ในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง
รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาลในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง
Chapter 4 : Popular guy
“สวัสดีครับพ่อ…” เซนแง้มประตูบ้านเข้ามาอย่างเงียบเชียบ หวังว่าคงไม่เจอใครอยู่ตรงโถงทางเดิน แต่เสียงที่ดังขึ้นทำให้เขารู้ว่าคิดผิด และนั่นหมายความว่าวันนี้เขาไม่สามารถย่องหนีขึ้นไปบนห้องเหมือนเคยได้
“แกกลับเย็นอีกแล้วนะเดี๋ยวนี้ มัวแต่ซ้อมดนตรีอยู่หรือไง?” น้ำเสียงพ่อเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ผม… เล่นบาสกับเพื่อนจนลืมดูเวลาไปน่ะครับ” เซนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและแววตาที่แข็งกร้าว เด็กหนุ่มโกหกเรื่องนี้จนชินและไม่แสดงท่าทีมีพิรุธให้ถูกจับได้ พ่อจ้องหน้าเขาอยู่อึดใจ ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาเต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์ และกลิ่นแอลกอฮอล์ที่โชยมาตามลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
“ครับผม” เซนตอบรับเสียงแผ่ว ขณะเปิดตู้เย็นที่มีเพียงอาหารเหลืออยู่ไม่กี่อย่าง เขาหยิบขนมปังติดมือขึ้นไปบนห้อง เดินผ่านโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารเกี่ยวกับดนตรี และป้ายประกาศการแข่งขันที่ถูกแปะไว้อย่างเป็นระเบียบ เขาเพิ่งติดใบประกาศอีกใบไว้เมื่อเช้านี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ใบแรก และคงไม่ใช่ใบสุดท้าย
การแข่งขันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา ซ้อมอย่างหนักเพื่อขึ้นเวที คว้ารางวัล แล้วก็เตรียมตัวลงแข่งครั้งใหม่ วนเวียนแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงตรงไหน บางทีอาจจะเป็นวันที่เขาเก็บเงินรางวัลได้มากพอที่จะย้ายออกไปเริ่มต้นชีวิตด้วยตัวเอง
เซนเดินไปที่กระจก สายตาจับจ้องต่างหูคู่เดิมที่ถูกดีแลนชมเมื่อวันก่อน รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว เพียงแค่นึกถึงใบหน้าที่เป็นมิตรของอีกฝ่าย หัวใจที่หนักอึ้งก็พลันเบาลง
ใช่แล้ว ดีแลนสดใสราวกับแสงแดดในวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ และน่าหลงใหลพอ ๆ กับบทเพลงที่เขาอยากจะถ่ายทอดแต่ไม่เคยกล้าเอื้อนเอ่ย เซนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดหัว ไล่ความคิดถึงดีแลนออกจากหัวสมอง แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน
สมุดโน้ตคู่ใจเปิดกว้างตรงหน้า เส้นสายตัวโน้ตเริ่มถูกเขียนลงทีละบรรทัด เขาจดจ่ออยู่กับการแต่งเพลงอย่างลืมเวลา จนกระทั่งไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเขียนไปถึงดึกแค่ไหน
วันต่อมา ในชั่วโมงโฮมรูม เซนฟุบหลับคาโต๊ะจนเพื่อนสนิทอย่างเจนนิเฟอร์ต้องเขย่าแขนปลุก
“เซน! ลุกเร็วเข้า!” เสียงกระซิบกระตุ้นทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างสะลึมสะลือ พลางหัวเราะแก้เก้อ
“หาว~ เปล่าหลับนะ แค่พักสายตาเฉย ๆ ”
