ในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง
รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาลในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง
Chapter : Kiss me
เซนและเพื่อนในวงซ้อมดนตรีกันอยู่ในร้านของน้าจนเสียงเพลงเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทุกจังหวะที่เล่นไปประสานกันอย่างไร้ที่ติ มันออกมาดีมากจนทุกคนพอใจ แต่ความเหนื่อยล้าก็เริ่มก่อตัวหลังผ่านไปหลายชั่วโมง สมาชิกในวงเลยตัดสินใจพักครึ่งชั่วโมง
พวกเขาเริ่มทยอยเดินออกจากห้องซ้อม ทันใดนั้นเอง ประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นร่างของใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น
ความเงียบงันชั่วครู่เกิดขึ้นเมื่อทุกสายตาหันไปมองเด็กหนุ่มคนใหม่ที่ยืนอยู่หน้าประตู ด้วยส่วนสูงที่โดดเด่น รูปร่างที่ดูดีทุกมุมมอง และการแต่งตัวที่เรียบง่ายแต่ลงตัว ราวกับแสงไฟจากข้างหลังช่วยขับเน้นให้เขาเปล่งประกายขึ้นไปอีก
“ว้าว…” คริสอุทานออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว
เด็กหนุ่มผมทองยืนอยู่อย่างสงบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะทักทาย ส่วนใบหน้าเต็มไปด้วยความสุภาพและอ่อนโยน แต่กลับมีบางอย่างรั้งข้อมือของเด็กหนุ่มแปลกหน้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
เป็นเซนนั่นเอง
“ลูกค้าประจำฉันเองน่ะ มาเร็วกว่าที่นัดไว้อีกนะครับเนี่ย” เซนยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็แอบออกแรงบีบข้อมือหนาของอีกฝ่ายเบาๆ ราวกับจะส่งสัญญาณให้เล่นไปตามบทที่เขาปั้นขึ้นมา
“พอดีผมใจร้อนอยากเจอ- หมายถึงอยากได้กีตาร์คืนเร็วๆ น่ะครับ “ดีแลนพูดพลางยิ้มเจื่อน ราวกับพยายามหาข้อแก้ตัวให้ดูสมจริง
” แน่นอนครับ เดี๋ยวไปเอาให้นะครับ พวกนายก็ไปพักตามสบายนะ “พูดจบ มือข้างหนึ่งของเซนก็ดันหลังเจสันที่ยืนอยู่ท้ายแถวเบาๆ ส่งสัญญาณให้ทุกคนทยอยออกจากห้องซ้อมไปโดยไม่ต้องตั้งคำถามเพิ่มเติม
“ฟู่วววว” เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจเอนหลังพิงประตูก่อนจะทำท่าปาดเหงื่อ
“อายหรือไงที่รู้จักฉัน?” น้ำเสียงเหมือนจะน้อยใจ แต่สีหน้าและแววตาของคนพูดกลับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างน่าหมั่นไส้
“นายมาทำอะไรที่นี่?” เซนถามสวนทันที
“เอาของว่างมาให้น่ะ” ดีแลนตอบสั้นๆ ก่อนจะหยิบแซนด์วิชออกมาจากถุงกระดาษในมือ
เซนมองการกระทำนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ ราวกับไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจความรู้สึกของคนที่ทำงานหนักจนลืมกินข้าว แล้วจู่ๆ ก็มีใครสักคนใส่ใจพอจะหาขนมมาให้
ยิ่งพิเศษกว่าเดิมเข้าไปอีกเพราะดีแลนเป็นคนทำเอง ดังนั้นเรื่องรสชาติคงไม่ต้องเดาเลยว่ามันจะดีแค่ไหน
ถึงแม้ของว่างตรงหน้าจะดูน่าลิ้มลองขนาดไหน แต่เซนกลับไม่แตะมันเลยสักนิด เขามุ่งมั่นแก้ไขจุดบกพร่องในเพลงจนกว่าจะพอใจเพื่อให้ภาพรวมของวงออกมาดีที่สุด เด็กหนุ่มเอนหลังพิงโซฟา ปลายปากกาเคาะเบาๆ กับแก้มสองสามครั้ง ก่อนจะก้มลงจดอะไรบางอย่างต่อไป
ดีแลนไม่ได้พูดอะไรมาก เขาแค่นั่งมองเซนที่จดจ่อกับสิ่งตรงหน้าด้วยแววตาเงียบงัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
จนกระทั่งในที่สุด เซนก็พอใจกับการซ้อมของตัวเอง เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพบว่าดีแลนที่นั่งรออยู่นั้นเผลอหลับไปเสียแล้ว
เขาโน้มตัวลงอย่างช้า ๆ จนใบหน้าอยู่ใกล้ดีแลนมากพอที่จะมองเห็นรายละเอียดทุกอย่างได้ชัดเจนขนตายาวที่เรียงตัวสวยงาม ผมบลอนด์ที่พลิ้วไหวน้อย ๆ ตามจังหวะลมหายใจ และมุมปากที่เหมือนกำลังจะยกยิ้ม แม้ในยามหลับ
แต่ก่อนที่เซนจะทันตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมถึงต้องมองเขาแบบนี้ เสียงทุ้มแหบอันคุ้นเคยของดีแลนก็ดังขึ้นเบา ๆ
“จ้องขนาดนี้..จะลักหลับฉันหรือไง?”
