ในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง

Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล - Chapter 9 : Knock knock โดย Lady.Iris @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล โดย Lady.Iris @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง

ผู้แต่ง

Lady.Iris

เรื่องย่อ

สารบัญ

Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-บทนำ :,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 1 : Lemon cake,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 2 : His name,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 3 : Just a talent,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 4 : Popular guy ,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 5 : Movie date,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 6 : Leadership ,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 7 : You an idiot,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 8 : My type,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 9 : Knock knock,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 10 : Kiss me

เนื้อหา

Chapter 9 : Knock knock

Chapter 9 : Knock knock

บ่ายวันนั้นในห้องเรียน อาจารย์กำลังอธิบายบทเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีที่ค่อนข้างซับซ้อน เสียงชอล์กขูดไปบนกระดานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เซนก้มหน้าก้มตาจดเนื้อหาในสมุด มือขวาของเขาขีดเขียนไปเรื่อย แต่หัวสมองกลับลอยล่องออกไปไกลจากบทเรียนในวันนี้ มือซ้ายที่อยู่ใต้โต๊ะเคาะจังหวะเบา ๆ เป็นระยะ ราวกับพยายามยึดตัวเองไว้กับโลกแห่งความจริงไม่ให้หลุดเข้าไปในความง่วงที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา

เสียงระฆังบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น เซนเงยหน้าขึ้นมาเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ ก่อนจะรีบเก็บของแล้วเดินไปยังห้องซ้อมดนตรีกับเพื่อน ๆ ในวง ช่วงเย็น สมาชิกในวงของเซนทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อซ้อมเพลงสำหรับการแสดงที่กำลังจะมาถึง ทุกคนตกลงกันว่าจะเปลี่ยนเพลงจากต้นฉบับให้เป็นเวอร์ชันใหม่ที่มีเอกลักษณ์และสะท้อนตัวตนของวงให้มากขึ้น

เซนซึ่งมีความสามารถด้านดนตรีที่สุดในกลุ่มได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าวงโดยปริยาย เขายืนอยู่กลางห้องซ้อมด้วยกีตาร์ในมือ ขณะที่สมาชิกคนอื่น ๆ กำลังตั้งสมาธิเตรียมพร้อมสำหรับการเล่น

“เอาล่ะ เรามาเริ่มจากตรงนี้ก่อน” เซนบอกพลางเล่นคอร์ดนำเพื่อให้ทุกคนตามทัน เสียงเพลงเริ่มประสานกัน แต่ไม่นานก็ต้องหยุดลงเพราะมีบางจุดที่ยังไม่ลงตัว

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาจดอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว แล้วอธิบายให้สมาชิกคนอื่นฟัง “ตรงนี้เราต้องเปลี่ยนจังหวะนิดหน่อยนะ ลองฟังฉันเล่นก่อน”

ถึงแม้เซนจะมีพรสวรรค์และเข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่ความเป็นจริงคือสมาชิกในวงไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเขา หลายครั้งสิ่งที่เซนเข้าใจได้ในทันที กลับกลายเป็นจุดที่สมาชิกคนอื่นต้องหยุดและใช้เวลาทำความเข้าใจ

“เดี๋ยวนะ ขออีกรอบได้ไหม? ฉันยังจับจังหวะตรงนี้ไม่ได้” หนึ่งในสมาชิกวงพูดขึ้น เซนพยักหน้า แม้ในใจจะรู้สึกกดดันเล็กน้อย แต่เขาก็พยายามควบคุมตัวเองให้ใจเย็นและช่วยอธิบายเพิ่มเติม

“ไม่เป็นไร ลองใหม่ก็ได้ ฉันจะเล่นช้าลงอีกหน่อย นายตามดูตรงนี้นะ”

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เซนยังคงคอยปรับแก้และช่วยสอนเพื่อน ๆ อย่างตั้งใจ แม้จะมีช่วงที่รู้สึกเหนื่อยบ้าง แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นเพื่อให้เพลงเวอร์ชันใหม่นี้ออกมาดีที่สุด

