ในโลกที่ไสยศาสตร์กลายเป็นสิ่งไร้สาระ กลับเกิดเหตุการณ์วิปลาสที่สั่นคลอนมิติความเป็นจริง เมื่อจู่ ๆ มีคนถูกสาปแช่งพร้อมกันหลายร้อยราย? รวินท์ นักเรียนธรรมดาเกี่ยวข้องอะไร พบคำตอบได้ในโรงเรียนฤทธิมนตรา

ศาสตร์มนตรา ไสยเวทสังหารผี - บทเรียน 2 ถ้ามันคือเรื่องจริง โดย Erika XG Ashirogi @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แอคชั่น,ลึกลับ,รั้วโรงเรียน,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,เวทมนตร์,ลึกลับ,คุณไสย,ไซไฟ,วิญญาณ,พระเอกเทพ,แอคชั่น,ต่อสู้,โรงเรียนไทย,โรงเรียน,มนตรา,ไสยเวท,ไสยศาสตร์,สยองขวัญ,ปราบผี,สืบสวนสอบสวน,ผี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ศาสตร์มนตรา ไสยเวทสังหารผี

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แอคชั่น,ลึกลับ,รั้วโรงเรียน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,เวทมนตร์,ลึกลับ,คุณไสย,ไซไฟ,วิญญาณ,พระเอกเทพ,แอคชั่น,ต่อสู้,โรงเรียนไทย,โรงเรียน,มนตรา,ไสยเวท,ไสยศาสตร์,สยองขวัญ,ปราบผี,สืบสวนสอบสวน,ผี,แฟนตาซี

รายละเอียด

ศาสตร์มนตรา ไสยเวทสังหารผี โดย Erika XG Ashirogi @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ในโลกที่ไสยศาสตร์กลายเป็นสิ่งไร้สาระ กลับเกิดเหตุการณ์วิปลาสที่สั่นคลอนมิติความเป็นจริง เมื่อจู่ ๆ มีคนถูกสาปแช่งพร้อมกันหลายร้อยราย? รวินท์ นักเรียนธรรมดาเกี่ยวข้องอะไร พบคำตอบได้ในโรงเรียนฤทธิมนตรา

ผู้แต่ง

Erika XG Ashirogi

เรื่องย่อ

"ผี ไสยเวท มนตรา"

จะไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าอีกต่อไป

เมื่ออยู่ในโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้...


 

• เรื่องย่อ : ในปี 2024 มีข่าวลือที่โด่งดังในโลกออนไลน์เกี่ยวกับ 'เว็บไซต์ปริศนา' ที่สามารถพิมพ์ชื่อใครลงไปก็ได้ และจอมขมังเวทย์ผู้มีอาคมเข้มขลังจะทำคุณไสยมนต์ดำเล่นงานเจ้าของนามนั้นให้คุณตามประสงค์

เรื่องราวนี้ได้สร้างความขบขันให้กับคนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นอย่างมาก ความงมงายเหนือจริงกลายเป็นเรื่องโจ๊กที่ใคร ๆ ก็ต่างเอามาล้อเลียน แต่ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มปักใจเชื่อ เพราะอ้างว่ามีหลักฐานที่เหยื่อหลายรายถูกพลังร้ายนี้เล่นงานอยู่จริง ๆ

ในช่วงเวลาโกลาหลที่ศรัทธาของมนุษย์เข้าห่ำหั่นกันเอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งผู้มีฝันร้ายแปลกประหลาด กับคนจากโรงเรียนลึกลับชื่อ 'ฤทธิมนตรา' ที่อ้างตนว่าเป็นนักปราบผี ก็เข้ามาเกี่ยวพันอย่างไม่มีใครคาดคิด...


และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น

ของตำนานเมืองยุคใหม่เท่านั้น!


 


━━━━━━━━━━━━━━━━


ในครั้งอดีต รากฐานของวิทยาศาสตร์เกิดจากความสงสัยใคร่รู้และ 'ความไม่เชื่อ' ของคนกลุ่มหนึ่ง 

พวกเขาริเริ่มจากการไม่เชื่อในตำนาน พยายามลบล้างเรื่องเล่าปรัมปรา ปฏิเสธสิ่งเหนือธรรมชาติที่ถูกบอกต่อ ๆ กันมาหลายพันปี นั่นจึงนำพาไปสู่การตั้งสมมุติฐาน การทดลองและหาผลลัพธ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ผ่านไปหลายร้อยปี วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ปฏิวัติโลกทั้งใบด้วยองค์ความรู้มากมายที่ยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานแห่งข้อเท็จจริงอันพิสูจน์ให้ประจักษ์ได้

แต่ในขณะเดียวกันบนทางเส้นขนาน การที่มนุษย์มี 'ความเชื่ออันแรงกล้า' มันก็นำพาไปสู่ศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามเช่นกัน การเชื่อในตำนาน ศรัทธาในเรื่องเล่า พยายามแสวงหาแก่นแท้ในกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่ไม่อาจพิสูจน์

มันจึงก่อกำเนิดศาสตร์ที่ข้อเท็จจริงในปัจจุบันยังไม่อาจสรุปใด ๆ ได้ ศาสตร์ที่ไม่ได้มีไว้เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ ศาสตร์ที่คนส่วนใหญ่ไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ 

มันคือ "ศาสตร์แห่งมนตรา" องค์ความรู้พิเศษที่มีไว้สำหรับกลุ่มคนที่แตกต่าง จำนวนเพียงหยิบมือในโลกใบนี้...


และนี่คือเรื่องราวของ 'รวินท์' นักเรียนมัธยมปลายผู้ที่ได้เยื้องย่างเข้าสู่ดินแดนแห่งพลังลี้ลับเหนือมโนสำนึกอย่างไม่ตั้งใจ


"จงหาคำตอบไปพร้อมกับเขา"


━━━━━━━━━━━━━━━━


• หมวดหมู่ : แฟนตาซี, สยองขวัญ, แอคชั่น, ชีวิตในโรงเรียน, Coming of Age 

• หมายเหตุ : นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นจากจินตนาการเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล, สถานที่, องค์กร หรือเรื่องราวที่มีอยู่จริง ไม่มีเจตนาทำให้ผู้ใดเสื่อมเสียชื่อเสียง

เรื่องราวทั้งหมดจัดทำขึ้นเพื่อความบันเทิง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

• คำเตือน : เนื้อหามีการบรรยายถึงภาพความโหดร้าย, สยองขวัญ, ภูติผี และฉากความรุนแรงทางกายภาพต่าง ๆ เช่น เลือด, ชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์กับอวัยวะผิดรูปร่าง

สารบัญ

ศาสตร์มนตรา ไสยเวทสังหารผี-บทเรียน 1 โฮมรูม,ศาสตร์มนตรา ไสยเวทสังหารผี-บทเรียน 2 ถ้ามันคือเรื่องจริง,ศาสตร์มนตรา ไสยเวทสังหารผี-บทเรียน 3 คุยกับความตาย

เนื้อหา

บทเรียน 2 ถ้ามันคือเรื่องจริง



คุณเคยไหมครับ การมีประสบการณ์ฝันถึงเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ?

