‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...

รัตติกาลผันแปร - บทที่ ๔ ลงหม้อ โดย ZANIA @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,ชาย-ชาย,ไทย,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รัตติกาลผันแปร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,ชาย-ชาย,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

รัตติกาลผันแปร โดย ZANIA @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...

ผู้แต่ง

ZANIA

เรื่องย่อ

 

 

 

 

 

 

คุณ คณาธิป เตสิทธิ์โสภณ

เกิดวัน ศุกร์ ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒xxx

อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๖

 

 

พร้อม ลภัสกร จิรเมธานนท์

เกิดวัน เสาร์ ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒xxx

อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๐

 

 

รัตติกาลผ่านพ้น      ไปนาน นักแล

เวรคู่กรรมเดือดดาล  คั่งแค้น

สองเราฝ่าฟันผ่าน     คืนค่ำ ช้ำแฮ

สู้คู่จองเวรแม้น         มอดม้วยมรณา

 

 

 

‘ลภัสกร’ ฝันถึงชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมทุกครั้ง เขาจึงตัดสินใจตามหาและไปเตือนด้วยความหวังดี ทว่านอกจากจะไม่เชื่อในคำพูด อีกคนยังทำตัวกวนประสาทใส่ไม่หยุด

“มึงบอกว่ากูจะตายใช่ไหม”

“จะกวนตีนอะไรกูอีก”

“เปล่า แค่จะบอกว่าถ้ากูตายขึ้นมาจริง ๆ กูจะไปหามึงเป็นคนแรกเลย”

หลังจากนั้นสองอาทิตย์ ‘คณาธิป’ ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...

 

 

 

เขียน | ZANIA

นักวาด | Inine.pyc

ไทโป | Tokung

 

 

 

คำเตือน

๑.นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสยองขวัญและเป็นเพียงเรื่องที่ถูกสมมติขึ้น ตัวละครในเรื่องไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง ในเรื่องมีการอ้างอิงช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาเขียน เป็นเพียงแค่การอ้างอิงเวลาเท่านั้น เหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติ ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาใดเลย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เหมาะกับผู้ที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป

๒.มีการใช้บทสวดมนต์และคาถาที่มีอยู่จริง ซึ่งทางนักเขียนได้ทำการหาข้อมูลมาจากอินเตอร์เน็ต มิได้คิดขึ้นเองแต่อย่างใด เป็นบทสวดที่พบเห็นได้ทั่วไป มีการบรรยายถึงสิ่งลี้ลับที่อาจทำให้ตกใจได้ มีเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่เพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางนักเขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

๓.มีการเล่าถึงการฆ่าตัวตาย การประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ เลือด ฉากสะเทือนอารมณ์

๔.สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.๒๕๕๘

 

 

 

ช่องทางการติดต่อนักเขียน

PAGE FB : Zania/ซาร์เนียร์ - นักเขียน

X : https://twitter.com/zxxzanxa

Tiktok : @zxxzanxa

เล่นแท็ก #รัตติกาลผันแปร

 

 

 

 

กรุณาคอมเมนต์ด้วยความสุภาพ

ขอบคุณค่ะ

 

สารบัญ

รัตติกาลผันแปร-00 อารัมภบท,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑ การพบกันอีกครั้ง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒ วิบากกรรมทำงาน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓ วิญญาณตามติด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๔ ลงหม้อ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๕ ช่วยคุณผี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๖ โดนดี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๗ กาญจนบุรี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๘ ลืมคุณ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๙ ง้อคุณ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๐ ไล่ผี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๑ สงกรานต์,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๒ แตกตื่น,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๓ เพลี่ยงพล้ำ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๔ ช่วยพร้อม,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๕ หลอกตา,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๖ ผิดคาด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๗ ลมเพลมพัด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๘ คืนเดือนมืด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๙ โดนของ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๐ นักโทษประหาร,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๑ ผู้มาใหม่,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๒ ภัยมาเยือน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๓ กบฏ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๔ คำสาปแช่ง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๕ ไม่ชอบใจ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๖ ชิงวิญญาณ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๗ การช่วยเหลือ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๘ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๙ แสงสว่างเล็ก ๆ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๐ ยอมรับความจริง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๑ กลิ่นกระดังงา,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๒ ใจเดียวกัน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๓ ใจหาย,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๔ ความจริงอีกหนึ่ง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๕ ออเซาะ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๖ อ้อน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๗ ปลดปล่อย,รัตติกาลผันแปร-00 ปัจฉิมบท

