~บาปที่ฉันก่อ ฉันจะเป็นคนรับมันไว้เอง~

What's happened in the night: ปีศาจที่ตามหลอกหลอน - ตอนเดียวจบ คืนนั้น โดย Chocolate Mlz @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,พารานอมอล,เรื่องสั้น,ตะวันตก,ผี,เรื่องสั้น,พารานอมอล,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์,สยองขวัญ,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

What's happened in the night: ปีศาจที่ตามหลอกหลอน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,พารานอมอล,เรื่องสั้น,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผี,เรื่องสั้น,พารานอมอล,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์,สยองขวัญ,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

What's happened in the night: ปีศาจที่ตามหลอกหลอน โดย Chocolate Mlz @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

~บาปที่ฉันก่อ ฉันจะเป็นคนรับมันไว้เอง~

ผู้แต่ง

Chocolate Mlz

เรื่องย่อ

สารบัญ

What's happened in the night: ปีศาจที่ตามหลอกหลอน-ตอนเดียวจบ คืนนั้น

เนื้อหา

ตอนเดียวจบ คืนนั้น

รัฐอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ณ หมู่บ้านเล็กๆ ที่อากาศหนาวตลอดทั้งปี




รถของผมจอดติดไฟแดง ตรงแยกที่ผมกำลังจะมุ่งหน้าไป ขณะนั้น ผมหันไปเห็นชายเร่ร่อนยืนตัวสั่น ยกป้ายขออาหารอยู่ข้างทาง มันทำให้ผมใจอ่อน




[Give me some food, Give me a chance]




ป้ายกระดาษถูกชูขึ้น จากชายพเนจรไร้บ้านคนหนึ่ง ที่เนื้อตัวมอมแมม ดูน่าสงสาร ผมลดกระจกลงแล้วยื่นเศษเงินกับขนมปัง พร้อมส่งรอยยิ้มเมตตาให้ ด้วยใจหวังให้เขามีความสุข




เขาพยักหน้าแล้วทำท่าขอบคุณ จากนั้น เราก็สบตากัน ผมเข้าใจกิริยาท่าทางของเขาดี ผมยิ้มเล็กๆ ไม่พูดอะไร แล้วเลื่อนกระจกด้านฝากคนนั่งขึ้น เข้าเกียร์ แล้วเดินทางต่อ...




...




ผมขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านพักตากอากาศ ที่อยู่ในป่าทางตอนใต้ของรัฐ ด้วยจิตใจที่ประหวั่นตลอดเวลา ในหัวผมครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์ที่ตามหลอกหลอนผมมาทั้งชีวิต มันทำให้ผมเป็นผมในวันนี้ ไม่ว่าจะหลับตาลงสักกี่ครั้ง ผมก็มิอาจลืมมันไปได้เลยแม้แต่วันเดียว




ผมชื่อ เจฟฟรีย์ นิโคลัส พอล อดีตเคยอาศัยอยู่ที่อาลาสก้านี่แหล่ะ แต่เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้ผมต้องย้ายไปเรียนที่อื่น ผมเกิดมาในครอบครัวปศุสัตว์ นับถือศาสนา ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์เสมอ นอกจากผมแล้ว ผมมีพี่น้อง 3 คน...เคยมี ทุกคนเป็นคนดี ยกเว้นผม ที่ไม่ใช่คนดีที่ควรได้รับการให้อภัยจากพระองค์...ไม่เลย




เรื่องมันก็เกิดมา 50 ปีแล้ว ตอนนั้นผมอายุแค่ 5 ขวบ ในค่ำคืนวันนั้น วันที่อากาศหนาวจัด ผมจำได้ว่ามีพายุหิมะลูกใหญ่พัดพาดผ่านหมู่บ้านของเรา มันพัดพาความหายนะเข้ามาปกคลุมพื้นที่โดนรอบ โรงนาที่พ่อกับแม่ใช้เก็บพืชพรรณกับวัวนมได้รับความเสียหาย ท่านทั้งสองจึงต้องออกจากบ้าน ขังลูกๆ ทั้ง 4 คนให้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัย อย่างน้อยก็ให้พวกเด็กๆ ยังคงอบอุ่นจากเตาผิงไฟในบ้าน ไม่ต้องเผชิญอากาศหนาวข้างนอก ที่มันโหดร้าย




