‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...
ระทึกขวัญ,ชาย-ชาย,ไทย,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
รัตติกาลผันแปร‘คณาธิป’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...
คุณ คณาธิป เตสิทธิ์โสภณ
เกิดวัน ศุกร์ ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒xxx
อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๖
พร้อม ลภัสกร จิรเมธานนท์
เกิดวัน เสาร์ ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒xxx
อายุ ๒๐ ปี สูง ๑๘๐
รัตติกาลผ่านพ้น ไปนาน นักแล
เวรคู่กรรมเดือดดาล คั่งแค้น
สองเราฝ่าฟันผ่าน คืนค่ำ ช้ำแฮ
สู้คู่จองเวรแม้น มอดม้วยมรณา
‘ลภัสกร’ ฝันถึงชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมทุกครั้ง เขาจึงตัดสินใจตามหาและไปเตือนด้วยความหวังดี ทว่านอกจากจะไม่เชื่อในคำพูด อีกคนยังทำตัวกวนประสาทใส่ไม่หยุด
“มึงบอกว่ากูจะตายใช่ไหม”
“จะกวนตีนอะไรกูอีก”
“เปล่า แค่จะบอกว่าถ้ากูตายขึ้นมาจริง ๆ กูจะไปหามึงเป็นคนแรกเลย”
หลังจากนั้นสองอาทิตย์ ‘คณาธิป’ ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ลภัสกรจึงต้องรับมาดูแลชั่วคราว และหากไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ก่อนวันเกิดปีที่ ๒๐ คณาธิปก็จะตายจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์...
เขียน | ZANIA
นักวาด | Inine.pyc
ไทโป | Tokung
คำเตือน
๑.นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสยองขวัญและเป็นเพียงเรื่องที่ถูกสมมติขึ้น ตัวละครในเรื่องไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง ในเรื่องมีการอ้างอิงช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาเขียน เป็นเพียงแค่การอ้างอิงเวลาเท่านั้น เหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติ ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาใดเลย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เหมาะกับผู้ที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป
๒.มีการใช้บทสวดมนต์และคาถาที่มีอยู่จริง ซึ่งทางนักเขียนได้ทำการหาข้อมูลมาจากอินเตอร์เน็ต มิได้คิดขึ้นเองแต่อย่างใด เป็นบทสวดที่พบเห็นได้ทั่วไป มีการบรรยายถึงสิ่งลี้ลับที่อาจทำให้ตกใจได้ มีเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่เพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางนักเขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้
๓.มีการเล่าถึงการฆ่าตัวตาย การประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ เลือด ฉากสะเทือนอารมณ์
๔.สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.๒๕๕๘
ช่องทางการติดต่อนักเขียน
PAGE FB : Zania/ซาร์เนียร์ - นักเขียน
X : https://twitter.com/zxxzanxa
Tiktok : @zxxzanxa
เล่นแท็ก #รัตติกาลผันแปร
กรุณาคอมเมนต์ด้วยความสุภาพ
ขอบคุณค่ะ
บทที่ ๗
กาญจนบุรี
“ลงมาแล้วเหรอลูก”
“ครับ”
ลภัสกรตอบกลับผู้เป็นแม่แล้วนั่งลงประจำที่ของตัวเอง มองอาหารเช้าหน้าตาน่ากินแล้วหยิบช้อนส้อมขึ้นมาถือไว้ ตาคมเหลือบมองร่างสูงที่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะเริ่มลงมือกินมื้อเช้าในส่วนของตัวเอง
“พร้อม” คราวที่ถูกเรียกขึ้นมา ลภัสกรก็หันไปมองพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะทันที “พาอะไรเข้าบ้าน”
“ครับ?”
“พ่อเช็กดูกล้องวงจรปิดเลยได้เห็นว่าลูกออกไปทำอะไรคนเดียวหน้าบ้านตอนดึก ๆ ดื่น ๆ”
คนเป็นลูกกะพริบตาถี่พลางเหลือบมองร่างสูงข้างกายที่ตกใจไม่แพ้กัน
“บอกมา ลูกพาอะไรเข้าบ้าน”
“เพื่อนครับ” เมื่อไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหก ลภัสกรก็พูดออกไปตามความจริง “เพื่อนพร้อมเกิดอุบัติเหตุแล้ววิญญาณออกจากร่าง พร้อมเลยให้มันมาอยู่ด้วยชั่วคราว จนกว่าจะกลับเข้าร่างได้”
“เขายังไม่ตายใช่ไหม”
“ยังครับ ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”
“เขาอยู่ข้าง ๆ ใช่ไหม...”