เมื่อกลับถึงบ้าน เซนวางกระเป๋าลงข้างประตูทันทีเหมือนเป็นสิ่งที่ต้องทำโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหยิบกีตาร์ตัวโปรดขึ้นมาพร้อมกับเปิดโน้ตบุ๊กบนโต๊ะ เขาเตรียมตัวจัดการกับเพลงใหม่ที่เพิ่งแต่งขึ้นมาให้เสร็จสมบูรณ์

เสียงกีตาร์และแป้นพิมพ์สลับกันดังอยู่ในห้องเป็นระยะ เซนใส่เฮดโฟนเพื่อโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำ เด็กหนุ่มพยายามปรับเปลี่ยนทำนองและเนื้อร้องในทุกจุดที่รู้สึกว่ายังไม่สมบูรณ์ เขาทำงานด้วยความตั้งใจจนลืมเวลาไปเสียสนิท เมื่อเซนถอดเฮดโฟนออกในที่สุด เขาเหลือบมองนาฬิกาบนหน้าจอและพบว่าเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ความเหนื่อยล้าจากวันอันยาวนานเริ่มถาโถมเข้ามา เขาจึงเอนตัวลงบนเตียง ปล่อยให้ร่างกายได้พักในที่สุด

ตาของเขาปิดลงได้ไม่นาน เมื่อเปิดขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นคือภาพกระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่ตรงหน้า บนกระดานเต็มไปด้วยข้อความภาษาสเปนยาวเหยียดที่เขาอ่านแทบไม่ทัน อาจารย์กำลังสอนบทเรียนที่ดูซับซ้อน แต่เซนแทบไม่ได้ตามเนื้อหาเลย

เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง เพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ดูตั้งใจเรียนกันอย่างจริงจัง ผิดกับเขาที่ความเหนื่อยล้าจากเมื่อคืนยังคงหลงเหลืออยู่ เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเย็น เซนกลับมาที่ห้องซ้อมดนตรีพร้อมกับเพื่อนในวง เสียงดนตรีเริ่มต้นขึ้น แต่ครั้งนี้เซนดูเหมือนจะไม่ค่อยมีสมาธิ ทุกครั้งที่เล่นจบเพลง เขามักจะถอนหายใจออกมาอย่างชัดเจน

“นี่ นายไหวแน่นะ เซน?” เซนชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของคริส เขาพยายามยิ้มตอบกลับ แม้มันจะดูฝืนเล็กน้อย

“อ๋อ ไหวสิ ไม่มีปัญหา” แต่สายตาของเพื่อน ๆ ที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความกังวล เซนรู้ดีว่าทุกคนเริ่มจับสังเกตถึงความเครียดและความเหนื่อยล้าของเขาได้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“งั้นเรามาลองอีกครั้งเถอะ” เซนพูดพร้อมกับจับกีตาร์ในมือแน่น ก่อนจะเริ่มเล่นเพลงเดิมอีกครั้ง

“เห้อ เธอถามอะไรแบบนั้น เซนเคยไม่ไหวที่ไหน มีแต่พวกเราหรือเปล่าที่ต้องมาไล่ตามพรสวรรค์ของหมอนั่นให้ทัน” เจสันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หลังจากที่เซนเก็บข้าวของเพื่อกลับบ้านไปแล้ว

“นี่ เผื่อนายลืมนะว่าเซนก็เป็นคนเหมือนกัน” มิตสึกิสวนกลับทันควัน พลางใช้ไม้กลองในมือเคาะหัวเจสันเบา ๆ อย่างตักเตือน

“ถ้าเป็นคนจริง ๆ ก็ควรจะเข้าใจสิว่าของบางอย่างมันต้องใช้เวลา ไม่ใช่ฟังแค่ครั้งเดียวแล้วทำได้เลย” เจสันพูดต่ออย่างไม่ลดละ ทว่าคำพูดนี้ทำให้ทั้งห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะไม่มีใครสามารถแย้งข้อเท็จจริงที่เขาพูดออกมาได้

จริงอยู่ที่เซนเป็นหัวหน้าวงที่ยอดเยี่ยม และใจเย็นกับพวกเขาเสมอ แต่การต้องมาไล่ตามความสามารถของใครบางคนในระยะเวลาสั้น ๆ โดยมีความกดดันเป็นตัวเร่งเร้า มันก็ทำให้สมาชิกคนอื่น ๆ รู้สึกเหนื่อยล้าพอ ๆ กัน