คืนนั้น พวกเราสี่คนเล่นซนกันจนเปรมปริ่ม ไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกใดๆ ชีล่าพี่สาวคนโตพาพวกเราเข้านอนทีละคน เธออายุแค่ 10 ปี แต่ทำหน้าที่แทนผู้ใหญ่ได้ ผมรักเธอจนสุดหัวใจ เราเข้านอนกันค่อนข้างไว สักประมาณ 2 ทุ่ม สมัยนั้นไม่มีสิ่งบันเทิงใจเช่น โทรศัพท์มือถือ แทบเล็ต อินเตอร์เน็ตไร้สาย อย่างมากก็นิทานก่อนนอน ตอนนั้นใกล้ช่วงคริสมาสต์แล้ว ชีล่าเลยหยิบเรื่องเล่าที่เข้ากับเทศกาลมากล่อมพวกเรานอน ทั้งเรื่องซานต้า ที่จะแจกของขวัญให้เราถ้าเราเป็นเด็กดี และก็เรื่องปีศาจแครมปัส ที่เป็นขั้วตรงกันข้าม ที่จะลงทัณฑ์เด็กดื้อ เด็กนิสัยไม่ดี จนเด็กๆ พากันเชื่อฟังผู้ใหญ่ ไม่กล้าแตกแถว




ดึกสงัดของคืนนั้น หลังจากทุกคนเข้านอน จะด้วยบังเอิญหรือตั้งใจ ผมลุกขึ้นมาเพราะปวดฉี่หลังจากกินน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งเข้าไปมากในช่วงหัวค่ำ ผมลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำเพียงลำพัง เพราะไม่อยากรบกวนเวลานอนของคนอื่นๆ




ผมโตแล้ว ผมเข้าห้องน้ำเองได้ แม่ต้องชมผมเยอะๆ แน่เลย




ผมเดินข้ามพวกพี่สาวกับน้องๆ ไปห้องน้ำ ผ่านเตาผิงไฟ ผ่านกองขนมและผลไม้ที่วางระเกะ ระหว่างนั้น ผมเหลือบไปเห็นขนมมาชเมลโล่ที่เหลือไว้ในชาม ผมคิด...




อยากกินอีกจัง พี่สาวเคยผิงขนมให้กินตอนมันร้อนๆ มันอร่อยมาก




ด้วยความเป็นเด็ก ผมก็แค่อยากลองทำแบบขนมแบบพี่สาวทำก็เท่านั้น ผมเอาไม้ยาวจิ้มเจ้าก้อนหยุ่นสีขาว เรียงแถวสวยงาม ไปอิงเปลวสะบัดของไฟสุกสกาว เจ้าขนมสีขาวก็เปลี่ยนเป็นสีดำ มันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมสะบัดไม้ยาวออกห่างจากไฟ ทว่า สะเก็ดเพลิงที่ติดกับซากขนม กระเด็นไปติดตามผ้าม่านและผ้าขนสัตว์ ลุกลามจนก่อเกิดเป็นเพลิงกัลป์ ไหลลามเผาบ้านของผมอย่างรวดเร็ว




"หะ หะ!" ผมทำตัวไม่ถูก "ช่วยด้วย...ยยย ไฟไหม้..." 




เสียงกรีดร้องหวังปลุกคนในบ้าน แต่คนเดียวที่ตื่นจากนิทรา มีเพียงชีล่าเท่านั้น...




"เกิดอะไรขึ้น เจฟ!" เธอดูตกใจน้อยกว่าที่ผมคิด ผมมานึกเอาที่หลังว่า เธอคงตั้งสติได้ดีกว่าผมกระมัง จึงดูใจเย็นกว่าที่ควรเป็น




ผมเอาแต่นั่งร้องไห้ "แง...งงง ฮือ...อออ" ชีล่าไม่รอช้า เธอดึงผ้าเช็ดเท้าที่ยังไม่โดนไฟไหม้มาห่อตัวผม แล้วคว้าเอวผมทั้งๆ ที่เธอก็ตัวผมกับเธอก็เล็กพอๆ กัน ทั้งแบกทั้งลากผมออกมาข้างนอก มาไว้ตรงต้นไม้ข้างโรงเก็บฟืน จากนั้น เธอก็วิ่งกลับไปในบ้านด้วยความกล้าหาญ ผมเห็นเพียงเงาของแผ่นหลังเธอ หายจมไปกับแสงสว่างของเปลวเพลิง กองไฟโหมประโคมโชติช่วงกลืนกินบ้านของผมให้หายไปกับตา จากนั้น ผมก็เผลอหลับไปด้วยความกลัว และตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวัน หลังจากที่ทุกอย่าง สงบลงแล้ว...




