‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...

รัตติกาลผันแปร - บทที่ ๕ ช่วยคุณผี โดย ZANIA @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,ชาย-ชาย,ไทย,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รัตติกาลผันแปร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,ชาย-ชาย,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

รัตติกาลผันแปร โดย ZANIA @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...

ผู้แต่ง

ZANIA

เรื่องย่อ

 

 

 

 

 

 

คุณ คณาธิป เตสิทธิ์โสภณ

เกิดวัน ศุกร์ ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒xxx

อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๖

 

 

พร้อม ลภัสกร จิรเมธานนท์

เกิดวัน เสาร์ ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒xxx

อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๐

 

 

รัตติกาลผ่านพ้น      ไปนาน นักแล

เวรคู่กรรมเดือดดาล  คั่งแค้น

สองเราฝ่าฟันผ่าน     คืนค่ำ ช้ำแฮ

สู้คู่จองเวรแม้น         มอดม้วยมรณา

 

 

 

‘ลภัสกร’ ฝันถึงชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมทุกครั้ง เขาจึงตัดสินใจตามหาและไปเตือนด้วยความหวังดี ทว่านอกจากจะไม่เชื่อในคำพูด อีกคนยังทำตัวกวนประสาทใส่ไม่หยุด

“มึงบอกว่ากูจะตายใช่ไหม”

“จะกวนตีนอะไรกูอีก”

“เปล่า แค่จะบอกว่าถ้ากูตายขึ้นมาจริง ๆ กูจะไปหามึงเป็นคนแรกเลย”

หลังจากนั้นสองอาทิตย์ ‘คณาธิป’ ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...

 

 

 

เขียน | ZANIA

นักวาด | Inine.pyc

ไทโป | Tokung

 

 

 

คำเตือน

๑.นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสยองขวัญและเป็นเพียงเรื่องที่ถูกสมมติขึ้น ตัวละครในเรื่องไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง ในเรื่องมีการอ้างอิงช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาเขียน เป็นเพียงแค่การอ้างอิงเวลาเท่านั้น เหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติ ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาใดเลย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เหมาะกับผู้ที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป

๒.มีการใช้บทสวดมนต์และคาถาที่มีอยู่จริง ซึ่งทางนักเขียนได้ทำการหาข้อมูลมาจากอินเตอร์เน็ต มิได้คิดขึ้นเองแต่อย่างใด เป็นบทสวดที่พบเห็นได้ทั่วไป มีการบรรยายถึงสิ่งลี้ลับที่อาจทำให้ตกใจได้ มีเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่เพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางนักเขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

๓.มีการเล่าถึงการฆ่าตัวตาย การประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ เลือด ฉากสะเทือนอารมณ์

๔.สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.๒๕๕๘

 

 

 

ช่องทางการติดต่อนักเขียน

PAGE FB : Zania/ซาร์เนียร์ - นักเขียน

X : https://twitter.com/zxxzanxa

Tiktok : @zxxzanxa

เล่นแท็ก #รัตติกาลผันแปร

 

 

 

 

กรุณาคอมเมนต์ด้วยความสุภาพ

ขอบคุณค่ะ

 

สารบัญ

รัตติกาลผันแปร-00 อารัมภบท,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑ การพบกันอีกครั้ง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒ วิบากกรรมทำงาน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓ วิญญาณตามติด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๔ ลงหม้อ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๕ ช่วยคุณผี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๖ โดนดี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๗ กาญจนบุรี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๘ ลืมคุณ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๙ ง้อคุณ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๐ ไล่ผี,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๑ สงกรานต์,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๒ แตกตื่น,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๓ เพลี่ยงพล้ำ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๔ ช่วยพร้อม,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๕ หลอกตา,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๖ ผิดคาด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๗ ลมเพลมพัด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๘ คืนเดือนมืด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๑๙ โดนของ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๐ นักโทษประหาร,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๑ ผู้มาใหม่,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๒ ภัยมาเยือน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๓ กบฏ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๔ คำสาปแช่ง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๕ ไม่ชอบใจ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๖ ชิงวิญญาณ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๗ การช่วยเหลือ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๘ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๒๙ แสงสว่างเล็ก ๆ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๐ ยอมรับความจริง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๑ กลิ่นกระดังงา,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๒ ใจเดียวกัน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๓ ใจหาย,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๔ ความจริงอีกหนึ่ง,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๕ ออเซาะ,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๖ อ้อน,รัตติกาลผันแปร-บทที่ ๓๗ ปลดปล่อย,รัตติกาลผันแปร-00 ปัจฉิมบท