“ฮิ ๆ นี่เซน หลังเลิกเรียนพวกเราว่าจะไปดูหนังกันน่ะ ไปด้วยกันมั้ย?” อลิซสาวสวยผมดำยาวเหยียดตรงที่ร่วงลงมาถึงกลางหลัง เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มสดใส เซนกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับโฟกัสจากความง่วง แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“คงไม่ได้หรอก เย็นนี้ฉันตั้งใจว่าจะกลับไปทำเพลงต่อให้เสร็จน่ะ”
แม้จะถูกปฏิเสธ แต่อลิซกลับหัวเราะเบา ๆ ด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน รวมถึงเพื่อน ๆ ของเธอที่มุงอยู่รอบโต๊ะก็พยักหน้าหัวเราะตาม
“ตามคาดเลยแฮะ” เธอหันกลับไปคุยกับกลุ่มเพื่อนอย่างออกรส แต่ก็ยังหันมามองเซนเป็นระยะด้วยสายตาเอ็นดู
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้รับความสนใจแบบนี้ เพราะเซนเป็นคนที่ทั้งเล่นดนตรีเก่ง มีความเป็นสุภาพบุรุษ แถมยังมีหน้าตาที่ดึงดูดสายตาสาว ๆ ทั้งโรงเรียน ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้เขากลายเป็นที่นิยมพอตัว
แต่ถึงอย่างนั้น เซนกลับไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ คนที่คุยด้วยมากที่สุดก็คงมีแค่เพื่อนร่วมวงดนตรีของเขาเอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เปิดใจ แต่บางครั้งการอยู่เงียบ ๆ คนเดียวมันก็ทำให้เขาได้ทำในสิ่งที่ต้องการมากกว่า
“น่ารำคาญว่ะ จะเก๊กไปถึงเมื่อไหร่ แค่บอกเขาไปก็พอว่าตัวเองชอบผู้ชายก็จบแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากโต๊ะถัดไปสองโต๊ะ มันเป็นโทนเสียงข่มเหงที่เซนไม่ชอบเอาเสียเลย จนทำให้คิ้วของเขากระตุกโดยไม่รู้ตัว
“พร่ำอะไรของแกวะ” เซนเอามือเท้าคางกับโต๊ะ หันไปถามด้วยท่าทีที่ดูเหมือนเฉยชา แต่สายตากลับเฉียบคมจนอีกฝ่ายชะงัก
“อะไรเล่า นายก็บอกพวกหล่อนไปสิว่าไม่อยากไปด้วย เพราะปกติมีหนุ่มหล่อผมบลอนด์ตัวสูงให้เดินเที่ยวด้วยอยู่แล้วนี่”
‘ดีแลนเหรอ!?’
เซนกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ในหัวเต็มไปด้วยความตกใจผสมความประหม่า เขาพยายามรักษาสีหน้าให้ดูนิ่งไว้ แต่คำพูดของพวกนั้นทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ
พวกนี้คงเห็นเขาเดินอยู่กับดีแลนเมื่อวานสินะ ถึงได้พูดออกมาอย่างมั่นใจแบบนี้ เซนหลุบตาลงเล็กน้อย พยายามเก็บอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านก่อนจะกลับมานั่งตัวตรง ไม่ตอบโต้ แสดงออกเหมือนคำพูดเหล่านั้นไม่มีผลกับเขาแม้แต่น้อย
“นี่ เลิกพูดมากสักทีได้มั้ย ร็อบมันน่ารำคาญ”
“นั่นสิ เซนจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็ไม่ใช่เรื่องของนายสักหน่อย!” เด็กสาวคนเดิมพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะที่เพื่อน ๆ ของเธอส่งเสียงเห็นด้วย ก่อนจะพากันชูนิ้วกลางใส่ร็อบอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเธอนี่แม่งก็งี่เง่าพอกันเลย ให้ตายสิ” ร็อบจิ๊ปากเสียงดังอย่างขัดใจ ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างหัวเสีย