...ผมตื่นมาในบ้านของ เอ็ดดาร์ต เพื่อนบ้านที่อยู่ห่างไปอีกครึ่งไมล์ พ่อกับแม่และทุกคนถามผมว่ามันเกิดอะไรขึ้น...ผมไม่เล่า ผมเล่าไม่ออก ภาพของชีล่ายังคงติดตาของผมอยู่ ผมรู้สึกสับสน ผมกลัวที่จะยอมรับมัน ผมร้องไห้โยเยแบบนี้ไปอีกหลายวัน กว่าผมจะกลับมาพูดจารู้เรื่องได้ มันก็ใช้เวลาอีกหลายเดือน




หนึ่งปีหลังจากวันนั้น ใกล้จะถึงวันคริสมาสต์อีกครา มันเหมือนเป็นวันครบรอบวันตายพี่น้องของผมไปโดยปริยาย แม้พ่อกับแม่ได้ย้ายบ้านไปอยู่ในอีกเมือง ที่ไกลจากรัฐอลาสก้า เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเขาจะพยายามสร้างบรรยากาศไม่ให้มันเศร้าเกินไป ด้วยการนำของขวัญไปติดที่ใต้ต้นสนประดับบ้าง นำถุงเท้าไปแขวนที่หัวนอนตามประเพณีบ้าง แต่ผม ก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย เทศกาลเฉลิมฉลองมันหมองหม่นสำหรับผม ผมเอาแต่โทษตัวเองที่วันนั้น เป็นคนก่อเรื่อง จนทุกคนต้องตาย...มันเป็นฝีมือผมเอง




แต่แล้ว ในเช้าตรู่วันคริสต์มาส ผมก็ได้รับสารบางอย่างที่ทำให้ผมประหลาดใจ เมื่อผมตื่นขึ้นมาแล้วก็พบว่า บนหัวเตียง ตรงที่พ่อแขวนถุงเท้าไว้ มีของสิ่งหนึ่งถูกใส่ไว้ในนั้น ผมใช้มือเล็กๆ เปิดมันออกดู ก็พบกับ...




เศษกิ่งไม้กวาด!?




โดนปกติ ตามธรรมเนียม เด็กทุกคนจะได้รับของขวัญอะไรสักอย่าง หรือไม่ได้เลย ในวันคริสมาสต์ แต่ผมกลับได้ เศษกิ่งต้นเบิร์ชหัก ใส่ไว้ในถุงเท้า วินาทีนั้น ผมรู้ทันทีเลยว่า นี่คือสัญญาณเตือนจากปีศาจแครมปัส หากเด็กคนไหนทำตัวแย่ หรือเป็นเด็กไม่ดี ปีศาจตนนี้ จะมาลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี หรือไม่ก็จับเด็กดื้อยัดใส่ถุงที่ทำจากกระเพาะแพะ...แต่ทว่า ผมกลับไม่รู้สึกกลัวเจ้าสิ่งนั้นเลย ผมรู้สึกประหลาด มันเปี่ยมไปด้วยความเศร้าเพราะผมร้องไห้ แต่ผมยอมรับมัน ยอมรับที่จะถูกภาคทัณฑ์จากเจ้าปีศาจตนนี้ อย่างไม่กังขาใดๆ




คืนถัดไปหลังจากผมได้รับคำเตือน ผมเฝ้ารอที่จะได้เจอมัน ปีศาจแครมปัส แล้วมันก็มาจริง ตามที่ผมคาดหวังไว้




ร่างอสูรกายครึ่งคนครึ่งแพะส่งเสียงโหยหวน เสียงมันลอยล้อไปกับลมหนาวที่พัดกิ่งต้นสนให้ไหววูบเป็นระยะ ผมรู้ เพราะมันส่งเสียงเรียกชื่อผมตามหลังเสียงหอนของมัน




"วู้ว...ววว~ เจฟฟรีย์~นิโคลไล~พอล~ เด็ก~ ดื้อ~"




