‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...
ระทึกขวัญ,ชาย-ชาย,ไทย,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
รัตติกาลผันแปร‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...
คุณ คณาธิป เตสิทธิ์โสภณ
เกิดวัน ศุกร์ ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒xxx
อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๖
พร้อม ลภัสกร จิรเมธานนท์
เกิดวัน เสาร์ ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒xxx
อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๐
รัตติกาลผ่านพ้น ไปนาน นักแล
เวรคู่กรรมเดือดดาล คั่งแค้น
สองเราฝ่าฟันผ่าน คืนค่ำ ช้ำแฮ
สู้คู่จองเวรแม้น มอดม้วยมรณา
‘ลภัสกร’ ฝันถึงชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมทุกครั้ง เขาจึงตัดสินใจตามหาและไปเตือนด้วยความหวังดี ทว่านอกจากจะไม่เชื่อในคำพูด อีกคนยังทำตัวกวนประสาทใส่ไม่หยุด
“มึงบอกว่ากูจะตายใช่ไหม”
“จะกวนตีนอะไรกูอีก”
“เปล่า แค่จะบอกว่าถ้ากูตายขึ้นมาจริง ๆ กูจะไปหามึงเป็นคนแรกเลย”
หลังจากนั้นสองอาทิตย์ ‘คณาธิป’ ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...
เขียน | ZANIA
นักวาด | Inine.pyc
ไทโป | Tokung
คำเตือน
๑.นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสยองขวัญและเป็นเพียงเรื่องที่ถูกสมมติขึ้น ตัวละครในเรื่องไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง ในเรื่องมีการอ้างอิงช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาเขียน เป็นเพียงแค่การอ้างอิงเวลาเท่านั้น เหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติ ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาใดเลย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เหมาะกับผู้ที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป
๒.มีการใช้บทสวดมนต์และคาถาที่มีอยู่จริง ซึ่งทางนักเขียนได้ทำการหาข้อมูลมาจากอินเตอร์เน็ต มิได้คิดขึ้นเองแต่อย่างใด เป็นบทสวดที่พบเห็นได้ทั่วไป มีการบรรยายถึงสิ่งลี้ลับที่อาจทำให้ตกใจได้ มีเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่เพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางนักเขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้
๓.มีการเล่าถึงการฆ่าตัวตาย การประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ เลือด ฉากสะเทือนอารมณ์
๔.สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.๒๕๕๘
ช่องทางการติดต่อนักเขียน
PAGE FB : Zania/ซาร์เนียร์ - นักเขียน
X : https://twitter.com/zxxzanxa
Tiktok : @zxxzanxa
เล่นแท็ก #รัตติกาลผันแปร
กรุณาคอมเมนต์ด้วยความสุภาพ
ขอบคุณค่ะ
บทที่ ๑
การพบกันอีกครั้ง
ความมืดมิดรอบกายบวกกับบรรยากาศน่าขนลุกพาให้เจ้าของความฝันหวาดระแวงไม่น้อย คราวที่ไหล่หนาถูกจับแล้วหันไป ใบหน้าคุ้นเคยที่อาบไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ร่างหนาที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงหลังกว้างก็สะดุ้งเฮือกก่อนจะเบิกตาโพลงขึ้นมา หัวใจเต้นเป็นระส่ำด้วยความตกใจ เหงื่อกาฬผุดซึมตามกรอบหน้า ลมหายใจเข้าออกถี่กระชั้น ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายเพื่อให้อาการดีขึ้น
ครู่หนึ่งดวงตาคู่คมก็เคลื่อนไปมองนาฬิกาดิจิทัลที่ตั้งวางอยู่บนหัวเตียง
๐๕.๕๕ น.
เจ็ดวันแล้วที่เขาสะดุ้งตื่นออกจากความฝันในเวลาเดิม
“มึงอีกแล้วเหรอไอ้คุณ!”