เนื้อหา

บทที่ ๕ ช่วยคุณผี

 

 

บทที่ ๕

ช่วยคุณผี

 

 

 

 

หลังออกมาจากห้องพระ ลภัสกรก็กลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง ทันทีที่ร่างสูงซึ่งนั่งชันเข่าอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าหวาดระแวงหันมาเห็น เจ้าตัวก็รีบวิ่งเข้ามาหาจนต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อลดระยะห่างลง

“มะ มึง เมื่อกี้มันคืออะไรวะ ไฟในบ้านติด ๆ ดับ ๆ ลมก็พัดโคตรแรง หมาก็หอนรับกันไม่หยุด แต่จู่ ๆ มันก็หยุดไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...”

มือหนายกขึ้นเพื่อบอกให้คนที่กำลังลนลานหยุดพูด เพราะเขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว ต่างกันแค่เขาไม่ได้ตื่นตระหนกเหมือนคนตรงหน้าก็เท่านั้น

“พร้อม...”

“กูเหนื่อย”

“ไหวไหม”

ลภัสกรพยักหน้ารับก่อนเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ตาคมมองเพดานห้องสีขาวสะอาดตาก่อนลมหายใจหนัก ๆ จะถูกพ่นออกมา

“มึงเป็นแบบนี้เพราะกูใช่ไหม”

“อือ”

“ขอโทษนะ”

คณาธิปเอ่ยขอโทษเสียงแผ่วพลางมองคนที่นอนแผ่อยู่กลางเตียงอย่างรู้สึกผิด ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น ชันเข่าขึ้นมากอดไว้แล้วเอนหลังพิงเตียงด้วยท่าทางเหงาหงอย

“กูแม่ง...ทำไมเป็นภาระของทุกคนเลยวะ ลำบากพ่อแม่ต้องเฝ้าที่โรงพยาบาล ลำบากมึงต้องมาช่วยดูแล หยิบจับอะไรก็ไม่ได้ ช่วยเหลืออะไรตัวเองก็ไม่ได้สักอย่าง จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้”

 

ผัวะ!

 

คราวที่ถูกตบเข้ากลางศีรษะอย่างจัง คณาธิปก็หันไปมองอย่างตกใจ พอเห็นว่าลภัสกรทำหน้าเมื่อยใส่ก็อ้าปากพะงาบ ๆ มือหนายื่นไปจับขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เมื่อสัมผัสตัวได้ก็ตื่นเต้นยกใหญ่

“ทำไมกูจับมึงได้”

ลภัสกรส่ายหน้าไปมาแล้วขยับลงไปยืนข้างเตียงจนเหลือแต่กายหยาบที่นั่งหลับตาอยู่ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้คณาธิปตกใจไปกันใหญ่

“มะ มึงออกมาได้ยังไงวะ”

“ถอดจิตไงไอ้เวร”

“เจ๋งว่ะ”

“ไม่ตัดพ้อชีวิตต่อแล้วเหรอมึง”

มองคนที่ผุดลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทีที่แตกต่างจากก่อนหน้าลิบลับอย่างอ่อนใจ ขายาวก้าวเดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วหยิบสมุดหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง

“แบบนี้เป็นไง”

“ทำไมมึงจับได้แล้วกูจับไม่ได้”

“ความนิ่งของจิตมึงกับจิตกูมันต่างกันไง”

มือหนาวางหนังสือลงที่เดิมแล้วกลับไปเข้าร่างของตัวเอง ครู่หนึ่งก็เปิดเปลือกตาขึ้นมามองร่างสูงตรงหน้าด้วยสายตาราบเรียบ