เนื้อหา

บทที่ ๔ ลงหม้อ

 

บทที่ ๔ 

ลงหม้อ

 

 

 

 

ตลอดสองวันที่ผ่านมา ลภัสกรก็ติวหนังสืออยู่ที่บ้านโดยมีคณาธิปเป็นครูสอนพิเศษให้ คอยจ้ำจี้จ้ำไชจนเขาคิดว่าตัวเองมีความมั่นใจขึ้นมาไม่น้อย ดังนั้นวันนี้เขาจึงมามหาวิทยาลัยก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อเตรียมตัวเข้าสอบ

“ไอ้พร้อม ผีมันมองกูอะ มึงดุมันให้หน่อยสิ”

ลภัสกรเหลือบมองวิญญาณที่เหน็บมาด้วยอย่างอ่อนใจ แต่กระนั้นก็ไม่พูดตอบโต้อะไรออกไปเพราะตอนนี้รอบตัวเขามีคนอยู่เยอะ เดี๋ยวจะพากันตกอกตกใจเอา

“มึงได้ฟังกูไหมเนี่ย”

“เฮ้อ!”

คนถูกกวนพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

“มึงก็อย่าไปสนใจสิวะ เขาไม่เข้ามาทำอะไรมึงหรอก”

“แต่กูกลัว”

“ลงหม้อไหม กูเตรียมมาให้มึงด้วยนะ”

“ไม่เอา”

“ไม่เอาก็เงียบปากเดี๋ยวนี้เลย”

เอ่ยจบก็ละโทรศัพท์ออกจากหูแล้วถลึงตาใส่คนข้างกาย ทว่าคนที่กำลังทบทวนหนังสืออยู่ไม่ไกลกลับคิดว่าถลึงตาใส่ตัวเอง ดังนั้นจึงยกมือขึ้นเกาหัวอย่างงุนงง

 

เมื่อถึงเวลาเข้าห้องสอบ ลภัสกรก็เก็บข้าวของของตัวเองที่ไม่จำเป็นลงกระเป๋าแล้ววางรวมไว้กับเพื่อน จากนั้นก็เรียงลำดับเข้าห้องสอบตามเลขที่นั่ง พออาจารย์บอกให้เริ่มทำข้อสอบได้จึงเขียนชื่อแซ่ของตัวเองลงบนหัวกระดาษแล้วลงมือทำข้อสอบในวิชาที่ตัวเองไม่ถนัด ระหว่างที่ทำข้อสอบอยู่นั้นก็มีเหลือบมองคณาธิปที่เดินไปเดินมารอบห้องอยู่เป็นระยะ

แต่ว่าทำข้อสอบไปได้ครึ่งหนึ่ง ลภัสกรก็เกิดปัญหาเพราะอ่านโจทย์แล้วเลือกใช้สูตรผิดจึงทำให้คิดออกมาไม่ได้คำตอบ ในตอนที่กำลังจะข้ามไปทำข้ออื่นก่อน คณาธิปก็มาหยุดอยู่ตรงด้านข้างแล้วชะโงกหน้ามาอ่านโจทย์ในกระดาษ

“ข้อนี้ใช้สูตรเดียวกับที่กูสอนไปเมื่อวานก่อนเลิกติวไง”

เมื่อบอกออกไปแล้วยังเห็นว่าลภัสกรยังนั่งนิ่งไม่ยอมทำข้อสอบต่อ คณาธิปจึงกระตุ้น

“ไม่ทำเหรอ เชื่อกูว่าถูก”

“แบบนี้มันโกง” พูดเสียงอู้อี้เพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า

“โกงที่ไหน มึงไม่ได้ลอกใครสักหน่อย”

“แต่มึงบอกกู”

“กูแค่บอกว่าใช้สูตรไหน ไม่ได้บอกคำตอบมึงสักหน่อย”

คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กัดปากตัวเองพลางมองข้อสอบอย่างชั่งใจ ในหัวนึกถึงสูตรที่ทำครั้งสุดท้ายแล้วเริ่มคิดคำตอบใหม่โดยที่คณาธิปไม่ได้บอกอะไรอีก มีเพียงแต่บอกว่าให้ตรวจสอบวิธีทำดี ๆ ก่อนตอบ จะได้ไม่พลาดพลั้ง

หมดเวลาสอบ ลภัสกรก็รอให้เพื่อนออกไปจากห้องจนหมดก่อนถึงได้ตามออกมาทีหลัง หันมองกลุ่มเพื่อนของตัวเองที่ยืนจับกลุ่มคุยกันเรื่องข้อสอบแล้วเดินเข้าไปหา

หลวงพี่” เมื่อทศศรันย์หันมาเรียกตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ลภัสกรก็ทำหน้าอ่อนใจ

หลวงพี่เป็นฉายาที่เพื่อนพากันตั้งให้เพราะเขาไม่ดื่มเหล้าเคล้านารี ไม่ไปสถานที่อโคจร เข้าวัด ถือศีล สวดมนต์ตามประสาคนมีของ

“มึงทำได้ปะ”

“กูได้ทำ”

“เพื่อนเรียกมึงว่าหลวงพี่เหรอวะ” เมื่อคณาธิปส่งเสียงถามกลั้วหัวเราะ ลภัสกรก็ถลึงตาใส่ทันควัน “โคตรเจ๋ง”

“หุบปากไปเลย!”

“ไอ้พร้อม พวกกูยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

คนที่เพิ่งถลึงตาใส่วิญญาณข้างกายเหลือบมองเพื่อนที่ขยับเข้าไปยืนตัวติดกันอย่างอ่อนใจ ก่อนกวินท์จะถามขึ้นมาอีกครั้ง

“มึงคุยกับใครวะ”

“บอกไปแล้วพวกมึงจะเห็นเหรอ”

“ไอ้เหี้ย...”

เมื่อเพื่อนร้องโอดโอยขึ้นมา ลภัสกรก็มองด้วยรอยยิ้ม

กับชรัณที่รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมนั้นรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาเห็นอะไรที่คนปกติเขาไม่เห็นกัน แต่ก็คบกับเขามาได้จนป่านนี้ ส่วนทศศรันย์กับกวินท์ที่เพิ่งได้มารู้จักกันตอนปีหนึ่งก็ไม่เคยมองว่าเขาเป็นตัวประหลาดเลยสักครั้ง แม้ว่าจะกลัวกันอยู่หน่อย ๆ ก็ตามที

“ว่าแต่งวดนี้หวยจะออกอะไรวะหลวงพี่”

“บ้านมึงยังรวยไม่พอเหรอไอ้รันทด” ลภัสกรมองทศศรันย์ที่ถามหาเลขหาหวยทุกงวดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

เนื่องจากในกลุ่มมีคนชื่อรันสองคน หนึ่งก็คือทศศรันย์ สองก็คือชรัณ ดังนั้นเพื่อที่จะได้ไม่สับสนจึงตั้งชื่อให้ใหม่ โดยเรียกทศศรันย์ว่ารันทศ แต่ด้วยความที่เจ้าตัวชอบทำตัวผิดแผกไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง ทั้งยังทำตัวไม่เหมาะกับหน้าตาและฐานะทางสังคมของตัวเอง จากรันทศจึงกลายเป็นรันทดโดยปริยาย ส่วนชรัณนั้นถูกเรียกว่าท่านเทพรันเพราะเรียนเก่งและเป็นพี่พึ่งพาของเพื่อนได้เสมอ

“กูถามให้เอาไหม”

“ก็ดีนะ”

“มึงเอาเลขมาสักสองตัวซิ”

“กูเหรอ” คนถูกขอเลขชี้มือเข้าหาตัวเองพลางมองบรรดาเพื่อนของลภัสกรด้วยสายตาเอือมระอา “สี่แปด”

“เขาบอกว่า สี่ แปด”

เมื่อได้เลขมาก็หันไปพูดกับทศศรันย์ที่ตั้งตารออยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไรไอ้เพื่อนคนนี้มันจะทำตัวเหมือนคนปกติเขาบ้าง บ้านก็รวยเป็นพันล้านหมื่นล้าน จะมาหวังรางวัลเลขท้ายสองตัวที่ได้แค่สองพันทำไม

