‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...

รัตติกาลผันแปร - บทที่ ๒ วิบากกรรมทำงาน โดย ZANIA @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,ชาย-ชาย,ไทย,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รัตติกาลผันแปร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,ชาย-ชาย,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

รัตติกาลผันแปร โดย ZANIA @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...

ผู้แต่ง

ZANIA

เรื่องย่อ

 

 

 

 

 

 

คุณ คณาธิป เตสิทธิ์โสภณ

เกิดวัน ศุกร์ ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒xxx

อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๖

 

 

พร้อม ลภัสกร จิรเมธานนท์

เกิดวัน เสาร์ ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒xxx

อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๐

 

 

รัตติกาลผ่านพ้น      ไปนาน นักแล

เวรคู่กรรมเดือดดาล  คั่งแค้น

สองเราฝ่าฟันผ่าน     คืนค่ำ ช้ำแฮ

สู้คู่จองเวรแม้น         มอดม้วยมรณา

 

 

 

‘ลภัสกร’ ฝันถึงชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมทุกครั้ง เขาจึงตัดสินใจตามหาและไปเตือนด้วยความหวังดี ทว่านอกจากจะไม่เชื่อในคำพูด อีกคนยังทำตัวกวนประสาทใส่ไม่หยุด

“มึงบอกว่ากูจะตายใช่ไหม”

“จะกวนตีนอะไรกูอีก”

“เปล่า แค่จะบอกว่าถ้ากูตายขึ้นมาจริง ๆ กูจะไปหามึงเป็นคนแรกเลย”

หลังจากนั้นสองอาทิตย์ ‘คณาธิป’ ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...

 

 

 

เขียน | ZANIA

นักวาด | Inine.pyc

ไทโป | Tokung

 

 

 

คำเตือน

๑.นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสยองขวัญและเป็นเพียงเรื่องที่ถูกสมมติขึ้น ตัวละครในเรื่องไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง ในเรื่องมีการอ้างอิงช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาเขียน เป็นเพียงแค่การอ้างอิงเวลาเท่านั้น เหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติ ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาใดเลย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เหมาะกับผู้ที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป

๒.มีการใช้บทสวดมนต์และคาถาที่มีอยู่จริง ซึ่งทางนักเขียนได้ทำการหาข้อมูลมาจากอินเตอร์เน็ต มิได้คิดขึ้นเองแต่อย่างใด เป็นบทสวดที่พบเห็นได้ทั่วไป มีการบรรยายถึงสิ่งลี้ลับที่อาจทำให้ตกใจได้ มีเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่เพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางนักเขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

๓.มีการเล่าถึงการฆ่าตัวตาย การประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ เลือด ฉากสะเทือนอารมณ์

๔.สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.๒๕๕๘

 

 

 

ช่องทางการติดต่อนักเขียน

PAGE FB : Zania/ซาร์เนียร์ - นักเขียน

X : https://twitter.com/zxxzanxa

Tiktok : @zxxzanxa

เล่นแท็ก #รัตติกาลผันแปร

 

 

 

 

กรุณาคอมเมนต์ด้วยความสุภาพ

ขอบคุณค่ะ

 

สารบัญ

รัตติกาลผันแปร-00 อารัมภบท,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑ การพบกันอีกครั้ง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒ วิบากกรรมทำงาน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓ วิญญาณตามติด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๔ ลงหม้อ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๕ ช่วยคุณผี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๖ โดนดี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๗ กาญจนบุรี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๘ ลืมคุณ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๙ ง้อคุณ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๐ ไล่ผี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๑ สงกรานต์,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๒ แตกตื่น,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๓ เพลี่ยงพล้ำ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๔ ช่วยพร้อม,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๕ หลอกตา,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๖ ผิดคาด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๗ ลมเพลมพัด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๘ คืนเดือนมืด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๙ โดนของ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๐ นักโทษประหาร,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๑ ผู้มาใหม่,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๒ ภัยมาเยือน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๓ กบฏ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๔ คำสาปแช่ง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๕ ไม่ชอบใจ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๖ ชิงวิญญาณ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๗ การช่วยเหลือ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๘ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๙ แสงสว่างเล็ก ๆ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๐ ยอมรับความจริง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๑ กลิ่นกระดังงา,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๒ ใจเดียวกัน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๓ ใจหาย,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๔ ความจริงอีกหนึ่ง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๕ ออเซาะ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๖ อ้อน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๗ ปลดปล่อย,รัตติกาลผันแปร-00 ปัจฉิมบท