เซนได้แต่มองตามและยักไหล่อย่างผู้ชนะ จากนั้นจึงหันไปยกนิ้วให้เจนนิเฟอร์ที่นั่งตัวเกร็งมองเหตุการณ์อยู่ เธอทำท่าเหมือนจะลุกมาห้ามทัพตั้งนานแล้วแต่สุดท้ายก็ไม่กล้า
ทั้งเขาและเธอไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย เพราะสาว ๆ กลุ่มนั้นจัดการแทนให้หมด อะไรมันจะดีขนาดนี้ เซนคิดในใจ พร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ให้กับความสามัคคีแบบสุดโต่งของพวกเธอ
เรื่องดูเหมือนจะจบลงด้วยดีแต่คำถามก็เกิดขึ้นในใจของเจนนิเฟอร์ ว่าใครคือหนุ่มผมบลอนด์ที่ไรอันพูดถึงกันนะ พักกลางวันเธอไม่รอช้าที่จะถือถาดอาหารแล้วตรงไปหาเซนที่นั่งกินข้าวด้านนอกโรงอาหารเหมือนทุกที
“อยากรู้ไปทำไม หมอนั่นฝากมาถามเหรอ" เซนกัดแฮมเบอร์เกอร์ เขายังคงเลี่ยงที่จะตอบ
“แหม นายไม่ใช่คนที่ไปเที่ยวกับใครบ่อยๆ นี่ เขาคนถ้าไม่ใช่ญาติก็คงพิเศษกับนายมากๆ เลย “
"ติ๊ดด ผิดทั้งหมด ดีแลนก็แค่เพื่อนบ้านฉันเท่านั้นเอง" เซนยกมือขึ้นทำเป็นรูปกากบาทพร้อมใส่เสียงประกอบเมื่ออีกคนตอบผิด
“ฉันเองก็เป็นเพื่อนบ้านนายย่ะ”
"ฉันหมายถึงบ้านหลังที่สอง คือเขาทำงานอยู่ตรงข้ามกับร้านของน้าฉันน่ะ" เด็กสาวพยักหน้าแต่แววตากลมโตของเธอดูจะยังไม่หมดคำถาม
"เขาเป็นคนยังไงเหรอ"
"ฉันก็ไม่ได้สนิทกับหมอนั่นขนาดนั้นหรอก แต่เอาเป็นว่าเขาเหมือนหมาโกลเด้นสูงหกฟุตอะนะ" พูดโดยที่ทำเสียงขบขันนิด ๆ อย่างเอ็นดู ยิ่งเวลาที่ดีแลนหน้าซ้ายทีขวาทีแล้วกลุ่มผมสีอ่อนนุ่มพวกนั้นกระดกไปมาตามการขยับตัว มันยิ่งทำให้ดูเหมือนลูกสุนัขที่น่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่
หลังเลิกเรียนเซนแวะไปร้านขนมหวานก่อนจะเดินเข้าร้านเครื่องดนตรีเพราะวันนี้เขาเลิกเรียนเร็ว ร้านยังคงเหมือนเดิม เงียบสงบ มีลูกค้านั่งอยู่ประปรายเหมือนทุกที แต่เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไป เขากลับไม่เห็นพนักงานหนุ่มผมบลอนด์ที่คุ้นตาเลย
“อ้าว หายไปไหนซะล่ะ?” เซนพึมพำกับตัวเองขณะเปิดประตูร้าน แต่ทันใดนั้นเองก็มีมือมาสะกิดไหล่เขาเบา ๆ พอหันกลับไป เขาก็เห็นดีแลนในชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกับเมื่อวานยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง
“หาใครอยู่หรือเปล่า?” ดีแลนถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แววตาดูมีแววขี้เล่นเล็ก ๆ
“ใครบอกว่าฉันมาหาคน? ฉันอาจจะแค่มาหาอะไรกินก็ได้” เซนแถออกมาดื้อ ๆ พร้อมยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ
แน่นอนว่าดีแลนดูออก เขาหัวเราะเบา ๆ กับความพยายามของอีกฝ่าย
“ถ้าของกินน่ะ ฉันก็พอมีอยู่บ้างนะ” ดีแลนพูดพลางยกมือขวาขึ้น เผยให้เห็นถุงกระดาษที่มีโลโกร้านขนมหวานพิมพ์อยู่
เซนมองถุงนั้นด้วยความสงสัย แต่กลิ่นหอมที่ลอยออกมาทำให้เขาเผลอเอื้อมมือไปหวังจะหยิบมัน ทว่า ดีแลนไวกว่า เขาดึงถุงกลับไปซ่อนไว้ด้านหลังด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เสียใจด้วยครับ แต่สินค้านี่เป็นเมนูใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ” ดีแลนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ดังนั้นถ้าอยากได้ ต้องให้มากกว่าเงินนะ”