“สี่แปดนะ เดี๋ยวจดก่อน”

“เพื่อนมึงนี่ไร้สาระฉิบหาย”

 

 

 

หลังสอบวิชาในภาคบ่ายเสร็จ ลภัสกรก็มายังโรงพยาบาลโดยที่มีกระเช้าผลไม้ติดมือมาด้วย สอบถามกับพยาบาลว่าคณาธิปยังอยู่ที่ห้องไอซียูหรือไม่ พอพยาบาลบอกว่าถูกย้ายไปอยู่ห้องพิเศษที่วอร์ดวีไอพีเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นลิฟต์ไปยังที่หมาย ระหว่างนี้ก็เหลือบมองคนข้างกายที่อยู่ใกล้แทบจะสิงกันอย่างอ่อนใจ

มาถึงห้องซึ่งมีเพียงแค่ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ขายาวก็ก้าวไปหยุดอยู่ข้างเตียงคนป่วย วางกระเช้าผลไม้ลงบนโต๊ะก่อนจะยื่นมือไปดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ดี ๆ มองสร้อยพระราคานับยี่สิบล้านที่ถูกสวมใส่ไว้ให้ที่ลำคอแกร่งอย่างโล่งใจ กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะมีใครมาเอาไปไหนหรือเปล่า

หนึ่งเลยหากสร้อยไม่อยู่ ร่างของคณาธิปจะไม่ปลอดภัย

สองก็คือมันแพง ถ้าหายขึ้นมาคงนั่งจมน้ำตาไปหลายวันแน่ เพราะมันเป็นหนึ่งในของสะสมของคุณตาที่เสียไปแล้ว

“นี่กูจริง ๆ เหรอวะ”

คณาธิปถามคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบออกมาพลางมองร่างตัวเองที่มีสายต่าง ๆ นานาระโยงระยางกับร่างกายด้วยสายตาเจ็บปวด มือหนายกขึ้นหมายจะจับเข้าที่ใบหน้าตัวเองที่นอนอยู่ทว่าก็จับไม่ได้

“กูเข้าร่างได้หรือยังวะพร้อม กูไม่อยากอยู่แบบนี้แล้ว”

“มึงก็ลองเข้าดูสิ”

“นั่นสิ ครั้งนี้อาจจะเข้าได้ก็ได้”

ให้กำลังใจตัวเองแล้วปีนขึ้นไปนั่งทับร่างของตัวเองบนเตียง หายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วนอนทับลงไปให้พอดี ทว่าไม่ทันไรก็ถูกดีดออกมาจนกระเด็นไปกองอยู่ที่พื้นเหมือนครั้งแรกที่พยายามเข้าร่าง

“ทำไมไม่ได้วะ ทำไมเข้าไม่ได้สักที!”

“มึงใจเย็น ๆ ก่อน”

“จะให้ใจเย็นได้ยังไง ในเมื่อกูกลับเข้าร่างไม่ได้!”

“เพราะแบบนั้นมึงถึงต้องใจเย็นให้มากกว่านี้ไง”

“กูไม่อยากตายอะพร้อม กูยังอยากมีชีวิตต่อ...”

คนฟังได้แต่กัดริมฝีปากของตัวเองแน่น เขาก็ไม่ได้อยากให้คณาธิปตายนักหรอก แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีปากมีเสียงกันบ่อยเพราะอีกฝ่ายชอบแกล้งชอบแหย่เล่นก็ตามที

“กูต้องทำยังไง”

“ก่อนอื่นต้องหาสาเหตุว่าทำไมเขาถึงตามเอาชีวิตมึง”

“กูไม่เคยทำอะไรใครนะ”

“กรรมมันไม่ได้เกิดแค่ชาตินี้หรอกนะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันสืบเนื่องมาตั้งแต่อดีตแล้ว”

เท่าที่เห็นในนิมิตเมื่อครั้งก่อน แม้ว่าภาพมันจะรวดเร็วจนจับใจความไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือมันเป็นภาพในอดีตกาล ไม่ใช่ปัจจุบัน