“ถ้ามึงฝึกจิตของมึงดี ๆ อีกเดี๋ยวมึงก็หยิบจับของได้เหมือนคนปกติ”

“ฝึกยังไง”

“นั่งสมาธิ”

“โฮ ใครมันจะทำได้”

ลภัสกรชี้มือเข้าหาตัวเองเพื่อบอกว่านี่ไงคนที่ทำได้ ตอนถอดจิตได้แรก ๆ เขาก็ยังหยิบจับอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่พอจิตเริ่มนิ่งก็ทำอะไรได้หลายอย่างเหมือนตอนที่อยู่ในร่าง

“มึงนั่งนานไหมวะกว่าจะถอดจิตได้”

“ก็ฝึกเป็นปี”

“กูไม่ได้มีเวลาขนาดนั้นไหมวะ”

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา ถ้าจิตมึงนิ่งมากพอมึงก็ทำได้เร็ว”

เขาเริ่มนั่งสมาธิฝึกจิตกับพระอาจารย์ปู่ในตอนที่ยังเป็นเด็ก นั่งแป๊บเดียวก็เริ่มเบื่อจนหลุดออกจากสมาธิ กว่าจะนั่งได้นานและเข้าถึงสมาธิได้ก็ใช้เวลาฝึกอยู่หลายเดือน กว่าจะถอดจิตได้ก็ฝึกอยู่นานเป็นปี ทุกอย่างต้องมีการฝึกฝน

“ก็แล้วแต่นะ มึงจะไม่ทำก็ได้ กูไม่ได้ว่าอะไร”

“ฝึกแล้วจะได้อะไรวะ”

“อย่างน้อยมันก็ทำให้มึงมีสติอยู่กับปัจจุบัน”

สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ลภัสกรก็ลุกจากเตียงไปนั่งหลังโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ เปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของงานที่ต้องนำเสนอในวันพรุ่งนี้

“พร้อม”

คนถูกเรียกร้องรับในลำคอแผ่วเบา

“ถามได้ปะ”

“ก็ลองถามดู”

“มึงเห็นผีตั้งแต่เมื่อไรวะ”

มือที่กำลังเลื่อนทัชแพดเพื่อตรวจดูงานชะงักงัน ใบหน้าได้รูปผินมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงก่อนเปลือกตาขาวนวลจะกะพริบลงอย่างเชื่องช้า

“เล่าให้กูฟังหน่อยได้ไหม”

“มึงจะอยากรู้ไปทำไม”

“กูก็แค่อยากรู้เรื่องของมึงบ้าง...”

“แล้วมึงจะมาอยากรู้เรื่องของกูไปทำไม”

ขณะพูดก็ผินหน้ากลับมามองจอโน้ตบุ๊กเช่นเดิม ต่างคนต่างเงียบไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากของคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือก็เอื้อนเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“กูเริ่มเห็นเงาราง ๆ ตั้งแต่จำความได้ แต่เริ่มเห็นเป็นตัว ๆ ตอนจะเข้าม.ต้น”

“มึงไม่กลัวเหรอวะ”

“ใครมันจะไม่กลัว ผีนะไม่ใช่แมว”

“แล้วมึงทำยังไง”

“บวช”

พอเริ่มหวาดกลัวสิ่งรอบกายจนทนไม่ไหว เขาจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อแม่และคุณตาที่เสียไปเมื่อสองปีก่อน คุณตาจึงเอาเรื่องของเขาไปปรึกษากับพระอาจารย์ปู่ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดแถวบ้าน พอพระอาจารย์ปู่บอกให้บวชเรียนกับท่าน เดี๋ยวท่านจะช่วยดูแลให้ ทางบ้านก็ตกลงแล้วให้เขาบวชเรียนทันที

ซึ่งสามปีที่บวชเรียนเขาก็ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รวมทั้งวิชาอาคมมาจากพระอาจารย์ปู่ เมื่อคิดว่าสามารถใช้ชีวิตกับโลกปกติได้แล้ว พระอาจารย์ปู่จึงทำการลาสิกขาให้