เนื้อหา

บทที่ ๒ วิบากกรรมทำงาน

 

บทที่ ๒

วิบากกรรมทำงาน

 

 

 

 

นับจากวันที่ลภัสกรมาเตือนเรื่องผีสางถึงหน้าคณะก็ผ่านมาแล้วเกือบสองสัปดาห์ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณาธิปก็เอาแต่ฝันถึงเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ก่อนจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงกรีดร้องแสนโหยหวนในเวลาเดิมเฉกเช่นทุกวัน คนรอบตัวก็ชอบทักอะไรแปลก ๆ เช่น มากับใคร พาใครมาด้วย อุบัติเหตุเล็กน้อยก็เกิดขึ้นบ่อยจนเกือบจะเป็นกิจวัตรประจำวัน

ร่างสูงที่เพิ่งสะดุ้งจากความฝันผุดลุกขึ้นมานั่งหอบหายใจถี่อยู่กลางเตียง มือหนาคลำรอบลำคอที่มีตะกรุดอยู่เพื่อหาที่พึ่งพิงทางจิตใจ พออาการหอบเหนื่อยเริ่มดีขึ้นก็ขยับตัวลงจากเตียงเข้าไปในห้องแต่งตัว ถอดตะกรุดแขวนไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ จัดการล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ใต้ฝักบัว

 

กึก!

 

“เป็นอะไรไปอีก”

ใบหน้าได้รูปเงยหน้าขึ้นมองฝักบัวที่คล้ายจะเสียด้วยความหงุดหงิด ลองปิด ๆ เปิด ๆ ดูอีกหลายทีก็มีน้ำไหลออกมาชโลมตัว เมื่อเปียกจนทั่วแล้วมือหนาจึงยื่นไปกดครีมอาบน้ำกลิ่นที่ชอบมาสองปั๊ม ถูกับฝ่ามือพอให้เกิดฟองแล้วลากไล้ไปตามสัดส่วน

ทว่ายามที่ก้มลงมองร่างกายแล้วเห็นว่าเป็นสีแดงเถือกพร้อมมีกลิ่นคาวของเลือดก็ใจเต้นเป็นระส่ำด้วยความกลัว มือที่สั่นไหวยื่นไปเปิดฝักบัวเพื่อจะล้างออก แต่น้ำที่ไหลออกมากลับเป็นเลือดสีแดงฉานจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว ยามก้มลงมองบริเวณที่น้ำเจิ่งนองก็เห็นเป็นเงาสะท้อนผู้หญิงหน้าตาน่ากลัวคนหนึ่ง ไฟในห้องน้ำก็กะพริบติด ๆ ดับ ๆ อย่างน่าหวั่นใจ

ขณะที่กำลังกลัวจนเหงื่อโซมกาย ทุกอย่างที่เห็นก็กลับมาเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กระนั้นคนที่เจอเรื่องแปลกประหลาดตั้งแต่เช้าก็ยังหวาดระแวงไม่น้อย ยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่งก็รีบเข้าไปล้างครีมอาบน้ำออกจากตัวแล้วออกมาแต่งตัวด้านนอก แน่นอนว่าพอทำอะไรเสร็จก็เอาตะกรุดมาสวมใส่ไว้ที่คอดังเดิม

เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อย ร่างสูงก็เดินออกจากห้องแต่งตัวมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง มือหน้าที่สวมแหวนแฟชั่นยื่นไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จไว้ขึ้นมาเช็กข้อความเข้า เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรสำคัญก็ลุกไปหยิบอุปกรณ์เครื่องเขียนที่ใช้สำหรับการเข้าสอบขึ้นมาใส่ไว้ในกระเป๋าขนาดเท่ากระดาษเอสี่ แต่ก่อนจะออกจากห้องก็กวาดสายตามองจนทั่วด้วยความกังวล

“เลิกยุ่งกับกูสักทีไอ้ผีบ้า”

บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนขายาวจะก้าวไปทางประตูห้องนอน ทว่าก้าวได้เพียงแค่ก้าวเดียว เสียงแตกร้าวของอะไรบางอย่างก็ดังขึ้น ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ถอยหลังกลับไปดู

“แตกได้ไงวะ...”

ตาคมมองหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่แตกละเอียดราวกับมีใครเอาก้อนหินไปทุบฉงน ไม่นานนักก็ต้องสะดุ้งเมื่อหน้าจอมันเปิดขึ้นมาเองแล้วขึ้นเป็นภาพลาย ๆ เสียงซ่า ๆ เหมือนไม่มีสัญญาณทั้งที่เขาไม่ได้เสียบปลั๊ก ขนอ่อนทั่วร่างลุกเกรียวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงพาให้ขายาวก้าวเดินออกไปจากห้องนอนแล้วปิดประตูเสียงดังโครมใหญ่

พ้นเงาเจ้าของห้อง แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏขึ้นกลางห้อง ใบหน้าสยดสยองหันไปมาแล้วฉีกยิ้มจนกรามล่างหลุดออกมาแทบขาดจากกัน น้ำเลือดน้ำหนองทั่วร่างซึมออกมาจากรอยฉีกหยดย้อยลงบนพื้นจนเจิ่งนองไปทั่ว

“เห็นทีจักถึงคราของมึงแล้วหนา...”

 

 

วันทั้งวัน คนที่จดจ่ออยู่กับการสอบวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียนก็ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเช้าไปได้ชั่วขณะ พอออกจากห้องสอบมาได้ก็เดินเคียงคู่กับเพื่อนสนิทลงจากอาคารเรียนด้วยท่าทางอิดโรย

“ไหน ๆ ก็สอบเสร็จแล้ว คืนนี้เราไปปาร์ตี้กันหน่อยไหมมึง”

คณาธิปเหลือบมองปีแสงที่เอ่ยชวนขึ้นมาพลางครุ่นคิด เมื่อเห็นว่าตัวเองหมกตัวอ่านหนังสือสอบอยู่ที่คอนโดมากว่าครึ่งเดือนแล้วจึงพยักหน้าตกลง หวังว่าการออกไปปลดปล่อยคราวนี้จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้นคงเป็นประสาทตายแน่

“งั้นคืนนี้สามทุ่มเจอกันที่เดิมนะ”

“เออ ถ้าถึงก่อนก็เปิดโต๊ะรอเลย”

เมื่อตกลงกันได้ คณาธิปก็เดินแยกไปเอารถที่จอดอยู่ลานจอดกลางแจ้งซึ่งไกลออกไปนิดหน่อย เพราะตั้งแต่วันที่กิ่งไม้ตกลงมาต่อหน้าต่อตาจนเกือบจะได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่ไปเฉียดใกล้แถวนั้นอีกเลย ยอมเดินไกลดีกว่าเสี่ยงตายใต้ต้นไม้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

 

 

กลับมาถึงคอนโด ร่างสูงก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงไปทั้งชุดนักศึกษา สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบสองทุ่มเข้าไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะกลัวจะไปตามนัดสาย และด้วยความเร่งรีบนั้น ทำให้เขาลืมตะกรุดที่มักจะใส่ติดตัวมาตลอดตั้งแต่ที่ลภัสกรให้มาไว้ในห้องแต่งตัว

ขับรถมาจนเกือบจะถึงสถานบันเทิงที่นัดกับปีแสงไว้ ไม่ทันไรขนอ่อนทั่วร่างก็ลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตาคมมองตัวเลขไฟจราจรที่กำลังนับถอยหลังเรื่อย ๆ อย่างใจจดใจจ่อ มือข้างหนึ่งละจากพวงมาลัยขึ้นลูบตามลำคอตัวเองด้วยอาการร้อน ๆ หนาว ๆ พอคลำไม่เจอตะกรุดที่ใส่ติดตัวมาสักระยะก็เริ่มใจเสียขึ้นมา ความรู้สึกวูบโหวงที่เกิดขึ้นภายในทรวงอกทำเอาเหงื่อตกทั้งที่รถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ

“ไม่มีอะไรหรอก ไอ้พร้อมแม่งไร้สาระ”

ให้กำลังใจตัวเองแล้วดึงมือกลับมาจับไว้ที่พวงมาลัยดังเดิม ตาคมเหลือบมองกระจกมองหลังเล็กน้อยก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นว่ามีหญิงหน้าตาน่ากลัวนั่งอยู่เบาะหลัง ทว่าคราวที่หันกลับไปดูแล้วไม่เห็นว่ามีใครก็ขมวดคิ้วเข้าหากันมุ่น

“สงสัยแสงไฟกระทบมั้ง มึงอย่าหลอนไปเองสิไอ้คุณ”

เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ร่างสูงก็ปล่อยเท้าจากเบรกไปแตะที่คันเร่งเพื่อเคลื่อนรถไปด้านหน้า แต่ออกไปได้ถึงแค่กลางไฟแดง รถบรรทุกที่โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบพุ่งเข้ามาชนกลางลำอย่างจังจนรถกระเด็นไปไกล ความเจ็บปวดแล่นปราดทั่วสรรพางค์กาย ขยับไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว และก่อนที่สติจะดับวูบไป สุ้มเสียงของตัวเองที่เคยพูดไว้เมื่อสองสัปดาห์ก่อนก็เข้ามาในโสตประสาท

“ถ้ากูตายขึ้นมาจริง ๆ กูจะไปหามึงเป็นคนแรกเลย”

 

 

 

อีกด้าน ลภัสกรที่เพิ่งติวหนังสือกับเพื่อนเสร็จก็ออกมาจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแล้วขับรถกลับบ้าน ขณะที่กำลังจะขับผ่านไฟแดงแยกหนึ่ง หางตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น แต่ด้วยความที่ไม่อยากเห็นอะไรน่าสยดสยอง เขาจึงดึงสายตากลับมามองท้องถนนข้างหน้าแล้วตั้งใจขับรถต่อดังเดิม

เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้านโครงการหรู ความรู้สึกบางอย่างก็ถาโถมเข้าใส่จนคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปม ตาขวาก็กระตุกถี่รัวไม่หยุดจนนึกรำคาญ กระทั่งขับมาจนเกือบถึงบ้านของตัวเองก็เห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนกอดอกรออยู่หน้าประตู พอเพ่งมองดี ๆ แล้วเห็นว่าเป็นคณาธิป คู่ปรับตลอดกาล คิ้วเรียวข้างหนึ่งก็เลิกขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ จอดรถเทียบข้างรั้วบ้านก่อนจะเปิดประตูลงไปหาคนที่ไม่รู้ว่ามายืนรออยู่นานแค่ไหน

“มึงมาทำไม”

“คิดถึงมั้ง”

“ไอ้เวรนี่...”

ออกปากด่าคนกวนประสาทพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมหยิบโทรศัพท์ที่สั่นไหวไม่หยุดออกมาดู พอเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มอย่างชรัณก็กดรับสายแล้วมองเข้าไปในบ้าน เมื่อเหลือบไปเห็นว่าท่านเจ้าที่ยืนส่ายหน้าไปมาอยู่หน้าศาล ลภัสกรจึงเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย

“ว่าไงชรัณ”

(พร้อม ตอนที่ขับรถกลับบ้านมึงเห็นอุบัติเหตุที่สี่แยกแถวผับปะ)

“อือ ทำไม”

(รถคันที่ถูกอัดกลางลำ เป็นรถไอ้คุณ...)

เพียงเท่านั้น ตาคมก็หลุบมองเท้าของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทันควัน ริมฝีปากสีอ่อนเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อเห็นว่าเท้าไม่ติดพื้นอย่างที่ควรจะเป็น

(ตอนนี้มันอยู่โรงพยาบาล ดูแล้วน่าจะรอดยากว่ะ)

มือหนาลดโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วกดตัดสายทิ้ง เปลือกตาขาวนวลปิดลงครู่หนึ่งก่อนจะเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อภาพของคนตรงหน้าเปลี่ยนไปเป็นสภาพที่มีเลือดอาบทั้งตัวก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ หัวใจที่อยู่ภายในอกสั่นไหวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะเรื่องที่เขากลัวมาตลอดมันเกิดขึ้นแล้ว

“มึงกลับไปเข้าร่างเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

ลภัสกรตวาดคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียงดังลั่น มือหนากำเข้าหากันแน่นเมื่อเห็นว่าวิญญาณของอีกฝ่ายกำลังจางลงเรื่อย ๆ วินาทีต่อมาก็ยกมือขึ้นมาประนมกลางอกแล้วแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลของตัวเองไปให้ พอจบคำกล่าวในใจ วิญญาณของคณาธิปก็กลับมาเติมเต็มดังเดิม

“มึงบ้าหรือเปล่าเนี่ย จู่ ๆ จะมาสวดมนต์ทำไม”

“มึงรู้ตัวหรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”

“รู้ตัวอะไรของมึง”

“ครั้งสุดท้ายที่จำได้...มึงอยู่ที่ไหน”

“ติดไฟแดงอยู่แถวร้านเหล้า”

คณาธิปนึกย้อนถึงความทรงจำของตัวเอง พอภาพที่ตัวเองเกิดอุบัติเหตุแวบเข้ามาในหัว ตาคมก็เบิกโพลงก่อนจะส่งเสียงเรียกลภัสกรอย่างแตกตื่น

“มึง...มึง!”

