ในโลกที่ไสยศาสตร์กลายเป็นสิ่งไร้สาระ กลับเกิดเหตุการณ์วิปลาสที่สั่นคลอนมิติความเป็นจริง เมื่อจู่ ๆ มีคนถูกสาปแช่งพร้อมกันหลายร้อยราย? รวินท์ นักเรียนธรรมดาเกี่ยวข้องอะไร พบคำตอบได้ในโรงเรียนฤทธิมนตรา
แฟนตาซี,แอคชั่น,ลึกลับ,รั้วโรงเรียน,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,เวทมนตร์,ลึกลับ,คุณไสย,ไซไฟ,วิญญาณ,พระเอกเทพ,แอคชั่น,ต่อสู้,โรงเรียนไทย,โรงเรียน,มนตรา,ไสยเวท,ไสยศาสตร์,สยองขวัญ,ปราบผี,สืบสวนสอบสวน,ผี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ศาสตร์มนตรา ไสยเวทสังหารผีในโลกที่ไสยศาสตร์กลายเป็นสิ่งไร้สาระ กลับเกิดเหตุการณ์วิปลาสที่สั่นคลอนมิติความเป็นจริง เมื่อจู่ ๆ มีคนถูกสาปแช่งพร้อมกันหลายร้อยราย? รวินท์ นักเรียนธรรมดาเกี่ยวข้องอะไร พบคำตอบได้ในโรงเรียนฤทธิมนตรา
"ผี ไสยเวท มนตรา"
จะไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าอีกต่อไป
เมื่ออยู่ในโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้...
• เรื่องย่อ : ในปี 2024 มีข่าวลือที่โด่งดังในโลกออนไลน์เกี่ยวกับ 'เว็บไซต์ปริศนา' ที่สามารถพิมพ์ชื่อใครลงไปก็ได้ และจอมขมังเวทย์ผู้มีอาคมเข้มขลังจะทำคุณไสยมนต์ดำเล่นงานเจ้าของนามนั้นให้คุณตามประสงค์
เรื่องราวนี้ได้สร้างความขบขันให้กับคนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นอย่างมาก ความงมงายเหนือจริงกลายเป็นเรื่องโจ๊กที่ใคร ๆ ก็ต่างเอามาล้อเลียน แต่ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มปักใจเชื่อ เพราะอ้างว่ามีหลักฐานที่เหยื่อหลายรายถูกพลังร้ายนี้เล่นงานอยู่จริง ๆ
ในช่วงเวลาโกลาหลที่ศรัทธาของมนุษย์เข้าห่ำหั่นกันเอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งผู้มีฝันร้ายแปลกประหลาด กับคนจากโรงเรียนลึกลับชื่อ 'ฤทธิมนตรา' ที่อ้างตนว่าเป็นนักปราบผี ก็เข้ามาเกี่ยวพันอย่างไม่มีใครคาดคิด...
และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
ของตำนานเมืองยุคใหม่เท่านั้น!
━━━━━━━━━━━━━━━━
ในครั้งอดีต รากฐานของวิทยาศาสตร์เกิดจากความสงสัยใคร่รู้และ 'ความไม่เชื่อ' ของคนกลุ่มหนึ่ง
พวกเขาริเริ่มจากการไม่เชื่อในตำนาน พยายามลบล้างเรื่องเล่าปรัมปรา ปฏิเสธสิ่งเหนือธรรมชาติที่ถูกบอกต่อ ๆ กันมาหลายพันปี นั่นจึงนำพาไปสู่การตั้งสมมุติฐาน การทดลองและหาผลลัพธ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ผ่านไปหลายร้อยปี วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ปฏิวัติโลกทั้งใบด้วยองค์ความรู้มากมายที่ยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานแห่งข้อเท็จจริงอันพิสูจน์ให้ประจักษ์ได้
แต่ในขณะเดียวกันบนทางเส้นขนาน การที่มนุษย์มี 'ความเชื่ออันแรงกล้า' มันก็นำพาไปสู่ศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามเช่นกัน การเชื่อในตำนาน ศรัทธาในเรื่องเล่า พยายามแสวงหาแก่นแท้ในกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่ไม่อาจพิสูจน์
มันจึงก่อกำเนิดศาสตร์ที่ข้อเท็จจริงในปัจจุบันยังไม่อาจสรุปใด ๆ ได้ ศาสตร์ที่ไม่ได้มีไว้เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ ศาสตร์ที่คนส่วนใหญ่ไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่
มันคือ "ศาสตร์แห่งมนตรา" องค์ความรู้พิเศษที่มีไว้สำหรับกลุ่มคนที่แตกต่าง จำนวนเพียงหยิบมือในโลกใบนี้...
และนี่คือเรื่องราวของ 'รวินท์' นักเรียนมัธยมปลายผู้ที่ได้เยื้องย่างเข้าสู่ดินแดนแห่งพลังลี้ลับเหนือมโนสำนึกอย่างไม่ตั้งใจ
"จงหาคำตอบไปพร้อมกับเขา"
━━━━━━━━━━━━━━━━
• หมวดหมู่ : แฟนตาซี, สยองขวัญ, แอคชั่น, ชีวิตในโรงเรียน, Coming of Age
• หมายเหตุ : นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นจากจินตนาการเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล, สถานที่, องค์กร หรือเรื่องราวที่มีอยู่จริง ไม่มีเจตนาทำให้ผู้ใดเสื่อมเสียชื่อเสียง
เรื่องราวทั้งหมดจัดทำขึ้นเพื่อความบันเทิง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
• คำเตือน : เนื้อหามีการบรรยายถึงภาพความโหดร้าย, สยองขวัญ, ภูติผี และฉากความรุนแรงทางกายภาพต่าง ๆ เช่น เลือด, ชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์กับอวัยวะผิดรูปร่าง
"ที่พูดมา หมายความว่ายังไงนะครับ?"
"หมายความว่าไงมันไม่สำคัญหรอก แต่ที่สำคัญคือฉันมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือนาย รวินท์"
"หะ?"
ชายปริศนาจู่โจมผมด้วยมวลความสงสัยก้อนมหาศาล เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่ไม่ควรจะมีใครทราบ และยังบอกว่า 'ฝันร้าย' ที่ผมประสบมาตลอดหลายปีไม่ใช่ความฝันอีก
แม้จะยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร แท้จริงแล้วเป็นการหลอกลวงรึเปล่า แต่ยอมรับเลยว่าชายปริศนาคนนี้ปลุกเร้าความใคร่รู้ในตัวผมได้มากล้นจริง ๆ
"ช่วยจากอะไร?" ผมเอ่ยถามต่อ
แต่พีคก็ยังคงนิ่งเงียบและไม่ยอมเผยความรู้สึกใดภายใต้นัยน์ตาอ่านยากคู่นั้น เขาจะมาช่วยเราจริงเหรอ ดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด
'ฉึบ!'
