ปริศนาเด็กสาวสวมฮู้ดดำผู้ไร้ทีี่มา...ใครกันเเน่ที่อยู่เบื้องหลังคดีเด็กหายที่ไพน์วู้ดฮิลล์...
แฟนตาซี,ไซไฟ,พารานอมอล,ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน,ลึกลับ,สยองขวัญ,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,รถแห่ชวนเขียน8,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เด็กสาวในป่าสน : The girl in the deep dark woodsปริศนาเด็กสาวสวมฮู้ดดำผู้ไร้ทีี่มา...ใครกันเเน่ที่อยู่เบื้องหลังคดีเด็กหายที่ไพน์วู้ดฮิลล์...
เรื่องสั้น ร่วมกิจกรรมรถแห่ชวนเขียน 8 : Key words : ปีศาจเเครมปัส, คนจร, เทวทูต, มาร์ชเมลโล่
"เนี่ยนะเด็กดีของพ่อเเม่! ฉันว่า เจ้าพวกนี้มันคงเป็นพวกวัยรุ่นกวนประสาทซะมากกว่า"
ราฟ หรือ ราฟาเอล พูดด้วยน้ำเสียงเเดกดัน เขากรอกตามองบนด้วยความระอา ขณะที่มืออีกข้างกำลังขยี้ก้นบุหรี่ลงในจานรอง คดีเด็กชายวัยเห่อหมอยสามคนที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อสองสามวันก่อน ทำเอาเจ้าหน้าที่สายตรวจอย่างพวกเขาต้องเร่งหาร่องรอยหลักฐานเสียหัวปั่น เพื่อตามตัวเด็กๆเหล่านั้นกลับคืนมาสู่อ้อมอกของผู้ปกครองที่เป็นกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เเถมยังโทรศัพท์มากดดันเจ้าหน้าที่อีกนับร้อยสายในรอบสามวันมานี้
พร้อมกับปิดท้ายด้วยคำขอความเห็นใจยอดนิยม "ลูกผม/ดิฉันเป็นเด็กดี ไม่เคยมีเรื่องราวกับใครที่ไหนเลย โอ ได้โปรดเถอะค่ะ! พวกเรากังวลจนเเทบบ้า ป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ คุณต้องช่วยเราให้ได้นะครับ คุณตำรวจ"
เหอะ ...อยากรู้นักว่าถ้าเด็กๆพวกนั้นรู้ซึ้งถึงความห่วงใยของคนที่บ้านขนาดนี้ จะกลับตัวเป็นคนดีกัน'ทัน'ไหมนะ
"ลูกใคร ใครก็รักนะ ราฟ"
ไมเคิลสายสืบผิวสีกล่าวขึ้นพลางจิบกาแฟ ทั้งเขาเเละราฟาเอลใช้เวลาชั่วโมงกว่าในการตรวจดูภาพวีดีโอจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่บนเสาไฟฟ้าข้างป้ายรถเมล์ R13 บนถนนสายเปลี่ยวตอนหกโมงเย็นของวันที่ 1 ธันวาคม
เพราะมันเป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่บ่งบอกถึงการพบเห็นเด็กกลุ่มนี้ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย วู้ดไพน์ฮิลล์ เเม้จะเป็นเมืองเล็กๆที่มีจำนวนประชากรไม่กี่พันครัวเรือนตามประสาเมืองชนบทในอังกฤษ เเต่พื้นที่เกือบครึ่งก็เป็นทิวเขาสลับป่าสนรกทึบ จึงทำให้การค้นหาเด็กหายใช้เวลานานกว่าปกติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวเดือนธันวาคมซึ่งมืดเร็วตั้งเเต่สี่โมงเย็นเเล้ว
"นายดูสิ...จากวีดีโอที่นั่งๆดูกันเนี่ย เราควรจะเป็นห่วงใคร เด็กผู้หญิงผอมบางที่สวมฮู้ดดำ หรือ ไอ้เด็กเปรตสามคนที่กำลังรุมแกล้งข่มขู่ให้เธอกลัวกันเเน่วะ..."