แต่กระนั้นทุกช่วงปิดเทอม ไม่ว่าจะเทอมเล็กหรือเทอมใหญ่เขาก็มักจะกลับไปถือศีลอยู่กับพระอาจารย์ปู่ตลอด จนพอมีวิชาอาคมที่ติดตัวเพื่อช่วยเหลือตัวเองและคนอื่นได้ แต่ว่าที่ผ่านมาไม่มีเหตุอะไรให้เขาได้ใช้มันเลย นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้งัดเอาของที่มีมาใช้อย่างจริงจังเพื่อช่วยให้วิญญาณที่รับมาเลี้ยงดูกลับเข้าร่างได้

“ถึงว่า ตอนเข้าม.สี่หัวมึงถึงได้เกรียน ๆ”

“มึงรู้จักกูตั้งแต่ม.สี่แล้วเหรอ”

“กูไม่ใช่มึงนะ เรียนมาตั้งสามปีรู้จักแค่ชรัณคนเดียว”

เมื่อโดนแขวะ ลภัสกรก็หยิบปากกาขึ้นมาเขวี้ยงใส่คนที่นั่งอยู่บนเตียงทันที แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นแค่วิญญาณมันจึงผ่านร่างไปเฉย ๆ

“แน่จริงก็เขวี้ยงให้มันโดนสิไอ้หนู”

“เดี๋ยวกูก็ถอดจิตไปตบให้อีกรอบ”

 

 

 

ทำนั่นทำนี่อยู่กระทั่งดึกดื่น ลภัสกรจึงเข้านอนเพราะต้องตื่นไปนำเสนองานแต่เช้า ส่วนคณาธิปที่ไม่มีอะไรทำก็เดินไปเดินมาอยู่ในห้องเป็นชั่วโมง พอเริ่มเบื่อก็ออกไปที่ระเบียงเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ทว่าคราวที่สายตาสบกับแสงวูบหนึ่งที่อยู่นอกรั้ว สติที่มีก็เริ่มขาดหายจนเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้

ร่างสูงที่เหม่อลอยคล้ายกับถูกสะกดจิตหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง เดินผ่านเตียงนอนหลังกว้างที่มีเจ้าของบ้านนอนหลับใหลอยู่ไปที่ประตูแล้วทะลุออกไปข้างนอก ขายาวก้าวลงบันไดทีละขั้นอย่างไม่รีบร้อนจนกระทั่งลงมาชั้นล่างที่มืดมิด เลี้ยวไปยังประตูทางออกแล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหน้ารั้ว

เห็นดังนั้นท่านเจ้าที่ซึ่งคอยปกปักรักษาบ้านอยู่จึงออกมาขวางหน้าไม่ให้ออกไปข้างนอก เพราะตัวเองจะช่วยเหลืออะไรได้ไม่มากนัก

“ไอ้หนุ่ม เอ็งจะออกไปข้างนอกไม่ได้นะ!”

ท่านเจ้าที่เอ่ยปากเตือนก่อนจะสะดุ้งเมื่อดวงตาของคณาธิปเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ทว่าไม่ทันไร คนที่ไม่มีสติก็จับท่านเจ้าที่เหวี่ยงอัดกำแพงด้วยแรงมหาศาล

“ยะ อย่าออกไปนะ”

“ออกมาหากูประเดี๋ยวนี้”

เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นหลังสิ้นเสียงห้ามปรามของท่านเจ้าที่ ทำให้ขายาวก้าวออกไปด้านหน้า แต่ก่อนที่จะได้ออกไปนอกประตูรั้วตามคำสั่ง ท่านเจ้าที่ก็ใช้เชือกมนตร์มัดรอบตัวเพื่อดึงไว้อีกครั้ง

ในเมื่อมาอยู่ในบ้านหลังนี้เขาก็ต้องช่วยดูแลตามที่เจ้าของบ้านได้ขอไว้ ไม่ว่าจะคนหรือวิญญาณก็ต้องช่วยเหลือให้สุดความสามารถ

“ไอ้หนุ่ม เอ็งตั้งสติหน่อยสิวะ!”

“มึงอย่าเสือก!”