เสียงครวญเย็นเยียบเข้าสะกัดถึงหัวใจ ผมมองหาตัวมันไม่นาน ผ่านกระจกหน้าต่างชั้นสองของบ้าน ก็เห็นตัวมันที่ห้อยโหนโดดเด่ ตนเดียว อยู่บนยอดกิ่งสนต้นที่สาม จากยอดเขา ดวงตาแดงก่ำสะท้อนกับแสงของพระจันทร์ ข่มขู่ผมเป็นนัย แม้ผมกับมันจะอยู่ค่อยข้างไกล แต่ผมได้ยินเสียงที่มันสื่อสารเข้ามาในหัวของผม ราวกับมันยืนอยู่ข้างหลังผมแล้วกระซิบคำ




"หนึ่งคน สำนึกผิดสิบปี~ สามคน สำนึกผิดสามสิบปี~ ข้าให้โอกาสเจ้า เจฟฟรี่ย์ เด็กเลว~"




ผมสะดุ้งตัวหันควับกลับหลัง ทว่า เมื่อหันกลับมา มันก็หายไปแล้ว




"หมายความว่ายังไง?" ผมก็แค่เด็กหกขวบ จะไปเข้าใจอะไร ผมรู้แค่ว่า ผมจำประโยคนั้นไม่มีวันลืม และทั้งหมดที่ผมเล่ามา มันก็เปลี่ยนความคิดผมไปตลอดกาล




...




"บรืน...เอี้ยด!" ผมจอดรถที่หน้าทางเข้าฟาร์มปศุสัตว์เก่าทิ้งร้าง สถานที่ที่เป็นบ้านหลังเก่า ที่ผมเคยอาศัยอยู่ ทุกปีที่มีโอกาส นอกจากผมจะไปบริจาคของกินของใช้กับคนไร้บ้านแล้ว ผมก็จะมาเคารพศพพี่สาวกับน้องๆ ที่สถานที่เกิดเหตุ และทุกปี ผมพยายามทำความดีเผื่อพวกเขาเสมอ ผมหวังว่า พระองค์จะทรงรับดวงวิญญาณ ชีล่า ฌอน กับแองเจล่า เข้าสู่อ้อมพระพักตร์ของพระองค์ด้วยเถิด ถึงแม้ว่า ดวงวิญญาณของผมจะตกนรกหมกไหม้ ผมก็ยอมแลกมัน เพื่อชดใช้ความผิดบาปที่ผมก่อ โปรดลงโทษผมให้สมกับความผิดด้วยเถิด...ข้าแต่พระองค์ ขอทรงอย่าได้ชำระล้างบาปที่ผมก่อ ผมขอโทษ




ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ ผมก็จะมานั่งรอ มัน พร้อมปืนลูกซอง ที่บ้านหลังนี้เสมอ เป็นเวลากว่า 50 ปีแล้วที่ผมเฝ้ารอมัน มันบอกจะให้เวลาผมแค่ 30 ปี แต่มันก็ไม่มา ผมคิดว่า มันคงรอให้ผมแก่ตายไปเองในสักวัน หรือไม่ มันก็คงลืมเรื่องของผมไปแล้วจนหมดสิ้น แต่ผมก็ยังคงรอแบบนี้ อยู่เช่นเคย




​​​​​​ตาเฒ่าอย่างผมเดินงุ่มง่ามเข้าไปในบ้านที่เหลือแต่ซากดำเป็นตอตะโก มือขวาถือปืนลูกซองที่เริ่มหนักขึ้นทุกปีๆ อย่างสั่นเทา ร่างกายชรามิอาจทนต่อความหนาวไหว ผมจำต้องก่อไฟในบ้าน แม้มันจะทำให้ผมเจ็บจี๊ดแปล๊บๆ เมื่อเห็นเปลวไฟปะทุขึ้น ท่ามกลางความมืด ผมนั่งเอนกายบนซากอิฐผุ ใกล้กับกองไฟ สายตาจ้องมองความผิดปรกติด้านนอก ที่หวังว่า คืนนี้ จะเป็นอีกคืนที่ผ่านไปด้วยดี




"ฟู่ว...อ่า..." ควันขาวก่อตัวเป็นไอ ออกมาจากลมหายใจของผม




"ฟู่ว...อ่า..." มือของผมเริ่มแข็งจากความเย็นยะเยือก ของอุณหภูมิภายนอกที่ติดลบไม่รู้กี่องศา




"อ่า...ฟู่ว..." ความหนาวจับใจดึงหนังตาผมให้เริ่มหย่อน ผมกับบอกตัวเอง




'อย่าหลับ ห้ามหลับเป็นอันขาด' ผมนึกหวนย้อนไปถึงภาพวันนั้น ถ้าผมห้ามพี่สาว อาจจะไม่ใช่ผม ที่ต้องแบกรับความผิดนี้คนเดียวมานานนับสิบปี "อ่า...ฟู่ว...แกร๊บ!"




