ชีวิตตามปกติและใช่ระเบียบที่เทพปฐพีให้มา ใช่ไปกับเมืองพฤกษาและก็ได้ได้ผลดีทีเดียวเพียงเท่านี้เขาก็มีเวลาไปตามจีบ ปภาวดีแล้วพอนึกได้เช่นนั้นก็ไปเมืองแห่งแสงทันที
"ฝากวังด้วยนะ"
"เจ้าค่ะ" ว่าแล้วก็ออกไปเมืองแห่งเลยทันทีแสงเมืองแห่งแสงนี้งดงามเสียจริง เรือนดูวิจิตตระการตา ทุกอย่างดูเป็นสีขาวทองราวกับเมืองผู้ทรงศีล
"พิณอยู่หรือไม่" เทพพฤกษากล่าวด้วยรอยยิ้มที่หวานละมุนละไม เสียงทุ่มหวานราวกับกาแฟนมยามเช้า ฟังแล้วผ่อนคล้ายเป็นที่สุด
"มีอัดใดหรือท่านเทพพฤกษา" เสียงหวานที่เอ่ยออกมานั้นมิใช่เสียงใครที่ไหนเสียงผู้ที่เขามาหานั้นเอง ใบหน้างามงดโผล่ออกมาจากประตูพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนสดใสช่างเข้ากับใบหน้างามกิริยาเรียบร้อย แต่ยังคงแฝงความสดใสอยู่ในที ผู้ใดมองก็ต้องหลงรักไปตามกัน
"มิมีอันใดเพียงแต่ข้าไม่ได้มาเมืองแห่งแสงนี้เสียนานจึงมาเยี่ยม"
"งั้นเชิญเจ้าค่ะเทพธาตรีก็อยู่ด้วยพอดี คนเยอะๆจักได้รื่นเริง" แต่เหมือนบรรยากาศจะขุนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีใครอีกคนมาก่อนหน้าเขาเสียแล้วรอยยิ้มที่เคยมีต้องหุบลงทันที
"งั้นรึ" แม้ในใจจักยังคงขุ่นเคืองครั้นจักกลับเลยก็ดูจักเสียมารยาทไปมิใช่น้อยจำฝืนใจเดินเข้าไปอย่างช่วยมิได้
"ของฝากขอรับ" พฤกษ์ยื่นตะกร้าผลไม้แลช่อดอกไม้ให้ปภาวดี พร้อมกับรอยยิ้มเช่นเคยทำให้เธอใจเต้นอยู่หน่อยๆอยู่เหมือนกันมีผู้ชายมาหาถึงเรือนชานถึงสองคนต่อให้เป็นเขาก็ประหม่าอยู่ดีแหละ "พฤกษ์ หญิงพิณข้าจักใจดีกว่านี้เรียกข้าว่าพฤกษ์เถิด เรียกท่านเทพพฤกษาดูห่างเหินเสียจริง" ในขณะที่พฤกษ์กำลังเกี้ยวหญิงพินโดยไม่สนใจอีกคนที่อยู่ในเรือนนี้เหมือนกัน ทำเอาอีกคนรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่าบอกไม่ถูกอยากหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเลยก็ว่าได้
"ย่อมได้พฤกษ์"
"ชื่นใจข้านัก"ไม่ว่าเปล่ามือก็เอื้อมไปจับมือเทพแห่งแสงพอดินแดนเห็นเช่นนั้นความอดทนก็ขาดสะบั้นลง รีบคว้ามืออีกฝ่ายไว้ทันที
"มีกระไรงั้นหรือขอรับท่านเทพธาตรีบุตรชายเพียงคนเดียวของเทพปฐพี" พฤกษาหันไปทางผู้ที่จับแขนเขาไว้อย่างช้าๆ ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปากเบา ๆ หนึ่งที ในตาคมที่มองอีกฝ่ายนั้นช่างเยือกเย็นและชั่วร้ายเอาเรื่องจนอีกฝ่ายต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
"เจ้าทำตัวรุ่มร่ามต่ออิสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร" คิ้วเข้มขมวดเป็นปมของดินแดนนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกพอใจยิ่งนัก