เสียงตวาดกร้าวที่ดังขึ้นพร้อมกับลมที่กระโชกจนต้นไม้ไหวตามแรง ก่อนสายฟ้าเส้นหนึ่งจะผ่าลงมา ทำให้เชือกที่ถูกเสกขึ้นมาขาดออกจากกัน จนคณาธิปที่ถูกสะกดด้วยแรงอาฆาตออกไปข้างนอกได้สำเร็จ ซึ่งพอมนตร์สะกดคลายออกก็ได้สติกลับคืนมา

แต่ยังไม่ทันตั้งตัว เหล่าสัมภเวสีที่ถูกสั่งให้มาทำร้ายก็พุ่งเข้าใส่วิญญาณเจ้าตัวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ทั้งโดนกัด โดนทึ้ง จนไม่รู้ว่าจะปัดป้องตรงไหนก่อน

เมื่อเห็นท่าไม่ดี ท่านเจ้าที่จึงรีบเร่งไปที่ห้องนอนของลภัสกรเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าพอเห็นว่าคนที่พอจะช่วยได้หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ก็รีบปลุกด้วยความอาทรร้อนใจ

“เจ้าพร้อม ตื่นก่อน!”

คนหลับยังคงนิ่งไม่ขยับราวกับไม่ได้ยิน จนท่านเจ้าที่ต้องใช้เสียงที่มากขึ้น

“พร้อม! ตื่น!”

 

เฮือก!

 

คนถูกปลุกกลางดึกสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจพลางหอบหายใจถี่ ตาคมกวาดมองหาคณาธิปรอบห้องตามที่จิตใต้สำนึกสั่ง เมื่อไม่เจอก็หยุดมองท่านเจ้าที่ซึ่งยืนอยู่ข้างเตียง

“มีอะไรครับท่าน”

“ไอ้หนุ่มเพื่อนเอ็งมันแย่แล้ว รีบไปช่วยเร็ว!”

คนที่กำลังสะลึมสะลือตื่นเต็มตาแล้วรีบวิ่งไปเปิดม่านดูทันที คราวที่เห็นว่าคณาธิปกำลังถูกสัมภเวสีรุมทึ้งก็รีบออกจากห้องนอนตรงไปเอาไม้หวายลงอาคมที่ห้องพระ พอได้มาไว้ในมือก็รีบออกมาที่หน้าบ้าน มุ่งตรงเข้าไปใกล้กลุ่มสัมภเวสีแล้วฟาดไม้หวายใส่อย่างแรงจนวิญญาณที่โดนตีสลายไป กลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งกระจายไปทั่วจนต้องกลั้นลมหายใจ

“ท่านเจ้าที่ช่วยดึงไอ้คุณออกไปหน่อยครับ”

ลภัสกรหันไปพูดกับท่านเจ้าที่ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่แล้วฟาดหวายลงอาคมใส่เหล่าสัมภเวสีไม่หยุด พอท่านเจ้าที่ดึงคณาธิปออกไปแล้วพากลับเข้าบ้านได้สำเร็จ มือขาวก็ยกไม้หวายชี้หน้าวิญญาณร้ายที่กำลังจะพุ่งเข้ามาอย่างข่มขู่

“อยากลงนรกนักพวกมึงก็เข้ามา!”

เมื่อขู่แล้วเหล่าสัมภเวสียังดื้อด้านที่จะเข้ามา สองมือก็ยกขึ้นประนมไว้กลางอกแล้วบริกรรมคาถาภายในใจ รูดมือตามความยาวของไม้หวายแล้วฟาดทีเดียวแรง ๆ จนเส้นแสงสีทองสาดซัดใส่ร่างให้อันตรธานหายวับไปกับตา

ลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นออกมาก่อนที่เจ้าของร่างสูงสมส่วนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อขึ้นมาบนชั้นสองแล้วเห็นว่าท่านเจ้าที่กำลังดูใจคนที่วิญญาณติด ๆ ดับ ๆ อยู่กลางโถง ลภัสกรก็รีบเดินเข้าไปในห้องพระ วางหวายลงอาคมเก็บไว้บนพานทองแล้วนั่งลงบนเบาะรอง มองพระที่ประดิษฐานอยู่บนหิ้งแล้วเริ่มสวดมนต์เพื่อจะแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปช่วยวิญญาณของคณาธิปที่ถูกสัมภเวสีทำร้ายอย่างหนัก