ทั้งการเอาชีวิตรอดจากซอมบี้ วิ่งหนีฆาตกรโรคจิต ตกจากที่สูงเสียดฟ้า นั่งเครียดกลัดกลุ้มในห้องสอบ หรือแม้แต่ได้มีความรักกับคนที่แอบชอบมานาน

ไม่ว่าจะฝันดีหรือร้าย ฝันธรรมดาหรือเหนือจินตนาการ ขณะที่เรากำลังหลับใหลอยู่ ทุกสิ่งในห้วงความคิดมันจะดูสมจริงไปเสียหมด จนเราต่างหลงเชื่อไปว่าเหตุการณ์ที่ได้พบเจอเหล่านั้น 'มันเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก'

แม้ในโลกจริงเรื่องราวในภวังค์ฝันจะวนกลับมาเป็นครั้งที่สิบหรือครั้งที่ร้อยแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิมทุกประการ ยังตื่นเต้น เศร้าโศก หลงรักและหวาดกลัวไม่เคยเปลี่ยน

ช่วงเวลาพิศวงที่เรียกว่า 'ความฝัน' มันทำให้เราหลงลืมทุกอย่างก่อนหน้าเสียสนิท คุณจะกลายเป็นเพียงนักแสดงคนหนึ่งที่ทำได้แค่ดำเนินเรื่องไปตามเส้นทางเรื่อย ๆ จนสุดสาย คล้ายกับปลาน้อยที่ไม่อาจฝืนทวนกระแสน้ำเชี่ยวกราก กว่าจะเริ่มรู้ตัวว่าหลายอย่างมันไม่ปกติ พิลึกพิลั่น ภาพตรงหน้าไม่ใช่ของจริง ก็คือช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนลืมตาตื่นขึ้นมา 

ใช่แล้วครับ ผมเองก็เป็นแบบนั้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ฝันถึง 'ผี'

สวัสดีผมชื่อรวินท์ และเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตผม...

ตลอดหลายปีมานี้ฝันร้ายของผมมักจะวนเวียนอยู่กับเรื่องราวคล้าย ๆ เดิมเกือบทุกคืน มันไม่ใช่การฝันถึงเหตุการณ์เดียวกันหลายรอบติดเหมือนฉายหนังเรื่องเก่าซ้ำเป๊ะ ๆ เป็นลูปนรกหรอกครับ แต่มันเป็นเหมือนการติดอยู่ในซีรีส์ยาวที่มีหลายซีซันมากกว่า สถานการณ์แตกต่างกันทุกตอน แต่มีธีมเนื้อเรื่องที่ยังคงเหมือนเดิมเสมอไม่เปลี่ยนแปลง

ผมตั้งชื่อให้มันอย่างไม่เป็นทางการว่า 'ความฝันประหลาดที่บังคับให้ผมเป็นแค่คนดูเท่านั้น แต่ไม่มีใครพูดหรือสนใจการมีอยู่ของผมในฝันเลย...'

ฟังดูแปลกไหมครับ? แต่เชื่อเถอะว่ารายละเอียดมันพิสดารไม่น้อยไปกว่าชื่อเลย 

ทุกครั้งที่หลับลึก ตัวผมจะโดนสุ่มมั่วไปโผล่ยังสถานที่แปลก ๆ มืด ๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน โดยที่ตรงนั้นต้องมีใครสักคนบาดเจ็บ ล้มป่วย หรือไม่ก็ตายอย่างผิดธรรมชาติน่าสยดสยอง ซึ่งผมจะยืนนิ่งมองทุกเรื่องราวที่เกิดตั้งแต่ต้นจนจบเฉย ๆ ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมอะไรทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันทุกคนก็มองผมเป็นอากาศธาตุ ไม่เข้ามาข้องแวะใด ๆ เช่นกัน เป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ 

ด้วยความที่ฝันบ่อย ผมจึงได้เห็นมาหมดแล้วทุกรูปแบบ เห็นอย่างคมชัดเต็มตาไต่ระดับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เหมือนอุบัติเหตุทั่วไป ลากยาวไปจนถึงฉากโหด รุนแรง ประหลาด หนักหนายิ่งกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะจินตนาการออก 

โดยอาการพิลึกนี้ผมเป็นมาตั้งแต่ 10 ขวบยาวนานต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แถมอายุยิ่งมากขึ้นก็ยิ่งเป็นถี่ขึ้นอีกต่างหากแทนที่จะหาย จากที่เคยพบมันเดือนละครั้ง ตอนนี้แทบจะเป็นทุกอาทิตย์ 

และใช่ครับ ถึงแม้ฝันร้ายที่ผมเอ่ยมันจะน่ากลัวหรือมีพล็อตพิกลขนาดไหนก็ตาม แต่ความฝันก็คือความฝันถูกไหมครับ? ประชากรส่วนใหญ่ทั่วโลกก็คงเป็นแบบนี้กันเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งใครเป็นแฟนหนังสยองขวัญ คงพบได้บ่อยเป็นกิจวัตร

แต่มีสิ่งหนึ่งครับที่ทำให้ผมแตกต่างออกไปจากหลายคนบนโลก มันก็คือ...

'ถ้าผมฝันเห็นใครเจ็บ คนนั้นก็จะเจ็บ

ถ้าผมฝันเห็นใครตาย คนนั้นก็จะตาย'

เกือบทุกครั้งหลังผมตื่นขึ้นมา สิ่งที่ผมได้พบเจอตอนหลับมันมักจะ 'เกิดเรื่องจริง' ที่ตรงกับในฝันร้ายของผมอยู่เสมอ

และถึงมันจะเกิดขึ้นกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน ข่าวมันก็จะแว่วมาถึงหูผมจนได้ไม่ช้าก็เร็ว...