เสียงทุ้มน่าฟังสบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนเจ้าตัวจะตวัดผ้าห่มออกจากร่างแล้วเดินตึงตังเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย
ตั้งแต่ที่ได้ทักเรื่องถูกวิญญาณตามอาฆาตไปเมื่อเกือบสองปีก่อน เขากับคณาธิปก็กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด เจอหน้ากันทีไร อีกฝ่ายก็มักจะทำท่าทางเหมือนผีหลอกใส่ทุกครั้งไป
เป็นเช่นนั้นอยู่เรื่อยจนเกือบจะวางมวยกันมาแล้วหลายต่อหลายรอบ โชคดีที่พอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วไม่ได้เจอหน้าค่าตากันเลย เขาจึงอยู่ได้อย่างสงบมาเป็นปี ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะกลับมาฝันถึงให้รำคาญใจแบบนี้อีก
อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ลภัสกรก็นั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคอยู่ในห้องเงียบ ๆ พอใกล้ถึงเวลาที่ต้องเข้าเรียนก็ขับรถออกจากบ้านตรงไปที่มหาวิทยาลัย แต่ด้วยความที่มาเร็วกว่าปกติ เพื่อนในกลุ่มจึงยังไม่มีใครมาสักคน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะนั่งรออยู่ที่ลานหน้าคณะคนเดียว กระทั่งเพื่อนมาครบทุกคนถึงได้พากันขึ้นไปบนห้องเรียน
ตลอดการเรียนการสอนทั้งช่วงเช้า ลภัสกรไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับเนื้อหาเลยแม้แต่น้อย ในหัวเอาแต่คิดถึงเรื่องของคนในฝันไม่หยุด แม้จะไม่อยากยุ่งกับอีกฝ่ายเท่าไรแต่มันก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาต้องไปเตือนคนที่กำลังจะประสบเคราะห์กรรมอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตเลยก็ได้
จะเตือนครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ฟังก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำมา
หลังเรียนเสร็จในช่วงเช้า ลภัสกรก็เดินแยกตัวไปคนละทิศละทางกับเพื่อน หาที่เงียบ ๆ อยู่คนเดียวก่อนที่มือทั้งสองจะยกขึ้นมาประนมไว้กลางอก เปลือกตาขาวนวลปิดลงแล้วบริกรรมคาถาเพื่อเรียกเหล่าวิญญาณที่พอจะใช้งานได้ให้มารวมตัวกันที่นี่ พอจบบทแล้วลืมตาขึ้นมาเขาก็ถึงกับสะดุ้ง เมื่อผีตนหนึ่งโผล่มาอยู่ตรงหน้าด้วยสภาพที่เละเทะไม่น่าดู
แม่งเอ๊ย...ใจหายใจคว่ำหมด
“เรียกพวกฉันมาทำไมล่ะพ่อหนุ่ม”
“ผมมีเรื่องให้พวกคุณช่วย”
ลภัสกรกวาดสายตามองเหล่าวิญญาณทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้า บ้างก็ปีนป่ายอยู่บนต้นไม้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“ตามหาคนชื่อ คณาธิป เตสิทธิ์โสภณ ให้ผมหน่อย เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้เนี่ยแหละ”
“ช่วยเอ็งแล้วพวกข้าจะได้อะไรล่ะไอ้หนุ่ม”
“ใครหาเจอเป็นคนแรก ผมจะทำตามคำขอหนึ่งข้อ”
ได้ยินแบบนั้นเหล่าวิญญาณที่ยังมีความต้องการก็เริ่มเกิดความสนอกสนใจขึ้นไม่น้อย กับคนอื่นไม่รู้ แต่กับคนตรงหน้าต้องทำตามที่ได้ลั่นวาจาไว้เป็นแน่
“ภายในวันนี้นะครับ”
รออยู่จนเกือบเย็น วิญญาณตนหนึ่งก็โผล่มาตรงหน้าพร้อมข้อมูลที่ต้องการ ดังนั้นลภัสกรจึงถามความต้องการของอีกฝ่ายเพื่อแลกกับข้อมูลที่ได้มา โดยมีข้อแม้ไว้ว่าจะต้องไม่เป็นการทำบาปทำกรรมหรือการทำผิดกฎต่าง ๆ ของโลกมนุษย์และวิญญาณ พออีกฝ่ายขอแค่ให้ทำบุญไปให้ก็รับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทำบุญไปให้ภายในวันพรุ่งนี้