เซนผงะถอยหลังแทบจะทันที สีหน้าไม่แสดงอะไรนอกจากความนิ่งเฉยตามปกติ แต่ความร้อนที่แผ่ซ่านบนใบหน้าเขากลับไม่ได้ปิดบังตัวเองจากดีแลนเลย
“เปล่าสักหน่อย!” เขาตอบห้วน ๆ หันไปคว้าเครื่องดื่มจากโต๊ะทำทีเป็นยุ่งกับอย่างอื่น ดีแลนลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตาเบา ๆ แล้วมองเขาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “แน่ใจนะ?”
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว” เซนว่าโดยไม่หันกลับมา แต่เสียงของเขาแฝงความร้อนรนเล็กน้อยจนอีกฝ่ายจับได้ ดีแลนหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นปิดปาก
“โอเค ๆ ฉันจะไม่พูดแล้วก็ได้”
ไม่นานความเงียบก็เข้ามาแทนที่ เซนนั่งเอนหลังพิงโซฟา มือก็หยิบแซนด์วิชเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ ส่วนดีแลนนั่งกอดอกเอนกายพิงพนักอีกฝั่ง มองออกไปนอกหน้าต่างที่แสงแดดเริ่มอ่อนลง
แม้ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด มีเพียงความเงียบสงบที่โอบล้อม บรรยากาศระหว่างพวกเขาเหมือนบทเพลงที่ไม่มีเสียง เรียบง่าย ทว่ากลมกล่อมอย่างน่าประหลาด
“นี่เซน ทำไมนายถึงชอบเล่นดนตรีล่ะ” ดีแลนถามขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบที่ล้อมรอบ
เซนชะงักไปเล็กน้อย ราวกับคำถามนั้นทำให้เขาต้องใช้เวลาคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้น ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังนักแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ
“เพราะมันทำให้รู้สึกมีอิสระ เวลาฉันเล่นดนตรี เหมือนทุกอย่างรอบตัวจะเงียบหายไป มีแค่ตัวฉันกับเสียงเพลงเท่านั้น มันช่วยให้ฉันลืมเรื่องวุ่นวายในชีวิตได้อย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่ง”
ดีแลนพยักหน้าเบา ๆ พลางทอดมองอีกฝ่ายด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะพึมพำออกมา
“วิเศษขนาดนั้นเลยสินะ…”
เด็กหนุ่มผมทองลุกขึ้นเก็บของเมื่อรู้ว่าเวลาพักของอีกคนใกล้หมดลงแล้ว แต่ก็ไม่ลืมส่งมือไปลูบหัวอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเซนคงบ่นไปแล้วที่มาทำผมเขาเสียทรง แต่พอรู้จักกันจึงทำให้รู้ว่ามันคือวิธีการให้กำลังใจของดีแลน
“ขอบคุณสำหรับแซนวิช”
“ยินดีเสมอ”
“คะ…คืนนี้นายว่างหรือเปล่า” เซนเอ่ยคำถามออกมา เสียงของเขาเบาจนแทบจมหายไปในความเงียบของห้อง
“นายว่าอะไรนะ” ดีแลนเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ มองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้อง
“ถ้าคืนนี้นายไม่ติดอะไร…อยากดูหนังด้วยกันหน่อยมั้ย? แบบว่า…แก้ตัวจากครั้งที่แล้วไง” เซนพูดเร็วขึ้นเล็กน้อยราวกับกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ ใบหน้าที่ดูนิ่งเฉยประจำเริ่มแสดงอาการเขินชัดเจน แม้เจ้าตัวจะพยายามหลบตา แต่ใบหูที่แดงแจ๋นั่นกลับเป็นเครื่องยืนยันความรู้สึกของเขาได้ดีกว่าคำพูดใด ๆ