วิเชียรเหลือบมองเก้าอี้ตัวข้างลูกชายครู่หนึ่งก่อนจะดึงสายตากลับมา พอใบหน้าได้รูปพยักลงแทนคำตอบ วิเชียรก็สูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วผ่อนออกมายาวเหยียด ถึงแม้วิญญาณที่อยู่ข้างกายลูกจะยังไม่ตาย แต่เขาที่กลัวผีขึ้นสมองก็อดใจสั่นขึ้นมาไม่ได้
“ตะ ตามสบายนะลูก ขอให้กลับเข้าร่างได้ไว ๆ”
“ขอบคุณครับ”
“มันฝากบอกว่าขอบคุณครับ”
วิเชียรพยักหน้ารับพลางยกกาแฟขึ้นจิบ ระหว่างนี้ก็จ้องมองลูกชายที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามไปด้วย พอเห็นว่าลูกมองเก้าอี้ตัวข้างกายทีก็ขยับตามองตามที หัวใจที่เต้นอยู่ในอกก็ทำงานหนักขึ้น หน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดซึมตามประสาคนกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น
“ว่าแต่พ่อกับแม่จะไปดูไซต์งานที่เชียงใหม่กี่วันเหรอครับ”
“ไปสองอาทิตย์”
เป็นคนพ่อที่ตอบคำถามของลูกชาย เพราะภรรยาคนสวยของตัวเองกำลังละเลียดมื้อเช้าอย่างอารมณ์ดีอยู่
“กลับจากเชียงใหม่เดี๋ยวพ่อกับแม่จะตามไปที่กาญนะ น่าจะชนช่วงสงกรานต์พอดี”
“เดี๋ยวพร้อมจะเตรียมห้องหับไว้รอ”
“ว่าแต่พร้อมจะพาเพื่อนไปด้วยหรือเปล่า”
แม้จะมองไม่เห็น ทว่าวิเชียรก็บุ้ยปากไปทางเก้าอี้ตัวที่คณาธิปนั่งอยู่เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่าเพื่อนที่กล่าวถึงนั้นเป็นใคร
“หรือจะปล่อยไว้ที่บ้านเรา”
“กูอยากไป พากูไปด้วยนะพร้อม”
“ก็คงจะต้องพาไปนั่นแหละครับ อยู่บ้านก็ไม่มีใครดูแลหรอก” เหลือบมองคนข้างกายที่ทำท่าทางดีใจเหมือนลูกหมาได้ขนมแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา
อันที่จริงเขาก็ตั้งใจจะพาคณาธิปไปที่กาญจนบุรีด้วยกันอยู่แล้ว เขาตั้งใจจะไปขอความช่วยเหลือจากพระอาจารย์ปู่ เพราะลำพังเขาแค่คนเดียวคงไม่สามารถช่วยให้อีกฝ่ายกลับเข้าร่างได้แน่ แม้ว่าเขาจะมีวิชาอาคมติดตัวอยู่บ้างก็ตาม แต่กระนั้นก็ยังไม่เก่งเท่าศิษย์ผู้พี่ที่เรียนด้วยกันมา
หลังจบมื้ออาหาร ลภัสกรก็ออกไปส่งพ่อกับแม่ขึ้นรถที่หน้าบ้าน ร่ำลากันพอเป็นพิธีก่อนปล่อยทั้งสองคนขึ้นรถ เพราะหากไปสายกว่านี้อาจจะตกเครื่องบินได้ ยืนมองจนกระทั่งรถตู้พ้นประตูบ้านไปถึงได้เดินกลับเข้าข้างในพร้อมกับวิญญาณที่ตามติดกันเป็นเงา
ขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเอง ลภัสกรก็เดินเลี่ยงเข้าไปทางห้องแต่งตัวเพื่อเก็บเสื้อผ้าและของใช้บางส่วนสำหรับไปอยู่กาญจนบุรีในช่วงปิดเทอมใหญ่ เอากระเป๋าเดินทางออกมากางไว้ที่พื้นแล้วเหลือบมองคนที่ยืนค้ำหัวกันอยู่