"นายรับนี่ไป และรีบออกจากที่นี่"
"ที่นี่... หมายถึง?"
"นายรีบออกไปจากโรงเรียนเดี๋ยวนี้!"
แผ่นกระดาษสีนวลขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือถูกฉีกออกจากสมุดเล่มเล็ก พีคยื่นมันให้ผมหลังขีดเขียนเสร็จพร้อมกับพูดจาแกมบังคับด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ
อะไรของเขานะ แปลกคนชะมัด อยู่ดี ๆ มาไล่ผมออกนอกโรงเรียนตัวเองทำไม เขาสิคือฝ่ายที่ต้องออกไปไม่ใช่เหรอ...
ผมชำเลืองมองสิ่งที่ได้รับมาด้วยใจที่ยังสับสน
'กฎการเอาตัวรอดจากอาถรรพ์ผี เบื้องต้น'
"มันคืออะไรเนี่ย?" อ่านข้อความได้แค่บรรทัดแรกก็ถึงกับร้องเหวอตาตั้ง เนื้อหาในกระดาษแผ่นนี้มันไม่เหมือนกับสิ่งที่ผมจินตนาการไว้แม้แต่น้อย
'ฉีด! ฉีด! ฉีด!'
"เฮ้ย!!"
และยังไม่ทันที่จะได้สงสัยอะไรเพิ่มเติม พีคก็หยิบขวดแก้วที่บรรจุน้ำสีใสคล้ายบรรจุภัณฑ์น้ำหอมขึ้นมาพ่นละอองเย็นใส่ใบหน้าผมทันที ด้วยความตกใจในเสี้ยววินาทีนั้นผมเกือบสาวหมัดสวนกลับไปแล้วเพราะคิดว่ามันคือสเปรย์พริกไทย แต่พีคก็ได้รีบยกมือขึ้นห้ามและบอกว่า "มันไม่อันตราย"
เพียงไม่นานหลังจากยอมอยู่นิ่ง ๆ น้ำสีใสนั้นก็ฟุ้งกระจายจนทั่วร่างกายของผม มันไม่มีทั้งกลิ่น ไม่มีทั้งสี จนรู้สึกเหมือนเป็นน้ำเปล่า แต่เขาจะเอาน้ำธรรมดามาฉีดเราทำไม?
ผมมองเขาตาละห้อยอย่างสงสัยอยู่หลายนาที
"มันคือสเปรย์ป้องกันโควิดเหรอ...?" นั่นคือสิ่งเดียวที่พอจะอนุมานได้ แต่ก็เหมือนจะตอบไม่ถูก
"ตอนนี้กลิ่นของนายมันรุนแรงเกินไป"
"กลิ่น... กลิ่นตัวอะนะ" ผมเริ่มดมฟุดฟิดที่ร่างกายตัวเอง แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ "ผมเพิ่งอาบน้ำมาไม่ถึงชั่วโมงเลย"
พีคพ่นลมหายใจคล้ายไม่สบอารมณ์ "กลิ่นของวิญญาณนายยังไงละ สิ่งนี้มันจะช่วยดับกลิ่นจากพวกผีคุกคามได้ชั่วคราว"
ชายหนุ่มปริศนาชี้ไปที่ขวดใสในมือพร้อมบอกสรรพคุณก่อนเก็บมันลงไปในช่องว่างของสูทตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"เดี๋ยว!! อย่าพูดคำว่าผีบ่อย ๆ ด้วยหน้านิ่งแบบนั้นสิ หยุดทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติได้แล้วครับ!"
ทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมปรี่เข้ามาใกล้เพื่อร้องขอให้พีคแถลงไขสักที "คำก็ผีสองคำก็ผี แล้วผีมันจะตามผมมาทำไมครับ มีเหตุผลอะไร?"
ผมย้ำต่อ "นายต้องอธิบายมันได้แล้วนะ ทั้งเรื่องความฝัน ทั้งเรื่องให้ผมออกจากโรงเรียน ถ้าอยากได้ความร่วมมือกับเรื่องไม่สมเหตุสมผลพวกนี้ ผมต้องเข้าใจมันก่อนว่าให้ทำไปเพื่ออะไร...
และที่สำคัญ นายเป็นใครมาจากไหนกันแน่พีค!"
"..."
ทุกอย่างหยุดลงหลังจากที่ผมยิงคำถามชุดใหญ่ ชายหนุ่มปริศนามองมาที่ผมนิ่ง ๆ โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ คิ้วเขากระตุกเล็กน้อยเหมือนคนกำลังพยายามใช้ความคิด
ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่จนทำให้ได้ยินจังหวะหัวใจและบรรยากาศรอบข้างอย่างชัดเจน สายลมรอบทิศครวญหวีดหวิด กิ่งไม้ปลิวสะบัดทิ้งใบแห้งร่วงโรยรับกับอากาศเย็น
'กึกกัก กึกกัก'
สุ้มเสียงจอแจกับฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาไกลถึงด้านหลังตึกที่ผมยืนอยู่ ขบวนนักเรียนชายหญิงคงกำลังทยอยกันไปเข้าแถวยามเช้า มันช่างเป็นวันสุดแสนธรรมดาสำหรับทุกคนและความจริงผมควรไปอยู่ตรงนั้นมากกว่าที่นี่...
ผ่านไปพักใหญ่ ๆ กับการใช้ชีวิตอยู่กับความสงัดและเจ้าของดวงตาซังกะตาย ผมได้แต่ลุ้นวินาทีต่อวินาทีว่าเขาจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างไหม? และใช่ ตอนนี้เขาพูดมันออกมาจริง ๆ แถมเหนือยิ่งกว่าที่คาดเดาไว้เสียอีก
"ฉันมาจากโรงเรียนฤทธิมนตรา" ถ้อยแถลงแรกของพีคเปล่งขึ้นหลังจากสงบเสงี่ยมไปนาน
"ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยชีวิตนายจากผีร้ายและไสยเวทของผู้ไม่หวังดี"
ชายหนุ่มตวัดองศามือเข้ามาใกล้ดวงตาของผม เพื่อแสดงข้อมูลบนการ์ดสีดำที่เขาเพิ่งหยิบมันขึ้นมา
นายธาดา ปิ่นกุลชร นักเรียนศาสตร์มนตรา ฝ่ายปฏิบัติการ ชั้นปี 1 (อนุญาตพิเศษ) รหัส 6706
"หา?" บนการ์ดมีรูปถ่ายของเขากับข้อมูลแปลก ๆ ที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ทันจะสำรวจจนครบดี พีคก็เก็บมันเข้ากระเป๋าไปก่อน
"รวินท์ นายอาจจะสับสนกับสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดต่อไปนี้ นายมีสิทธิ์สงสัยในใจได้ แต่จงรู้ไว้ว่ามันคือเรื่องจริงทั้งหมด" ชายปริศนาจดจ้องดวงตาไม่กะพริบ
"ฉันมาจากสถานศึกษาที่เรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ด้านนี้โดยตรง และฉันถูกส่งมาเพื่อยับยั้งไม่ให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับชีวิตนาย"
"ถูกส่งมายับยั้ง?"