“อีกอย่างนะ หมอนั่นเรียนดีมากเลยไม่ใช่เหรอ?” เจสันพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลงแต่ยังแฝงความเหนื่อยใจ

“ฉันว่านะ คนที่พยายามจะแบกทุกเรื่องขนาดนั้น สักวันมันต้องส่งผลกระทบมาถึงเราบ้างแน่ ๆ”

“ถ้าเซนมาได้ยินเข้าจะรู้สึกยังไง?” มิตสึกิถามพร้อมกับถอนหายใจ

“หมอนั่นไม่รู้สึกอะไรหรอก เธอน่ะ คิดมากเกินไป” เขาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ พูดมันออกมาเหมือนเป็นการระบายอารมณ์ของตัวเอง แต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือ มีคนแอบฟังบทสนทนานี้อยู่ด้านนอก เด็กหนุ่มยืนอยู่นิ่ง ๆ หลังประตู น้ำเสียงและคำพูดเหล่านั้นดังเข้าหูเขาอย่างชัดเจนทุกประโยค

“แล้วนายคิดว่าไง?”

“ฮะ?” เซนสะดุ้งเล็กน้อยหลังดึงสติตัวเองกลับมาได้ ดีแลนมองท่าทางแบบนั้นก็เดาออกทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้เลย

“นายได้นอนครบ 8 ชั่วโมงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?” ดีแลนถามขึ้นพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ สายตายังจับจ้องเซน

“ของแบบนั้น ใครจะไปจำได้กัน” เซนตอบพลางทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยเสียงดังตุบเบา ๆ แรงกระแทกทำให้กระเป๋าที่วางพิงอยู่หล่นลงพื้น ข้าวของในกระเป๋าเลยหลุดออกมาหมดทั้งปากกา สมุดโน้ต และกระดาษข้อสอบที่เต็มไปด้วยรอยปากกาสีแดงที่วงนู่นเขียนนี่จนเกือบเป็นสีแดงทั้งแผ่น

ดีแลนมองภาพตรงหน้า ก่อนจะหยิบกระดาษข้อสอบขึ้นมาดูด้วยความสนใจ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นคะแนนและข้อความแก้ไขที่เขียนอยู่ทั่วแผ่นกระดาษ

“อ่านเสร็จแล้วก็เอามันยัดลงถังขยะไปเถอะ ฉันไม่อยากให้พ่อมาเจอ” เด็กหนุ่มว่าจบก็ดึงฮู้ดลงมาปิดหน้า

“ฉันช่วยติวให้ได้นะถ้านายต้องการ”

“พูดอะไรแบบนั้น ฉันเอาอยู่น่า แค่ทบทวนแป๊บเดียวก็ทำได้แล้ว”

“แป๊บเดียว? คะแนนสอบนายดูไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ” ดีแลนเอียงคอมองด้วยสายตากวนๆ

“พูดแบบนี้ หมายความว่านายไม่เชื่อฉันเหรอ?”

“การที่ฉันอยากช่วย ไม่ได้หมายความว่านายอ่อนหรอกนะ แต่บางครั้งคนเก่งๆ อย่างนายก็ต้องการใครสักคนมาช่วยประคองบ้าง ไม่เห็นต้องดื้อขนาดนี้เลยนี่นา”

“ไม่ได้ดื้อโว้ย” เซนเถียงกลับเสียงเบาแล้วมองหน้าอีกฝ่ายอย่างลังเล สุดท้ายก็ถอนใจยาวแล้วพยักหน้าเบาๆ

“ก็ได้…”

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ดีแลนได้มีโอกาสไปที่บ้านของเซนหลังเลิกเรียนอยู่บ่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยก็คือเซนที่เป็นเจ้าของบ้านทำไมจะต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ทุกครั้งก่อนเข้าบ้านด้วย

“นี่ฉันต้องหลบแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอ”