“โทษที”
คณาธิปเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้าเก้อเขินแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นทันควัน ระหว่างที่เจ้าของบ้านกำลังเก็บนั่นเก็บนี่ใส่กระเป๋า ตาคมก็กวาดมองห้องแต่งตัวที่เป็นโทนสีขาวสะอาดตาอย่างสนอกสนใจ
อยู่ที่นี่มาหลายวัน เขาไม่เคยเห็นลภัสกรทำห้องรกเลยสักครั้ง หยิบอะไรมาจากตรงไหนก็เอาวางไว้ที่เดิมตลอด ขนาดโต๊ะทำงานที่ของเยอะแยะก็ยังดูเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างไม่น่าเชื่อ
“มึงเป็นคนเจ้าระเบียบเหรอ”
“เปล่า”
“แต่ห้องมึงเนี๊ยบมากเลยนะ”
“กูไม่ชอบให้รก”
“ก็เจ้าระเบียบแหละ”
ด้วยความขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วย เจ้าของห้องจึงเลือกที่จะเงียบแล้วลุกขึ้นไปหยิบของใช้ส่วนตัวที่ยังไม่ได้แกะออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งคนขี้สงสัยก็คลานตามมาชะโงกคอดูอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่พอเห็นว่าข้าวของถูกจัดเรียงกันอย่างดิบดีก็กะพริบตาถี่
“โฮ ของในลิ้นชักยังเป็นระเบียบกว่าลิ้นชักเก็บกางเกงในกูอีก”
“มึงมันซกมก”
“เขาเรียกว่าผู้ชายอกสามศอก”
“ซกมกก็คือซกมก อย่ามาอ้าง”
ลภัสกรมองคนที่มุ่ยหน้าใส่ตัวเองอย่างไม่พอใจแล้วปิดลิ้นชักลงดังเดิม เอาของที่หยิบออกมาไปเก็บใส่กระเป๋าที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเพื่อให้ง่ายต่อการหยิบใช้ หางตาก็เหลือบมองคนที่นอนคว่ำหน้าไปกับพื้นห้องอย่างเอือมระอา
“หลังมึงไม่มีกระดูกหรือไงถึงนั่งดี ๆ ไม่เป็น”
“ก็นั่งสมาธิมาทั้งคืนแล้วไง ขอนอนบ้างไม่ได้เหรอ”
“มึงก็ออกไปนอนให้มันเป็นที่เป็นทางซะสิ”
“แต่กูอยากนอนตรงนี้อะ มึงจะทำไม”
“เดี๋ยวกูฟาดด้วยหวายเลยไอ้นี่”
ลภัสกรถลึงตาใส่อย่างเหลืออดแล้วดึงสายตากลับมาเช็กข้าวของในกระเป๋า เมื่อเห็นว่ายังอัดเข้าไปได้อีกหน่อยก็เดินไปเปิดตู้เพื่อเอาชุดมาเพิ่ม
“พร้อม”
คนถูกเรียกเหลือบไปมองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาเลือกชุดในตู้ต่อ
“เมื่อวานมึงคุยโทรศัพท์กับใครวะ”
“มึงจะอยากรู้ไปทำไม”
“เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็เลยลองถามดู”
ใบหน้าหล่อเหลาของคนที่นอนคว่ำอยู่กับพื้นซบลงบนหลังมือตัวเอง ตาก็มองร่างสูงเจ้าของบ้านขยับเดินไปหยิบนั่นทีหยิบนี่ทีอย่างไม่วางตา
“แฟนเหรอ...”