“กลับไปหาร่างของมึงเดี๋ยวนี้เลยคุณ”

“กูไม่มีรถ”

“มึงก็หายตัวไปสิวะ”

“กูหายตัวไม่เป็น!”

คนฟังได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างอ่อนอก มือหนาโบกไล่ให้อีกฝ่ายไปขึ้นรถ ซึ่งคนที่เข้าใจความหมายก็รีบอ้อมไปอีกฝั่ง ทว่าคราวที่ยกมือขึ้นหมายจะจับหูประตูรถแล้วจับไม่ได้ก็ยิ่งลนลานเข้าไปกันใหญ่

“ไอ้พร้อม! กูเปิดประตูไม่ได้ มึงมาเปิดให้กูหน่อย!”

“มึงก็ทะลุเข้าไปสิ จะเปิดทำห่าอะไร”

“กูทะลุไม่เป็น!”

“มึงก็ยัดหัวยัดหางมึงเข้าไปนั่นแหละ แค่นี้มันจะไปยากอะไร”

ลภัสกรได้แต่ส่ายหน้าให้กับวิญญาณฝึกหัดแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เหลือบมองคนที่เอาศีรษะโผล่เข้ามาในรถก่อนที่จะเอาตัวตามเข้ามาทีหลังอย่างเอือมระอา พออีกฝ่ายนั่งได้ที่แล้วจึงกลับรถเพื่อพาอีกคนไปส่งที่โรงพยาบาล

“ที่กูบอกว่าทุกวันศุกร์กับวันที่สิบสามอย่าออกจากบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดิน มึงไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม ตะกรุดที่ให้ไปก็ไม่ได้ใส่เลยล่ะสิท่า”

“กูใส่”

“ใส่แล้วทำไมมึงถึงมาอยู่ในสภาพนี้”

“วันนี้กูรีบก็เลยลืมใส่” คณาธิปยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเองแก้เก้อพลางชำเลืองมองคนที่กำลังขับรถอยู่ข้างกาย “กูไม่ผิดสักหน่อย ไอ้รถบรรทุกนั่นต่างหากที่ผิด จู่ ๆ ก็ฝ่าไฟแดงมาชนกู”

“ไม่สำเหนียกชะตากรรมตัวเองเลยนะมึง คราวหลังเวลาคนเขาเตือนอะไรก็หัดฟังซะบ้าง”

“ไว้กูฟื้นขึ้นมาก่อนมึงค่อยบ่นได้ไหม กูจะนั่งให้สวดทั้งวันเลย”

“ไอ้เวรเอ๊ย...”

 

 

 

ขับรถมาจนถึงโรงพยาบาล ลภัสกรก็พาคณาธิปเข้ามาด้านใน ติดต่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนจะพากันขึ้นมาที่หน้าห้องผ่าตัด ทว่าพอขึ้นมาแล้วเห็นว่าพ่อแม่ของคนข้างกายนั่งกอดกันร้องไห้อยู่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะนั่งยังเก้าอี้ที่ห่างออกมาประมาณหนึ่ง

“พ่อ แม่ ได้ยินคุณไหม... พ่อ! แม่!”

คณาธิปที่เข้าไปหาพ่อกับแม่ของตัวเอง พยายามแสดงตัวและพูดด้วยอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรทั้งสองก็ไม่มีการตอบรับ เขาจึงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างอ่อนแรง ยิ่งเสียงสะอึกสะอื้นของผู้เป็นแม่ดังเท่าไร ก็ยิ่งเจ็บหัวใจมากเท่านั้น

“ทำไมเป็นแบบนี้วะ!”

ผ่านไปเกือบห้านาที ปีแสงที่เป็นคนชวนคณาธิปออกมาเที่ยวยามกลางค่ำกลางคืนจนทำให้เกิดอุบัติเหตุก็โผล่มาให้เห็น คนที่รู้สึกผิดอยู่เต็มอกหยุดอยู่ตรงหน้าพ่อแม่ของเพื่อนรักแล้วคุกเข่าลงกับพื้น สองมือยกขึ้นประนมไว้ที่กลางอก ศีรษะสวยค้อมลงเพื่อไหว้ขอโทษท่านทั้งสองคนด้วยอาการไหล่สั่น

“ผะ ผมขอโทษนะครับ ถ้าผมไม่ชวนคุณออกมาเที่ยว คุณก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้”

“มันไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอกปี อย่าโทษตัวเองเลยนะลูก”

จินตนามองเพื่อนสนิทของลูกชายที่เห็นหน้าค่าตากันมาตั้งแต่มัธยมทั้งน้ำตา มือบางยื่นไปตบไหล่หนาเพื่อบอกให้อีกฝ่ายเลิกโทษตัวเอง

“ลุกขึ้นมาเถอะลูก ตาคุณเขาคงไม่อยากเห็นปีเป็นแบบนี้”

คณาธิปได้แต่นั่งมองเพื่อนที่ถูกประคองให้ลุกขึ้นจากพื้นด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย เขาไม่อยากให้เพื่อนโทษตัวเอง เพราะมันไม่ใช่ความผิดของใคร ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอย่างที่แม่เขาว่า ต่อให้เขาเป็นอะไรไปจริง ๆ เขาก็ไม่คิดโทษเพื่อนเลยสักนิด

“ปีกลับไปพักก่อนเถอะนะลูก ไว้คุณผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วแม่จะโทรไปส่งข่าว”

“แต่ผมเป็นห่วงคุณ ผมอยากอยู่ฟังข่าวด้วย”

“พ่อแม่ปีคงเป็นห่วงแย่แล้ว กลับบ้านไปก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะลูก”

เมื่อขัดอะไรไม่ได้ ปีแสงก็พยักหน้ารับคำแล้วหันไปมองประตูห้องผ่าตัดที่ปิดสนิท ภาวนาในใจขอให้เพื่อนกลับมาหาตัวเองอย่างปลอดภัยครบสามสิบสอง ลมหายใจหนัก ๆ พรั่งพรูออกมาก่อนผินหน้ากลับก็ยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่แล้วหมุนตัวกลับหลัง ทว่าพอสบตาเข้ากับลภัสกรที่นั่งอยู่มุมหนึ่งก็ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความฉงน

 

เขาพอจะรู้เรื่องที่ลภัสกรเตือนคณาธิปมาบ้าง...

 

ด้วยความสงสัย ปีแสงจึงเดินดุ่ม ๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าลภัสกร แม้จะไม่ได้คุยกันบ่อยนักแต่ก็รู้จักกันผ่านหน้าผ่านตาเพราะอยู่โรงเรียนเดียวกัน อีกอย่างคือคนตรงหน้าชอบทะเลาะกับคนที่อยู่ในห้องผ่าตัดเป็นประจำ

“กูถามได้ไหมวะพร้อม”

คนที่นั่งมองอยู่ก่อนพยักหน้าลงทีหนึ่งอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

“ที่คุณมันเป็นแบบนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องที่มึงเตือนมันเมื่อตอนมัธยมหรือเปล่า”

“ค่อนข้างเกี่ยว”

“แล้วที่มึงบอกว่าเห็นผี...ตอนนี้มึงเห็นไอ้คุณไหม”

“ถ้ากูเห็นแสดงว่ามันกลายเป็นวิญญาณไปแล้วนะ”

ไม่ได้ตอบไปตรง ๆ แต่ก็ไม่ได้โกหกว่าไม่เห็น ถ้าเขาบอกไปว่าตอนนี้เห็นเพื่อนของอีกฝ่ายทำสีหน้าไม่สู้ดียืนอยู่ข้างกายคงตลกไม่ออกแน่

“มึงอยากให้กูเห็นหรือไม่เห็นดีล่ะ”

“สมมติว่าถ้ามึงเห็นมัน...”

ปีแสงหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่งเพื่อกลืนน้ำลายคงคออย่างยากลำบาก ไม่นานนักก็ต่อเติมประโยคให้สมบูรณ์

“บอกให้มันกลับมาหาพ่อแม่แล้วก็กูด้วยนะ”

“ถ้าเห็นนะ”

“อือ ถ้าเห็น”

หลังปีแสงเดินจากไป ลภัสกรก็หันมองร่างสูงที่เดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายตรงหน้า ไม่ใช่แค่พ่อ แม่ และเพื่อนของเจ้าตัวหรอกที่อยากให้กลับไป เขาเองก็อยากให้คณาธิปกลับเข้าร่างไปเหมือนกัน เพราะไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายได้ตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์แน่

“พร้อม กูจะตายไหมวะ”

“มากลัวเอาตอนนี้มันทันไหม”

“มึงไม่ปลอบใจกูหน่อยเหรอวะ กูเคว้งคว้างอยู่นะเว้ย ใจจืดใจดำฉิบหาย”