ราฟาเอลกดปุ่มย้อนดูภาพวีดีโออีกรอบ ใต้เเสงไฟสลัวริมป้ายรถประจำทางที่เด็กหนุ่มทั้งสามกำลังนั่งสุมหัวกันเอาสีสเปรย์ฉีดพ่นแผ่นกระจกตารางเดินรถอย่างคึกคะนอง ขณะที่ร่างของสาวน้อยคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงมุมซ้ายของวีดีโอค่อยๆเดินผ่านมาทางป้ายรถเมล์ เธอสวมเสื้อหนาวสีดำตัวเก่าที่หลวมโพรกเสียจนคล้ายกับห่อร่างผอมบางเอาไว้ในผ้าห่มผืนโตเผยให้เห็น ใบหน้าตอบซูบซีดเพียงเเค่ถัดลงไปจากปลายจมูกเเละริมฝีปากบาง
เด็กสาวที่ดูเหมือนคนเร่ร่อนใช้สองมือเล็กๆของเธอที่โผล้พ้นเเขนเสื้อมอมเเมม กำลังประคองถุงมาร์ชเมลโลสีหวานไว้เเนบอกระหว่างที่เดินดุ่มๆผ่านกลุ่มเด็กแสบทั้งสามอย่างเจียมตัว คงเพราะท่าทางลนลานของคนตัวเล็กกว่าทำให้เจ้าเด็กหนุ่มพวกนั้นนึกสนุกขึ้นมา จึงละมือจากกระป๋องสเปรย์เเล้วหันมารุมแกล้งเธอด้วยการทำเสียงโห่เเซวจนขวัญกระเจิง ทว่าพวกมันยังไม่ยอมจบเเค่นั้น เด็กหนุ่มหัวโจกของกลุ่มที่หมายตาขนมหวานไว้เเต่เเรกก็ใช้มือมอมเเมมกระชากทึ้งถุงขนมจนขาด ทำให้มาร์ชเมลโล่สีโทนพาสเทลในซองร่วงลงมาบนพื้นเกือบครึ่ง
เเม้ว่าวีดีโอจากกล้องCCTV.จะไม่ได้บันทึกเสียงการสนทนาใดๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลาสิบกว่านาที เเต่จากกิริยาเเละท่าทางกวนอารมณ์ของกลุ่มเด็กแสบที่ชอบทำตัวคุกคามคนที่อ่อนแอกว่า ทำให้ผู้ชมพอจะคาดเดาได้ว่าสิ่งที่มันพ่นออกมาน่าจะมีเเต่คำพูดหยาบคายเเทบทั้งนั้น
เหมือนว่าเด็กสาวผู้น่าสงสารจะรวบรวมความกล้าเท่าที่มีอ้าปากพูดอะไรบางอย่างเป็นการโต้กลับ ดูจากสีหน้าโกรธจัดของคนฟัง มันจะต้องเป็นคำด่าทอที่ฟังเเล้วเเสบไปถึงทรวงเเน่ๆ ขณะที่เธอกำลังโวยวาย นิ้วเรียวเล็กคล้ายหนังหุ้มกระดูกถูกยกขึ้นชี้หน้าไอ้หัวโจกประหนึ่งท้าทายไปในตัว
ก่อนที่เธอจะฉวยโอกาสตอนที่เด็กเหลือขอพวกนั้นเผลอรีบวิ่งหนีไป เพียงชั่วอึดใจ พวกมันก็เหมือนจะตั้งตัวได้จึงรีบวิ่งกรูไล่ตามหลังเธอไปราวกับฝูงหมาล่าเนื้อ
เเล้วภาพในกล้องcctvก็ถูกตัดไปทันที เหลือเเต่จอดำกับเสียงซ่าๆคล้ายกับทีวีที่ปราศจากเสาอากาศ
"ถ้าเราตามกล้องวงจรปิดจากร้านค้าหรือตามบ้านครที่อยู่เเถวนั้น น่าจะรู้ว่าพวกเขาวิ่งไปทางไหนกัน"
"มันไม่ง่ายยังงั้นน่ะสิ"
ไมเคิลเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ประสานมือเข้าด้วยกันเเล้วเลิกคิ้วขึ้น
"นายรู้ไหม ไม่ใช่เเค่ cctv ตรงป้ายรถเมล์R13 ที่มีปัญหาหรอก...กล้องทุกตัวที่อยู่บนถนนเส้นนั้น ต่างก็พร้อมใจกันเสียช่วงเวลานั้นพอดีซะด้วย"
"ฟังดูเหมือนไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญเลยนะ"
ราฟาเอลสบตาสายตรวจคู่หู โดยไม่ต้องพูดจาอะไรให้มากความ ต่างฝ่ายก็พอจะเดาออกได้ว่าในโลกนี้ ความบังเอิญที่เเท้จริงนั้น ไม่เคยมีอยู่จริง...