คู่สนทนาเยื้องย่างเข้ามาประชิดตัวจนเริ่มได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน น้ำเสียงแข็งกระด้างนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพยายามลดทอนความน่ากลัวลงแต่กลับเพิ่มด้วยสีหน้าแววตาที่ดูจริงจังขึ้นกว่าที่ผ่านมา "ถ้าอยากรู้จริง ๆ ก็ตั้งใจฟังให้จบแล้วอย่าเพิ่งถามอะไรละ"
ผมไม่ลังเลที่จะพยักหน้าตอบ
"นายอาจจะไม่รู้ตัว แต่ในตอนนี้ 'เจ้านั่น' รู้ถึงการมีอยู่ของตัวนายแล้ว มันกำลังจะส่งสมุนโหงพรายมาเอาชีวิตของนายเมื่อตะวันตกดิน..." พีคพ่นลมหายใจ
"ถ้าถามว่าเจ้านั่นคือใครก็คงต้องว่ากันยาว ซึ่งฉันขอไม่พูดถึงเพราะไม่มีความจำเป็น แต่ให้นายรู้แค่ว่ามันคือคนเดียวกับที่สำนักข่าวตั้งชื่อให้ว่า จอมขมังเวทย์ไซเบอร์"
"เดี๋ยว ทำไมถึ- !" สมองรวนทันทีเมื่อชื่อนี้โผล่เข้ามาในสมการ วันนี้ทั้งวันผมได้ยินคนเรียกชื่อจอมขมังเวทย์ฯ บ่อยจนเริ่มหลอน นึกไม่ออกเลยว่าเขาเกี่ยวข้องกับผมมากขนาดนี้ได้ยังไง มีแต่คำถามผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมด
และในขณะที่ผมตั้งท่าเตรียมจะสอบถามข้อสงสัยเพิ่มเติม ฝ่ามือใหญ่สีดำเมี่ยมก็พุ่งมาประกอบเข้าปากในทันที นิ้วมือเรียวที่ถูกหุ้มด้วยถุงมือหนังอุดช่องว่างของริมฝีปากผมซะมิด "ฉันบอกว่าให้ตั้งใจฟังให้จบก่อน!"
พีคหงุดหงิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แววตาคมจดจ้องแทบจะกินหัว ถึงผมพอจะต้านแรงได้ก็จริง แต่ก็เลือกที่จะเขย่าหน้าถี่ ๆ เป็นสัญญาณยอมแพ้ ตั้งแต่นี้จะขออยู่เงียบ ๆ ยอมฟังแต่โดยดีแล้วจ้า
'ทั้งที่ผิวพรรณสวยจนดูเผิน ๆ นึกว่าเด็กผู้หญิง แต่พอได้สัมผัสตัวใกล้ ๆ แล้ว นายคนนี้มีมัดกล้ามเนื้อที่แน่นมากและแรงกายเยอะสุด ๆ... ใช่ครับ นั่นคือความคิดในหัวของผมขณะที่โดนบีบหน้าอยู่
ผ่านไปพักหนึ่งเขาถึงยอมปล่อย พีคขยับถุงมือของตัวเองให้กระชับอีกครั้งก่อนเริ่มเล่าความต่อ
"เจ้านั่นมันไม่ใช่แค่ 'คนมีวิชา' ธรรมดาทั่ว ๆ ไป คนที่มีระดับรหัสยภาวะสูงจนถึงขั้นเป็นจอมขมังเวทย์ได้อาจมีเยอะในประเทศนี้ แต่คนที่มีพลังมนตรามากขนาดนั้นแล้วยังมีจิตใจที่วิปริตไร้สามัญสำนึกด้วย คงมีมันคนเดียวเท่านั้น..."
"ความคิดของมันไม่ต่างกับฆาตกรต่อเนื่องเวลาออกล่าเหยื่อ มันไม่ได้วางแผนมาก่อนว่าเหยื่อจะต้องเป็นใคร ไม่ได้เจาะจงคนที่มีความแค้นส่วนตัว มันแค่เลือกคนโชคร้ายที่โผล่เข้ามาในสายตาและดูว่าตรงตามเงื่อนไขที่วางไว้หรือไม่ ถ้าใช่ มันก็พร้อมจะเล่นของใส่แบบไม่เลือกหน้า หากมันตัดสินว่าคนคนนั้นสมควรต้องโดน"
"และรวินท์ นายคือหนึ่งในนั้น นายคือคนต่อไปที่ถูกจอมขมังเวทย์ไซเบอร์หมายหัว!"
เหงื่อผมแตกพลั่ก ความกลัวแผ่ซ่านไปถึงขั้วกระดูก ถ้าสิ่งที่พีคกำลังพูดคือความจริงนั่นหมายถึงผมกำลังจะโดนเล่นของใส่จนตายเหรอ? ทำไมหวยมันต้องลงล็อกเป็นเราตลอดเลยล่ะ
"แต่... ที่พูดมาทั้งหมดนั้นคือกรณีของคนทั่วไป ส่วนในกรณีของนายมันก็ค่อนข้างต่างจากเหยื่อนับร้อยคนที่ผ่านมา ไม่สิ นายแตกต่างจากทุกคนที่เจ้านั่นเคยได้พบเจอมาในชีวิตโดยสิ้นเชิงเลยละ"
พีคหยิบมือถือสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมาและเริ่มกดอะไรสักอย่าง
"เจ้านั่นไม่ได้มาเจอนายด้วยวิธีที่เหมือนคนอื่น ๆ นายไม่ได้ถูกเอาชื่อ-นามสกุลไปพิมพ์ใส่เว็บไซต์ของมันเหมือนเหยื่อทั้งหมดก่อนหน้า แต่มันเลือกนาย เพราะนายได้เข้าไปแทรกแซงพิธีกรรมสาปแช่งของมัน"
"!??"