ดีแลนยิ้มมุมปากเล็กน้อย มองอีกฝ่ายที่ไม่กล้าสบตาอย่างขบขันปนเอ็นดู
“เอาสิ”
น้ำเสียงแผ่วเบาและรอยยิ้มที่อบอุ่นหลังคำพูดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเซนไม่จางหาย แม้ตอนนี้เขาจะกำลังเดินวนไปมาบนชั้นสามของร้านขายเครื่องดนตรีก็ตาม
เข็มนาฬิกาเคลื่อนผ่านเลขแปดไปแล้ว แต่ดีแลนยังไม่มา เซนเริ่มตั้งคำถามในใจอย่างอดไม่ได้—เขาลืมนัดหรือเปล่า? หรือบางทีเขาอาจจะยุ่งจนมาไม่ได้… หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง? ความกังวลค่อย ๆ กัดกินจนเด็กหนุ่มต้องถอนหายใจยาว
แต่แล้วเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นหน้าร้านก็ดึงเขาออกจากความคิด กลุ่มผมสีทองที่ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยหลังจากถอดหมวกกันน็อกเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า คนที่เขารออยู่มาตลอดได้มาถึงแล้ว
“เป็นครั้งแรกที่นายมาโดยไม่มีขนมติดมือนะเนี่ย”
” ติดใจขึ้นมาแล้วล่ะสิ”
เซนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับ แม้ปกติจะไม่ชอบของหวาน แต่พักหลังมานี้ หลังจากได้ลองชิมขนมที่ดีแลนทำ เขากลับกลายเป็นคนติดหวานไปโดยไม่รู้ตัว อีกหน่อยคงขาดน้ำตาลไม่ได้แน่
“ว้าว ห้องนายนี่กว้างจัง” ดีแลนเอ่ยขึ้นพลางมองไปรอบ ๆ ด้วยความทึ่ง
“ก็ฉันอยู่คนเดียวนี่ ส่วนเครื่องดนตรีอื่น ๆ ก็อยู่ข้างล่างหมด” เซนตอบพลางทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง
“ก่อนหน้านี้ทำเพลงอยู่เหรอ” ดีแลนถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นโน้ตบุ๊กที่ถูกเปิดค้างไว้ รวมถึงสมุดจดเพลงและกีตาร์ที่วางอยู่ไม่ไกล
“นิดหน่อยน่ะ อยากฟังมั้ย” เซนถามพลางมองหน้าอีกฝ่าย
ดีแลนไม่พูดอะไรออกมา เพียงนั่งลงข้าง ๆ แทนคำตอบ เขาพยักหน้าเบา ๆ พร้อมส่งยิ้มบางที่เต็มไปด้วยความจริงใจ เหมือนกำลังบอกว่าเขาพร้อมจะฟังทุกเพลงที่เซนเล่น ต่อให้ต้องนั่งฟังจนเช้าก็ยอม
เสียงกีตาร์ดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบ เซนเล่นเพลงเดิมที่เคยบรรเลงให้ดีแลนฟังในโรงพยาบาล แต่ครั้งนี้มันกลับลึกซึ้งและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่เด่นชัดมากกว่าเดิม ทุกตัวโน้ตที่ขับขานออกมาสะท้อนถึงความตั้งใจและความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน เพลงนี้มันดีจนไม่น่าเชื่อ แม้แต่ดีแลนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องดนตรีมากนักก็ยังสัมผัสได้ถึงคุณค่าของมัน หากใครได้ฟัง ก็คงต้องคิดเช่นเดียวกันว่านี่คือบทเพลงที่สมบูรณ์แบบ