"ข้าเพียงแค่จับมือเท่านั้นดินแดนยังมิได้ทำกระไรไปมากกว่านั้นเลยหนาท่าน เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้าทำตัวรุ่มร่ามต่อเทพแห่งแสงเล่า"
"พอละทั้งสองข้ามิเป็นกระไรเพียงจับมือเท่านั้นมิได้เสียหายกระไร"
"เห็นหรือไม่ดินแดนพิณเขาไม่ได้ว่ากระไรข้า" เขายิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้กับธาตรี ธาตรีเองยังตกใจกับรอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่ดูร้ายมากเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัสเป็นรอยยิ้มที่แฝงความเคียดแค้นชิงชังอย่างถึงที่สุด เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับมันและยิ่งไม่เคยคิด ว่าอดีตสหายเขาจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ แต่จักโทษใครได้ละเขาเป็นคนทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นแบบนี้เสียเองมิใช่หรืออย่างไรเขาก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาด้วยเช่นกัน
"เป็นเช่นนั้นหรืองั้นข้าขอตัวกลับก่อน" ดินแดนลดมือลงแล้วเดินออกไปจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุดเขาไม่อยากเห็นสายตาคู่นั้นที่มองเขาด้วยความเคียดแค้นไม่อยากเห็นแม้แต่วินาทีเดียว
หลังจากที่ดินแดนเดินออกไปพฤกษาก็กลับมาเป็นพฤกษาคนเดิมพูดจาดีวางตัวดีเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่สุด
"ข้ารินชาให้หนาขอรับ" แม้เธอเองจักสงสัยอยู่ไม่น้อยเหตุใดสองคนสหายรักถึงได้ปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ แต่ก็มิได้ถามออกไป แม้จะสงสัยแต่หาใช่เรื่องที่เขาต้องสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น
"เจ้าค่ะ"
"ที่มาหาข้าถึงที่เมืองแห่งแสงมีกระไรรึเจ้าคะ"
"ข้าเพียงแต่มาที่นี่เพื่อให้ท่านปัดเป่าบางอย่างให้ขอรับ"
"บางอย่างที่อยู่ในใจพฤกษ์มานานน่ะหรือ"
"ใช่แล้วหญิงพิน"
"ได้ข้าจักช่วย" และการปัดเป่าก็เริ่มต้นขึ้นปภาวดีเอามือนาบไปที่หลังของเทพพฤกษาทำการถ่ายโอนพลังเข้าไปในจิตใจของเขา ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้างเวลาผ่านไปนานอยู่พอสมควรก็เสร็จสิ้น เพียงแต่เมื่อขับไล่ความมัวมองเสร็จเทพแห่งแสงกลับดูหมดแรงเป็นลมหมดสติไปเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบปล่อยเถาวัลย์ออกมาเพื่อรักษาให้ ไม่นานก็ฟื้นขึ้น
"มิเห็นต้องฝืนเลยนี้ไม่ไหวก็ควรหยุดหนา"
"หากไม่ขับไล่ให้หมด สิ่งที่อยู่ในใจเจ้าจะกลับมาเร็วขึ้นข้าจึงจำเป็นต้องฝืนเจ้าค่ะ แลสิ่งที่ข้าทำมิได้ช่วยให้สิ่งที่ท่านเป็นหายขาดหนาเจ้าคะเพียงแค่บรรเทาความเจ็บปวดเพียงเท่านั้น หากจะหายขาดได้จริง ๆ พฤกษ์ต้องมีที่พึ่งทางใจ"
"แต่เจ้า.."