เมื่อมาเยือนยังคณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งเป็นคณะที่คณาธิปเรียนอยู่ ลภัสกรก็มายืนดักรอหน้าอาคารเรียนที่วิญญาณตนนั้นบอกก่อนหน้านี้
ไม่นานนักคนที่กำลังรออยู่ก็โผล่มาในครรลองสายตา ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นเขาเข้าก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มยียวนกวนเบื้องล่างแล้วเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า
“กุ๊กกุ๊กกู๋...มาหาผีที่ไหนเหรอครับน้องพร้อม”
“มึงเลิกกวนตีนกูสักทีได้ไหมไอ้คุณ”
ลภัสกรยืดตัวขึ้นมายืนตรงพลางมองคนตรงหน้าอย่างขุ่นเคืองใจ
ไม่เจอกันเป็นปี ผีรอบตัวเยอะขึ้นเป็นกองเชียวนะ แล้วก็มีแต่พวกวิญญาณที่แรงอาฆาตสูงทั้งนั้นเลยด้วย ยังอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าดวงแข็งไม่น้อย แต่ว่าต่อจากนี้มันจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะนะ
“กูจะเตือนเป็นครั้งสุดท้ายนะคุณ...”
“กูไม่อยากฟัง”
“ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง เพราะตอนนี้ผีที่ตามมึงมันยาวเป็นขบวนรถไฟ”
ว่าแล้วก็ตวัดสายตาดุ ๆ ไปมองเหล่าวิญญาณที่จ้องจะเข้ามาเกาะติดคนที่กำลังดวงตกเพื่อห้ามปราม มีเขาอยู่ด้วยพวกนั้นมันไม่กล้าเข้ามาใกล้หรอก เข้ามาก็มีแต่จะเจ็บตัวกันเปล่า ๆ
“มึง...”
“พอเถอะพร้อม กูไม่เชื่อ”
“มึงจะฟังคนเขาเตือนบ้างไม่ได้เลยหรือไงฮะ”
“ตั้งแต่ที่มึงเตือนกูเมื่อสองปีก่อน กูก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ กูยังใช้ชีวิตของกูได้ปกติดีจนถึงทุกวันนี้ ไม่เห็นผีห่าซาตานตัวไหนโผล่มาหลอกมาหลอนสักตัว”
“แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน เขาเอามึงถึงตายแน่”
“กูไม่กลัว”
“ดื้อด้านฉิบหาย”
ออกปากบ่นพลางตวัดกระเป๋าที่สะพายอยู่กับไหล่มาไว้ด้านหน้า เปิดเอาตะกรุดโสฬสมงคล ที่เด่นทั้งเรื่องคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย และเมตตามหานิยมออกมาจากช่องเล็กสุด จับมือหนาขึ้นมาแล้ววางตะกรุดลงไปกลางฝ่ามือ ไม่นานก็ปล่อยออกแล้วกำชับกับอีกฝ่ายเสียงเข้ม
“เอาไปใส่ ห้ามถอดเด็ดขาดเลยนะมึง”
“มึงเลิกหลอนสักทีได้ไหมพร้อม”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกวันศุกร์และวันที่สิบสามห้ามออกจากบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดินเป็นอันขาด ส่วนวันอื่นถ้าเป็นไปได้ก็อย่าออกไปค่ำ ๆ มืด ๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องออกก็อย่าอยู่ข้างนอกนาน ให้รีบไปรีบกลับ”
ลภัสกรยังคงพูดต่อไปไม่สนว่าคณาธิปจะคิดยังไง เขามีหน้าที่เตือนก็ต้องเตือน หากเตือนแล้วไม่ฟังก็เรื่องของใครของมันแล้ว
“ถือศีลห้า สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน หลังสอบเสร็จก็ไปบวชซะ”
“ถ้ากูไม่ทำล่ะ”
“อยากตายนักก็เรื่องของมึง”
ลภัสกรถลึงตาใส่คนพูดยากพูดเย็นแล้วเดินจากมา ซึ่งพอเขาห่างออกมาหน่อย เหล่าวิญญาณร้ายที่รอท่าอยู่ก็พุ่งเข้าไปเกาะติดร่างสูงทางด้านหลังทันที แต่ว่าไม่ทันไรก็ต้องกระเด็นกระดอนออกมาคนละทิศละทางเพราะในมือหนายังถือตะกรุดที่พระเกจิชื่อดังเป็นคนปลุกเสกขึ้นมาอยู่
หวังว่าตะกรุดจะช่วยได้จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมบวชนะ...