“ที่ผ่านมามึงรู้มึงเห็นอะไรมาบ้างไหม เช่น...ฝันอะไรแปลก ๆ”

“ก็ฝันแปลก ๆ มาสักพักแล้วนะ”

“นานแค่ไหน”

“เริ่มฝันก่อนที่มึงจะเอาตะกรุดมาให้กูประมาณอาทิตย์หนึ่ง”

เมื่อรู้ว่าคณาธิปเริ่มฝันแปลก ๆ ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ตัวเองเริ่มฝันถึงอีกฝ่ายก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด

ตอนนี้สิ่งที่ไม่แน่ใจคือทำไมต้องเป็นเขาที่ต้องฝันถึงจนต้องไปตักเตือน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้สนิท ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับคณาธิปเลยแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนหน้าตาแบบนี้เรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน มันจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันสักอย่างมาตั้งแต่อดีตแล้วแน่ ๆ

“แต่ครั้งแรกที่มึงมาเตือน กูไม่ได้ฝันอะไรเลยนะ ไม่มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นแบบตอนนี้เลยด้วย”

“เพราะครั้งนั้นดวงมึงยังไม่ตกไง”

 

ครืด!

 

คราวที่ประตูห้องถูกเปิดออกกะทันหันลภัสกรก็หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นแม่ของคณาธิปก็ยกมือขึ้นไหว้ตามประสาคนที่เด็กกว่า ซึ่งท่านก็ยิ้มรับอย่างใจดี

“หนูเป็นใครลูก เป็นเพื่อนตาคุณเหรอ”

“เป็นเพื่อนตอนมัธยมครับ แต่คนละห้อง”

ลภัสกรตอบคำถามของผู้ใหญ่พลางเหลือบมองร่างสูงที่จ้องหน้าแม่ตัวเองอย่างเศร้าสร้อย

“ผมเอากระเช้ามาเยี่ยมด้วยนะครับคุณป้า”

“ขอบใจนะลูก แต่ตาคุณเขายังไม่ฟื้นหรอกนะ”

“คุณเขาคงกำลังพยายามอยู่ คุณป้าช่วยรอเขาหน่อยนะครับ”

 

 

 

อยู่คุยเป็นเพื่อนแม่ของคณาธิปหลายชั่วโมงจนกระทั่งพ่อของเจ้าตัวมา ลภัสกรถึงได้ลากลับเพราะมันมืดค่ำมากแล้ว ระหว่างทางก็คอยเหลือบมองคนข้างกายที่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยด้วยความเป็นห่วง ถึงจะรู้ว่าพ่อกับแม่สบายดี แต่ก็เข้าไปโอบกอดไม่ได้เหมือนทุกทีก็คงจะจิตตกไม่น้อยเหมือนกัน

“พร้อม”

“อะไร”

“มีอะไรตามเรามาก็ไม่รู้ว่ะ เป็นฝูงเลย”

เมื่อคณาธิปว่าแบบนั้นลภัสกรก็ละสายตาไปมองกระจก พอเห็นว่าเป็นฝูงสัมภเวสีที่วิ่งตามรถมา ปลายเท้าก็กดคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว

“ไอ้เหี้ย ข้างหน้า!”

ตาคมติดเคร่งเครียดหันกลับมามองทางด้านหน้า เมื่อเห็นว่าฝูงสัมภเวสีกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ก็เหงื่อตก ขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะทำเช่นไร สัมภเวสีบางตนก็เริ่มมาเกาะรถจนเริ่มมองไม่เห็นทาง คนข้างกายก็หวีดเสียงร้องตะโกนจนเขารวบรวมสมาธิแทบไม่ได้ ซึ่งหากเป็นแบบนี้ต่อไปได้ตายคู่แน่

“มันจะแดกกูแล้วไอ้พร้อม!”

“มึงเลิกแหกปากก่อนได้ไหม!”

คนบังคับรถบ่นอุบอิบแล้วยื่นมือไปเปิดกระเป๋าสะพายที่ห้อยอยู่หลังเบาะข้างคนขับ ควานหาหม้อดินขนาดเล็กที่เตรียมมาเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินด้วยความร้อนรน พอเจอก็หยิบออกมาแล้วแกะผ้ายันต์ที่ลงอาคมไว้ออก ต่อมาก็ยื่นไปทางคนที่ยังแหกปากร้องโวยวายไม่หยุดไม่หย่อน

“มึงลงหม้อเดี๋ยวนี้เลย!”