“ไม่ใช่”
“ไม่ใช่แฟนเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
คราวที่โดนตอกกลับมาแบบนั้น คณาธิปก็เบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ทันที ความลับเยอะแบบนี้ถ้าไม่ใช่แฟนแล้วจะเป็นอะไรได้ ใครมันจะคุยโทรศัพท์แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ตั้งนานสองนานขนาดนั้นหากไม่ได้คุยกับคนที่รัก
“มึงอยากไปเยี่ยมร่างของตัวเองไหม กูจะได้พาไปก่อนที่เราจะไปกาญจนบุรี”
“ไม่ดีกว่า”
“ทำไม”
“เห็นร่างตัวเองแล้วมันทำใจไม่ได้”
อีกอย่างคือไม่อยากเห็นพ่อแม่ที่เฝ้ารอให้เขาฟื้นขึ้นมาด้วยสีหน้าอมทุกข์ กลัวว่าตัวเองจะจิตตกอีกรอบทั้งที่เพิ่งดีขึ้นมาได้ไม่นาน
“เมื่อไรกูจะกลับเข้าร่างได้วะพร้อม”
“เมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ”
“มึงส่งกูกลับเข้าร่างไม่ได้จริง ๆ เหรอ”
“ถ้าทำได้กูคงทำไปนานแล้ว ไม่เก็บมึงมาไว้ข้างตัวแล้วฟังมึงบ่นเป็นแมลงหวี่แมลงวันอยู่อย่างนี้หรอก”
ขณะพูดก็เดินกลับมาที่กระเป๋าเดินทาง พับชุดที่เอามาเพิ่มใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยแล้วปิดลงเสร็จสรรพ
“สรุปมึงจะไม่ไปเยี่ยมร่างของตัวเองที่โรงพยาบาลแน่นะ”
“ไม่ไป”
“โอเค งั้นพรุ่งนี้ก็เตรียมตัวไปกาญได้เลย”
ยามแสงแรกของวันโผล่พ้นขอบฟ้า คนที่นอนหลับอยู่ตลอดทั้งคืนก็ผุดลุกขึ้นมานั่งกลางเตียงหลังกว้าง ใบหน้าขาวนวลติดงัวเงียผินมองร่างสูงที่นั่งสมาธิอยู่บนพื้นกลางห้องตามความเคยชินพลางยกมือขึ้นจัดทรงผมของตัวเอง ครู่หนึ่งก็ขยับลงเตียงด้วยความระมัดระวังแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเงียบเชียบ ด้วยกลัวว่าจะรบกวนคนที่กำลังทำสมาธิเข้า
ใช้เวลาจัดการกับตัวเองอยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจ้าของห้องก็ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้องแต่งตัว วางกระเป๋าไว้กลางห้องแล้วเดินไปหยิบข้าวของที่จำเป็นใส่กระเป๋าสะพาย เมื่อเช็กดูแล้วเห็นว่าไม่ลืมอะไรก็ตวัดกระเป๋าขึ้นสะพายไว้ที่ไหล่ข้างซ้ายก่อนจะเหลือบมองคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างกระเป๋าใบใหญ่อย่างพิจารณา
สีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนจะดูดีขึ้นมานิดหนึ่งหรือเปล่านะ สงสัยจะได้ผลบุญจากการนั่งสมาธิอยู่ทั้งคืน
“พร้อมหรือยัง”
“พร้อมมาก”
“งั้นก็ไปกัน”
ลภัสกรเอื้อมมือไปจับหูลากกระเป๋าแล้วเดินนำออกจากห้องลงมายังชั้นล่าง ส่งกระเป๋าเดินทางให้แม่บ้านเพื่อบอกให้เอาไปใส่หลังรถ ส่วนตัวเองก็เดินเลี่ยงไปทางห้องอาหารเพื่อกินอาหารเช้ารองท้องก่อนออกเดินทาง พอนั่งลงประจำที่เรียบร้อยแล้วก็เหลือบมองคนที่ทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างเฉกเช่นทุกครั้ง
“อยากกินด้วยกันไหม”
“มันก็น่าอร่อยดีนะ”
“ป้านวลครับ ยังมีข้าวผัดเหลือไหมครับ ถ้ายังเหลือเอามาให้ผมอีกจาน”
ป้านวลที่ยืนกุมมืออยู่ไม่ไกลลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางมองเก้าอี้ข้างกายคุณหนูของบ้านอย่างหวาดระแวง
“เอาธูปมาให้ผมด้วยก้านหนึ่ง”
“ดะ ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าไปเอาให้”
ตาคมอ่อนแสงมองตามหลังป้านวลที่พูดจาตะกุกตะกักออกจากห้องอาหารไปด้วยรอยยิ้ม ป้านวลเป็นแม่บ้านเก่าแก่ เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายย่อมรู้อยู่แล้วว่าเขาเห็นอะไรที่คนอื่นเขามองไม่เห็น เมื่อวานตอนที่พ่อเขาถามว่าพาอะไรเข้ามาในบ้าน ป้านวลเองก็อยู่ด้วย อีกฝ่ายจะหวั่นใจหน่อย ๆ ก็ไม่แปลก
“ป้าเขาเหมือนกลัวอะไรเลยนะ”
“กลัวมึงน่ะสิ”
“จะกลัวทำไม กูออกจะหล่อขนาดนี้”
“ก็มึงเป็นผีนี่ เขาถึงได้กลัว”
“กูไม่ใช่ผี!”