ใบหน้าของเซนขณะเล่นดูผ่อนคลายเหมือนกำลังปลดปล่อยความรู้สึกผ่านเสียงดนตรี ปลายนิ้วเรียวยาวของเขาขยับไปมาบนสายกีตาร์อย่างชำนาญ แต่ละจังหวะช่างลื่นไหลและเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ยากจะละสายตา ดีแลนจ้องมองภาพนั้นโดยไม่รู้ตัว แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามตัวเองในใจว่าเขาตกหลุมรักคนที่มีเสน่ห์มากขนาดนี้ได้อย่างไร
“ชอบมั้ย…”
“รักเลยต่างหาก”
“ความจริงฉันมียังมีอีกสองสามแทร็คที่เพิ่งทำ นายอยากฟังหรือเปล่า”
“ต่อให้มีอีกสักยี่สิบแทร็คแล้วฉันต้องนั่งฟังจนเช้าก็ยอม” เซนหัวเราะจนไหล่สั่น รู้ดีว่าอีกคนพูดเว่อร์ไปเรื่อยแต่แค่นั้นมันก็ช่วยให้เขามีความสุขแล้ว
เซนเล่นกีตาร์มาสี่เพลงติด นึกว่าดีแลนจะตั้งใจฟังเพียงแค่สองเพลงแรกแล้วเลิกสนใจไปเหมือนคนทั่วไป แต่ไม่เลย ดีแลนนั่งฟังเขาอย่างตั้งอกตั้งใจจนถึงเพลงสุดท้าย ราวกับทุกโน้ตที่เซนเล่นได้ดึงดูดอีกฝ่ายไว้จนไม่อาจละสายตาได้
เมื่อเซนเล่นจบ ดีแลนปรบมือให้เบา ๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างที่ทำให้เซนรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ
“ว้าว นายไปได้แรงบันดาลใจจากไหนมาถึงแต่งได้เยอะขนาดนี้เนี่ย” ดีแลนพูดพลางเลื่อนดูหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่เปิดไฟล์เพลงของเซนไว้ ดวงตาสีอ่อนเปล่งประกายสนใจทุกบรรทัดของโน้ตเพลงตรงหน้า
“แรงบันดาลใจเหรอ…” เซนเอ่ยเสียงเบา วางกีตาร์ลงข้างตัวอย่างระมัดระวัง สายตาจับจ้องที่ดีแลนซึ่งยังจดจ่ออยู่กับหน้าจอโดยไม่ทันสังเกตถึงระยะห่างที่ลดลงเรื่อย ๆ เซนขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างช้า ๆ
พรึบ!
ทันใดนั้น ไฟในห้องก็ดับลงอย่างไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ความมืดโรยตัวลงมาแทบจะในทันที ทั้งสองคนต่างสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ ก่อนที่ศีรษะของพวกเขาจะชนกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“โอ๊ย!” เซนร้องเบา ๆ พลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง ส่วนดีแลนเองก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเขินปนขำ
“ขอโทษที…” ดีแลนพูดทั้งที่ยังกลั้นหัวเราะไม่ได้ สุดท้ายเสียงหัวเราะของทั้งคู่ก็ประสานกัน กลายเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำท่ามกลางความมืดที่ดูเหมือนจะไม่น่ากลัวอีกต่อไป
“เดี๋ยวฉันไปดูว่าไฟดับเฉพาะที่นี่หรือเปล่า” ดีแลนลุกขึ้นและเดินไปเปิดม่านตรงหน้าต่าง มองออกไปยังตึกข้าง ๆ ที่จมอยู่ในความมืดเหมือนกัน เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะหันมาบอกเซนด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ตึกข้าง ๆ ก็ดับเหมือนกันแฮะ “หลังจากนั้น เขาก็กลับมานั่งลงบนเตียงตามเดิมอย่างใจเย็น แม้ความมืดจะเข้าปกคลุมแต่หน้าจอโน้ตบุ๊คเครื่องนี้ยังคงส่องแสงสว่างเท่าเดิมช่วยให้พอมองเห็นอะไรอยู่บ้าง