น่าอัศจรรย์ชะมัด คนบางกลุ่มในสังคมประเทศเราคงยกย่องสิ่งนี้ว่า 'การมีสัมผัสที่หก' คนเห็นนิมิต ล่วงรู้อนาคตได้หรือมีพลังพิเศษนานาชนิด ฟังดูเท่ไม่เบา

แต่สำหรับตัวเอง ผมอยากเรียกมันว่า 'คนเพี้ยน' เพราะความจริงแล้วผมไม่เคยต้องการสิ่งพวกนี้เลยครับ ไม่ว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตามที สู้ให้คิดว่าตัวเองมีอาการป่วยทางจิต เพ้อเจ้อ หลอนไปเองเพราะเส้นประสาทสมองทำงานผิดพลาดยังจะรู้สึกสบายใจเสียยิ่งกว่า

ใครมันจะอยากฝันถึงแต่เรื่องร้าย ๆ จนวิตกกังวล ต้องมาคอยหวาดกลัวทุกเช้าหลังตื่นว่าเรื่องวิปริตในนิมิตพวกนั้นจะเกิดขึ้นกับใครสักคนอีกไหม? แล้วมันจะมีวันที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเราหรือเปล่า ถูกไหมครับ?

ไม่มีหลักฐานอะไรพิสูจน์หรอกครับว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่มันจริงแท้แค่ไหน เพราะใจจริงผมก็ภาวนาให้สิ่งที่เกิดทั้งหมดมันเป็นแค่เรื่องโกหกทั้งเพเหมือนกัน

"สักวันคุณจะเข้าใจเอง"

"แต่สำหรับวันนี้ 'รวินท์' ตื่นได้แล้วครับ" 

และถ้าคิดว่านี่บ้าบอแล้ว ยังครับ เรื่องบ้า ๆ มันยังไม่จบเพียงเท่านี้... เพราะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มันเพิ่งบังเกิดปัจจัยใหม่ที่ไม่คาดฝันขึ้นเป็นครั้งแรก

อย่างที่เล่าไปว่าฝันร้ายของผมมันไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับตั้งแต่สมัยเด็ก แต่ช่วงนี้มันกลับมีบางรายละเอียดที่ไม่เหมือนเดิม เพราะดันมีตัวละครแปลก ๆ เพิ่มเข้ามาในความฝันเฉยเลย แถมยังเกิดต่อเนื่องเกือบสิบครั้ง

'ผู้ชายผมทองปริศนาในชุดสูทสีดำและกลุ่มคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร' อยู่ดี ๆ ก็จะโผล่มาและลงมือกระทำการบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้

คนพวกนั้นจู่โจมทำร้ายคนในฝัน? พวกเขาต่อสู้กันทำไม? 

และสิ่งสำคัญที่สุดเพิ่งปรากฏในคืนที่ผ่านมา ชายผมทองได้ปริปากพูดกับผมเป็นครั้งแรก แถมยังชกมากลางอกอย่างแรงอีกต่างหาก 


ตลอดมาไม่เคยมีบุคคลในความฝันมายุ่งเกี่ยวกับผมเลย 'เขาคือคนแรกและคนเดียว' เสียงทุ้มของชายคนนั้นจึงยังก้องอยู่ในหูไม่หาย พิธีกรรมเพี้ยนก็ยังหลอนติดตาลบไม่ออก แต่บอกตรง ๆ นะผมก็ยังไม่เข้าใจภาพรวมขึ้นเลยสักนิดเดียว


สรุปพวกเขาเป็นใคร ทำไมถึงมาโผล่ในฝันของผมได้? แล้วทำไมถึงเพิ่งมาโผล่เอาตอนนี้? หลายปีที่ผ่านมาทำไมถึงไม่เคยเกิดขึ้นเลย? 

มันเป็นเพียงแค่ความฝันที่แตกต่างออกไปเฉย ๆ ตามธรรมชาติเหรอ หรือมันเป็นสัญญาณเตือนภัยของบางอย่าง

'ความจริงพวกคุณเป็นผู้ช่วยเหลือหรือผู้ก่อเหตุกันแน่... แล้วพวกคุณต้องการอะไรจากผม?'

'เพี๊ยะ!'

"โอ๊ย!!"

ก่อนที่สมองจะคิดไปไกลกว่านั้น ปลายประสาทก็ถูกกระทบกระเทือนฉับพลันจนร่างกายสั่งหยุดทุกอย่าง มีฝ่ามือของใครสักคนตบกระแทกมาที่ท้ายทอยผมจนต้นคอลั่นโยก ความเจ็บปวดแสบร้อนลามไปทั่วกะโหลก

"เฮ้ย ไอ้วิน มีอะไรวะหน้าตึงเชียว"

ในจังหวะที่ผมกำลังเดินตรงจะขึ้นตึกมัธยมฯ 4 ก็มีเด็กนักเรียนชายสองคนกระโดดเข้ามาขวางทางเสียก่อน

"มึงเป็นอะไร? เห็นเดินก้มหน้าพึมพำคนเดียวมาตั้งแต่ลงรถตู้ละเนี่ย โดนผีหลอกมาเหรอวะ หน้าตาอย่างแย่"

"อ้าวหวัดดีมิก หวัดดีต้น"

ผมกล่าวทักทายตามมารยาทด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม เด็กชายผิวเข้มคิ้วหนาที่ด้านซ้ายชื่อว่า 'ต้น' ส่วนอีกคนด้านขวาที่ตัวอ้วน ผมหยิกฟูชื่อ 'มิก' 


"อ๋อ ไม่มีอะไร เราแค่คิดอะไรในหัวนิดหน่อยน่ะ" ถึงจะระบมขนาดไหนแต่ก็พยายามแสดงออกอย่างเป็นปกติมากที่สุด แม้ลึก ๆ ในใจ ผมเองก็พอจะคาดเดาได้ว่ากำลังจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นหลังจากนี้


"ไม่หรอกมั้งต้น กูว่าไม่ใช่ผีหลอกหรอก ดูทรงแล้วไอ้วินน่าจะก้มหน้าคุยกับผีในนิมิตมันมากกว่าว่ะ คนมันระดับนี้แล้วอะเนาะ" 

"จริงว่ะ" 

"ฮ่าฮ่าฮ่า" ทั้งสองหัวเราะครื้นเครงอารมณ์ดี

พวกเขามองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม แสดงออกอย่างเป็นมิตร แต่มันก็ไม่อาจปกปิดความขุ่นมัวภายในที่แผ่ขยายออกมาจนผมรู้สึกได้

"บ้า! ไม่มีหรอก คิดมากน่า ฮะฮะ" ผมยักไหล่ตอบปฏิเสธก่อนรีบหาช่องว่างเพื่อเบี่ยงตัวหนี แต่มันก็ไม่ประสบผลสำเร็จเลยถูกคนพวกนี้เอาคืนด้วยการรัวคำถามใส่ชุดใหญ่