ลภัสกรได้แต่มองคนที่ทิ้งหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่พอใจในคำพูดของตัวเองด้วยสายตาเรียบนิ่ง พอป้านวลเอาข้าวผัดหนึ่งจานกับธูปหนึ่งดอกที่จุดเรียบร้อยแล้วมาให้ สองมือหนาก็ยกขึ้นประนมโดยประกบก้านธูปไว้ ว่ากล่าวอะไรไปตามพิธีก่อนจะปักก้านธูปลงกลางจานข้าว พยักพเยิดหน้าบอกให้คนข้างกายกินข้าว ก่อนที่จะหยิบช้อนส้อมขึ้นมาแล้วกินในส่วนของตัวเองบ้าง
“พร้อม”
“อะไร”
“กูหยิบช้อนไม่ได้”
“ใช้มือ”
จัดการกับมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ลภัสกรก็ออกมาไหว้ลาท่านเจ้าที่แล้วฝากฝังให้ช่วยดูแลบ้านให้ยามที่ตัวเองไม่อยู่ พอล่ำลากันเสร็จก็เดินไปขึ้นรถแล้วขับออกมาจากบ้าน ระหว่างทางก็เหลือบมองคนข้างกายที่เดี๋ยวก็หันหน้าหันหลังอยู่แทบจะทุกสองนาทีอย่างอ่อนใจ
“เป็นอะไรของมึง”
“กูกลัวผีมันจะมาเกาะรถเหมือนคราวก่อนอีกน่ะสิ”
“ถ้ากลัวขนาดนี้ก็ลงหม้อไหม กูจะได้สบายหูด้วย”
คณาธิปส่ายหน้าเป็นพัลวัน จะให้ลงไปอยู่ในหม้อมืด ๆ ที่ไม่มีการตกแต่งภายใน แถมไม่มีแม้แต่แสงไฟแบบนั้น เขายอมนั่งระแวงอยู่ข้างนอกซะยังจะดีกว่า
“ไม่เอาก็อย่าลนลาน ไม่อย่างนั้นกูจะจับยัดลงหม้อให้ดู”
เดินทางมาได้เกือบสามชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงอำเภอไทรโยคซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่ลภัสกร ทันทีที่รถจอดลงหน้าบ้านทรงไทยประยุกต์ขนาดใหญ่กลางเก่ากลางใหม่ คนงานที่คอยดูแลบ้านให้ยามเจ้าของบ้านไม่อยู่ก็ออกมาต้อนรับ เพราะนานทีปีหนถึงจะพากันกลับมาเยี่ยมเยียนสักที
“สวัสดีค่ะคุณพร้อม ไม่เจอกันตั้งนาน หล่อขึ้นนะคะเนี่ย”
เมื่อลูกสาวของคนสนิทของผู้เป็นยายซึ่งเสียไปนานมากแล้วยกยอ ลภัสกรก็ยิ้มรับ ตาคมกวาดมองรอบบ้านเพื่อหาความผิดปกติตามความเคยชิน พอเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็หันกลับมามองน้าเดือนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“มาเหนื่อย ๆ เข้าไปดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อนนะคะ น้าเตรียมไว้ให้พร้อมหมดแล้ว”
“อืม...”