“พ่อไม่อยู่ รีบเข้ามาเร็ว” เซนไม่ตอบคำถามแต่กลับกวักมือเรียกเขาที่อยู่หลังพุ่มไม้ในสวนให้เดินตามเข้าไปในตัวบ้าน เก็บรองเท้าไว้ใต้มุมมืดของชั้นวาง

“นั่นแกพาใครมาน่ะ” เด็กหนุ่มสองคนสะดุ้งโหยง เซนเผลอทำรองเท้าหลุดมือแต่ก็ไม่สนใจที่จะจัดเก็บมันให้เรียบร้อย

“พะ..พ่อ นี่เพื่อนผมเอง เขาเรียนเก่งน่ะเลยให้มาช่วยติดให้ก่อนเข้ามหาลัย“

“หา?” คนเป็นพ่อทำน้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่เซนพูด เขาโน้มตัวไปหาเด็กหนุ่มแปลกหน้าพลางใช้สายตามองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า

“แล้วทำไมแกไม่ตั้งใจเรียนแล้วเข้าโรงเรียนดีๆ ให้เหมือนเพื่อนคนนี้เขาบ้าง วันๆ เอาแต่ร้องเพลงกับดีดกีตาร์” น้ำเสียงที่บ่นนั้นแม้จะไม่ดังนัก แต่ก็หนักแน่นจนบรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ ดีแลนที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างสุภาพ เพื่อเบี่ยงเบนความตึงเครียดของบทสนทนา

“คุณมิตเดลตันครับ เซนเขาก็มีความสามารถในแบบของเขาเองนะครับ ผมเห็นเขาตั้งใจซ้อมอยู่บ่อยๆ ผมว่าเขาเก่งมากจริงๆ นะ” น้ำเสียงนุ่มนวลและรอยยิ้มอบอุ่นของดีแลนดูเหมือนจะช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้พ่อจะยังคงมีสีหน้าที่ไม่ได้คลายลงไปมากนัก

“ขอรบกวนหน่อยนะค้าบบบ” ดีแลนพูดพลางพยายามทรงตัวให้ได้ เมื่อเซนดึงแขนเขาเดินขึ้นบันไดชั้นสองด้วยความรีบร้อนจนเกือบสะดุดกันไปหลายครั้ง

เมื่อถึงห้อง เซนก็ผายมือให้ดีแลนนั่งลงที่โต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องอย่างง่ายๆ ขณะที่เขาเดินไปหยิบหนังสือเรียนและสมุดโน้ตมาวางลงตรงหน้า

“โอเค เรามาเริ่มจากตรงนี้ก่อนแล้วกัน” เซนพูดเสียงเรียบ ทั้งสองนั่งติวกันไปได้สักพัก บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ ดีแลนสอนบทเรียนที่เซนไม่เข้าใจจนเริ่มเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ไม่นานนัก เซนก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินวนรอบห้องเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ดีแลนถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ฉันหาปากกาแดงไม่เจอ มันควรอยู่แถวนี้สิ เมื่อกี้ก็เพิ่งใช้ไปเอง”

“เดี๋ยวฉันช่วยหา” เด็กหนุ่มก้มลงมองใต้เตียง เขาเจอสิ่งของที่เซนตามหาอยู่ทันทีแต่ทว่า มีของบางอย่างรั้งสายตาเขาเอาไว้ได้ดีกว่าปากกา เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบจับมันอย่างระวังแม้ว่าจะดูออกว่ามันใช้การไม่ได้แล้วแต่เขาก็ไม่อยากให้มันดูแย่ไปกว่าเดิม

“นี่มัน…”

มันคือกีตาร์โปร่งตัวเก่าที่บอดี้แตกออกเป็นรอยร้าวลึก สะพานสายกีตาร์หลุดห้อย สายขาดกระจายเหมือนถูกฉีกทึ้งด้วยความโกรธ รอยถลอกและรอยบุบทั่วตัวบ่งบอกว่าความเสียหายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

“ฉันไม่อยากให้นายเห็นมันเลย”

“นายทำเหรอ?”