...
ไมเคิลหยิบซากห่อขนมมาร์ชเมลโล่ที่อยู่บนฟุตบาทขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง คงเพราะมันตกอยู่ใกล้พงหญ้าจึงรอดพ้นจากสายตาของพนักงานเทศบาลรอบเช้าซึ่งคอยเก็บกวาดขยะที่ถูกคนมือบอนทิ้งไว้ข้ามคืนจนสะอาดเอี่ยม
ร่องรอยของสีสเปรย์บนเเผ่นบอร์ดตารางรถยังคงหมาดใหม่ มันถูกพ่นอย่างสะเปะสะปะทำให้ดูสกปรกรำคาญตามากกว่าเป็นงานศิลปะกราฟฟิตี้ที่กำลังเป็นกระเเสนิยม อากาศยามเย็นช่วงใกล้ค่ำนั้นหนาวจับใจ เเม้เเต่หนุ่มสายตรวจร่างสูงใหญ่อย่างราฟาเอลยังต้องยืนกอดอกทั้งที่ตนเองสวมเเจ๊กเกตยูนิฟอร์มตำรวจเต็มยศ
"งานนี้น่าจะหินกว่าที่คิด"
ไมเคิลพูดพลางพลิกเศษซองพลาสติกขนาดเล็กในมือ ใต้เเสงสลัวของไฟนีออนตรงชายคาป้ายรถเมล์ "ถ้าเป็นฝีมือของพวกแก็งค์อันธพาลล่อลวงเด็กเเบบที่คนทั่วไปกลัว ฉันว่ายังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่...อย่างน้อยเด็กพวกนั้นก็อาจมีโอกาสได้กลับมาหาครอบครัวตอนเป็นๆ"
เขายื่นเปลือกมาร์ชเมลโล่ไปตรงหน้าสายตรวจคู่หู เมื่อเห็นตัวอักษรสีชมพูหวานที่พิมพ์เด่นหราบนซองพลาสติก ไมเคิลก็ถึงกับอุทานเสียงดัง
"ซวยเเล้วไอ้เด็กพวกนี้"
เเค่ชื่อยี่ห้อ "Klaubauf" ก็ทำให้ขนมหวานธรรมดากลายเป็นหลักฐานการปรากฏตัวของปีศาจขึ้นมาทันที
...