แม้ไม่มีเสียง แต่สีหน้าของคนที่งงหัวจะระเบิดมันแสดงออกมาอย่างชัดเจน
"หลายปีที่ผ่านมานายมีคำถามตลอดใช่ไหมว่าทำไมตัวเองต้องฝันแบบนั้น ทำไมถึงฝันถึงสิ่งแย่ ๆ แล้วมันถึงเกิดเรื่องจริงตามมาอยู่ตลอด
ทั้งคนแปลกหน้าเสียชีวิต ทั้งเห็นผี เห็นสถานที่โผล่มั่วแบบเดาสุ่ม
ความจริงทั้งหมดนั้นนายไม่ได้กำลังฝันอยู่... แต่ต้นเหตุเป็นเพราะฌานของนายมันตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทำให้ถูกดึงตัวไปในสถานที่เกิดเหตุที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังมนตรา"
"ผมไม่เข้าใจ" ถึงพีคจะไม่อนุญาตให้พูดใด ๆ แต่ผมไม่สามารถเก็บงำความสงสัยในเรื่องนี้ได้จริง ๆ
"หมายความว่ายังไง"
"ถ้าให้อธิบายเป็นภาษาที่นายพอจะเข้าใจได้ง่ายก็คือนายไม่ได้ฝัน แต่นาย 'ถอดจิต' ไปยังสถานที่ต่าง ๆ มันไม่ใช่ภาพจินตนาการหรือนิมิตที่ปรุงแต่งขึ้น...
ตลอดมานายไม่ได้ฝันอยู่ ทั้งหมดที่เห็นมันคือเหตุการณ์จริงทั้งหมด"
"ไม่จริง!" ผมตะโกนสวนกลับไปทันควัน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้สูง "ขะ... ขอโทษ"
"เข้าใจว่ามันฟังดูเหลือเชื่อ แต่นายเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่เคยสัมผัสเรื่องพวกนี้มาก่อน"
พีคกำลังกดเบอร์ของใครสักคนแล้วโทรออก
"ลึก ๆ ในใจของนายรู้ดีว่าเรื่องผี เรื่องเหนือธรรมชาติมันมีอยู่จริง อยู่ที่ว่านายจะยอมรับมันหรือเอาแต่ปฏิเสธไปเรื่อย ๆ"
"..."
ที่เขาพูดมันก็ถูก ผมแทบไม่เคยยอมรับสิ่งเหล่านี้เลยแม้จะสัมผัสถึงมันได้ชัดเจนมาโดยตลอด...
"แต่จะให้ยอมรับมันก็ยากนะ" สายตาผมมองลงต่ำจนเห็นรองเท้ากับเศษใบไม้ที่ร่วงกระจัดกระจายทั่วพื้น ลมโชยที่พัดมาเป็นช่วง ๆ ทำให้มันปลิวว่อนไปไกลกว่าเดิม
"หลายปีมานี้เรื่องลี้ลับพวกนี้มันไม่เคยสร้างสิ่งดี ๆ ให้ผมเลย แถมนานวันก็ยิ่งมีปัญหาตามมา จะให้ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตก็ดูจะเกินไปหน่อย สู้คิดซะว่าผมมีอาการทางจิตเสียเองยังสบายใจกว่าการที่ต้องรู้ว่าตัวเองมีพลังพิเศษเห็นผีได้จริง ๆ อีกนะครับ"
"..."
"เออ... ขอโทษที จู่ ๆ ก็บ่นเฉยเลย พอดีไม่ค่อยได้คุยกับใครเท่าไหร่น่ะ เฮอะ ๆ" รอยยิ้มเจื่อนปรากฏชัดบนหน้าของผมอย่างควบคุมไม่ได้ เช่นเดียวกับหน้าผากที่ย่นยวบเพราะความรู้สึกเศร้าติดปลายลิ้น
"แค่ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะต้องรู้สึกยังไงดีน่ะ..."
"ฮัลโหล สวัสดีครับครู"
ปลายสายกดรับพอดี ตอนนี้พีคกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครสักคนที่เขาเรียกว่า 'ครู?'
"ดำเนินการแล้วครับ"
"ทุกอย่างเป็นไปตามที่ได้พิมพ์ไปในแชทครับ"
"ครับ"
พีคพูดจบแล้วยื่นมือถือมาให้ผม
"??"
"ตัวฉันไม่ใช่ตัวนาย ฉันบอกนายไม่ได้หรอกว่าควรจะรู้สึกยังไง" คำพูดของผมถูกตอบกลับอย่างเย็นชา
"งั้นเหรอครับ..."
"แต่ถ้าเป็นคนคนนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะแนะนำได้ ละมั้งนะ เพราะอย่างน้อยเรื่องที่ฉันอธิบายเกี่ยวกับฝันนายไปทั้งหมด คนที่รับรู้ถึงมันจริง ๆ ไม่ใช่ตัวฉันแต่เป็นเขา ฉันเป็นแค่คนส่งข่าวตามหน้าที่"
"เขา!?"
"ใช่ เขาคือคนที่ส่งฉันให้มาช่วยนาย เขาเคยคุยกับนายมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อคืน ตอนที่นายคิดว่าฝันอยู่"
"คนที่คุยในฝันเหรอ... หรือว่า..."
"สวัสดีครับคุณรวินท์ ตอนนี้ 'ตื่น' แล้วใช่ไหมครับ"
เสียงทุ้มเข้มที่ฝังอยู่ในหัวผมคือเสียงเดียวกับที่เปล่งออกมาจากปลายสายตอนนี้ ใช่แล้ว เขาคือ 'คนผมทอง' ที่ผมเจอในฝัน!?
"ถ้ามีอะไรก็ลองถามเขาดู" พีคกล่าวส่งต่อให้คู่สนทนาคนใหม่
"สะ-สวัสดีครับ"
"ไง ไง คราวนี้ได้คุยกันจริง ๆ สักทีนะครับ"
"..."
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดชะมัด ทั้ง ๆ ที่เป็นการพูดคุยกันครั้งแรกแต่ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้อย่างไม่น่าเชื่อ คู่สนทนาเองก็ดูจะผ่อนคลายสุด ๆ เขาคงกำลังทำหน้ายิ้มน่าขนลุกเหมือนในฝันอีกแหง
"คุณเป็นใครเหรอครับ? คุณไม่ใช่จอมขมังเวทย์ฯ ปลอมตัวมาแน่นะครับ? คุณมาคุยกับผมในฝันได้ยังไงครับ!?"
"ว้าว แค่เริ่มก็ถามชุดใหญ่เลยเหรอครับ! นี่ธาดาคงไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลยใช่ไหมว่าผมเป็นใคร แหม่ ศิษย์ผมคนนี้พูดไม่เก่งเอาซะเลยแฮะ ทั้งที่ฝีมือออกจะดีขนาดนี้ ฮะฮะ"
"ผมก็ดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่างแล้วละครับครู แค่ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป" พีคพูดลอย ๆ ตอบกลับคนในสาย
"อ้าว งั้นเองหรอกเหรอ! ฮะฮะฮะ" เจ้าของเสียงเข้มหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
"เอาเถอะครับ ตอนนี้เราคงมีเวลาไม่มากพอที่จะทำความรู้จักกันอย่างเต็มที่ เอาเป็นว่าคุณรวินท์เรียกผมสั้น ๆ ว่า 'อัยย์' ได้เลยครับ
ผมคืออาจารย์ประจำชั้นของธาดา นักเรียนสุดหล่อที่อยู่กับคุณตอนนี้ และสบายใจได้เลยครับ ผมไม่ใช่จอมขมังเวทย์ไซเบอร์คนดังที่คุณพูดถึงแน่นอน ฮะฮะ
ส่วนคำถามเรื่องความฝันที่คุณพูดถึง ถ้าว่ากันตามเทคนิคแล้ว ความจริงผมไม่ได้เข้าไปคุยกับคุณรวินท์ในฝันหรอก แต่เป็นคุณรวินท์เองต่างหากที่ส่งสัญญาณสื่อสารเข้ามาหา และผมก็แค่คนที่สามารถตอบรับมันได้เท่านั้น ก็เหมือนกับที่เราโทรคุยกันผ่านสื่อกลางตอนนี้ยังไงละครับ!"