ขณะที่ลภัสกรกำลังสวดมนต์อยู่นั้น ออราสีขาวจากอำนาจพระพุทธคุณก็แผ่กระจายออกไปปกคลุมบ้านทั้งหลังไว้ ทำให้วิญญาณหญิงสวมชุดไทยสมัยโบราณที่เปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาตไม่สามารถทำอะไรได้ ดวงตาสีดำมืดมีเลือดไหลออกมาเป็นสาย รอบกายมีเงาดำขมุกขมัวของความแค้นโอบอุ้มไว้

“มึงช่วยมันมิได้ตลอดรอดฝั่งดอก!”

เสียงตะโกนกร้าวที่มาพร้อมลมพัดกระโชกแรง เส้นสายฟ้าฟาดลงมาจนต้นไม้หักโค่น ไม่นานฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามสนั่นหวั่นไหวจนบ้านสั่นสะเทือน

 

 

 

นั่งสวดมนต์อยู่นานจนกระทั่งพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ลภัสกรถึงได้หยุดทุกอย่างลงแล้วหันกลับไปมองคณาธิปที่นั่งสมาธิอยู่หน้าห้องพระ คราวที่เห็นว่าวิญญาณของอีกฝ่ายกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พากายเดินออกมาจากห้องพระแล้วกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองอย่างเงียบเชียบ

ตาคมเหลือบมองนาฬิกาดิจิทัลที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกมากจึงไปเตรียมข้าวของที่ต้องนำเสนอกับอาจารย์วันนี้ให้เรียบร้อย ตรวจเช็กซ้ำอีกสองรอบก่อนจะเข้าห้องน้ำไปจัดการกับร่างกายที่อ่อนล้าของตัวเอง

ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาที ลภัสกรที่อยู่ในชุดพร้อมไปมหาวิทยาลัยก็ออกมาด้านนอก ยามที่เห็นว่าคณาธิปนั่งรออยู่ปลายเตียงก็พยักพเยิดหน้าทักทายตามประสา แม้จะยังไม่คุ้นชินกับการมีอีกฝ่ายวนเวียนอยู่รอบตัวก็ตาม

“ทำไมกูต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยวะ”

เจ้าของห้องกะพริบตาลงทีหนึ่งเมื่อเห็นว่าร่างสูงทำหน้าเศร้าสร้อยยิ่งกว่าเดิม สงสัยจะยังตกใจเรื่องเมื่อคืนอยู่ละมั้งนะ ก็โดนสัมภเวสีนับสิบตัวรุมทึ้งซะขนาดนั้นนี่เนอะ จะไม่กระทบกระเทือนจิตใจเลยก็คงเป็นไปไม่ได้

“กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูออกไปข้างนอกได้ยังไง กูไม่ได้ตั้งใจนะเว้ยพร้อม”

“ตอนนี้ดวงมึงตก จิตก็เลยอ่อน มึงเลยถูกควบคุมได้ง่าย ๆ”

ลภัสกรไม่กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย เพราะเพียงเท่านี้ก็น่าจะรู้สึกแย่ไปอีกนานแล้ว

“วันหลังค่ำ ๆ มืด ๆ ก็อย่าออกไปข้างนอกอีก ถ้าอยู่แต่ในนี้มึงจะปลอดภัย”

“อื้อ” คนฟังรับคำแต่โดยดี “ว่าแต่มึงไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมพร้อม”

“กูไม่เป็นอะไรหรอก”

ว่าแล้วก็อ้าปากหาวหวอดตามประสาคนที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ

“แค่ง่วง”

“ขอโทษ”

“ช่างเถอะ ไม่ได้หนักหนาอะไรเท่าไรหรอก”

ลภัสกรพูดอย่างไม่ใส่ใจเพราะไม่อยากให้อีกคนคิดมาก ขายาวเดินไปหยุดอยู่ตรงกองข้าวของที่วางเตรียมไว้แล้วหยิบกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊กขึ้นมาสะพายหลัง ต่อมาก็หันไปหยิบกระเป๋าใส่แบบขนาดเอสองขึ้นมาสะพายไว้ที่ไหล่