ภาพเด็กสาวในชุดเสื้อฮู้ดสีดำถูกพิมพ์ออกมาเป็นแผ่นขนาดเอสี่ เเม้จะถ่ายไม่เห็นใบหน้าของเธอชัดเจนนัก เเต่ลายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับรูปร่าง หรือ เสื้อผ้าที่สวมใส่ช่วงเวลานั้น น่าจะพอใช้เป็นข้อมูลลในการติดตามหาตัวเธอได้ วันรุ่งขึ้น สายตรวจทั้งสองจึงตัดสินใจพักการค้นหาร่องรอยของเด็กหนุ่มทั้งสามชั่วคราว เพราะหากรู้ว่าพวกเขาวิ่งไล่ตาม "ตัวอะไร" ก่อนที่จะหายไปนั้นคงจะสามารถค้นหาตัวได้ง่ายกว่า
ที่จริง ไม่ใช่ว่าสายตรวจทั้งสองยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอะไร เเต่การจะฟันธงว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติตามที่พวกเขาสงสัย ก็ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบหลักฐานสักประมาณหนึ่งเสียก่อน มิเช่นนั้นเเล้ว ทางเบื้องบนคงสาปส่งพวกเขาให้เปลี่ยนอาชีพเป็นหมอผีเเทน
"ลองคิดดูดีๆนะครับ คุณเคยเห็นเด็กผู้หญิงรูปร่างหน้าตาเเบบนี้บ้างไหม" ราฟาเอลเลื่อนรูปถ่ายของเด็กสาวปริศนาบนโต๊ะให้นักสังคมสงเคราะห์ประจำเมืองมองเห็นได้ถนัดยิ่งขึ้น
"ผมเเน่ใจว่าไม่เคยเจอเด็กจรจัดท่าทางหน้าตาเเบบนี้เลยครับ ยิ่งผู้หญิงด้วยเเล้ว ผมกล้าพูดได้เลยว่าน้อยมากกว่าเด็กผู้ชายหลายเท่า ทั้งเมืองวู้ดไพน์ฮิลล์ จำนวนเด็กไร้บ้านจริงๆที่ขึ้นทะเบียนขอความช่วยเหลือจากเขตก็มีเเค่สามสิบคน เเล้วที่อายุไม่ถึงสิบแปด อย่างเเม่สาวน้อยคนนี้...น่าจะไม่มีในรายงานเลยครับ"
เขาวางแฟ้มประวัติของเยาวชนที่อยู่ภายใต้การดูเเลของรัฐบาลลงบนโต๊ะต่อหน้าอีกฝ่ายเพื่อเเสดงความมั่นใจในคำตอบของตน
"เป็นไปได้ไหมครับว่า อาจมีเด็กเมืองอื่นหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็เพิ่งจะหนีออกจากบ้าน เลยไม่มีในประวัติคนไร้บ้านของสำนักงานเขต" ไมเคิลช่วยซักถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ปกติ ถ้าเป็นเด็กที่หนีออกจากบ้านในระยะเดือนหรือสองเดือน อย่างไรภายใน24ชม.ก็ต้องมีประกาศตามหาจากครอบครัวอยู่เเล้วครับ ต่อให้เป็นเด็กจากเมืองข้างเคียงหรือถูกล่อลวงมา ทางเขตน่าจะต้องได้รับเรื่องร้องเรียนให้ร่วมตามหาด้วยเหมือนกัน ...เเต่นี่ ผมไม่เห็นข่าวเด็กผู้หญิงอายุน้อยๆเเบบนี้หายมาหลายเดือนเเล้ว"
"เอาล่ะครับ พวกผมจะลองตามหาตัวเธอในทาวน์อีกที ไม่เเน่ว่าอาจได้ร่องรอยอะไรอื่นอีกบ้าง"
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะลุกออกจากโต๊ะ เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์วัยกลางคนก็เหมือนจะฉุกคิดอะไรออกมาได้ทันที
"เดี๋ยวก่อนครับ ผมเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อสองสามวันก่อน ช่วงเช้าๆ มีสายจากชาวบ้านที่เดินออกกำลังกายเเถวชายป่าไพน์วู้ดโทรเข้ามาเเจ้งทางเขตว่าพบเห็นคนท่าทางแปลกๆเข้าไปในป่าเเล้วไม่ยอมกลับออกมา จึงเกรงว่าจะเป็นอันตราย เเต่พอทางเราส่งคณะเจ้าหน้าที่ตามไปค้นหา กลับไม่เจอร่องรอยอะไรเลย เเถมประตูรั้วตรงทางเข้าก็ยังล็อคอีกต่างหาก น่าเเปลกใช่ไหมครับ"
"ครับ ขอบคุณมากสำหรับข้อมูล มันเป็นประโยชน์มากทีเดียว " ไมเคิลถอนใจเฮือกใหญ่ เขาชักมั่นใจเเล้วว่างานนี้อยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของพวกเขาเเล้วเเน่ๆ
เเต่ถึงอย่างนั้น จะให้ถอดใจเลิกค้นหาคงเร็วเกินไป
...