"อ่า... ครับ"
"เรื่องอื่นปลีกย่อยไว้เรามีโอกาสคงได้คุยกันมากกว่านี้ครับ แต่ผมหวังว่าการที่เราไม่ได้คุยกันอีกเลยจะเป็นเรื่องที่ดีต่อเราทั้งคู่มากกว่านะ หึหึ"
"ครับ... เออ... แล้วสาเหตุที่ผมกลายเป็นเป้าหมายของจอมขมังเวทย์ฯ คืออะไรเหรอครับ ทำไมต้องเป็นผม?"
"ตรงประเด็น เด็ดทุกคำถามเลย เยี่ยม!
คุณคงสงสัยเรื่องนี้มากที่สุดและผมเองก็อยากเล่าให้ฟังใจจะขาด แต่มันค่อนข้างจะซับซ้อนเอาการ เวลาใกล้จะหมดแล้ว เอาเป็นว่าขออธิบายแบบสรุปสั้น ๆ ให้คุณพอเห็นภาพเลยละกันนะครับ ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมหากสงสัยก็ถามจากธาดาเอาทีหลังได้เลย"
"ครับ ได้ครับ" ใจหวิวทุกครั้งที่ได้ยินชายเสียงทุ้มคนนี้พูดแต่ละอย่าง เขามีรังสีแปลก ๆ ที่ทำให้รู้สึกต่างจากทุกคนที่เคยพบเจอ
"ผมจะตอบเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้นละครับ" พีคที่เดินถอยออกไปไกลก็ยังคงโต้ตอบกับครูของเขาได้ และเหมือนตอนนี้เขากำลังจดบางอย่างลงในสมุด
"หึหึหึ ก่อนอื่นเลยคุณรวินท์ คุณรู้อะไรไหมว่าตัวคุณเองคือบุคคลที่สามารถเข้าถึงรหัสยภาวะและมี 'พลังมนตรา' ในระดับที่สูงกว่าคนปกติทั่วไปหลายเท่าตัวเลย นับเป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะมี"
"ไม่นะครับ... คิดว่าไม่"
"พูดตามตรง ผมเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันว่าทำไมพลังมนตราของคุณถึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แต่บอกได้เลยว่าการถอดจิตขณะฝันของคุณมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกคนหรอกนะครับ หลายคนที่ฝึกฌานมาทั้งชีวิตก็ยังทำไม่ได้ แต่ตัวคุณกลับทำมันได้มานานหลายปีแล้ว โดยที่ไม่เคยได้ตั้งใจทำด้วยซ้ำ มันจัดได้ว่าน่ามหัศจรรย์มาก!
และในครั้งล่าสุดที่คุณพยายามจะช่วย 'เจนจิรา' เด็กผู้หญิงที่เป็นเหยื่อของจอมขมังเวทฯ ตอนนั้นคุณทรงพลังกว่าที่ผ่านมามาก แข็งแกร่งยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เลยละ"
เขากล่าวชื่นชมยกใหญ่ในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
"การที่ 'ร่างจิต' ของคุณสามารถแตะเนื้อต้องตัวร่างกายหยาบของผมได้ มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หรอกนะครับ แต่มันคือการปลดล็อกอีกระดับของรหัสยภาวะ คุณได้ปลดปล่อยกระแสแห่งมนตราอันเข้มข้นโดยที่ไม่รู้ตัว และคุณก็ไม่รู้วิธีที่จะปิดมัน"
"..."
"เมื่อคืนคุณกลายเป็นตัวปล่อยสัญญาณที่ส่งข้อความไปหาทุกคนที่มีตัวรับสาร ล้นทะลักเหมือนถังน้ำที่แตกและไม่มีฝาปิด หรือไม่ก็เหมือนที่ปล่อยไวไฟที่ไม่มีรหัสพาสเวิร์ด ใครสามารถเชื่อมต่อได้ก็เข้าถึงมันได้หมด ในจังหวะนี้แหละที่จอมขมังเวทย์ฯ รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของคุณ มันรู้ว่ามีใครสักคนที่มีพลังมหาศาลอยู่ในสถานที่เกิดเหตุนั้นด้วย นอกจากตัวผมกับนักเรียนของผม
จอมขมังเวทย์ไซเบอร์จึงอยู่เฉยไม่ได้ เลยเลือกที่จะจัดการคุณรวินท์ให้พ้นทาง ก่อนที่จะมีโอกาสกลายเป็นภัยใหญ่โตในอนาคต นั่นละครับคือทั้งหมดแบบสรุปสั้น ๆ ท๊าดา!"
"เออ..."
ผมไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงต่อศัพท์แสงกับข้อมูลยาวเหยียดที่เพิ่งได้รับมาดี นี่มันเหนือจินตนาการยิ่งกว่าตอนที่พีคเล่าเสียอีก อย่างแรกเลยคือผมกลายเป็นคนที่มีพลังมนตรามหาศาลอะไรนั่นได้ยังไง ผมไปมีพลังพวกนี้ตอนไหนเหรอ?
อย่างที่สอง เรื่องทั้งหมดที่เขาพูดมามันดูเหมือนพวกทฤษฎีสมคบคิด พล็อตนิยายไซไฟ หรืออนิเมะญี่ปุ่นเสียมากกว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงได้ ก็ใช่อยู่ ที่ผมอาจจะพอทำความเข้าใจกับเรื่องผีได้ แต่ฌานเอย รหัสยภาวะเอย ถอดจิตเอย วิทยาศาสตร์ไม่เห็นสามารถอธิบายเรื่องพวกนี้ได้สักนิด พวกเขางมงายเกินไปรึเปล่า...
"นี่ ๆ ผมรู้นะว่าคุณคงมีคำถามมากมาย และมองว่าเรื่องที่ผมพูดมันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยใช่ไหมครับ ซึ่งก็จริงแหละนะ ใช่เลย! ผมก็เห็นด้วยกับคุณทุกประการเลยละ!"