“ไม่เอา กูกลัว!”

“รีบลงไปเลยไอ้เวร เดี๋ยวก็ได้จับมือกันกลับบ้านเก่าหรอก!”

ลภัสกรถลึงตาใส่คนที่กลัวอะไรไม่เข้าเรื่องอย่างเหลืออด แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังนั่งนิ่งก็ออกปากเร่งรัด

“เร็วสิวะ! จะรอให้มันมาแดกหัวมึงก่อนหรือไง”

“กูเข้าไม่เป็น!”

“มึงก็มุด ๆ หัวเข้ามานั่นแหละ”

“ตัวกูใหญ่ขนาดนี้มึงต้องเอาโอ่งมาแล้วไหม หม้ออันแค่นี้คงยัดเข้าหรอก!”

ลภัสกรผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงแล้วพยายามเอารถเข้าข้างทาง จัดการยัดวิญญาณปากมากข้างกายลงหม้อแล้วปิดผ้ายันต์ไว้อย่างดี เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่เป็นอันตรายตามไปด้วย

เมื่อเรียบร้อยก็วางลงยังเบาะด้านข้างแล้วตั้งจิตให้มั่น สองมือยกขึ้นมาประนมไว้กลางอกก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะเริ่มสวดบริกรรมคาถาตามที่ได้ร่ำเรียนมา ตั้งนะโมสามจบแล้วเริ่มเข้าบทคาถาทันที

พุท ธัง กันจะ ธรรมมัง กันจะ สังฆัง กันจะ นะระ นะจะ พุทธะ คุณณัง ธรรมมะ คุณณัง สังฆะ คุณณัง พุท โธ ภัณ ทะนะ จิตตัง ธรรมโม ภัณ ทะนะ จิตตัง สังโฆ ภัณ ทะนะ จิตตัง เอวัง อายุตโต โส ตะลา อิติกันนะ อิติ กันนา...

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เหล่าสัมภเวสีต่างก็อันตรธานหายไปหมด ดังนั้นลภัสกรจึงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วเดินรถไปด้านหน้า

ตลอดทางก็ท่องมนต์บทพุทธชัยมงคลคาถาหรือพาหุงมหากา เพื่อไม่ให้อะไรเข้ามากล้ำกรายได้จนกระทั่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย

 

“เจอมาหนักเลยเหรอเจ้าพร้อม” ทันทีที่ลงจากรถ ท่านเจ้าที่ก็โผล่มาทักทายทันที “ก็บอกแล้วว่าอย่าเหน็บไอ้หนุ่มนั่นไปด้วย สองวันที่ผ่านมาข้าก็ไล่ให้ไม่หวาดไม่ไหว”

“พรุ่งนี้ไม่พาไปแล้วล่ะครับท่าน ไม่ไหวจะเคลียร์”

ลภัสกรทำหน้าเมื่อยใส่แล้วเดินถือหม้อดินเผาเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นว่าพ่อกับแม่ยังไม่กลับจากบริษัทก็ผ่อนลมหายใจออกมาแล้วเดินขึ้นห้องอย่างไม่รีบร้อน

พ่อกับแม่ของลภัสกรเปิดบริษัทของตัวเองแล้วทำงานด้วยกัน พ่อเป็นวิศวกร แม่เป็นสถาปนิก รักกันได้เพราะตีกันเรื่องบ้านที่ออกแบบไม่สนหัวคนสร้าง สุดท้ายก็เกิดขึ้นมาเป็นเขาที่เลือกเจริญรอยตามแม่โดยการเรียนสถาปัตยกรรม

เมื่อเข้ามาในห้อง ลภัสกรก็ปล่อยคณาธิปออกจากหม้อดินเผาแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน มองคนที่สำรวจสภาพตัวเองราวกับกลัวว่าจะบุบสลายเพียงเพราะลงหม้ออาคมแล้วผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“หม้อมึงใหญ่เกินคาดเลยเนอะ”

“มึงทำกูเกือบตายแล้วไอ้เวร!”