“มึงควรพูดกับคนที่แทบจะเอาตะกรุดผูกคอมึงแบบนี้เหรอ”

คณาธิปได้แต่มองหน้าคนที่สวนกลับมาจนตัวเองเถียงอย่างคอตก จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เขาไม่ควรไปโวยวายใส่คนที่คอยตักเตือนกันมาตลอดแม้ว่าจะถูกกวนเบื้องล่างกลับไปทุกครั้งแบบนั้น

“หงอยเป็นหมาเลยสิมึง”

“ตอนนี้กูยังมีอะไรตามอยู่ไหมวะ”

“เยอะแยะ”

“มึงพูดอย่างนี้กูก็กลัวสิพร้อม”

“ก็มึงถามเอง”

แต่ถึงจะมีก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะคณาธิปยังอยู่ใกล้ตัวเขาซึ่งมีพลังมากพอที่จะปกป้องไม่ให้อะไรเข้ามาทำร้ายได้ แต่ลองอยู่ห่างออกไปสักร้อยเมตรสิ รับรองว่าโดนรุมทึ้งจนวิญญาณแตกสลายแน่

“ว่าแต่...ทำไมกูถึงไปอยู่ที่หน้าบ้านมึงได้วะ”

“จำคำพูดของตัวเองไม่ได้หรือไง” วันที่เขาไปเตือนและเอาตะกรุดไปให้ถึงที่คณะ อีกฝ่ายดันลั่นวาจาออกมาว่าถ้าตายจะมาหาเขาเป็นคนแรก ดังนั้นพอวิญญาณหลุดออกจากร่างจึงถูกจิตพามาหาเองโดยอัตโนมัติ

 

ไม่น่าเลย ไอ้บ้าตรงหน้านี่ไม่น่าเอาจิตมาผูกไว้กับเขาเลย

 

“จำได้หรือยัง”

“จะว่าไปก่อนหมดสติก็เหมือนจะได้ยินคำพูดของตัวเองอยู่นะ”

“เฮอะ!”

 

 

 

ผ่านไปเกือบตีห้าการผ่าตัดที่แสนยาวนานก็จบลง พอหมอออกมาจากห้องผ่าตัด คณาธิปที่อยากรู้อาการของตัวเองจึงรีบปรี่เข้าไปหา ทว่าพอนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นวิญญาณ ไม่สามารถถามไถ่อะไรกับหมอโดยตรงได้ก็คอตก

“มะ หมอคะ ลูกชายของพวกเราเป็นยังไงบ้างคะ”

“การผ่าตัดผ่านพ้นไปได้ด้วยดีครับ แต่ระหว่างที่ผ่าตัดหัวใจคนไข้หยุดเต้นไป โชคดีที่ช่วยกลับมาได้ ตอนนี้หมอยังรับประกันไม่ได้ว่าคนไข้จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร คงต้องดูอาการในห้องไอซียูไปก่อน”

“โธ่ ลูกแม่...”

“ยังไงหมอขอตัวก่อนนะครับ”

หลังหมอเดินจากไป คณาธิปก็หันมองพ่อแม่ที่ยืนกอดกันร้องไห้อย่างไม่รู้จะทำเช่นไร ยื่นมือไปหมายจะลูบไหล่ของผู้เป็นแม่เพื่อปลอบประโลมทว่าก็แตะไม่ได้ ลองดูอีกหลายครั้งก็ทำไม่ได้จนรู้สึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาไม่น้อย จนขายาวเตะอากาศเพื่อระบายอารมณ์ก่อนจะหันไปมองลภัสกรด้วยแววตาสั่นเครือ

 

หากเชื่อที่อีกฝ่ายพูดตั้งแต่แรก เรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นไหมนะ

 

“ตาคุณลูก...”

เสียงของแม่ที่ดังขึ้นเรียกให้คณาธิปหันกลับไปมองอีกครั้ง พอเห็นว่าร่างของตัวเองถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดก็รีบวิ่งเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียง ขายาวก้าวเดินตามจังหวะเตียงที่ถูกเข็นไปเรื่อย ๆ เมื่อสบโอกาสจึงกระโดดขึ้นไปนอนทับร่างตัวเองเพราะคิดว่าน่าจะกลับเข้าไปได้

ทว่าไม่ทันไรก็ถูกดีดออกมาอย่างแรงจนล้มไปกองอยู่กับพื้น แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ย่อท้อ พยายามกลับเข้าร่างตัวเองหลายต่อหลายรอบแม้ว่าจะไม่สำเร็จก็ตาม