“กูไปนะ”

“เดี๋ยวกูเดินไปส่ง”

เจ้าของบ้านได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินนำออกมาจากห้องนอนลงมาข้างล่าง พอก้าวขาพ้นบันไดขึ้นสุดท้ายก็เดินเลี่ยงไปยังห้องทำงานของผู้เป็นแม่ เปิดประตูออกกว้างแล้วกวาดสายตามองห้องที่ค่อนข้างรกเพราะแม่ทำงานค้างไว้ ขายาวก้าวเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไปเอาโมเดลของตัวเองที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมุมห้อง

“โฮ นี่มึงทำเองหมดเลยเหรอ”

“อือ”

เนื่องจากมีแม่เป็นสถาปนิก ท่านจึงช่วยตรวจให้ตั้งแต่ขั้นตอนร่างแบบ พอเริ่มทำโมเดลก็มาตรวจโครงสร้างให้ ตรงไหนไม่สมดุลก็แปะโน้ตไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อให้แก้ไข้ หากมีเวลาว่างก็มาช่วยนั่งตัดกระดาษชานอ้อยบ้าง

“เรียนจบเมื่อไร กูจะเป็นคนแรกที่ไปจ้างมึงออกแบบบ้านให้”

“ก่อนจะเรียนจบ กรุณากลับเข้าร่างให้มันได้ก่อนเถอะมึงน่ะ” ลภัสกรแบกโมเดลของตัวเองขึ้นมาถือไว้แล้วเดินออกมาจากห้อง จังหวะเดียวกันนั้นพ่อกับแม่ก็ลงมาพอดี “สวัสดีครับ”

“จะไปแล้วเหรอลูก ไม่อยู่กินข้าวเช้าด้วยกันก่อนเหรอ”

“เดี๋ยวพร้อมไปหาอะไรกินที่มหาวิทยาลัยก็ได้ครับแม่”

“สู้ ๆ นะคนเก่ง”

ลภัสกรยิ้มให้อย่างสดใสผิดกับหน้าตาที่อ่อนล้าก่อนจะเดินออกมาจากบ้าน เปิดประตูหลังออกแล้วเอาของเข้าไปเก็บอย่างระมัดระวัง เมื่อมั่นใจแล้วว่ามันคงไม่หล่นลงมาพังเสียหายจึงปิดประตูลงให้สนิท เหลือบมองคณาธิปที่สงบเสงี่ยมอยู่หน้ารถก่อนจะมองเลยไปยังท่านเจ้าที่ที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล

“ท่านเจ้าที่ ฝากดูมันทีนะครับ”

“โชคดีนะ ขอให้ได้คะแนนดี ๆ”

“ขอบคุณครับ”

ไหว้ขอบคุณท่านเจ้าที่แล้วหันไปพยักพเยิดหน้าให้คณาธิปที่ยืนหน้ามุ่ยเพื่อบอกลา เมื่อขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับแล้วก็หยิบรีโมทเพื่อเปิดประตูรั้ว แต่ก่อนจะได้ขับรถออกจากบ้านก็ลดกระจกลงแล้วชะโงกหน้าไปพูดกับคนที่มองตามตาละห้อยอีกครั้ง

“อยู่ดี ๆ นะมึง ไม่ใช่ทะเล่อทะล่าออกไปให้ผีมันแดกหัวเอาอีก”

“รู้แล้วน่า” คณาธิปทำหน้าเมื่อยใส่คนที่ทำราวกับว่าตัวเองเป็นเด็ก “กลับมาเร็ว ๆ นะ คิดถึง”

“ทีอย่างนี้ล่ะคิดถึงกูขึ้นมาเชียวนะไอ้สันขวาน”

 

 

 

 

#รัตติกาลผันแปร

แน่ะ คิดถึงเขาเหรอคุณณณณ คิดไรกับเขาเปล่าตัววววว

เอ็นดู เป็นวิญญาณก็โดนตบได้นะครับโผ้ม 555555555555555

 

- ZANIA -