"มิเป็นกระไรเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรข้าก็รักษาให้พฤกษ์อยู่แล้วแหละ หากมิมีข้าก็ยินดีช่วยไปตลอด"
"ขอบน้ำใจเจ้านักข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย"
"ข้าเต็มใจ"
"ที่พึงทางใจคือสิ่งใด"
"ผู้ที่มาเติมเต็มช่องว่างในใจอย่างไรละ ผู้ที่ช่วยปลดปล่อยคำว่าโดดเดี่ยวที่อยู่ภายในใจของพฤกษ์จ๊ะ ส่วนเป็นผู้ใดนั้นตอบได้ยาก แต่พอถึงเวลาพฤกษ์จักรู้ได้เอง" เทพแห่งแสงอธิบายต่อแต่ถึงอย่างนั้นพฤกษ์ก็ยังไม่เข้าใจความหมายอยู่ดีหากฟังจากที่เทพแห่งแสงพูดก็คงสรุปได้ง่าย ๆ ว่า สิ่งนั้นคือความรักกระมัง หากจักให้พฤกษ์สรุปก็คงเป็นเช่นนั้น แต่จักเป็นผู้ใด หรือเขาจักไร้หัวใจรักใครไม่เป็นต้องทรมานกับมันไปตลอดกัน แต่หากเป็นเช่นนั้น หญิงพินก็คงต้องช่วยเขาไปตลอด แต่หากเทพแห่งแสงหมั้นหมายกับธาตรีก็คงหมดหนทางบรรเทา เพราะชนั้นจักไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่
"หากเป็นเช่นนั้น เจ้า"
"ข้าเต็มใจ"เทพแห่งแสงย้ำอีกครั้ง เพียงคำพูดนั้นก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจและอาจเรียกว่ารักอีกฝ่ายขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้วก็ได้ตั้งแต่พ่อแม่เสียไปเขาต้องคอยเป็นหลักให้คนอื่นมาโดยตลอดพอได้มีคนให้เขาอ่อนแอได้เช่นนี้รู้สึกใจชื้นขึ้นมามิใช่น้อยเลย เหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาซะเดี๋ยวนั้น แต่ก็ต้องเก็บกับเข้าไปเช่นเดิม
"รักษาตัวให้ดีละข้ากลับวังก่อนออกมาเสียนานข้ากลัวงานไม่เดิน"
"ไว้มาใหม่หนาเจ้าคะ ข้าจักพาชมเมืองแห่งแสง"
"ขอรับ" ว่าแล้วเขาก็กลับวังพฤกษาโดยที่ในใจเขาก็คิดถึงเมื่องแห่งแสงอยู่ตลอดทุกการกระทำทุกสัมผัสของคนผู้นั้นยังติดอยู่ในใจไม่หายไป เดินยิ้มมาตลอดทางถึงหอสักทอง นี้เป็นครั้งแรกที่เขาหาคำที่เรียกว่าความสุขเจอรึเปล่านี้รึเปล่าที่เรียกว่าความรักนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าความสุขไม่ได้สัมผัสมานานเสียเหลือเกินแล้ว หากเป็นเช่นนี้ยิ่งยอมให้ผู้ใดมาพรากไปมิได้
"ยิ้มกระไรขนานนั้น"อยู่ ๆ เสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นพร้อมใบหน้าของอดีตสหายรัก
"นั้นเรื่องของข้า" น้ำเสียงที่เปร็งออกมานั้นติดไปทางเหวี่ยงนิดหน่อยแลไม่อยากจะสนใจคนตรงหน้า
"ประเดี๋ยว" เทพพฤกษากำลังเดินออกไปแต่ก็กลายเป็นว่าธาตรีรั่งมือไว้เสียก่อน เทพพฤกษาสะบัดมือที่รั่งตนออกแต่ก็ยอมหยุดให้อีกฝ่าย
"ยังจะมีกระไรกับข้าอีก"
"เจ้าพึงใจหญิงพิณใช่หรือไม่" คนผู้นั้นถามเขาอีกครั้งในตอนแรกที่ยังมิตอบเพราะยังมิแน่ใจว่าเขาพึงใจในเทพแห่งแสงอย่างหญิงพิณจริงหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว
"หากใช่แล้วอย่างไร" ตอบออกไปตามตรงในสิ่งที่คิด
"แต่ข้า.."
"เจ้าจักกล่าวกับข้าว่าเจ้าเองก็พึงใจ เจ้ากล่าวกับข้าไปแล้วมิใช่รึ และข้าก็บอกกับเจ้าไปเสียชัดว่าต่อแต่นี้ ข้ากับเจ้ามิใช่สหายกันอีกแล้ว" ใบหน้าที่ดูนิ่งในเมื่อครู่แปลเปลี่ยนเป็นความโกรธเต็มประดา ใบหน้าขาวแดงจัดในตาหวานราวกับมีเปลวไฟโมหะรุกโชนคิ้วเรียวขมวดลงเป็นปมเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจอย่างมาก แม้เสียงจะยังคงหวานจับใจแต่ร่างเทพพฤกษาเพลาโกรธมิใคร่จะได้เจออีก
"ได้เช่นนั้นก็ย่อมได้ เรื่องครานี้ใครดีใครได้"
"มิใช่ เรื่องครานี้ใครเร็วใครได้ต่างหาก" ว่าแล้วพฤกษาก็เดินขึ้นหอสักทองไปโดยที่มิได้กล่าวอันใดต่อ พอเข้ามาในหอก็เห็นกับข้าววางเต็มโต๊ะแต่กลับไม่มีผู้ใดอยู่สงสัยเกลจะทำไว้ให้ก่อนออกไปข้างนอกกระมัง
"มีผู้ที่ดีอยู่ข้างกายเช่นนี้ข้าไม่ต้องมีเจ้าก็ได้ ดินแดน" ว่าแล้วเขาก็กินข้าวเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย เขารู้สึกว่าอาหารรสเริสกว่าทุกครั้งแถมยังรสไม่คุ้นปากเอาเสียเลย แต่ก็ไม่ได้คิดอันใด เขาลิ้มรสอาหารทุกจานเรื่อยๆจนหมดเขารู้ดีกินเช่นไรก็ไม่อ้วนก็เลยกินจนไม่เหลืออะไรเลย
.