ทางด้านของลภัสกรที่เดินตามมาห่าง ๆ ได้แต่มองคนที่พยายามจะกลับเข้าร่างตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยอาการคิดไม่ตก เขาเห็นท่าไม่ดีตั้งแต่ที่หมอออกมาบอกว่าการผ่าตัดผ่านไปด้วยดีแล้ว ปกติหลังผ่าตัดเสร็จวิญญาณที่หลุดออกจากร่างชั่วขณะจะสามารถกลับเข้าร่างได้ หากกลับเข้าไม่ได้แสดงว่าอีกไม่นานก็ต้องตาย

เดินตามมาจนกระทั่งถึงหน้าห้องไอซียู ลภัสกรก็หยุดเดินโดยทิ้งระยะห่างจากพ่อแม่ของคณาธิปพอสมควร ตาคมมองผ่านกระจกใสไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง เปลือกตาสีขาวนวลปิดลงอย่างเชื่องช้าแล้วตั้งจิตให้มั่น เพ่งพิจารณาดูว่าเหตุใดวิญญาณของคณาธิปจึงกลับเข้าร่างไม่ได้ ทว่าภาพที่เห็นนั้นตัดสลับกันไปมาจนจับต้นชนปลายไม่ถูก พอหยุดอยู่ที่บ้านเรือนไทยหลังหนึ่งซึ่งให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก วิญญาณดวงหนึ่งก็โผล่ใบหน้าอันสยดสยองมาให้เห็นในระยะประชิดจนหลุดออกจากสมาธิด้วยความตื่นตระหนก

 

ฉิบหายแล้วไหมไอ้คุณ...

 

“พร้อม! ทำไมกูกลับเข้าร่างไม่ได้วะ”

คนที่กำลังตกใจกับภาพสุดท้ายที่เห็นเหลือบไปมองคณาธิปที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา พอหยุดลงตรงหน้าก็มองตามมือหนาที่ชี้ไปยังร่างตัวเองที่มีเงาดำปกคลุม

“มันเหมือนมีอะไรผลักกูออกมาอะมึง”

“กูรู้แล้ว”

“มึงพากูกลับเข้าร่างหน่อยสิ”

“กูทำไม่ได้” เมื่อลภัสกรบอกแบบนั้นคนฟังก็นิ่งไป “มันเป็นกรรมของมึง กูยุ่งไม่ได้”

“มึงจะทิ้งกูเหรอ”

“คุณ...กูไม่ไหวจริง ๆ ว่ะ”

กรรมใครกรรมมัน ไม่มีใครแทรกแซงได้ หากยื่นมือเข้าไปยุ่งมากกว่านี้ คนที่จะโดนหางเลขไปด้วยก็ไม่พ้นเขาแน่นอน

“กูกลับก่อนนะ มึงก็อยู่ข้าง ๆ ร่างตัวเองไว้แล้วกัน เผื่อจะกลับเข้าได้”

“ไม่เอาดิพร้อม”

มือหนายื่นไปหมายจะจับข้อมือของคนที่กำลังจะกลับบ้านอย่างลืมตัว แต่พอจับไม่ได้ก็กัดริมฝีปากแล้วรีบวิ่งไปดักหน้า

“พร้อมช่วยกูหน่อย กูขอร้อง”

“กู...”

 

พึ่บ!

 

ร่างสูงทิ้งตัวคุกเข่าลงบนพื้นกะทันหันจนลภัสกรต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สองมือหนาของดวงวิญญาณยกขึ้นประนมไว้ที่กลางอกแล้วมองมาด้วยแววตาเว้าวอนจนคนถูกขอร้องหนักใจไม่น้อย

“กูขอร้อง นะ...”

 

 

 

 

#รัตติกาลผันแปร

มา เริ่มเลออออ

ไอ้ต้าวคุณผีฝึกหัดของเราจะเข้าร่างได้ไหมมาลุ้นกัน แล้วน้องพร้อมของมัมหมีจะช่วยเขาไหม ถึงกับคุกเข่าขอร้องเลยนั้น ลูกฉันมันยิ่งใจอ่อนอยู่ด้วย

 

เรื่องนี้มีพระเอก No!

เรื่องนี้มีภาระ Yes!

 

ปล.เล่นแท็กทวิตได้ที่ #รัตติกาลผันแปร นะคะ เผื่ออยากไปคุยเล่นกันนน

 

- ZANIA -