“งั้นเหรอ? แล้วนายอยากได้อะไรล่ะ?” ดีแลนยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาไม่ตอบทันที แต่กลับเอียงศีรษะมองไปทางร้านขายเครื่องดนตรีที่อยู่ตรงข้ามถนนแทน
"เล่นให้ฟังสักเพลงสิ"
เซนเหยดยิ้มกว่าหลังจากได้ยินคำเชิญชวน เกินขาดไปหน่อยไม่คิดว่าอีกคนจะมาไม้นี้ แต่ถ้าขอมาแล้วเขาก็พร้อมจัดให้
เด็กหนุ่มหยิบกีตาร์ไฟฟ้าขึ้นมา เลือกตัวสีแดงขาวที่เขาใช้ประจำ ก่อนจะปรับสายเล็กน้อยให้ได้เสียงที่คมชัดเหมาะกับการเล่นในครั้งนี้ ดีแลนนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องซ้อมเล็ก ๆ ดวงตาจับจ้องอย่างสนใจ
เซนเริ่มดีดคอร์ดแรก เป็นจังหวะเบา ๆ ที่ก้องสะท้อนไปทั่วห้อง เสียงดนตรีอุ่น ๆ ปนหม่นเล็กน้อยราวกับบอกเล่าเรื่องราวบางอย่าง เขาเล่นด้วยท่าทางผ่อนคลาย แต่ทุกโน้ตกลับเปี่ยมไปด้วยความละเมียดละไม
เมื่อจังหวะเริ่มไต่ระดับ เซนเปลี่ยนเข้าสู่ท่อนโซโล่ เสียงกีตาร์พุ่งทะลุความเงียบราวกับเปลวไฟที่ระเบิดออกมา มันเต็มไปด้วยอารมณ์ ความเร็วของนิ้วที่ไล่ไปตามเฟรตสร้างเสียงที่ลื่นไหลและกระแทกใจ ดีแลนอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มอย่างพึงพอใจกับการแสดงในครั้งนี้
เสียงสูงสุดท้ายลากยาว ราวกับกรีดผ่านอากาศ เซนหยุดมือช้า ๆ ปล่อยให้เสียงกังวานสุดท้ายจางหายไปพร้อมกับความเงียบที่กลับคืนมาในห้อง
“ว้าว เสียงในคลิปพวกนั้นเทียบไม่ติดเลย”
“นายดูคลิปของฉันด้วยเหรอ” เซนถามพลางวางกีตาร์กลับไปบนแท่นอย่างระมัดระวัง
“ก็ใช่ นายไม่อยากให้ฟังเหรอ?” ดีแลนยิ้ม มองหน้าอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย
“แน่นอนว่าฉันอยากให้มีคนฟังสิ ถึงโพสต์มัน แต่ฉันคิดว่าคงไม่มีใครตั้งใจฟังมันขนาดนั้นหรอก” เซนทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเดียวกับที่ดีแลนนั่งก่อนหน้านี้ ท่าทางผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ดีแลนหัวเราะเบา ๆ แล้วยื่นถุงขนมให้
“นายทำโดนัทเป็นด้วยเหรอ” ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อเห็นขนมที่ดูน่ากินอยู่ในนั้น
"ก็นิดหน่อย" ดีแลนตอบเรียบ ๆ แต่แอบอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่าย เซนหยิบโดนัทชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดคำโต
“อื้มมม นี่มันดีมากเลย!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความประทับใจ และเหมือนเด็กได้ของรางวัลเมื่อเจอรสชาติที่ถูกใจ ดีแลนหัวเราะกับท่าทางนั้น
“ดีใจที่นายชอบนะ”
“ใครได้นายเป็นแฟนคงได้กินของอร่อยแบบนี้ทุกวันแน่” ว่าจบก็ใช้ลิ้นเลยเศษน้ำตาลไอซิ่งที่เลอะนิ้วออก
“อะแห่ม จะว่าไปแล้วเซน นายก็หน้าตาดี เล่นดนตรีก็เก่ง ไม่มีคนพิเศษกับเขาบ้างเหรอ” เซนชะงัก การเคลื่อนไหวของเขาหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาคมกริบหันไปสบตาดีแลน คำถามนั้นเหมือนกระตุกสายอะไรบางอย่างในใจเขา ทำให้รสหวานของโดนัทจืดจางลงไป
“จะมีทำไมล่ะ อยู่แบบนี้ฉันว่ามันก็ดีออก” เซนตอบเสียงเรียบ แต่มีแววจริงจังอยู่ในน้ำเสียง เขาเอนหลังพิงโซฟา ท่าทางดูเหมือนคนที่ไม่อยากยึดติดกับอะไรเลยในชีวิต