หลังจากค่ำมืดพฤกษาก็ลงไปอาบน้ำที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใต้ต้นจามจุรี ลงไปแช่เพื่อลดอาการเหนื่อยล่า หากแต่ว่าตรงนั้นมิได้มีแสงสว่างเท่าใดมีเพียงตะเกียงที่เทพพฤกษาถือมาด้วยเท่านั้นที่ให้แสงสว่างจู่ๆก็มีมือปริศนามาโอบเอวเขาไว้
"ผู้ใด"
"ข้าอาบด้วยได้หรือไม่" เสียงนั้นมิใช่เสียงของแม่หญิงแต่อย่างใดแต่กลับเป็นเสียงทุ้มนุ่มแต่มิคุ้นหูเสียเลยและมิใช่เสียของดินแดนแน่นอน กลิ่มหอมอ่อนๆของฝนตกใหม่ลอยเข้ามาเตะจมูกพฤกษาเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยแม้จะนึกอย่างไรก็นึกมิออกก็ตาม
"เจ้าเป็นผู้ใด" เทพพฤกษาสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนสัมผัสเขาเริ่มกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น
"เจ้ามิต้องรู้ดอก..อือกลิ่นหอมหนัก" สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนวนเวียนอยู่บนแผ่นหลังของเขา ความอดทนของเขาก็ขาดลงเมื่อใดที่อารมณ์เข้าครอบงำเขาก็ลืมมารยาทที่สั่งสมมาเสียหมดสิ้น
"ไปตายซะ" เทพพฤกษาปล่อยเถาวัลย์มารัดคนผู้นั้นไว้ แล้วมืออีกข้างยังใช่เถาวัลย์ที่แข็งที่สุดฟาดลงไปจนท่าจะเจ็บมากพอดู เมื่อเห็นท่าไม่ดีเช่นนั้นซ้ำยังไม่อยากทำการรุ่นแรงกับคนตรงหน้าบุคคลปริศนาก็หายวับไปราวกับมิเคยมีผูู้ใด
"บังอาจมากระทำการเช่นนี้ถึงถิ่นข้าหากข้ารู้เจ้าไม่ตายดีแน่ ไม่องไม่อาบต่อแล้วหึยหน้าโมโหนัก" เทพพฤกษาสวมเสื้อผ้าก่อนจะขึ้นหอสักทองพอขึ้นมาถึงก็พบว่าบ่าวคนสนิทนอนสลบอยู่หน้าบันไดขึ้นหอสักทอง
"บังอาจทำร้ายบ่าวในหอข้า หากข้ารู้ข้าไม่เอาไว้แน่" แม้จะโมโหเพียงใดก็คงไปป่าวประกาศมิได้หากมีคนนอกพื้นที่รู้เข้าอับอายขายขี้หน้ากันพอดี เทพพฤกษาถูกบุรุษจักกระทำการมิดีมิร้ายหากคนอื่นได้ยินเข้า ก็ไม่รู้จักเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วมันน่าโมโหนัก
"บ่าวมิเป็นกระไรเจ้าค่ะคนผู้นั้นทำกระไรคุณพฤกษหรือไม่เจ้าคะ"
"ข้ามิอยากพูดถึง เจ้าไปพักเถอะ"
"เจ้าค่ะ" ว่าแล้วเธอก็กลับไปพักที่พักของเธอส่วนเทพพฤกษานั้นก็เข้าห้องของตนไปเขาไม่แน่ใจว่าเหตุใดจึงมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้ สัมผัสนั้นน้ำเสียงนั้นมิใช่สตรีอย่างแน่นอน นั้นยิ่งทำให้เขากังวลอยู่ภายในใจ และเหมือนความกังวลนั้นจะทำให้เขาหวาดกลัว "ชายผู้นั้นใคร่จักครอบครองข้าเป็นแน่ จักทำเช่นไรดี ข้าต้องร้ายใช่หรือไม่ แล้วจักทำเช่นไร" ยังคงถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาเขาไม่อยากร้ายกับคนในปกครองเขาไม่อยากเป็นคนร้ายแต่หากเขาไม่ร้ายจักเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกหรือไม่ก็มิรู้ได้ แล้วเขาต้องทำอย่างไรละถึงจะผ่านไปได้ ตอนนี้คงต้องหลับให้ได้ก่อนกระมัง
.