ส่งเสียงออกมาอย่างไม่แน่ใจก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา พอเห็นว่าสิบเอ็ดโมงกว่าแล้วจึงส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมขอไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวมันจะเลยเที่ยง”
“ถ้างั้นเดี๋ยวน้าไปเอาของให้นะคะ”
รอไม่นานนัก น้าเดือนกับคนงานสองคนก็ยกของที่สั่งให้เตรียมไว้ออกมาจากบ้าน ยามจัดวางของสำหรับถวายเสร็จเรียบร้อย ลภัสกรก็หยิบธูปขึ้นมาเจ็ดดอกแล้วจุดไฟที่ปลาย พอไหม้ทั่วกันถึงได้สะบัดให้ดับลงจนควันลอยพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศ สองมือยกขึ้นประนมประกบธูปไว้กลางอก ริมฝีปากได้รูปก็บริกรรมบทสวดออกมาเสียงแผ่ว
“อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง”
หลังจากท่องบทสวดจนครบสามจบ ลภัสกรก็อธิษฐานบอกกล่าวเรื่องของคณาธิปกับเจ้าที่เจ้าทางตามตำรับพิธี แม้ว่าก่อนหน้าที่จะเลี้ยวรถเข้าบ้านจะพูดขออนุญาตแล้วก็ตาม พอท่านรับรู้แล้วจึงปักธูปทั้งเจ็ดดอกลงในกระถางทรายแล้วยกมือขึ้นไหว้จรดศีรษะอีกครั้ง
“คราวนี้เข้าไปดื่มน้ำดื่มท่าได้แล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ”
ลภัสกรตอบรับเสียงนุ่มพลางเหลือบไปมองคณาธิปที่ยืนอยู่ไม่ไกล พยักพเยิดหน้าให้เดินตามแล้วนำเข้าไปในบ้าน เขาเข้ามาถึงห้องรับแขกก็กวาดสายตามองหาเจ้าตัวแสบทั้งสองตน ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ไปแกล้งใครมาบ้างหรือเปล่า
“มาแล้วเหรอจ๊ะพี่พร้อม”
เมื่อเสียงของเด็กแฝดดังขึ้นจากทางด้านหลัง ลภัสกรก็หันไปมองทันควัน คราวที่เห็นว่ากุมารและกุมาริกาทั้งสองตนจับมือคณาธิปไว้คนละข้างก็กะพริบตาปริบ ๆ
“อ่า...”
“มึงบอกกูทีว่านี่คน”
“กุมารทอง”
“กุมารทองก็ผีน่ะสิ!”
คณาธิปที่ตัวสั่นระริกรีบสะบัดมือตัวเองออกจากเด็กแฝดชายหญิงที่ใส่ชุดไทยสีแดงเลือดนกแล้ววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าทั้งสองก็วิ่งตามแล้วหัวเราะคิกคักราวกับกำลังเล่นสนุกอยู่
“ไอ้พร้อม ช่วยกูด้วย!”
“เด็กสองตนนี้ไม่ทำอะไรมึงหรอกน่า”
“ไม่ทำก็ไม่เอา กูกลัว!”
“แก้ว กล้า หยุดแกล้งพี่คุณเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นพี่จะไม่เซ่นไหว้ขนมสามวัน”
ทันทีที่ได้ยินว่าจะไม่ได้ขนมหวานที่โปรดปรานเป็นของเซ่นไหว้ แก้วกับกล้าก็หยุดชะงักแล้วยกมือทั้งสองขึ้นเท้าสะเอวด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ต่อไปนี้อย่าแกล้งพี่คุณอีก ต้องช่วยกันดูแล เข้าใจที่พี่พูดไหม”
“เข้าใจจ้ะ”
“ดีมาก งั้นก็ไปได้แล้ว”
เมื่อทั้งสองอันตรธานหายไปจากตรงนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลภัสกรก็หันไปมองคนที่ยืนหลบอยู่หลังเสาด้วยความเอือมระอา ทั้งที่ก็เลิกกลัวท่านเจ้าที่ที่กรุงเทพฯ ไปแล้ว ยังจะมากลัวอะไรกับผีเด็กสองตนที่หน้าตาน่ารักน่าชังขนาดนี้
“มึงก็เลิกกลัวแก้วกับกล้าได้แล้ว เด็กสองตนนั้นไม่มีพิษมีภัยกับมึงหรอก อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็สนิท”
“ไม่เห็นมึงบอกว่าเลี้ยงกุมารทองไว้ตั้งสองตน”
“แค่เจ้าที่มึงยังแทบจะช็อกตาย ถ้ากูเรียกกุมารมาให้ดูมึงจะไม่หงายท้องเอาเหรอ”
“พี่พร้อม!”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากทางหน้าบ้าน ส่งผลให้ลภัสกรหันไปมองได้เป็นอย่างดี ไม่นานนักเด็กมัธยมวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปดก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ
เด็กคนนี้ชื่อปฐพีหรือว่าดิน เป็นลูกชายคนเดียวของน้าเดือน คนที่คอยดูแลความเรียบร้อยในบ้านให้ยามที่เขาไม่อยู่บ้าน
“พาเพื่อนมาด้วยก็ไม่บอก ผมจะได้จัดห้องเพิ่ม”
“เห็นพี่เหรอน้อง”
“ถามแปลก...”