"อ้าว"
อะไรกัน นี่เขาอำเราเล่นหรอกเหรอ หรือมันหมายความว่ายังไง
"แต่คุณรวินท์ รู้อะไรไหม... มนุษย์น่ะจะไม่มีวันจินตนาการถึงสิ่งที่อยู่เหนือองค์ความรู้ของตัวเองได้หรอกครับ ไม่มีวันเข้าใจแจ่มแจ้งจนกว่าจะได้พบเจอมันด้วยตัวเอง ซึ่งตอนนี้คุณก็กำลังเผชิญกับ 'ปากหุบเหว' ของมันอยู่"
อัยย์บอกเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงที่ติดเล่นน้อยลง ขับเน้นความจริงจังให้สิ่งที่กำลังพูดถึง
"หากคุณลงไปลึกมากกว่านี้สิ่งที่จะฉายตรงหน้ามันก็มีแต่สิ่งที่เหนือมโนสำนึกยิ่งกว่าที่ผ่านมาในชีวิต ถึงคุณจะพยายามใขว่คว้าเท่าไหร่ก็ไม่เจอเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้หรอกครับ และหน้าที่ของผมก็ไม่ใช่คนที่จะมาหาคำตอบให้กับคุณด้วย ผมก็แค่จะมาช่วยให้เรื่องนี้ไม่ต้องจบด้วยเหตุการณ์อันน่าสยดสยองเท่านั้น ส่วนคนที่จะตัดสินว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดมันจริงหรือไม่ ก็คือตัวของคุณเองเท่านั้นครับ"
"..."
"ผมไม่อยากให้คุณรวินท์คิดว่าทำไมเรื่องโชคร้ายนี้มันถึงต้องเกิดกับคุณ แต่อยากให้คิดเสียว่าเรื่องแบบนี้มันคือสิ่งที่คุณอาจจะต้องเจอในสักวันอยู่แล้ว 'คนเห็นผีมันเลี่ยงที่จะไม่เห็นผีไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก' และคงจะดีกว่าถ้าผมจะช่วยให้คุณผ่านมันไปได้อย่างราบรื่น"
คำพูดของชายคนนี้แม้จะไม่ทำให้เข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ บางอย่างก็ยิ่งทำให้งงกว่าเดิม แต่เขาก็ทำให้ผมฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา 'ถ้าเหตุการณ์นี้มันทำผมเข้าใจสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดกับชีวิตผมมาหลายปี จะลองเชื่อสักครั้งก็คงไม่เสียหายอะไร'
"ครับ! งั้นแบบนี้ผมต้องทำอะไรต่อ..." เอาก็เอาวะ ลุยสักตั้ง!
"เฮ้ย น้ำเสียงคุณดูสดใสขึ้นนะเนี่ย! ฮะฮะฮ่า"
ปลายสายหัวเราะชอบใจ
"เรื่องนี้ง่ายมาก คุณแค่ทำตามกฎที่ธาดาเขียนไว้ให้อย่างเคร่งครัด ห้ามขาดตกบกพร่องสักข้อเดียว แค่นี้คุณก็จะรอดพ้นจากพวกผีร้ายแล้วละครับ"
กฎงั้นเหรอ... ผมเหลือบมองกระดาษใบเล็กที่เผลอกำซะแน่น ยับยู่ยี่ไปหมด
"..."
เมื่อได้ตั้งใจอ่านเนื้อหาด้านใน นอกจากหัวข้อที่ประหลาด กฎแต่ละข้อในกระดาษแผ่นนี้นั้นก็ชวนสับสนไม่ต่างกัน
แต่ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นกฎที่ดูน่ากลัวแบบที่เห็นในหนังหรือนิยายสยองขวัญบ่อย ๆ หรอกนะครับ แต่มันกลับดู 'ธรรมดา' ซะจนไม่น่าเชื่อว่ามันคือ 'กฎการเอาตัวรอดจากอาถรรพ์ผี' ที่เขียนไว้ซะด้วยซ้ำ
1. ห้ามออกจากบ้าน และห้ามกลับมาในพื้นที่โรงเรียน 7 วัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (17 มิ.ย. - 23 มิ.ย.)
2. ห้ามดื่มของมึนเมาหรือทำให้ไร้สติ
3. ห้ามกินของที่คนแปลกหน้านำมาให้
4. ห้ามโดนแสงพระอาทิตย์ตก
5. ห้ามตอบกลับเสียงที่ได้ยินตอนกลางคืน
6. โทรรายงานผลกับ น.พ.นพดล ชงโคสิริ
ในเวลา : 16:00 น. เป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ติดต่อ : 088-680 -0xxx
แวบหนึ่งหลังอ่านจบ ผมรู้สึกขึ้นมาว่า 'กฎพวกนี้มันจะช่วยแก้ไขปัญหาผีสางนี้ได้จริงเหรอ?' เพราะส่วนใหญ่มันดูเป็นสิ่งที่ธรรมดาทั่วไปมาก ถ้าไม่นับข้อแรกที่น่าจะทำได้ยากที่สุด
แล้วทำไมต้องโทรไปหานายแพทย์นพดลด้วยนะ หมอเกี่ยวอะไรด้วย แล้วเขาใช่หมอจริง ๆ ไหมเนี่ย ไม่ใช่หมอผีหรอกเหรอ?
ทีแรกนึกว่าจะต้องไปทำพิธีกรรมที่วัดหรือลัทธิประหลาด ๆ ซะอีก ดันปกติผิดคาด
"เออ... แล้วถ้าเกิดทำตามกฎไม่ได้ล่ะครับ" ผมอยากทราบเงื่อนไขที่ชัดเจนมากกว่านี้
"หากไม่ทำตามหรือปฏิบัติไม่ได้ตามนี้ทุกข้อ คุณก็จะตายไม่ช้าก็เร็วครับ"
"!!?"
เขาพูดคำว่าตายด้วยน้ำเสียงที่ดูร่าเริงมาก มันฟังดูเป็นการข่มขู่มากกว่าการเตือนภัยซะอีกนะ
"แต่คุณรวินท์ไม่ต้องกลัวไป ในขณะที่คุณทำตามกฎนี้อย่างเคร่งครัด ลูกศิษย์ของผมก็จะปราบผีพวกนี้ให้หมดไป หากคุณอยู่แต่ในบ้านจนพ้น 7 วันไปได้ คุณก็จะปลอดภัยแน่นอนครับ"
"ไอ้ที่ยากมันคือ 7 วันนี่ละครับ ผมต้องมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนนะครับ คงอยู่บ้านตลอดเวลาขนาดนั้นไม่ได้หรอก"
"คุณรวินท์นี่ช่างเป็นนักเรียนที่ดีจริง ๆ ปลื้มใจแทนคุณครูที่มีลูกศิษย์ที่รักในการศึกษาแบบนี้จริง ๆ เลยครับ ฮะฮะฮ่า
ส่วนนักเรียนของผมแต่ละคนน่ะ แสบ ๆ ทั้งนั้น คุมแทบไม่อยู่เลย แถมยังมีบางคนที่เงียบเป็นพิเศษ ชอบทำหน้านิ่งบึ้งตึงแบบพระเอกอนิเมะ ไม่ยอมมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทักษะด้านนี้เป็นศูนย์ ผมในฐานะครูที่ห่วงใยพวกเขาจากก้นบึ้งดวงใจ รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่เลยครับ"
"เข้าเรื่องได้แล้วครับครู" ชายเสียงทุ้มจู่ ๆ ก็พูดจาเรื่อยเปื่อย หัวเราะคิกคักร่ายยาวอยู่คนเดียวจนพีคต้องคอยมาตบให้เข้าประเด็น
"ฮะฮะ ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมได้ขออนุญาตกับทางโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เขาให้คุณรวินท์เรียนแบบ Work From Home ได้หนึ่งสัปดาห์ตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด"
"จริงเหรอครับ?"