“ฉันไม่มีวันทำแบบนั้นกับเครื่องดนตรี แต่พ่อฉันเขา…ไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่” เซนพูดพลางดึงเข่าขึ้นมากอดแน่น ร่างกายที่เคยดูเข้มแข็งตอนนี้กลับดูเปราะบาง แววตาที่เคยเปล่งประกายก็หม่นแสงลง ไร้ซึ่งความสดใสที่เคยมีมาก่อนหน้านี้

เซนกำลังอ่อนไหว

“แม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดฉันตอนอายุครบ 13 น่ะ จะเรียกว่าเจ้านี่คือกีตาร์ตัวแรกเลยก็ว่าได้”

“…..”

“คืนหนึ่งพ่อฉันกลับบ้านดึกเพราะดื่มเหล้ากับเพื่อนร่วมงาน พอเขากลับมาแล้วก็หาเรื่องฉันไม่หยุดเลย พวกเรามีปากเสียงกันรุนแรงข้าวของในบ้านพังไปหลายชิ้นรวมถึง…เจ้านี่ด้วย” เซนพูดมันออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนเข้าใจดีว่าเรื่องมันผ่านมาแล้วไม่มีวันกลับไปแก้ไขอะไรได้

“พ่อบอกว่ามันเปลืองเงิน เปลืองเวลา และถ้าหากเล่นดนตรีก็จะไม่มีอนาคตเหมือนกับแม่ เป็นตัวตนที่ไร้ค่าและไม่มีใครต้องการ” คำพูดสุดท้ายออกมาพร้อมกับที่เซนซุกใบหน้าลงกับเข่า เหมือนกำลังซ่อนความเจ็บปวดที่เอ่อล้นอยู่ข้างใน

“เซน…” ดีแลนเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่

“สำหรับฉันนายคือดนตรี”

เซนเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ดวงตาคู่นั้นยังคงหม่นแสงแต่ทว่าก็มีประกายบางอย่างเพิ่มขึ้นมา ความรู้สึกที่ดีแลนส่งผ่านคำพูดและสัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือของเขากำลังค่อยๆ ละลายน้ำแข็งในหัวใจเซน ทีละนิด

อีกฝ่ายเลื่อนมาสัมผัสปลายนิ้วที่แข็งกระด้างซึ่งมันได้บอกเล่าเรื่องราวบางอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไร ดีแลนค่อยๆ ลูบผ่านรอยนั้นอย่างระมัดระวัง ราวกับมันเป็นสิ่งล้ำค่าที่เขาไม่อยากให้เกิดรอยช้ำเพิ่มเติม

“นายทุ่มเทมากขนาดนี้แท้ๆ…” เขาพึมพำเบาๆ ดวงตายังคงจับจ้องไปยังมือของเซน คนฟังไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ปล่อยให้ดีแลนจับมือเขาไว้อย่างนั้น ความอบอุ่นที่ส่งผ่านสัมผัสเรียบง่ายนี้กลับทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ

“ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามันไม่ง่ายสำหรับนายขนาดนี้” ดีแลนเงยหน้าขึ้นมองเซน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจและความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าคำพูดใดๆ คนผมทองก้มลงช้าๆ ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่มือของเซน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา ก่อนที่ริมฝีปากจะกดสัมผัสลงไปที่หลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ อย่างระมัดระวัง ราวกับกำลังให้เกียรติบางสิ่งที่เปราะบางและมีค่า

เซนมองดูการกระทำนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร แววตาของเขาสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ความอุ่นซ่านจากจุดที่ถูกสัมผัสแล่นเข้าสู่หัวใจโดยไม่ทันตั้งตัว

“นายไม่ได้ไร้ค่าหรอก” ดีแลนพูดขึ้นเบาๆ ริมฝีปากยังคงแตะอยู่บนมือของเซน ราวกับต้องการย้ำถึงความสำคัญของอีกคน

เซนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เสียงหัวใจเต้นดังออกมาจนเขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องได้ยินมันเข้าแล้วแน่ๆ จึงเลือกที่จะไม่ตอบอะไร เพียงแค่ปล่อยให้ความอบอุ่นเล็กๆ นั้นค่อยๆ ละลายกำแพงในใจที่เคยมีอยู่ไปทีละนิด

 

.

 

.

 

To be continued