ปฐพีชะงักไปเล็กน้อย ตาเรียวสำรวจร่างสูงตรงหน้าก่อนจะอ้าปากพะงาบ ๆ ยามเห็นว่าเท้าของอีกฝ่ายไม่ติดพื้น แถมเนื้อตัวก็ค่อนเข้าโปร่งแสง
“พี่พร้อมพาผีเข้าบ้านเหรอ ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ!”
“นี่เพื่อนกูเอง มันยังไม่ตายหรอก แต่ก็ใกล้แล้ว”
“อ้อ เสียใจด้วยนะพี่ เดี๋ยวผมทำบุญไปให้”
“กูไม่ตาย ยังไงกูก็จะไม่ตาย!”
คณาธิปโวยวายเสียงดังลั่นเมื่อทั้งสองคนยัดเยียดความตายให้ตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลามองทั้งสองคนสลับกันอย่างเอาเรื่องเอาราว
“ว่าแต่นี่น้องมึงเหรอ หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย”
“นี่ดิน ลูกน้าเดือน สนิทกันไว้ซะ”
ลภัสกรพูดกับร่างสูงที่ยังมีท่าทีขึงขังก่อนจะผินหน้าไปมองปฐพีที่มีความสามารถในการมองเห็นวิญญาณเหมือนกัน
“ส่วนนี่พี่คุณนะดิน ฝากดูแลมันหน่อย”
“ครับ ว่าแต่ทำไมพี่เขาถึงมาร่อนเร่อยู่ที่นี่ได้ล่ะพี่พร้อม”
“วิญญาณมันออกจากร่างแล้วยังหาทางกลับเข้าไม่ได้ พี่เลยจะพามันมาหาหลวงปู่ เผื่อท่านจะมีวิธีช่วย”
“แต่ว่าหลวงปู่ท่านไปธุดงค์ยังไม่กลับมาเลยนะ ไม่รู้ว่าจะกลับตอนไหนด้วย”
ได้ยินเช่นนั้น ลภัสกรก็เหลือบมองวิญญาณที่ตัวเองให้ตามติดมาด้วยอย่างหนักใจ
“แต่พี่มากาญทั้งที ยังไงหลวงปู่ก็คงจะกลับมาเองนั่นแหละ”
“ก็คงอย่างนั้น แต่ขอให้มาทันทีเถอะ”
แม้จะยังไม่ว่างตรวจดวงชะตาของคณาธิปดู แต่เท่าที่รู้ วิญญาณที่ตามอาฆาตอีกฝ่ายไม่ปล่อยไว้นานกว่านี้เป็นแน่ เพราะหากผ่านช่วงที่ดวงตกสุด ๆ ไปได้ วิญญาณตนนั้นคงไม่มีวันทำอะไรคณาธิปที่พื้นดวงเป็นคนดวงแข็งมาก ๆ ได้เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่รอมานานจนถึงป่านนี้
“ถ้ามาไม่ทันล่ะ” คณาธิปส่งเสียงถามแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย “ถ้าหลวงปู่ของมึงมาไม่ทันมันจะเป็นยังไง”
ถ้าหากพระอาจารย์ปู่ยังไม่กลับมา และเขาก็ยังหาวิธีให้คณาธิปเข้าร่างไม่ได้...
“มึงก็จะได้ตาย...ของจริง”
#รัตติกาลผันแปร
เอ็นดูวววว
ตัวเองก็เป็นผีนะจะไปกลัวเด็กหน้าตาน่ารักทำไมมมมม
แปะอีบุ๊กงับ
- ZANIA -