“ไอ้พร้อม!”
คนถูกเรียกชะงักเท้าแล้วผินหน้ากลับไปมองตามเสียง
“มึงบอกว่ากูจะตายใช่ไหม”
“จะกวนตีนอะไรกูอีก”
“เปล่า แค่จะบอกว่าถ้ากูตายขึ้นมาจริง ๆ กูจะไปหามึงเป็นคนแรกเลย”
“ใส่ตะกรุดเดี๋ยวนี้เลยมึง!”
คนหวังดีตวาดใส่อย่างเหลืออดแล้วเดินไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล แผ่นหลังกว้างที่มีรอยสักอยู่มากมายร้อนวูบวาบขึ้นมาเพราะมีพวกวิญญาณบางตนที่คิดลองดีกระโจนเข้าใส่ ทว่าก็โดนอานุภาพของยันต์เล่นงานกันไปเป็นแถบ จนเสียงร้องแสนโหยหวนเพราะความปวดแสบปวดร้อนดังไปทั่วอาณาบริเวณ
แต่หากคนทั่วไปรวมทั้งไอ้คนที่ยืนหัวเราะร่าอยู่ด้านหลังคงไม่มีวันได้ยิน
เมื่อแผ่นหลังกว้างของลภัสกรห่างออกไป คณาธิปที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็หุบยิ้มลงแล้วหลุบตามองตะกรุดในมือ ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปรอบ ๆ ตัวเพราะรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกสายตาของใครบางคนจ้องมองอยู่ ทว่าพอกวาดสายตามองจนทั่วแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นออกมาก่อนที่ขายาวจะก้าวเดินไปยังลานจอดรถ ซึ่งตลอดการก้าวเดินก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่เดิมที่จ้องมองกันอยู่ตลอด
กลับมาถึงคอนโดที่พักอาศัย คณาธิปก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมานั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ ระหว่างที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้นก็รู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนทั้งที่ในห้องนี้มีตัวเขาแค่คนเดียว
ตาคมเหลือบไปมองตะกรุดที่ลภัสกรให้มาเมื่อเย็นอย่างชั่งใจ เขาวางทิ้งไว้บนโต๊ะตั้งแต่กลับมาถึงห้องและไม่คิดที่จะหยิบขึ้นมาดู แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาสวมใส่ไว้ที่ลำคอ ซึ่งทันทีที่ใส่ สายตาที่รู้สึกถึงได้ตลอดก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นั่งอ่านหนังสืออยู่จนดึกดื่น คณาธิปก็วางทุกอย่างแล้วเข้านอนโดยที่ไม่ได้สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ลภัสกรบอกให้ทำ พอหลับไป เงาตะคุ่ม ๆ ที่มักจะปกคลุมอยู่รอบกายยามที่ไม่ได้ใส่ตะกรุดก็ลอยละล่องอยู่รอบห้อง เข้าใกล้มากไม่ได้เพราะอำนาจพุทธคุณของตะกรุดแผ่ขยายอาณาเขตปกป้องคนหลับอยู่
ใกล้เช้าของวันใหม่ ความฝันที่เกิดขึ้นกับคณาธิปบ่อย ๆ ในช่วงนี้ก็เริ่มต้นขึ้น ความฝันที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย แม้ว่าสถานที่และบรรยากาศโดยรอบจะไม่ใช่ยุคปัจจุบันก็ตามที
“พ่อภพ”