โกหกรึเปล่า มันดูเป็นไปไม่ได้เลย ชายคนนี้จะมีอำนาจอะไรในการขออนุญาตกับทางโรงเรียน? แล้วเหตุผลในการขอคือเรื่องผีเนี่ยนะ โรงเรียนจะบ้าจี้ให้จริงเหรอ
หน้าตาผมเหยเกออกอาการ
"คงไม่อยากจะเชื่อใช่ไหม ฮะฮ่า! แต่มันเป็นจริงไปแล้วครับ ผมอยากจะให้คุณรีบกลับบ้านโดยด่วนและอย่าโดนแสงตะวันตกดินเด็ดขาด
'หยาดชำระล้าง' ที่คุณเพิ่งได้ฉีดไปมันจะช่วยหยุดกลิ่นวิญญาณอันเข้มข้นของคุณไว้ที่โรงเรียนแห่งนี้ มันจะตามคุณกลับไปที่บ้านไม่ได้ ในระหว่างนี้ธาดาจะคอยจัดการผีพวกนั้นที่โรงเรียนนี้เอง"
"เออ ครับ..." ผมเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่ชื่อปรากฏในการสนทนา 'พีคเนี่ยนะจะเป็นคนปราบผี?' เขากำลังยืนพิงกำแพงด้านหลังตึกเรียน สายตาจับจ้องไปทางอื่น
ถึงพีคจะดูเก่งเอาเรื่อง สามารถจัดการต้นกับมิกได้ง่าย ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะดูเหมาะกับการเป็นคนปราบผีเลย เขาดูเป็นชายหน้าตาดีที่มีลุคของความเป็นคุณหนูมากกว่า 'หมอผี' ซะอีก ปกติแล้วมันต้องเป็นคุณลุงหัวล้าน หนวดเครารุงรัง นุ่งขาวห่มขาวไม่ใช่เหรอ
ไม่มีลูกประคำเส้นใหญ่ ชุดสีดำทั้งตัว แต่งกายเนี้ยบหรู อุปกรณ์ที่ใช้ก็ไม่ใช่ของเก่าโบราณ...
"ฮัลโหล เงียบไปเลยแฮะ คุณรวินท์คิดอะไรอยู่รึเปล่าครับ"
"อะ... เปล่าครับ ผมแค่กำลังอ่านทบทวนกฎนิดหน่อย"
"ยอดเยี่ยม เป็นแบบนั้นก็ดีครับ งั้นธุระของผมคงจะมีเท่านี้แล้ว ขอตัวนะครับ"
"คะ-ครับ... ขอบคุณมากครับ"
"แล้วก็อย่าลืมว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่คุณกำลังกังวลใจ พอถึงวันหนึ่งคุณจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้เอง หวังว่าคุณจะรักษาชีวิตต่อไปได้อย่างดีนะครับคุณรวินท์... ตี๊ด--!"
สิ้นสุดการสนทนา หลังวางสายผมรู้สึกเย็นวาบขนแขนลุกพรึบ ทำไมกันนะคำพูดของชายคนนี้มันมักจะมีปริศนาทิ้งท้ายอยู่ตลอดเลย หรือเป็นเพราะเสียงทุ้มเข้มของเขามันชวนหลอน?
พีคเดินกลับเข้ามาใกล้ "ขอบคุณที่มาช่วยนะ" ผมบอกกล่าวคนตรงหน้าพร้อมยื่นโทรศัพท์คืน
"มันเป็นหน้าที่ของฉัน ไม่ต้องขอบคุณหรอก"
"โอเค" ผมยิ้มแห้ง ๆ นี่เราอยู่กับคนที่มองว่าการจัดการผีคือเรื่องธรรมดาทั่วไปสินะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเราไปอยู่ที่ไหนมา ถึงไม่เคยรับรู้เรื่องพวกนี้เลย
"นายคงได้ยินที่ครูบอกแล้ว ปฏิบัติการจะเริ่มที่โรงเรียนนี้หลังพระอาทิตย์ตก ฉันอยากให้นายออกจากที่นี่ให้ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ถ้ามีธุระก็ให้รีบเคลียร์ซะ"
"ผมมีข้อสงสัย... เออ แล้วแบบนี้ทุกคนในโรงเรียนจะได้รับอันตรายไหมถ้านายทำพิธีปราบผีพวกนั้น" ผมกำลังเป็นห่วงเพื่อน ๆ ในโรงเรียนนี้โดยเฉพาะ 'เอก' เพื่อนสนิทของผมที่มักจะอยู่จนดึกดื่นเป็นประจำเพราะเขาเป็นหัวหน้าชมรมบาสที่ต้องฝึกซ้อมตลอด
"แน่นอนว่าทุกคนมีสิทธิ์มีอันตรายเหมือนกันหมดถ้าอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ แต่ครูอัยย์ได้ยื่นเรื่องให้โรงเรียนของนายเลิกเรียนวันนี้เร็วเป็นพิเศษ ทุกคนจะต้องอพยพออกจากโรงเรียนนี้ก่อนเที่ยงวัน ต้องไม่ให้มีใครเหลืออยู่ที่นี่สักคนเดียว"
"โห..." ผมได้แต่ทึ่ง นี่ถึงขนาดทำให้โรงเรียนเราเลิกก่อนเวลาได้เลยเหรอ คนพวกนี้เป็นนักปราบผีจริง ๆ หรือเป็นมาเฟียกันแน่นะ
เรื่องนี้มันแอบใหญ่กว่าที่คิด ยังสับสนเล็ก ๆ เหมือนมึนหมัด ความรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่เฉย ๆ ก็ถูกจับเหวี่ยงเข้าพายุของความโกลาหลอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วโดนคำถามมากมายรุมต่อยไม่ยั้งซะอย่างนั้น
"เย่!!!"