"เฮ้ย แน่ใจเหรอวะ!? กูนึกว่ามึงสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างซะอีก เรื่อง 'จอมขมังเวทย์ไซเบอร์' ที่เล่นของใส่พี่เจน ม.6 โรงเรียนเราอะ เห็นว่าอาการหนักเกือบตาย เพิ่งออกข่าวเช้านี้เลย"

"ตอนนี้คนทั้งโรงเรียนคุยกันแต่เรื่องนี้เต็มไปหมด นักข่าวหลายสิบคนก็มาเฝ้าหน้าโรงเรียนรอทำข่าว มึงจะไม่สัมผัสอะไรได้เลยจริงเหรอวะวิน ระดับมึงเนี่ยนะ"

"มึงสื่อถึงผีได้บ้างไหมบอกพวกกูหน่อยดิวะ? นะ นะ มันเล่นของใส่พี่ ม.6 ทำไม? บอกกูหน่อย มึงมันตัวความหวังของโรงเรียนเลยนะ"

"เออ โชว์พลังหน่อยดิเพื่อน อย่ากั๊ก!" 

"..."

ถูกต้องแล้วครับ เด็กผู้หญิงที่ผมเห็นในข่าวกับในความฝันคืนล่าสุด เธอคือเหยื่อหมายเลข 8 ของจอมขมังเวทย์ไซเบอร์ เป็นรุ่นพี่ม.6 โรงเรียนของผมเอง...


| ... |

" ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ กันแล้วนะครับคุณผู้ชม  ทุกคนรู้ตัวกันไหมว่าตอนนี้พวกเรากำลังกลายเป็นสักขีพยานให้กับการก่อกำเนิด 'ตำนานเมืองยุคใหม่' แห่งปี 2024 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จอมขมังเวทย์ไซเบอร์ตอนนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของหมอผีน่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเราไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ใช้เวลาแค่แปปเดียว

เพราะเขาเขย่าความเชื่อของคนในสังคมให้ตื่นตัวเหมือนไฟลามทุ่ง ด้วยการใช้พลังของชาวเน็ตในการสร้างแบรนดิ้ง สร้างตัวตนขึ้นมาให้คนหวาดกลัว... " 

เสียงจากคลิปวิเคราะห์ข่าวโซเชียลลอยแว่วเข้ามาราวกับเป็นดนตรีประกอบฉาก

ในช่วงเวลาอันเร่งรีบที่ชายทั้งสองกำลังรบเร้าขวางทางเดินผม ขณะเดียวกันนี้ก็มีกลุ่มนักเรียน 'โรงเรียนชัยพิตต์วิทยาคม แผนก ม.ปลาย' หลายสิบคนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาบริเวณตึกเรียน และพวกเขาทุกคนล้วนกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับประเด็นร้อนเหมือนกันหมด

บางคนจดจ่ออ่านข่าวในจอสมาร์ตโฟน บางคนเปิดลำโพงเสียงดังเพื่อฟังคลิปวิดีโอพร้อมกันทั้งกลุ่มเพื่อน บ้างก็ซุบซิบถึงขบวนนักข่าวหลายสำนักที่มายืนขวางกันเต็มประตูทางเข้า 

แม้เรื่องราวพิสดารนี้จะเพิ่งเกิดไม่นานแถมในทีวีก็มีการเซนเซอร์ใบหน้าแล้ว แต่ผู้คนในสถานศึกษาแห่งนี้ก็รับรู้ได้อยู่ดีว่าเด็กสาวผู้โชคร้ายคือใคร

'เธอชื่อเจน นักเรียนชั้นม.6/2 โรงเรียนชัยพิตย์วิทยาคม'

ผมเองก็ทราบตั้งแต่ที่ได้ฟังคนถกเถียงกันในรถตู้ ข่าวเม้าท์กระจายมันแพร่ไวเหมือนไวรัส คงเป็นเรื่องแปลกที่จะมีใครสักคนไม่สนใจกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะเหล่าคุณครูที่น่าจะตื่นตัวมากเป็นพิเศษยิ่งกว่าใคร

"โอ๊ย เราไม่รู้เรื่องหรอก ผีมันสื่อสารกับเราได้ซะที่ไหน อีกอย่างพี่คนนั้นเป็นใครเราก็ไม่รู้" ผมยิ้มราวกับไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นพร้อมกล่าวปฏิเสธทุกคำถามของสองวัยรุ่นด้วยประโยคที่เรียบง่ายสุด ๆ

ไม่ใช่ว่าผมไม่ใส่ใจ เพราะลึก ๆ แล้วก็รู้สึกระคนปนเปไม่ต่างกับทุกคน แต่ตอนนี้ผมต้องการพาตัวเองออกจากเหตุคับขันนี้โดยเร็วที่สุด

ต้นและมิกยกคิ้วขมวด หรี่ตามองตรง เหมือนไม่ยอมรับคำตอบหลังจากที่ได้ยิน พวกเขาคงคิดว่านี่เป็นการโกหกคำโตของผมแน่นอน

แต่ผมพูดเรื่องจริงครับ... ความจริงคือผมไม่ได้รู้จักพี่ม.6 คนนั้นเป็นการส่วนตัวเลยสักนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมพี่เขาถึงตกเป็นเป้าโดนเล่นงาน ผมแค่ฝันถึงเธอโดยที่ไม่รู้รายละเอียดพื้นเพอะไรทั้งสิ้น เป็นความบังเอิญที่ซ้ำซ้อนกันหลายทบ

ในฝันเธอถูก 'กลุ่มคน' ของผู้ชายผมสีบลอนด์ทองเข้าจู่โจม แต่ความฝันก็คือความฝัน มันใช้เป็นหลักฐานได้ซะที่ไหน เพราะผมไม่มีทางรู้ว่าพวกเขาคือใคร ยืนยันตัวตนจริงก็ไม่ได้ จะใช่จอมขมังเวทย์ฯ คนดังคนนั้นรึเปล่าก็ไม่รู้?

และข้อเท็จจริงต่อมาคือ ผมก็ไม่ทราบเลยจริง ๆ ว่าตัวเองสัมผัสถึงฝันประหลาดนี้ได้ยังไง หากสิ่งนี้มันถูกเรียกว่าพลังพิเศษ ผมก็คือคนที่ไม่เคยควบคุมพลังได้เลยสักครั้ง

ที่มาและสาเหตุของฝันร้ายมันมาจากไหน มันคืออะไร ทุกคดีทุกเรื่องราวที่ผ่านมาทำไมมันต้องเกี่ยวโยงกับผมตลอด? ผู้ที่มีคำถามและต้องการคำตอบมากที่สุดควรเป็นผมมากกว่าใครเลยนะ

"มึงโม้ละวิน!"