ก่อนที่เซนจะปิดมันลง…
“ทำอะไรน่ะ”
“นายถามใช่มั้ยว่าฉันไปเอาแรงบันดาลใจมาจากไหน “เพราะความมืดทำให้เขามองไม่เห็นสีหน้าคนพูดทำให้ดีแลนเดาอะไรไม่ค่อยได้
“ก็ตั้งแต่เจอนาย…ฉันก็เขียนมันมาตลอดเลย เพลงพวกนั้น” เซนไม่ได้พูดเสียงเบาแต่มันก้องอยู่ในหัวของดีแลนอย่างชัดเจน ราวกับมันสะกิดบางสิ่งในใจให้เต้นแรงขึ้น ตาของเขาค่อย ๆ ปรับเข้ากับความมืดได้ทีละน้อย และนั่นทำให้เขารู้ว่าเซนอยู่ใกล้มาก ใกล้จนแค่เอื้อมมือก็สามารถสัมผัสได้
ดีแลนใช้มือสัมผัสแก้มอีกคนเบาๆ ก่อนจะใช้นิ้วกดลงที่ริมฝีปากอุ่นๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีการทักท้วงใดๆ จากเจ้าของพื้นที่ มันก็ยิ่งทำให้เขาได้ใจ
“อยากให้หยุดมั้ย” เขาถามเสียงแผ่ว แต่มากพอจะได้ยินในความเงียบแทนที่จะตอบด้วยคำพูด เชนกลับเลือกจะตอบด้วยการขบกัดนิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่ายเบา ๆ ตามด้วยปลายลิ้นที่แตะสัมผัสลงเพื่อปลอบประโลมรอยเจ็บนั้นเหมือนเป็นการ
ชดเชย
คนผมทองไม่รอช้ารีบโน้มหน้าลงไปออกแรงกดเล็กน้อยให้ริมฝีปากอีกคนเผยอออก บดจูบลงไปอย่างนุ่มนวลทว่าหนักหน่วงทุกสัมผัส แผ่นหลังบางเอนลงราบไปกับเตียง ราวกับถูกแรงดึงดูดของสัมผัสนั้นโอบล้อมไว้ในช่วงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ตัวหายลับไป เหลือเพียงพวกเขาสองคนที่อยู่ด้วยกันในห้วงอารมณ์นี้
“อื้ม…ดะ..ดีแลน”
ไม่รู้ทำไมแต่รู้สึกว่าเสียงจูบมันดังเกินกว่าที่ควรจะเป็น อาจเพราะไฟที่ดับอยู่เลยทำให้ทั้งคู่จดจ่อกับสัมผัสนี้ได้ลึกซึ้งเป็นพิเศษ
” แฮ่ก…”
เส้นผมสีทองพลิ้วไหวหล่นลงมาปกคลุมใบหน้าของคนที่อยู่ด้านบน เซนเอื้อมมือขึ้นไปจัดให้มันเข้าที่โดยทัดไว้ที่หลังใบหูของอีกฝ่าย หวังว่าจะช่วยให้มันอยู่ทรงและไม่ร่วงลงมารบกวนอีก แต่สุดท้ายเส้นผมเจ้ากรรมก็ไหลร่วงลงมาเหมือนเดิม
ดีแลนหัวเราะเบา ๆ กับความพยายามนั้นก่อนจะโน้มตัวลงไปอีกครั้ง ทว่าหนนี้กลับไม่ใช่เขาที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่เป็นเซนเองที่รั้งต้นคอของเขาเข้ามาแนบชิด ราวกับไม่ต้องการเสียช่วงเวลานี้ไป
ปลายจมูกเฉียดกันเพียงนิดเดียว ก่อนที่ริมฝีปากจะได้ประกบกันอีกครั้ง แสงสว่างจากโคมไฟก็กลับมาทำงานอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ความมืดที่เคยโอบล้อมทั้งห้องถูกแทนที่ด้วยแสงสีเหลืองนวลของหลอดไฟ
พวกเขาหลุบตามองรอบตัวอย่างประหลาดใจกับจังหวะที่พอดิบพอดีราวกับใครแกล้ง ก่อนจะแยกตัวออกจากกันและกันด้วยความเร็ว เพราะดูเหมือนว่าไฟฟ้าจะกลับมาใช้งานได้แล้ว
“บางที…ทำอะไรแบบนี้อาจจะสนุกกว่าดูหนังด้วยกันก็ได้นะ”
“นั่นสิ”
.
.
To be continued