รวมเรื่องสั้น สยองขวัญ หลอน หักมุม เหนือธรรมชาติ แปลก แหก แหวกแนว ที่จะทำให้คุณต้องร้องว่า "อิหยังวะ!?"
พารานอมอล,ผู้ใหญ่,ดาร์ค,เลือดสาด,เรื่องสั้น,อ่านเพลิน,แปลก,หลอน,หักมุม,พล็อตสร้างกระแส,ผี,สยองขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Shot Story : สั้น หัก สยองรวมเรื่องสั้น สยองขวัญ หลอน หักมุม เหนือธรรมชาติ แปลก แหก แหวกแนว ที่จะทำให้คุณต้องร้องว่า "อิหยังวะ!?"
"โฮ่ง โฮ่งๆ"
เสียงสุนัขลายจุดตัวหนึ่งเห่ากรรโชกหนัก ท่ามกลางความมืดมิดของถนนอันเปลี่ยวสงัด แสงไฟเดียวที่ส่องใส่ตัวมัน มาจากรถที่พลิกคว่ำเพราะอุบัติเหตุ
"โฮ่ง โฮ่ง อะฮู้ววววว!!!"
...
"เฮีย ผมเอาพะโล้กับ อืม...น่องไก่ทอดก็แล้วกันครับ"
ร้านนี้ผมแวะเข้ามากินสองถึงสามครั้งแล้ว ด้วยอาชีพพนักงานขับรถส่งของ ที่ร่อนเร่พเนจร ขึ้นเหนือลงใต้เป็นธรรมดา จะแวะพักแวะนอนตรงไหน จะกินอะไร ก็ไม่ค่อยเป็นที่เป็นทางสักเท่าไร จึงต้องอาศัยฝากท้องกับพี่ๆ ร้านอาหารริมทางอยู่บ้าง เพื่อเติมพลังในการทำงานเสมอๆ
ร้านเพิงหมาแหงน ติดกับถนนสายมิตรภาพ เส้นเลี่ยงเมือง ท่ามกลางป่าเขาสวยๆ บรรยากาศดีๆ รถราที่ไม่ได้วิ่งกันขวักไขว่มากนัก ผมว่ามันเหมาะที่จะนั่งกินข้าวและพักผ่อนหย่อนอารมณ์ไปด้วยก่อนเดินทาง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือรสชาติของอาหารร้านนี้ ที่ค่อนข้างถูกปากโชเฟอร์หนุ่มอย่างผม แถมราคาไม่แพง เรียกได้ว่า อิ่มอร่อยด้วยงบน้อย พร้อมด้วยวิวสวยในหลักล้าน
อันที่จริงตัวผมก็ไม่ได้ขับเส้นทางนี้เป็นประจำหรอกนะ พอดีว่า พี่โต พนักงานรุ่นพี่ที่ขับเส้นทางนี้เป็นประจำ แกประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ผมก็เลยจำเป็นต้องมาขับในเส้นทางนี้แทน เพราะยังหาพนักงานใหม่มาขับไม่ได้ แต่ก็เอาเหอะ ผมมันไม่ได้เป็นคนเรื่องมากอะไรเท่าไร เจ้านายบอกให้ไปวิ่งงานตรงไหนก็ไป ขอให้ได้เงินก็พอ งานก็คืองานเนาะ จะวิ่งเส้นไหนผมก็คิดว่ามันก็เหมือนๆ กันนั่นแหล่ะ
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องขับมาเส้นทางนี้ เพื่อนำสินค้าไปส่งที่บริษัทที่กำหนดไว้ โชคดีหน่อยที่วันนี้รถไม่ค่อยติด ผมเลยมาถึงร้านข้าวแกงนี้ได้ไว นี้ก็กะว่า กินข้าวเสร็จเมื่อไรจะแอบไปขอเศษอาหารจากเฮียหลังร้าน เอาไปฝากเจ้าหมาจรแถว ศาลเจ้าพ่อแดง ที่ผมเคยไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองผมให้รอดปลอดภัยจากการเดินทาง ว่ากันว่า หลายคนที่เคยขอ ก็พบประสบการณ์แคล้วคลาด หรือไม่ก็เจอปาฏิหาริย์ที่หาคำตอบไม่ได้ มานักต่อนักแล้ว
...