จู่ๆ ก็มีเสียงเหยียบกิ่งไม้ ดังมาจากนอกบ้าน แล้วก็ตามมาด้วยเสียงที่ทำให้ผม สั่นสะท้านไปทั้งตัว




"เจฟ~ ฟรี่ย์~ เด็ก~ ดื้อ~" เสียงนี้ที่คุ้นเคย ลอยตามลมมา




"นิ~ โคล~ ไล~ พอล~ เยี้ยก...กกก ฮ่ะฮ่ะฮ่า!" ผมเด้งตัวทันที คว้าปืนลูกซองประทับบ่า




"ฟี้ด...ดดด ฟู่ว...!"




"ฟี้ด...ดดด ฟู่ว...!" ทุกอย่างเงียบลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจของผม




แต่แล้ว ลูกบิดประตูหน้าบ้าน ก็ถูก ใคร หรือ อะไร พยายามบิดเพื่อที่จะเข้ามา




ผมยืนนิ่ง รอดูสถานการณ์อย่างตื่นกลัว




"เข้ามาเลย ไอ้ปีศาจ กูรอมานานแล้ว"




แล้วก็เป็นดั่งหวัง ประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกช้าๆ เสียงลั่นของไม้ดังเอียดเสียดสีแก้วหูของผม ตามมาด้วยกลิ่นสาปสางที่ชวนอ้วก จากนั้น ขาที่เต็มไปด้วยขนสัตว์ก็แทรกผ่านช่องว่างประตูที่แง้มเข้ามา ตามมาด้วยร่างของอสูรกายตนนั้นที่ผมเคยเห็น ที่ดันตัวเข้ามายืนโด่เด่ หัวชนเพดาน โชว์ฟันขาวแหลมคมให้ได้เห็น นาทีนั้น ผมบอกไม่ได้เลยว่า ขีดความกลัวผมมันสูงขนาดไหน แต่ถ้าคิดเป็นตัวเลขเต็มหนึ่งร้อย ผมว่า มันคงทะลุไปถึงหนึ่งพันได้เลย ถ้าให้ผมบอกนะ




"เจฟ~ฟรีย์~ เด็ก~ ดื้อ~" อสูรกายหน้าสัตว์เรียกขานชื่อผมอีกครั้ง




"เออ ฉันเอง!" ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมเหนี่ยวไกอาวุธคู่ใจไปเต็มรัก




"แชะ! แชะ!" ทว่า ไม่รู้ด้วยความชื้นในดินปืน หรือ ความผิดพลาดอันใด ทำให้กระสุนด้าน




"หึ หึ !" เจ้าปีศาจเหมือนจะยิ้มเยาะ "เลว...เลว..." มันขยายร่างให้ใหญ่โตราวกับจะกลืนกินบ้านทั้งหลัง




ผมพรั่งพรูทั้งน้ำตา "ใช่ ฉันผิดเอง ฉันขอโทษ คืนนั้น ฉันเป็นเผาบ้าน ฉันเป็นคนเผาพี่น้องของฉันเอง ฮือ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันผิดไปแล้ว ฉัน ผิด ไป แล้ว! ฮือ...อออ!"




น้ำตาของผมไหลอาบทั้งสองแก้ม มันเป็นความรู้สึกเดียวที่ค้างคามาตลอด 50 กว่าปี ไม่มีปีไหนเลยที่ผมมีความสุขกับเทศกาลคริสมาสต์ ผมเฝ้ารอที่จะพูดสิ่งที่อัดอั้นที่จะสารภาพผิด แม้ในโบสถ์เอง ผมก็ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยความผิดบาปของผม แต่ตอนนี้ ผมยอมแล้ว




"เคี้ยกๆๆๆ เจฟฟรี่ย์ เด็กเลว...เด็กแล้วต้องโดนทำโทษ" เจ้าปีศาจคว้าถุงและกิ่งต้นเบิร์ชไว้ในมือแน่น ส่วนอีกมือก็เตรียมคว้าร่างผมเอาไว้




ผมทิ้งปืน และเตรียมใจ "ข้าแต่พระองค์ หากลูกสมควรได้รับผลกรรมที่ลูกกระทำ วิงวอนต่อพระองค์ โปรดรับดวงวิญญาณของลูกไปสู่สรวงสวรรค์ หลังจากลูกชดใช้ความผิดในนรกภูมิแล้วด้วยเถิด ลูกอยากไปอยู่ร่วมกับพี่น้องของลูก โปรดพระองค์ทรงเห็นใจลูกด้วยเถิด..."