ป่าไพน์วู้ด คือป่าสนขนาดใหญ่ซึ่งกินพื้นที่ตลอดเเนวสันเขาเตี้ยๆทางด้านทิศตะวันตกของเมือง ในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้ เเม้จะเป็นเวลาบ่ายโมง เเต่บรรยากาศภายในป่าสนกลับค่อนข้างมืดทึบเพราะเเสงเเดดถูกทิวยอดสนสูงสล้างบดบังไว้จนเเทบหมดสิ้น กลิ่นอับชื้นของเชื้อราตามเปลือกไม้เเละตะไคร่เขียวที่ขึ้นปกคลุมพื้นดินทำให้สายตรวจทั้งสองรู้สึกอึดอัดตลอดทุกก้าวย่างที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในพงไม้หนาทึบ ที่นี่มันเงียบสงัดเสียจนผิดสังกตุเมื่อปราศจากสรรเพียงของสิ่งมีชีวิตอื่นใด นอกเสียจากลมหายใจเเละฝีเท้าของตนเองที่กำลังเหยียบย่ำลงบนใบไม้แห้งดังสะท้อนอยู่ในความวังเวงอันไร้จุดสิ้นสุด
เเค่ได้ยินเสียงกิ่งสนต้องลมเอียดออด ไม่ว่าใครก็ต้องขนลุกซู่กันทั้งนั้น
"คิดว่าถ้าเจอตัวเเล้ว เขาจะยอมปล่อยเด็กสามคนนั่นกลับมาไหม" ไมเคิลที่ก้มหน้าก้มตาเดินเคียงข้างคู่หูอย่างเงียบๆมาตลอดทาง เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
"หน้าที่เราคือตามหา เเละ รายงานผล..ส่วนเรื่องนั้น เบื้องบนรับรู้อยู่เเล้วว่ามันนอกเหนืออำนาจของเราที่จะไปก้าวก่ายงานของเขาได้" ราฟาเอลยักไหล่ เขาเองก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่ต้องทนสะสางภารกิจนี้จนจบ
ถ้ารู้เเต่เเรกว่าเป็นเรื่องของ "เขา" คนนั้นล่ะก็ ต่อให้ต้องถูกสั่งพักงานสิบเดือนเเล้วอย่างไร ใครจะไปอยากทำ...
"ดูนั่น...เห็นควันไฟจากตรงนั้นมั้ย" สายตรวจผิวสีร่างใหญ่ชี้มือไปข้างหน้า ควันไฟกลุ่มใหญ่ลอยละล่องออกมาจากพงไม้ราวกับสายหมอกสีเทาพร้อมกับกลิ่นหวานเอียน
ใช่...มันคือกลิ่นหอมของมาร์ชเมลโล่ยี่ห้อ Klaubauf
หรืออีกชื่อหนึ่งที่รู้จักกันดีในยุโรปตะวันตกว่า Krampus
เเล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหลมเล็กของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านขวา หลังต้นสนใหญ่ใบหนาทึบ ร่างเล็กบางของสาวน้อยในชุดเสื้อคลุมฮู้ดสีดำโผล่ออกมาทักทายเพียงครึ่งตัว เธอเอียงใบหน้าซีดเซียวที่เห็นเพียงปลายจมูกเเละริมฝีปากหยักยิ้มเจ้าเล่ห์
พร้อมกับท่องบทนิทานเด็กอย่างช้าๆ ด้วยเสียงเย็นเนิบนาบ
"A mouse took a stroll through the deep dark wood." [1]
(มีเจ้าหนูตัวหนึ่งกำลังเดินดุ่มอยู่กลางป่าทึบ...)
A fox saw the mouse and the mouse looked good.
(เเล้วหมาป่ามาพบเข้า โอ...เจ้าหนูนี่มันน่ากินจริงๆ)
“Where are you going to, little brown mouse? Come and have lunch in my underground house.”
(จะรีบไปไหนกันเล่า...เจ้าหนูสีน้ำตาลตัวจ้อย? มาสิ มาทานอาหารกลางวันที่บ้านใต้ดินของฉันก่อนไหม!)