ใช้เวลาอยู่ประมาณชั่วโมงเศษจากร้านข้าวแกงจนมาถึง ศาลเจ้าพ่อแดง ที่ว่า ศาลไม้ขนาดใหญ่ ผูกด้วยผ้าหลากสี มีขวดน้ำแดงสารพัดยี่ห้อวางเรียงรายนับร้อยๆ ขวดอยู่หน้ากระถางธูป ไม่สิ ต้องเรียกว่า อ่างสำหรับปักธูปจะถูกกว่า เพราะจำนวนก้านธูปสีแดงที่ปักคา มันมหาศาลมากจนแทบจะหาที่ว่างปักลงไปใหม่ไม่ได้เลย ผมเห็นแบบนั้นยิ่งทำให้ขนลุก พวงมาลัยที่ซื้อมายี่สิบบาทตรงสี่แยกผมคล้องไว้บนหิ้งตามๆ กัน ก่อนจะยกสิบนิ้วพนมวันทา ก้มกราบด้วยหัวใจ แล้วอธิษฐาน
"สาธุ เจ้าพ่อครับ ขอให้ลูกช้างเดินทางราบรื่น ปลอดภัย มีงานเข้ามาหลายๆ เฮงๆ รวยๆ ถูกหวยรางวัลใหญ่เถอะครับ แล้วลูกช้างจะมาถวายไข่ต้มร้อยฟอง ไก่ต้มพันตัว หัวหมู ผลไม้ชุดใหญ่ ให้อิ่มหนำสำราญเลยเด้อเจ้าพ่อเด้อ...อออ"
หลังจากไหว้ศาลเจ้าเสร็จ ก็ได้เวลาของอร่อยของเจ้าตูบแล้ว ผมเดินอย่างสบายใจ หิ้วถุงใส่เศษอาหารไปตรงลานกว้างที่ติดถนน น้องหมานับสิบตัวกรูเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังผมอย่างตื่นเต้น ผมนั่งลงเทข้าวเป็นกองๆ ไว้ ให้สหายตูบได้กิน และเหมือนพวกมันอดอยากมานาน เพียงพริบตาเดียวข้าวทั้งหมดก็หายวับไปกับตา เพราะความหิวที่เฝ้ารอ ใจหนึ่งผมก็แอบดีใจที่พวกมันชอบ แต่อีกใจหนึ่งก็เวทนาที่พวกมันถูกทิ้งขว้าง ไม่มีคนเหลียวแล ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่แบบนี้
"พวกเอ็งนี่น้า ทำบาปทำกรรมอะไรมาถึงต้องมาเกิดเป็นหมาเร่ร่อนแบบนี้" ผมได้แต่คิดสงสารพวกมันจากใจ เวลาเอามือลูบหัวพวกมันมันก็ทำหน้าเคลิ้มมีความสุข เห็นอบบนี้ใครไม่สงสารมันบ้างวะ
"ถ้าชาติหน้ามีจริง อย่ามาเกิดเป็นหมาแบบนี้ ขอให้ไปเกิดในที่ดีๆ ชาตินี้ก็ถือว่าชดใช้กรรมก็แล้วกันนะ เจ้าตูบนะ"
ตอนนั้นเองที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นหมาตัวหนึ่งที่แปลกแยกออกมาจากฝูง ตัวมันมีลายจุดสีดำทั่วทั้งตัว มันนั่งหันหน้าออกไปทางถนนอยู่ตัวเดียว ท่าทางเหมือนอยากจะกระโจนออกไปตรงถนนให้รู้แล้วรู้รอด มันจ้องมองรถผ่านไปผ่านมาคันแล้วคันเล่าราวกับเฝ้ารออะไรบางอย่าง ตอนผมให้อาหารผมก็ไม่เห็นว่ามีเจ้าลายจุดตัวนี้จะเข้ามาร่วมวงกินกับหมาตัวอื่น ไม่รู้ว่ามันกำลังอกหัก หรือเจ้าของเอามาทิ้งไว้ที่นี่ ผมเองก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของมันได้ เพราะผมไม่ใช่หมา
"โมะๆ" ผมลองเรียกมันดู "หนู มากินข้าวเร็ว หิวข้าวหรือเปล่า?" ผมคุยกับแล้วคิดว่ามันจะรู้เรื่อง เจ้าจุดเพียงหันคอมามองพร้อมสายตาละเหี่ยแล้วก็หันกลับไป...อั้ยย่ะ! ทำเป็นไม่สนใจ งั้นมึงก็อดไปแล้วกันนะ เจ้าจุดเอ๋ย...
...
"หนึ่ง ส่อง ซั่ม! ฮึ้บ!" ในที่สุด ลังเคริ่องดื่มชุดสุดท้ายถูกขนลงจากรถเรียบร้อยแล้ว มันเป็นอีกวันที่ผมเอาชนะความเหนื่อยหน่ายในชีวิตได้สำเร็จอีกครั้ง ภารกิจที่ต้องทำคนเดียว ขับรถคนเดียวลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น ที่เหลือก็แค่คลุมผ้าใบแล้วก็สตาร์ทรถกลับบริษัท พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ เห็นว่าเจ้านายรับพนักงานเพิ่มมาหนึ่งคน สงสัยจะให้เราคอยเทรนเส้นทางให้ล่ะมั้ง แบบนี้ก็ค่อยสบายหน่อย ยู้ฮู้...