ดีแลนไม่ยอมแพ้ เขาโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย เอามือเท้าคางกับเข่าอย่างสบาย ๆ มองเซนด้วยสายตาที่ผ่อนคลายแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น
“แล้วนายไม่อยากกินของอร่อยแบบนี้ทุกวันเหรอ?” คำพูดนั้นเหมือนแสงแดดอ่อนที่แทรกผ่านก้อนเมฆในวันที่อึมครึม มันไม่ได้เร่งเร้า แต่กลับอบอุ่นและปลอบโยนอย่างไม่น่าเชื่อ เซนเลิกคิ้วมองดีแลน พลางถามกลับด้วยน้ำเสียงติดเย้าแหย่
“หึ แล้วนายกำลังเสนอตัวทำขนมให้ฉันกินทุกวันรึไง?” ดีแลนหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับไปว่า
“ก็ไม่แน่ ถ้านายอยากให้เป็นแบบนั้น” เซนจ้องหน้าอีกฝ่าย พลางกลืนน้ำลายลงคอเงียบ ๆ สายตาของดีแลนไม่มีท่าทีล้อเล่นเลยสักนิด มันตรงไปตรงมาเหมือนกับเขาเป็นคนที่กล้าพูดในสิ่งที่รู้สึกอยู่เสมอ
เส้นผมของดีแลน ต่อให้ต้องอยู่ใต้แสงไฟสลัวในห้องแคบ ๆ ก็ยังคงสวยงามราวกับดอกบัตเตอร์คัพในฤดูร้อน ดวงตาคู่นั้นก็ยังเปล่งประกายเหมือนกับวันที่เขาและเซนเจอกันครั้งแรก เป็นความอบอุ่นที่เหมือนจะดึงดูดใจได้ทุกครั้งที่มอง ถ้าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เซน ป่านนี้ดีแลนคงทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขาแล้ว
“ฝันไปเถอะดีแลน ฉันไม่ได้คิดจะมีแฟนตอนนี้หรอก” เซนพูดตัดบทพร้อมลุกขึ้นเก็บข้าวของ ทลายบรรยากาศอบอุ่นเมื่อครู่ลงดื้อ ๆ
“ทำไมล่ะ แล้วเมื่อไหร่กันที่นายจะพร้อม?”
“มันคงไม่มีวันนั้นหรอก อย่ารอให้เสียเวลาเลย อีกอย่างฉันก็ไม่เก่งเรื่องพวกนี้ด้วย” คนพูดไหวไหล่อย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ
“ฉันว่านายควรกลับได้แล้วนะ พอดีฉันมีรายงานต้องทำอีกเยอะเลยน่าจะต้องใช้เวลาทั้งคืน”
เขาเอ่ยพลางบิดขี้เกียจ แต่อย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือ เซนหลบสายตาของดีแลน ไม่สบตามาเลยตั้งแต่พูดคำนั้น
ดีแลนถอนหายใจเบา ๆ แม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงยืนมองแผ่นหลังของเซนที่พยายามทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าความนิ่งนั้นกลับยิ่งทำให้เขาร้อนรนมากกว่าเดิม
“เซน ฉันไม่ได้-”
“เดินลงบันไดดี ๆ ล่ะ ตรงขั้นที่สามพื้นมันลื่น” เซนเอ่ยเตือนขณะที่เอื้อมมือไปดันประตูให้ปิดลง รวดเร็วและแน่วแน่โดยไม่ให้ดีแลนได้พูดอะไรตอบกลับ
เสียงประตูปิดลงแทนคำบอกลา ปล่อยให้ดีแลนยืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางความเงียบที่เย็นเยียบในยามค่ำคืน มือของเขากำกระเป๋าแน่นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ความรู้สึกหน่วงบางอย่างค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในใจ
ไม่มีคำพูด ไม่มีเสียงฝีเท้าจากอีกฟากของประตู มีเพียงบันไดว่างเปล่ากับคำเตือนที่ทิ้งท้ายไว้ ราวกับเซนต้องการให้ดีแลนปลอดภัย แต่ไม่ต้องการให้เขาอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
.
.
To be continued
Talk : ลูกชายเล่นตัวมากค่ะ