“กูทำอะไร กูอยู่ของกูเฉย ๆ หรอก”

“ก็ไอ้สัมภเวสีฝูงนั้นมันตามมึงมา ไม่ได้ตามกู”

คนที่นั่งอยู่ถลึงตาใส่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอย่างเหลืออด ดีแค่ไหนแล้วที่เขาพกหม้อดินเผาไปด้วย ไม่อย่างนั้นร่างสูงตรงหน้าได้ปลิวหายไปพร้อมกันแน่

“พรุ่งนี้มึงอยู่บ้านกับลุงเจ้าที่ไปเลยนะ”

“พร้อม กูกลัว”

“มึงจะอยู่กับท่านเจ้าที่ดี ๆ หรือจะออกไปให้ผีมันแดกหัวมึงอีกก็เลือกเอา”

“พร้อม...”

“ไม่ต้องมาเรียก!”

หลังกระแทกเสียงใส่แล้วก็ยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงไปยังห้องน้ำ ทิ้งให้คณาธิปที่ยืนคว้างอยู่กลางห้องมองตามแผ่นหลังตาละห้อย

 

 

 

หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจนร่างกายผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้ว ลภัสกรก็ออกมาด้านนอก ตาคมกริบเหลือบมองคนที่นั่งหมุนเก้าอี้เล่นอยู่หลังโต๊ะหนังสือของตัวเองแล้วเดินเลี่ยงไปทางประตูห้องนอน

“ไอ้พร้อม มึงจะไปไหน”

“ไปห้องพระ”

“กูไปด้วยได้ไหม”

“กูต้องการสมาธิ มึงรออยู่นี่แหละ”

ลภัสกรมองคนที่ทำหน้าหงอยใส่แล้วทำใจแข็งออกจากห้อง ขายาวเดินตรงมายังห้องพระแล้วเข้าไปด้านใน จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยแล้วเริ่มสวดมนต์ตามความเคยชิน

สวดมนต์จบไปหลายบทก็นั่งตัวตรงมองไปยังพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่บนหิ้งพระ วางมือทับกันไว้บนตักแกร่ง เปลือกตาขาวนวลปิดลงอย่างเชื่องช้า ทำจิตใจให้นิ่งและมั่นคงที่สุดก่อนจะเพ่งพิจารณาหาสาเหตุที่ทำให้คณาธิปถูกจ้องเอาชีวิต ซึ่งภาพที่มองเห็นก็ตัดสลับกันไปมาด้วยความรวดเร็วจนจับความไม่ได้เหมือนครั้งก่อนไม่มีผิดเพี้ยน

เวลาผ่านไปสักพัก ลมที่นิ่งสงบก็กระโชกพัดต้นไม้จนไหวเอน เสียงหมาเห่าหอนรับกันไม่หยุดทั้งที่ยังไม่ดึกทำเอาคนได้ยินขนลุกทั่วทั้งร่าง ไฟในบ้านกะพริบติด ๆ ดับ ๆ จนคณาธิปที่รออยู่ในห้องนอนตื่นกลัว ท่านเจ้าที่ที่คอยดูแลอยู่หน้าบ้านก็คอยกันไม่ให้อะไรย่างกรายเข้าไปด้านในได้

ลภัสกรที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องพระเริ่มเหงื่อตก ภาพที่เห็นในสมาธิก็ดับวูบไปราวกับโทรทัศน์ถูกถอดปลั๊ก ไม่นานนักภาพของหญิงใส่ชุดไทยโบราณก็โผล่มาให้เห็นก่อนที่ใบหน้าแสนน่ากลัวจะหันมามองด้วยสายตาอาฆาตแค้น ขณะที่กำลังตกใจภาพมันก็ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนเห็นใบหน้าอันสยดสยองชัดขึ้นเต็มสองตาในระยะประชิด

“อย่าสาระแน!”

 

 

 

 

#รัตติกาลผันแปร

โถ่พ่อภาระ เอ้ย! พ่อพระเอก หม้อมันเล็กอะเนาะ กลัวลงไม่ได้ 555555555

เอ็นดูวุ้ยยยย

ส่วนพี่ผี…ไม่ยุ่งแล้วจ้า หนูลาละ

 

 

 

 

- ZANIA -