จากเสียงเฮฮาของผู้มาเยือนในตอนแรก บรรยากาศกลับเปลี่ยนไปในพริบตา ต้นชักสีหน้าไม่พอใจชัดเจน พ่นลมหายใจหงุดหงิด เดินดุ่มเข้ามาประชิดตัวผมมากขึ้นพร้อมตะเบ็งเสียงดังใส่ โดยมีมิกที่ยืนคุมเชิงเป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง

"กูรู้ว่ามึงสัมผัสได้ มึงบอกกูมาดิว่ามึงเห็นอะไร!"

"..." 

เสียงขู่เปล่งออกมาเป็นระยะ ดวงตาเพ่งพิศจ้องประสาน ผมยืนนิ่งประจันหน้ากับสองนักเรียนชายที่ตัวหนากว่าผมทั้งคู่ นี่แหละเหตุการณ์เลวร้ายที่ผมคิดไว้แล้วว่ามันจะเกิด...

ข่าวลือเรื่องผมมีสัมผัสที่หก ไม่รู้ว่ามันแพร่กระจายมาไกลขนาดนี้ได้ยังไง แต่จากความคิดส่วนตัว ต้นตอมันน่าจะเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัย ม.1 ประมาณ 3 ปีก่อน เหตุเกิดจากที่ผมได้ไปเล่าฝันร้ายให้เพื่อนคนหนึ่งฟังและมันก็ดันเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงตามมาแบบตรงครบทุกรายละเอียด 

หลังจากนั้นเพียงไม่นานเรื่องนี้มันก็กลายเป็นข่าวเม้าท์ปากต่อปาก จากคนกลุ่มเล็กในห้องก็แผ่ขยายสู่คนหมู่มาก เป็นเรื่องราวใหญ่โตชนิดที่เด็กนักเรียนทั้งสายชั้นพูดถึงกันหมด และปฏิกิริยาตอบรับของผู้คนก็แตกต่างกันออกไป 

มีหลายคนมองว่าเรื่อง 'ไอ้วินมีนิมิตเห็นผี' เป็นเรื่องที่ไร้สาระ พวกเขาคิดว่าผมเพี้ยน ดูการ์ตูนมากไป เวลาที่เห็นหน้าผมในโรงเรียนพวกเขาก็จะเริ่มส่งเสียงหัวเราะ มองมาด้วยสายตาขยาด 

แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ปักใจเชื่อเรื่องผีกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าสิ่งที่ผมพบเจอคือคำสาปหรือไม่ก็มีผีครอบงำตามตัว พวกเขามองผมราวกับเป็นตัวประหลาดที่แปลกแยกจากสังคม ไม่ต้องการเข้ามาสุงสิง หวาดกลัวตัวผมเสมือนว่าเป็นผีร้ายซะเอง

และสุดท้ายก็คือ 'กลุ่มคนที่อยากลองดี' พวกนี้มักจะไม่กลัวผี แถมยังตื่นเต้นมากเป็นพิเศษเมื่อได้เข้าใกล้สิ่งลี้ลับ

คนกลุ่มนี้แม้จะมีจำนวนน้อยแต่ก็เข้ามาถึงเนื้อถึงตัวอยู่ตลอด ด้วยเป้าประสงค์คืออยากลองของประลองวิชา จึงได้เข้ามายั่วยุ ท้าทายทุกวิถีทาง อยากพิสูจน์สิ่งที่ผมได้พบเจอว่ามันจริงแท้แค่ไหน... เช่นเดียวกับชายสองคนตรงหน้าผมในตอนนี้

'แต่สารภาพตามตรงนะครับ ไม่ว่าจะประเภทไหนมันก็น่ารำคาญเหมือนกันหมด'  

จากสถิติที่ผ่านมา เมื่อใดที่ผมไม่เป็นอย่างที่พวกเขาคิด ไม่ยอมให้ความร่วมมือโดยดี เรื่องมันก็มักจะลงเอยด้วยการที่ผมถูกล้อเลียน กลั่นแกล้ง รังแก จนเลยเถิดไปสู่การมีเรื่องเจ็บตัวทุกทีไป

"เฮ้ยเงียบไมวะ สื่อสารกับผีอยู่เหรอ?"

"ถ้าคุยกับผีจริงกูถามอะไรมึงต้องตอบให้ได้นะไอ้วิน"

"ไม่ตอบมึงโดนแน่!"

เด็กชายร่างใหญ่ฟึดฟัดลมหายใจรดหน้าผมเต็ม ๆ คำพูดของเขาแผดดัง เกรี้ยวกราดขึ้นทุกทีเหมือนพวกสัตว์ที่ต้องการแสดงความแกร่ง

ไอ้นักเลงสองคนตรงหน้านี้ไม่ใช่เพื่อนผมหรอกครับ มันก็แค่หนึ่งในพวกคนที่อยากมาลองของเท่านั้น ขนาดข่าวลือเรื่องผมเห็นผีมันจะผ่านมานานหลายปีแล้ว จนตอนนี้ทุกคนขึ้นม.ปลายกันหมด แต่ในสายตาของพวกเขา ผมก็คงถูกจัดอยู่ในประเภทมนุษย์ซิกเซนส์ หมวดหมู่เดียวกับจอมขมังเวทย์ฯ บ้าบออะไรนั่น เป็นคนผิดแปลกในสังคมเสมอไม่เคยเปลี่ยน

"เราไม่รู้อะไรจริง ๆ เรื่องผีพวกนี้มันเรื่องแต่งทั้งนั้น อย่าไปเชื่อข่าวมากเลย เราควรเป็นห่วงอาการของพี่ม.6 มากกว่าข่าวลือบ้าบอในเน็ตนะ"

"มึงอย่าโกหก! มึงนั่นแหละตัวดีเลย คุยกับผีได้ไม่ใช่เหรอ ยังจะมาเปลี่ยนเรื่องอีก" 

"ไม่ยอมบอกพวกกูเพราะคิดว่าตัวเองเจ๋งคนเดียวใช่ไหม หะ!?"

"มึงคิดว่ามึงเท่นักเหรอวะ!!" 

การดิ้นรนปฏิเสธของผมไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง คนพวกนี้มันมาด้วยจุดประสงค์ที่แน่วแน่เกินจะหันเหได้ แถมยังไร้เหตุผลชนิดกู่ไม่กลับ

ปกติชีวิตประจำวันของผมก็จะมีพวกลองของแวะเวียนเข้ามาหานาน ๆ ครั้งอยู่แล้ว แต่พักหลังที่มีคดีดังเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับถี่ขึ้น คนพวกนี้ก็ยิ่งเหมือนเพิ่มจำนวนขึ้นตาม

"เราขอโทษนะ แต่..."

"ขอโทษอะไร มึงอย่าทำทรงกั๊กดิวะ มึงอะเป็นงี้ตลอด บอกพวกกูมาเดี๋ยวนี้!"

"กูชักจะทนลีลามึงไม่ไหวแล้วนะไอ้วิน!"

"..." นิ้วมือทั้งสิบบีบรัดฝ่ามือตัวเองจนบวมเป่ง ผมกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดรอบ ๆ ปูดโปน ฟันทุกซี่กัดกระทบกันกรอด พยายามข่มอารมณ์ภายในที่คุกรุ่น

'อยากจะซัดหน้ามันสองคนเป็นบ้า'

จากองศาตรงนี้หากปล่อยหมัดช้อนเข้าไปที่ปลายคาง ผมสามารถหลบมือขวาของต้นที่จะสวนกลับมาได้อย่างพอดี พร้อมกับสามารถเหวี่ยงตัวโดยใช้แรงของต้นเพื่อถีบไปที่ท้องมิก สกัดไม่ให้เข้ามาใกล้ได้อีกต่อหนึ่ง...

เรื่องจริงอีกข้อหนึ่งที่ไม่ได้บอก คือผมไม่ใช่คนที่ยอมใครง่าย ๆ หรอกนะครับ ยิ่งเป็นพวกคนนิสัยกเฬวรากในชีวิตจริงแบบนี้ ผมไม่มีเหตุผลที่ต้องยอมเป็นฝ่ายจำนนหรือแสดงอาการตื่นกลัวแบบตอนเจอผีในความฝัน

แขนขาก็ไม่ได้ถูกตรึงอยู่กับที่แบบตอนนั้นแล้วด้วย จะซัดให้เรียบ... 

หัวสมองผมกำลังประมวลผลไม่หยุด เป็นฉากปะทะเดือดกลางโรงเรียนแบบไฟต์ 1 ต่อ 2 ที่หากจำเป็นต้องลงมือจริง ๆ ก็คงทำได้ทันทีไม่ต้องคิดเยอะ เพราะตั้งแต่สมัย ม.ต้น ที่ข่าวลือเรื่องของผมมันแพร่สะพัดไปหาคนหมู่มาก ปัญหาการชกต่อยกับคนพวกนี้ก็วนเวียนอยู่กับชีวิตผมรายวันไม่ขาดสาย การจะชกกบาลพวกปากดีสักทีสองทีไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย

'แกโตแล้วนะวิน... พี่ไม่สบายใจเลยที่แกเป็นแบบนี้ ขอเถอะ... เลิกทำแบบนี้ได้แล้วนะ'

แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปราวหนึ่งปีก่อน... คำพูดนี้พี่ริณบอกกับผมตอนที่ถูกเชิญผู้ปกครองจากเหตุวิวาทใหญ่ในโรงเรียน เหตุการณ์นั้นผมเป็นคนเริ่มชกก่อนเพราะทนแรงยั่วยุของพวกที่มาเซ้าซี้ไม่ไหว บทสรุปคือทั้งผมและคู่กรณีเจ็บหนักทั้งคู่จนเข้าโรงพยาบาลหลายสัปดาห์ และเกือบขึ้นโรงพัก

แม้จะไม่มีน้ำตาสักหยดแต่ผมเห็นแววตาของพี่ในตอนนั้น เธอดูเสียใจมาก น้ำเสียงสั่นเครือที่พี่ริณเอ่ยผมยังจดจำได้ดี

การใช้กำลังมันง่าย แต่การอยู่ให้เป็นมันยากกว่า...

กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต ตั้งแต่วันนั้นผมจึงฉุกคิดและเริ่มปรับตัวเป็นคนใหม่ แทนที่จะปะทะตรง ๆ กับพวกคนงี่เง่าที่เข้าหา เราก็ควรจะปล่อยวาง มองเป็นเรื่องธรรมชาติ หลีกเลี่ยงเหตุการณ์เลวร้ายพวกนั้นเสีย แม้เราจะต้องยอมถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้แพ้ในสายตาของพวกมันก็ตามที แต่นั่นก็นับว่าคุ้มค่ากว่ามาก

'ผมคนเดียวคงทำไม่สำเร็จ ที่ผ่านมันมาได้เพราะมีพี่ริณกับเอกคอยช่วยเสมอ...'

"อะไรกำหมัดทำไม อาการผีเข้าเหรอวะ เฮ้ย ไอ้วิน มึงจะทำอะไรพวกกู พูดดิ!"

"เอาละเว้ย มันจะโชว์พลังละเว้ย!" 

"เงียบทำซากอะไรวะ พูดหน่อยดิเฮ้ย!?"

"เปล่า! ไม่มีอะไร ฮะฮะ" ผมหมุนเปลี่ยนองศาของกำปั้นจากที่เตรียมง้างแขนไปเป็นการปัดฝุ่นออกจากร่างกายตนเองแทน

จริง ๆ แล้วเพื่อให้เรื่องมันจบไว ผมจะแกล้งแต่งเรื่องผีมั่วซั่วมาหลอกสองคนนี้ให้ตายใจแล้วแยกย้ายก็ได้ ยังไงคนพวกนี้จุดประสงค์ของการมาท้าทายสิ่งลี้ลับก็คือการได้สัมผัสความรู้สึกน่าสนุก ยิ่งได้พบเจออะไรเวอร์ ๆ ยิ่งเร้าใจ 

แต่ถ้าผมตัดสินใจเลือกทำแบบนั้น วงโคจรนี้ก็จะไม่มีจุดสิ้นสุด ยิ่งผมพูดคนก็จะยิ่งเชื่อ และภายหลังก็จะมีคนมาตามหาอีกมากมายไม่รู้จบ

หากพูดไม่จริงครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกเพิ่มไปอีกเรื่อย ๆ เพราะสิ่งสำคัญที่ไม่อาจลืมได้คือ 'ตัวผมมองไม่เห็นผี คุยกับผีก็ไม่ได้ ผมแค่เป็นคนที่ฝันถึงเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับผีบ่อย ๆ ก็เท่านั้น' สรุปคือถึงใจจะอยากโชว์พลังมากแค่ไหน มันก็ทำไม่ได้อยู่ดี ผมไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย

ผมอยากดำเนินชีวิตแบบนักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าลัทธิงมงายหรือเจ้าของเรื่องเล่าสยองขวัญที่ถูกคนเอาไปพูดต่อในรายการผีคลื่นวิทยุออนไลน์...