"เฮ้ย! อะไรน่ะ" เกิดเสียงร้องดีใจดังสนั่นมาจากสนามโรงเรียน บริเวณที่เพื่อน ๆ ทุกคนกำลังเข้าแถว ด้วยความสงสัยผมจึงพยายามเงี่ยหูตั้งใจฟัง และก็ได้ยินถ้อยคำประกาศของคุณครูผ่านไมโครโฟนพอดี
| ... |
" เนื่องจากวันนี้โรงเรียนชัยพิตต์วิทยาคม แผนก ม.ปลาย ของเราได้รับเลือกจาก 'หน่วยงานการศึกษาระดับนานาชาติ' เพื่อขอใช้พื้นที่ในการจัดประชุมภายใน วันนี้ทางโรงเรียนจึงมีความจำเป็นให้การเรียนการสอนเป็นการเรียนแค่ครึ่งวัน โดยหลังจากคาบพักเที่ยงขอให้นักเรียนทุกคนกลับไปทบทวนความรู้กันต่อที่บ้าน... "
"เฮ้ เฮ้!!"
" อย่าเพิ่งดีใจครับนักเรียน ช่วงเช้าเรายังมีการเรียนการสอนปกตินะครับ... "
หืม สาเหตุของเสียงโห่ร้องคือแบบนี้เองสินะนักเรียนทุกคนดีใจกันยกใหญ่ที่จู่ ๆ วันนี้ก็ได้เรียนแค่ครึ่งวัน คนผมทองใช้วิธีนี้ในการเกณฑ์คนออกจากโรงเรียนให้ไวที่สุดจะได้ไม่มีใครอยู่ตอนปราบผีนี่เอง
"รับนี่ไป"
"อ๊ะ?" พีคหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลขุ่นยื่นให้กับผม เมื่อแง้มเปิดดูก็พบของสองอย่างภายใน ชิ้นแรกเป็นเอกสารที่ประทับตราโรงเรียนของผม เนื้อหาคืออนุญาตให้นายรวินท์ ไตรวินท์ หยุดเรียน 7 วันด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ พร้อมลงลายเซ็นครูประจำชั้นเรียบร้อย
ส่วนของอีกชิ้นมีลักษณะคล้ายธนบัตร แต่ดูแล้วก็ไม่ใช่เงินที่ใช้อยู่ทุกวัน
"มันคือ?" ผมสำรวจมันบนมือ พบว่าเป็นแผ่นกระดาษสีเขียวที่มีลายพิมพ์ด้านบนเป็นโลโก้คล้ายแมวและชื่อ Ritti Mantra School
"มันคือแบงก์ที่ผลิตจากผงใบหนาดละเอียด มันจะช่วยขับไล่ผีระดับต่ำได้และอาจจะใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวเมื่อถูกจู่โจมได้เล็กน้อย วิธีใช้ก็พกติดตัวไว้ ถ้ารู้สึกจำเป็นเมื่อไหร่ก็หยิบมาไว้ในมือและยื่นไปหาสิ่งที่ต้องการขับไล่ แค่นั้นแหละ"
"โอเค... ขอบคุณมาก" นายคนนี้อุปกรณ์เขาเยอะจริง ๆ แฮะ แต่จะว่าไปของแต่ละชิ้นก็ดูไม่เหมือนที่เห็นในพวกหนังผีเท่าไหร่ นึกว่าเราจะได้สายสิญจน์หรือมีดหมอพกติดตัวซะแล้ว
"ปกติพวกนายช่วยแบบนี้กับเหยื่อทุกคนเลยไหม" ผมสอบถามต่อด้วยความใคร่รู้
"ตามจริงโรงเรียนก็พยายามช่วยทุกคนเท่าที่ขอบเขตจะสามารถทำได้ตามสถานการณ์ แต่นายคือคนแรกที่ฉันได้คำสั่งมาให้ช่วยจัดการก่อนที่คุณไสยจะมาถึงตัว ปกติไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้รู้ตัวก่อนแบบนี้หรอก
เพราะคนธรรมดาจะไม่มีพลังมนตรามหาศาลจนกลายเป็นเป้าหมายได้แบบนาย เรื่องแบบนี้จึงเกิดกับคนทั่วไปได้ยากหรืออาจเกิดไม่ได้เลย"
"แหะ ๆ งั้นเหรอ เคสหายากสิยะ" ผมเกาหัวแกรก ๆ ทำตัวไม่ค่อยถูก นี่ต้องทำตัวให้ชินเวลามีคนบอกว่าเรามีพลังพิเศษจริงเหรอเนี่ย
พลังมนตงมนตราที่ว่าคืออะไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แถมชื่อมันยังเหมือนโรงเรียนของพีคอีก ใช่เรื่องบังเอิญไหมเนี่ย?
"นายไม่จำเป็นต้องทำหน้ายิ้มแบบนั้นรวินท์ นี่ไม่ใช่คำชม 'การมีพลังมนตราไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปถ้ามันอยู่ผิดคน' ยิ่งมีพลังมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเหมือนคำสาป"
"จริงด้วย นั่นสินะ ฮะฮะ"
ผมพยักหน้าคล้อยตามแม้จะเหมือนถูกคู่สนทนาดุอยู่
ถึงน้ำเสียงกับวิธีพูดของชายหน้าหล่อผู้บึ้งตึงตลอดเวลาคนนี้จะดูใจร้าย หักมิตรไมตรีขนาดไหน แต่ผมก็เห็นด้วยนะ ที่ว่าพลังมนตราอะไรนี่ มันส่งผลด้านลบกับชีวิตผมมากกว่าจะมองเป็นแง่ดี
"ว่าแต่... ทำไมโรงเรียนของนายถึงรู้แผนการของจอมขมังเวทย์ฯ ได้ล่ะครับ?
รู้ว่าต้องตามไปช่วยคนอื่นที่โดนสาปแช่งยังไง หรือรู้กระทั่งวิธีคิดของเจ้านั่นว่าจะต้องมากำจัดผมแน่ ๆ เลยพยายามมาช่วยก่อนถึงที่นี่ แม้มันจะยังไม่ทันได้ลงมือเลยด้วยซ้ำ"
ผมสอบถามไปแต่ก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบที่ชัดเจนจากชายเย็นชาผู้นี้มากนัก ผมเพียงแค่อยากทราบมุมมองของเขาต่อเรื่องประหลาดเท่านั้น
เพราะจอมขมังเวทย์ไซเบอร์ มันดูเป็นคนโรคจิตขนานแท้ที่น่าจะคาดเดาการกระทำของมันยากมาก โดยเฉพาะคาแรคเตอร์ชวนหลอนที่ไม่น่าจะทำแผนร้ายหลุดจนถึงหูคนทั่วไปได้ง่าย ๆ
พีคนิ่งไปครู่หนึ่งและมองหน้าผม...
"เจ้านั่นเคยเป็นนักเรียนของฤทธิมนตราน่ะ"
"ห๋า??"
นับถอยหลังสู่เหตุการณ์วิปโยค...