ผมสวดมนต์วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของผม แม้ผมจะเตรียมใจมาค่อนข้างมากแล้ว แต่เมื่อมายืนอยู่หน้าความตาย มันก็ยากที่จะทำใจจริงๆ ความตายเป็นสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ผมไม่รู้ว่า มันเป็นอย่างไร มันจะโดดเดี่ยวไหม จะทรมานเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ไหม สิ่งที่ผมเฝ้าทำ เพียรพยายามทำความดี จะส่งผลกับผมหลังความตายไหม ผมเพียงแค่เชื่อ และก็เชื่อมั่นว่า มันจะเป็นดั่งเช่นที่ผมหวัง อย่างที่ตอนผมยังมีชีวิตอยู่ ผมทำได้แค่หวังเท่านั้น




ปีศาจแครมปัสเงื้อมือขึ้น เล็บยาวคมแหลมและโสมมพุ่งเร็วแหวกอากาศ ตรงมายังร่างอันไร้ทางสู้ของผม ทว่า...




"วู้ม...มมม!!!"




ปาฏิหาริย์ก็บังเกิดขึ้น! เมื่อจู่ๆ มีลำแสงจากท้องฟ้า ทะลุหลังคาลงมา ขัดขวางการจู่โจมของสัตว์ร้ายได้ทันจะถึงตัวของผมเสียก่อน




"โฮก...กกกก!" ปีศาจหน้าผีร้องคำราม แผดเสียงดุอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อมันไม่ได้ดั่งใจ




"หยุดก่อน รูเพิร์ต" เสียงใสกังวาล ราวกับระฆังในโบสถ์หลังบ้าน ดังเตือนออกมาจากแท่งลำแสง




"มิ คา เอล" แครมปัสเรียกเขาว่านามนั้น




"ชายผู้นี้สำนึกผิดแล้ว เขาใช้เวลาที่เจ้าให้ สำนึกในความบาปที่ได้ก่อและยอมรับความผิดนั้นแล้ว อีกทั้ง ยังช่วยเหลือผู้คน สั่งสมคุณความดีอย่างสม่ำเสมอ ข้ามิอาจเพิกเฉยต่อการลงทัณฑ์ของเจ้าได้ รูเพิร์ต" เจ้าของเสียงพยายามอธิบายความต่อปีศาจแครมปัส ผมที่ล้มกระเด็น และตกตะลึงอยู่ ได้แต่จ้องมองเหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นต่อหน้า




"โอ้ พระเจ้า โอ้ พระเจ้า" ผมส่งเสียงเพรียกถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เจ้าปีศาจแครมปัสโมโหตัวโยน เพราะมันต้องการตัวผม




"ไม่ มิคาเอล มันเป็นของข้า!" เหมือนมันจะไม่ยอม แต่แครมปัสก็มิได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อเทวทูตมิคาเอล




"ยังไม่ใช่ และไม่มีวัน" เทวทูตมิคาเอลเพียงยื่นดาบไปข้างหน้า ร่างของแครมปัสก็ถูกกดทับด้วยบางอย่างที่โปร่งใส ร่างกายของมันถูกกดจนแบนบี้ติดจมลงไปที่พื้น มิอาจต่อต้านอำนาจทูตสวรรค์ได้เลยแม้แต่น้อย




"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?" ผมเผลออุทาน ทว่า เทวทูตมิคาเอลกลับหันมาตอบผมเพียงสั้นๆ




"ขนมปังอร่อยมากนัก ข้าขอบใจ" ใบหน้าที่หันมา เป็นใบหน้าของคนจรที่ผมเพิ่งเจอเมื่อตอนกลางวัน ตรงแยกไฟแดง ท่านเทวทูตเพียงยิ้มอ่อนเท่านั้น ก่อนบินหายไปกับลำแสงจากท้องฟ้า พร้อมกับร่างของแครมปัสที่เลือนหายไปพร้อมกัน




ผมไม่รู้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นความประสงค์ของพระองค์หรือเหตุใด ผมรู้แค่ว่า วันนี้ ผมคงกลับไปฉลองคริสต์มาสด้วยความรู้สึกแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว




​​​​​​...