"พอดีต้องขึ้นห้องแล้ว เอกรอเอาของจากเราอยู่น่ะ ฮะฮะ เรื่องที่สงสัยยังไงลองถามคนอื่นดูนะ เราขอตัวละ"

ผมยอมรับบทผู้พ่ายแพ้ บอกปัดทุกการวิวาทพร้อมฉวยโอกาสที่ทั้งคู่ยังตั้งตัวไม่ทันนี้ ซอยเท้าหนีออกมาโดยไว

แต่สองนักเรียนชายดูจะไม่ยอมลดละง่าย ๆ พวกมันรีบดึงสติ กระโจนตามมาทันควันพร้อมเหวี่ยงกำปั้นพุ่งใส่ คงหวังจะคว้าคอเสื้อตรงท้ายทอยและกระหน่ำชกให้ผมหมอบกระแต 

"หยุดดิวะ!"

"อะไรวิน มึงจะหนีไปไหน"

"กูต้องการพลังเห็นผีของมึ-"

'หมับ!' 

แต่ทันใดนั้นเอง การเคลื่อนไหวทุกอย่างก็หยุดชะงักลงฉับพลัน ราวกับถูกความหนาวเหน็บระดับติดลบแช่แข็งไปชั่วขณะ 

ยังไม่ทันที่หมัดจะสาวถึงตัวผม ก็มีฝ่ามือปริศนาเข้ามาขั้นกลาง ยื่นไปแตะที่ตัวของต้นกับมิกเสียก่อน

"ขอโทษนะ นายคือ 'รวินท์ ไตรวินท์' ใช่ไหม?"

"??"

ทุกสายตาหันจับจ้องไปทางเดียว 'นักเรียนชายหน้าตาไม่คุ้นเคยคนหนึ่ง' โผล่มาแทรกกลางวงความชุลมุนนี้อย่างไม่มีใครคาดคิด

"..." 

เขาคือชายผู้ที่มีผิวพรรณขาวใสราวกับเด็กสาว และใบหน้าหล่อเหลาได้สัดส่วนอย่างกับหลุดมาจากนายแบบนิตยสารแฟชั่น

ขนาดตัวสันทัดไม่สูงมาก ใส่ชุดนักเรียนเหมือนกันกับผม แต่แปลกที่เขามีเสื้อคลุมที่เหมือนกับสูทสีดำทับอีกชั้นและยังสวมถุงมือหนังที่มือขวา? แถมทรงผมก็ยังไว้ยาวเป็นทรงรากไทร ต่างจากนักเรียนชายทุกคนในโรงเรียนนี้โดยสิ้นเชิง

แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่ารูปลักษณ์ไม่เหมือนใครก็คือ ชายผู้นี้สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของคนตัวใหญ่สองคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้ง ๆ ที่เขาออกท่าทางเหมือนกับแตะตัวไปเบา ๆ เพียงเท่านั้น


'ใครเนี่ย ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แล้วใส่ถุงมือข้างเดียวทำไมนะ ดูไม่เข้ากันสักนิด?' 

"นายคือรวินท์ใช่ไหม" ชายหนุ่มย้ำคำถามเดิม ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งเสียจนดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฟังจากน้ำเสียงแข็งกระด้างนั้นแล้ว ก็คล้ายคนกำลังหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

"เออ... ใช่ครับ ผมเอง" 

ผมตอบรับอย่างงง ๆ ส่วนคนอื่นก็นิ่งเงียบกันหมดเพราะไม่มีใครรู้จักคนคนนี้

"เดี๋ยวเราต้องคุยกันหน่อยนะ ช่วยไปที่หลังตึกตรงนั้นที"

"เฮ้ยอะไรวะ มึ- เอ๊ย! นาย นายเป็นใครอะ อยู่ห้องไหน? เราสองคนกำลังคุยกับวินอยู่ไม่เห็นเหรอ นายอย่าเข้ามาแทร-"

"ชู่ว!" 

ชายปริศนายกนิ้วชี้ข้างที่สวมถุงมือขึ้นมาแนบริมฝีปาก พร้อมส่งสัญญาณบอกให้คนตัวใหญ่เงียบเสียไม่งั้นจะมีภัย

แววตาของชายสีหน้าเรียบเฉยผู้นี้ดูแข็งกร้าวจนน่าสะพรึงกลัว ดูไม่น่าข้องแวะด้วยผิดกับความหล่อเหลาบนใบหน้าเอามาก ๆ

ทางฝั่งของต้นที่ถูกขัดจังหวะก็เหมือนจะเหวอไปเลย นิ่งค้าง ทำตัวกันไม่ถูก พวกเขาคงไม่เคยเจอใครที่มีบุคลิกท่าทางเช่นนี้มาก่อน

"ไปกันได้แล้ว"

ชายคนเดิมพยักหน้า เดินปลีกตัวออกไปเลยอย่างไม่สนใจใคร ตัวผมเองถึงจะยังงุนงงอยู่ไม่น้อย แต่ก็รีบจ่ำอ้าวตามไปทันที รอจังหวะที่จะได้หนีแบบนี้มานานแล้ว

ทุกสิ่งผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เหลือไว้เพียงต้นกับมิกที่ยืนมองหน้ากันเองเงียบ ๆ ท่ามกลางฝูงชนที่เดินขวักไขว่ไปมา





"ขอบคุณมากนะครับที่เข้ามาช่วย"

นี่คือคำพูดแรกที่ผมเอ่ยทันทีที่มายืนหยุดอยู่บริเวณด้านหลังตึก ที่ตรงนี้เป็นมุมอับสายตาติดกับกำแพงสูงของโรงเรียน ทำให้ไม่มีใครเดินเข้ามาใกล้นอกจากพวกเราสองคน

"ขอบคุณทำไม ฉันยังไม่ทันได้ช่วยอะไรเลย"

นักเรียนชายปริศนาหันหน้ามาตอบรับผม 

"อะ... อ้าว" คำตอบนั้นทำเอาผมประหลาดใจ "นึกว่าคุณเข้ามาช่วยเพราะผมกำลังจะมีเรื่องกับสองคนนั้นซะอีก..."