ทางด้านธาตรี
"บ้าที่สุด เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้" เด็กหนุ่มที่หัวเสียพยายามคุมสติตัวเองไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้ เขาไม่เข้าใจว่าจากสหายจะเปลี่ยนเป็นศัตรูเพียงเพราะแม่หญิงเพียงผู้เดียวเช่นนั้นหรือ ไร้เหตุผลเสียกระไรดี
"คุณหนู"
"เราก็อุตส่าห์ทำกับข้าวไว้ให้แต่สิ่งที่ได้" ดินแดนหันไปมองสาวใช้พร้อมใช้โทนเสียงที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ใส่หน้าเธอ
"คุณหนู...แต่คุณหนูก็พึงใจเทพแห่งแสงจริงมิใช่หรือเจ้าคะ มันเจ็บมากหนาเจ้าคะที่ต้องแย่งผู้หญิงกับสหาย" เรื่องที่สาวใช่คนนี้พูดร่วนแต่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้นไม่มีใครรับได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ตัวดินแดนเองก็ไม่อยากเสียพฤกษ์ไป เขายังคงอยากเป็นสหายกับพฤกษ์ต่อแต่เหมือนฝ่ายนั้นหาได้คิดจะเป็นสหายกับเขาแล้ว เขาคงทำให้สหายตนผู้นั้นเจ็บมากสินะถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้
"ข้าทราบดี..แต่" ใช่เรื่องนี้เขาทราบดีเพียงแต่เขาไม่ได้ต้องการเช่นนี้
"คุณหนูเป็นสหายเทพพฤกษา คุณหนูรู้ดีกว่าผู้ใดมิใช่หรือเจ้าคะ ว่าสหายของคุณหนูเจอกะไรมา คุณหนูจะโกรธลงหรือเจ้าคะ" ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย ต่อให้อีกฝ่ายจะทำกระไรมากกว่านี้ก็โกรธมิลงดอกผู้ที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นคือเขาเองจะโทษเทพพฤกษาได้อย่างไร
"ข้ามิได้โกรธรเพียงแต่น้อยใจเท่านั้น ข้า..ข้ายังอยากเป็นสหายเขาอยู่" เป็นอีกฝ่ายมากกว่ากระมังที่โกรธเขา
"แต่ว่า.."
"ข้ารู้เราบาดหมางกันแล้ว คงเป็นเช่นที่ข้าต้องการมิได้แล้ว ข้าถึงได้เป็นเช่นนี้" สาวใช้มองอีกฝ่ายด้วยความสงสารคุณหนูของเธอคงรักสหายผู้นี้มากแน่ แต่จักให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อทั้งสองต่างพึงใจคนเดียวกันหากต่อให้เป็นสหายกันต่อก็ใช่ว่าจะเหมือนเมื่อก่อน เขาสุดปัญญาที่จะช่วยเสียแล้ว
"คุณหนู..บ่าวมิรู้จักช่วยเช่นไรดี"
"เรื่องนี้หาได้มีผู้ใดช่วยข้าได้" กล่าวจบก็เดินเข้าห้องบรรทมไป แม้ว่าในใจเขาจะยังกังวลเรื่องที่ไม่เป็นอย่างใจเขาแต่ก็ทำกระไรไม่ได้แล้ว โดนเกลียดไปแล้ว "เหมือนจะโดนเกลียดเสียแล้วกระมัง"
.
.
.
.