เมื่อถูกเรียกในชื่อนี้ทุกครั้งยามที่ฝัน เจ้าของความฝันก็หันไปมองตามเสียง แต่นอกจากร่างกายกำยำตามประสานักรบผู้กล้าแกร่งที่อยู่ภายใต้ชุดไทยสมัยโบราณ เขากลับมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
ทว่าความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจนั้นบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาคงจะสนิทสนมกับคนตรงหน้าไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่ทันไร ภาพที่เห็นก็ถูกตัดสลับไปเป็นสนามรบที่มีผู้คนมากมายร่วมต่อสู้กันอยู่ เสียงดาบเสียงโห่ร้องดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ พื้นดินนองด้วยเลือดสีแดงฉาน กลิ่นคาวก็ตลบอบอวลจนแทบจะอาเจียน ไหนจะศพคนตายที่บ้างก็ถูกแทง บ้างก็ถูกบั่นคอ บ้างก็ถูกตัดแขนขาจนขาดวิ่น มองดูแล้วน่าสะอิดสะเอียน ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอแต่ซากศพคนตาย จนทำให้เจ้าของความฝันเริ่มสั่นกลัว
ขณะที่กำลังเวียนศีรษะเต็มที ภาพก็ตัดสลับมายังบ้านเรือนไทยโบราณที่ให้ความอบอุ่นทว่าก็วังเวงไม่น้อย ขายาวก้าวเดินไปทั่วบริเวณเพื่อสำรวจตัวบ้านที่เงียบเชียบไร้วี่แววของผู้อยู่อาศัย ทุกการก้าวเดินเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากการเสียดสีของไม้กระดาน จนร่างสูงรู้สึกระแวงด้านหลังยังไงแปลก ๆ
“คุณหลวง อย่าไปทางนั้นนะขอรับ!”
เสียงร้องเตือนที่ดังมาจากทิศทางไหนก็ไม่อาจทราบ ทำให้คณาธิปที่กำลังก้าวขาเดินชะงักงัน หันมองซ้ายมองขวาเพื่อหาต้นทางของเสียงจ้าละหวั่น หัวใจที่อยู่ภายในอกเต้นอึกทึกครึกโครมด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬผุดซึมทั่วทั้งกรอบหน้า ผิดกับบรรยากาศรอบตัว
“คุณหลวง!”
สิ้นเสียงเรียก ภาพความฝันก็ตัดสลับกันด้วยความเร็วชนิดที่จับตามองไม่ทัน ไม่นานนักภาพทั้งหมดก็ดับลงก่อนที่ความรู้สึกเย็นยะเยือกจะคืบคลานเข้ามาปกคลุมร่างกาย
“กรี๊ด!!!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิดผนวกกับกลิ่นเหม็นเน่าที่โชยมาตามลมทำให้หวั่นวิตกไม่น้อย พอเริ่มมีอะไรบางอย่างมาโดนเนื้อตัว ร่างสูงที่อยู่ในความฝันจึงรีบก้าวขาวิ่งหนีตามสัญชาตญาณ แม้หนทางจะมืดมิดเพียงใดก็ยังก้าวขาวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด จนกระทั่งเจอกับหิ่งห้อยที่เป็นแสงเล็ก ๆ เพียงหนึ่งเดียวซึ่งนำทางให้
“ไอ้คุณ!”
ร่างหนาที่นอนอยู่บนเตียงหลังกว้างสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู ตาคมติดสั่นเครือมองไปรอบห้องที่มืดมิดก่อนจะลนลานไปเปิดไฟที่หัวเตียงให้สว่าง มือไม้สั่นเทาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาพลางหอบหายใจถี่กระชั้น
๐๖.๑๓ น.