"ไม่ต้องเรียกคุณหรอก ฉันชื่อ 'พีค' เราอายุน่าจะเท่ากัน เรียกชื่อเฉย ๆ ก็พอจะได้ไม่เสียเวลา"

ชายปริศนาแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงห้วนไม่รื่นหู เขาดูเป็นคนประหยัดคำตอบมาก พูดจาทีละไม่กี่คำ แม้จะยืนคุยกันแค่สองคนก็ตามทีแต่เขาทำตัวไม่ต่างอะไรจากตอนอยู่หน้าตึกเมื่อกี้เลย

นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้จงใจทำตัวน่ากลัวเพื่อขู่พวกนั้นแต่อย่างใด แต่ตัวตนเขาอาจจะเป็นแบบนี้จริง ๆ ...? 

"โอเคพีค ผมชื่อรวินท์ เรียกชื่อเล่นว่าวินก็ได้"

ผมพยายามยิ้มและแนะนำตัวแบบเก้ ๆ กัง ๆ เพราะคนดังกล่าวรู้ทั้งชื่อ-นามสกุลของผมแล้ว แต่ฝั่งนี้กลับไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับเขาเลย

พีคหยิบสมุดขนาดเล็กเท่าฝ่ามือขึ้นมากาง ก่อนใช้ปากกาด้ามสวยเขียนบางอย่างลงไป

"..."

ทุกอย่างเงียบไปพักหนึ่ง ชายหนุ่มไม่พูดอะไร ผมเองก็ไม่รู้ว่าต้องแทรกขึ้นมาจังหวะไหนไม่ให้เสียมารยาท

"เออ... คือ... แล้วพวกเรามีธุระอะไรต่อกันเหรอครับ"

ผมชี้นิ้วไปมา พยายามแสดงออกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความเงียบงันนี้

"ฉันมาคุยกับนายเรื่องจอมขมังเวทย์ไซเบอร์ กับรุ่นพี่ม.6 โรงเรียนนายน่ะ"

"หะ!"

คำตอบที่ไม่คาดคิดถูกเอ่ยออกมา ผมไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนว่าคนคนนี้จะต้องการมาพูดเรื่องผีสางอาคมเลย บ้าจริง! แบบนี้เหตุการณ์มันก็ไม่ต่างอะไรกับไอ้นักเลงสองคนที่พยายามมาบีบเค้นเราน่ะสิ

"..."

เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างแรง หว่างคิ้วขมวดชิดกันทันที 'อะไรเนี่ย'

ในขณะที่เขากำลังยืนจดบางอย่างอยู่นิ่ง ๆ ผมจึงได้โอกาสสังเกตบุคคลตรงหน้ามากขึ้น

ผู้ชายคนนี้ไม่ได้สวมกางเกงนักเรียนสีน้ำเงินเหมือนกับทุกคนแต่กลับเป็นขายาวสีดำเข้าทรงกับเสื้อคลุมที่เขาใส่ ตรงปกเสื้อติดเข็มกลัดเงาวับสีเงินสลับแดงไม่คุ้นตา ผมมองได้ไม่ชัดว่าตัวอักษรบนนั้นสลักว่าอะไร แต่เหมือนมีสัญลักษณ์คล้ายรูปแมวอยู่ด้วย?

ชัดเจน คนนี้ไม่ได้เรียนที่นี่แน่...

อะไรกัน ที่แท้ก็เป็นพวกอยากลองของที่มาจากต่างโรงเรียนงั้นเหรอ?

บ้าบอชะมัด มาที่นี่เพื่อเรื่องนี้เนี่ยนะ?

ว่าแต่เขาเดินเข้ามาในโรงเรียนได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่เครื่องแบบก็ไม่ใช่ของที่นี่ รปภ. ไม่น่าจะยอมปล่อยผ่านได้ง่าย ๆ ขนาดสำนักข่าวมายื่นเรื่องขออนุญาตถ่ายทำด้านในโรงเรียนยังถูกปฏิเสธหมดทุกเจ้า แล้วชายคนนี้เป็นใครกันถึงทำได้?

'กริ๊ง!!'

8 นาฬิกาตรง สัญญาณจากเครื่องขยายเสียงร้องดังลั่นบอกให้นักเรียนม.ปลายทุกสายชั้น ออกมาเข้าแถวรอบเช้า

"เออ... ผมไม่รู้เรื่องผีอะไรทั้งนั้นครับ น่าจะเข้าใจผิดกันใหญ่แล้ว"

ผมได้ทีรีบปฏิเสธทันควัน ถึงจะขอบคุณที่มาช่วยให้หนีจากพวกอันธพาลได้ แต่ถ้านายเป็นพวกอยากลองวิชาเหมือนกัน ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรต้องคุยต่อ "ขอตัวนะครับ พอดีต้องไปเข้าแถวแล้ว"

หลังจากขอตัวลา ผมก็รีบเดินฉับออกจากจุดนี้โดยพลัน พยายามไม่สนใจอะไรอีกทั้งนั้น

"สักวันนายจะเข้าใจเอง

รวินท์ ตื่นได้แล้ว"

"เอ๊ะ!"

จู่ ๆ นักเรียนชายคนนั้นก็พูดประโยคที่ฝังอยู่ในหัวของผมออกมา มันเป็นคำพูดที่คล้ายกับที่ได้ยินในฝันเมื่อคืนนี้ และใช่ ผมไม่เคยบอกใครมาก่อน...

ผมหันขวับกลับไปมอง ชายคนนั้นก็ยังเขียนอะไรยุกยิกอยู่บนหน้ากระดาษเหมือนเดิม

"ที่นายพูดคือ... ยังไงนะ?"

ความคิดในหัวเริ่มสับสนหนัก ทำไมผู้ที่มาจากต่างโรงเรียนคนนี้ถึงรู้คำพูดของชายผมสีทองในความฝันของผมได้ล่ะ

'ปึก!'

"..."

ชายหนุ่มกระแทกตัวอักษรสุดท้ายลงบนหน้ากระดาษและหยุดเขียนเพียงเท่านั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามอง แววตาชนกับผม


"นายมีคำถามมาตลอดหลายปีใช่ไหมว่าเพราะอะไรตัวเองถึง 'ฝันเห็นผี' มาตลอด โดยเฉพาะช่วง 2 เดือนนี้ที่เริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ

นายสงสัยว่าทำไมเหตุการณ์ทุกอย่างในฝันถึงเกิดขึ้นจริงตามนั้นเสมอ"



"นั่นเพราะความจริงแล้ว ทั้งหมดนั้นนายไม่ได้กำลังฝันอยู่ยังไงละ..." 





เหตุการณ์นองเลือดในโรงเรียน


กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า