"นึกเเล้วว่าต้องเป็นท่าน" ไมเคิลกล่าวตอบ "ขอบคุณที่ชวนครับ เเต่พวกเราไม่ค่อยชอบของหวานซะด้วย"
"เเหม...เทวทูตอย่างพวกท่านนี่ช่างถ่อมตัวเสียจริง"
เมื่อเสียงของคนที่เเอบอยู่หลังต้นไม้เปลี่ยนเป็นทุ้มแหบห้าว คราวนี้ ร่างที่เเท้จริงจึงปรากฏขึ้นมาประจักษ์แก่สายตา ปีศาจเขาเเพะยาวตัวสูงใหญ่ท่าทางดุร้ายน่ากลัว ดวงตาสีเเดงลุกโชนดั่งเปลวไฟในนรก จ้องมองมายังผู้มาเยือนทั้งสองอย่างทรงอำนาจ
"คงกำลังย่างพวกเด็กดื้อด้วยมาร์ชเมลโล่เป็นอาหารมื้อพิเศษล่ะสินะ ดูท่า พวกเราคงมาช้าเกินไปจริงๆ"
ราฟาเอลบ่นเปรยๆพลางลูบคาง รังสีออร่าสว่างเรืองรองของทูตสวรรค์ทำให้ปีศาจเเครมปัสไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้มากนักเพราะเเสบตา
"พวกท่านจะมาขอชีวิตพวกเด็กนรกนี่จากข้างั้นหรือ" ปีศาจเขาเเพะหัวเราะร่า "ก็รู้อยู่เเล้วนี่ว่าเป็นไปไม่ได้ ข้าไม่ใช่ พ่อใหญ่ใจบุญอย่างเซนต์นิโคลัสสักหน่อย นานทีปีหน...ข้าถึงได้รับอนุญาตให้จับเด็กเลวๆพวกนี้ลงโทษสักที จะปล่อยให้หลุดมือได้ยังไงล่ะ"
"ท่านไม่คิดว่าพวกเขาจะกลับตัวกลับใจบ้างเลยหรือ อย่างน้อยเห็นแก่พ่อเเม่เด็กที่ตามหาลูกบ้างก็ได้" เทวทูติไมเคิลท้วงด้วยน้ำเสียงสุภาพ
" พวกเขาได้รับโอกาสนั่นมาหลายครั้งเเล้ว เเต่ไม่รู้คุณค่าของมันเอง ข้าเเค่ทำให้เจ้าเด็กพวกนี้รู้ซึ้งในผลลัพท์ของสิ่งที่เขาไม่เคยคิดเรียนรู้ก็เท่านั้น...ส่วนพ่อเเม่ประเภทให้ท้ายลูก นี่ยิ่งไม่ควรใส่ใจเข้าไปใหญ่ เพราะมันคือต้นตอของปัญหาทั้งหมดนี่เเหละ"
เทวทูติทั้งสองจึงได้เเต่มองหน้ากันเเล้วถอนใจ
"ถ้าพวกท่านมาเพราะคำสั่งจากเบื้องบน ก็รีบส่งรายงานไปเถอะว่า ปีศาจเเครมปัสกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองทุกๆปี หากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก พวกเทวทูติเเละนักบุญทั้งหลายคงต้องเร่งมืออบรมสั่งสอนลูกหลานให้เป็นประพฤติตัวดีๆมากกว่านี้..."
ปีศาจเเครมปัสกล่าวทิ้งท้าย ก่อนที่จะคายซากกระดูกนิ้วมือของใครบางคนออกมาจากปากที่กำลังเเสยะยิ้มจนน้ำลายเยิ้ม
"มื้อนี้เเค่มื้อเดียวข้าก็อิ่มไปทั้งปีเเล้ว หวังว่าปีหน้า เหยื่อของข้าคงน้อยลง...จะได้ไม่ต้องเปลืองมาร์ชเมลโล่เพื่อกลบกลิ่นสาบเนื้อมนุษย์ยังไงล่ะ"
[1] มาจากบทอ่านในนิทานเด็กเรื่อง The Gruffalo : Julia Donaldson