เป็นเวลาที่เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้งที่ฝันถึงเรื่องราวแปลก ๆ
เมื่อเริ่มตั้งสติได้ คณาธิปก็ลุกไปเปิดผ้าม่านออกเพื่อให้แสงอาทิตย์สอดส่องเข้ามาในห้อง ยืนสงบจิตสงบใจอยู่สักพักก็หมุนตัวกลับหลังไปทางห้องแต่งตัวแล้วหยุดมองตัวเองหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พอเห็นว่าหน้าตาตัวเองดูหม่นหมองกว่าปกติก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด มือหนาจับเข้าที่ชายเสื้อแล้วถอดออกให้พ้นตัว มองตะกรุดที่สวมอยู่บนคอครู่หนึ่งก็ถอดแขวนไว้รวมกับเรื่องประดับของตัวเอง เพราะคิดว่าใส่เข้าไปอาบน้ำด้วยคงไม่ดีเท่าไร
มือหนาเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูซึ่งตากอยู่บนราวขึ้นมาพาดไว้ที่ไหล่ เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วหยุดลงหน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า เปิดก๊อกน้ำแล้วเอามือไปรองใต้ก๊อก พอน้ำที่ไหลออกมาเปลี่ยนเป็นสีคล้ายเลือดก็ปล่อยน้ำในมือทิ้งอย่างตกอกตกใจ ขายาวถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าวก่อนจะชะโงกคอมองอ่างล้างหน้าด้วยอาการหัวใจเต้นรัว พอเห็นว่าน้ำกลับมาเป็นสีใสดังเดิมก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด
“ตาฝาดเหรอวะ”
พึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบล้างหน้าแปรงฟันแล้วเข้าไปอาบน้ำด้วยความหวาดระแวง ไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาลง กลัวว่าลืมตาขึ้นมาแล้วจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า
พออาบน้ำเสร็จ ร่างสูงก็ออกมาแต่งตัวด้วยความไวแสง ความรู้สึกเสียววูบวาบด้านหลังทำให้ต้องยื่นมือไปหยิบตะกรุดที่ถอดออกก่อนหน้ามาสวมใส่ไว้ที่คอดังเดิม ออกมาจากห้องแต่งตัวได้ก็รีบเก็บอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋าแล้วออกจากคอนโดไปมหาวิทยาลัยทันที
เมื่อมาถึงที่หมาย คณาธิปก็จอดรถไว้ที่ข้างตึกคณะที่ค่อนข้างร่มรื่น ลงจากรถได้ก็เดินมายังหน้าอาคารเรียนอย่างเฉกเช่นทุกวัน ทว่าขณะที่กำลังจะเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ กิ่งไม้ขนาดกลางก็หักโค่นลงมาตรงหน้าจนขายาวที่กำลังจะก้าวเดินชะงักอยู่กับที่ ตาคมหลุบมองกิ่งไม้ที่ไม่น่าจะฉีกหักลงมาได้อย่างฉงน ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นมองด้านบนด้วยหัวใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
“หักลงมาได้ยังไงวะ”
ลมหายใจเฮือกหนึ่งถูกพ่นออกมาก่อนขายาวจะก้าวข้ามกิ่งไม้นั้นไป พอเดินมาจนถึงหน้าอาคารแล้วก็เห็นว่าเพื่อนสนิทอย่างปีแสงนั่งรออยู่ มือหนาก็ยกขึ้นโบกหย็อย ๆ เพื่อทักทายพร้อมทั้งเดินเข้าไปหา
“รอนานยัง”
“ห้านาที”
ปีแสงตอบคำถามของคณาธิปแล้วหยิบข้าวของบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะลุกจากม้านั่ง ระหว่างที่เดินขึ้นห้องเรียนก็พูดคุยกันไปพลาง
“เมื่อกี้มึงเดินมากับใครวะคุณ”
“กูมาคนเดียว”
“ก็กูเห็นอยู่ไกล ๆ ว่ามีคนเดินตามหลังมึงมาด้วย”
“ไอ้ปี กูมาคนเดียว”
สองเพื่อนสนิทหยุดเดินอยู่กับที่แล้วหันจ้องหน้ากันไม่วางตา ขนทั่วร่างลุกเกรียว เหงื่อก็เริ่มผุดซึมตามกรอบหน้าคนละเม็ดสองเม็ด
“วิ่งไหม”
“วิ่งสิไอ้สัตว์ รอพ่อมึงตัดริบบิ้นเหรอ!”
#รัตติกาลผันแปร
สับตรีนแตกเลยลูกพี่ แบบนี้อยู่ไม่ได้แล้วววว
ปล.แล้วฉันจะกล้าอาบน้ำไหมเนี่ยยย
- ZANIA -