"กี่โมงแล้วอ่ะพี่ยาม ผมจะได้ลงเวลาในเอกสารถูก"
"อ๋อ เกือบสามทุ่มแล้วน้องหนุ่ย" พี่ยามก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือชัดๆ "ถ้าจะเอาเป้ะๆ คือ 20.47 นาที น้องลงเวลาไว้เลย โอเค"
"ขอบคุณครับพี่ วันนี้เสร็จเร็ว จะได้ไม่รีบ มีเวลาขับรถกลับบ้านชิลล์ๆ ไปถึงบริษัทก็น่าจะเกือบ ตีหนึ่ง สบายๆ"
"เออ เดินทางปลอดภัยนะน้อง ขับรถดีๆ ล่ะ แถวนี้เปลี่ยว กลางค่ำกลางคืนถนนไม่ค่อยมีไฟทาง เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ ถ้าขับไม่ไหวก็แวะนอนพักในปั๊มน้ำมัน เอาเรี่ยวแรงก่อนเดินทางเด้อ" พี่ยามบอกด้วยความเป็นห่วง
"โอเคครับพี่ ขอบคุณมากครับ" ผมกระโดดขึ้นเบาะคนขับแล้วปิดประตูอย่างสบายใจ แล้วสตาร์ทรถออกไปอย่างชื่นอุรา
...
"ลั่นลันล้า~ หื้ม ฮือ หืม~ รักเธอ...ออ~" สิ่งที่จะสู้กับความหาวนอนก็คือต้องหาวิธีให้ตัวเองตื่นตัวตลอดเวลา การร้องเพลงก็ช่วยได้ระดับหนึ่งแต่จะให้ร้องตลอดสามสี่ชั่วโมงก็คงจะไม่ไหว ดีนะที่ผมซื้อเครื่องดื่มชูกำลังกับผ้าเย็นเตรียมไว้ในกระติกน้ำแข็ง ผมขับไปจิบไป พร้อมด้วยโปะผาเย็นไว้ที่ต้นคอนะ โอ้โห...ตาสว่างเลยล่ะครับทีนี้
ผมขับรถกลับได้สักพักหนึ่งก็เพิ่งจะมาสังเกตว่า บนถนนที่ผมอยู่นี้มันเปลี่ยวจริงๆ สองข้างทางที่ขามาที่มีธรรมชาติสวยงาม มีใบไม้สีเขียวตัดกับท้องฟ้าสีคราม ประดับด้วยก้อนเมฆขาวปุกปุย ตอนนี้มันมองไม่เห็นอะไรแบบนั้นแล้วนะ มันเหลือแต่ความดำมืด ดำด๊ำดำ จนมีแต่ทางข้างหน้าไม่กี่เมตรเท่านั้นที่ไม่ใช่สีดำจากแสงไฟหน้ารถ ผมเริ่มหวั่นใจ
"วันนี้ก็กินแค่สองขวดเองนะ ใจมันจะสั่นได้ไง บ้าน่า" ผมบ่นกับตัวเองไปงั้นแหล่ะ ทั้งที่ในใจก็รู้ว่าผมกำลังกลัว ใครบ้างจะไม่กลัว ขับมามืดๆ คนเดียวแบบนี้ เพื่อนร่วมทางก็ไม่มี เสาไฟริมทางก็ไม่มี เห็นทีแบบนี้ต้องรีบขับไปให้ถึงหมู่บ้านข้างหน้า จะได้รู้สึกอุ่นใจ
อีกราวๆ สองถึงสามกิโลเมตรก็จะถึงหมู่บ้านข้างหน้าแล้ว เป็นหมู่บ้านที่มีศาลเจ้าพ่อแดงตั้งอยู่ถ้าจำไม่ผิด ผมหลับตาอธิฐานยกมือท่วมหัวขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองลูกช้างด้วย
"สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายครับ ขอให้ลูกช้างเดินทางปลอดภัย แคล้ว..."
ยังขอไม่ทันจบ ทันทีที่ผมลืมตาขึ้น จู่ๆ ก็มีใครก็ไม่รู้กระโดดเข้ามาตัดหน้ารถของผม แว้บหนึ่งผมรู้สึกคุ้นหน้าคนๆ นั้นเป็นอย่างมาก ผมรีบแตะเบรกแล้วหักพวกมาลัยหลบจนสุดตัว แต่ว่า ระยะมันกระชั้นชิดจนเกินไป รถของผมชนเข้ากับชายคนนั้นเข้าอย่างจัง
"โครมมมมม"
ผมสัมผัสได้ถึงแรงปะทะที่รถชนกับวัตถุบางอย่างได้ แปลว่า มันชนจริงๆ ผมรีบตั้งสติควบคุมรถให้กลับมาตั้งลำได้อีกครั้ง ทว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ด้วยความเร็วระดับ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมไม่สามารถบังคับทิศทางของรถให้ตั้งตรงได้ สุดท้ายรถและผมก็พุ่งอัดเข้ากับต้นไม้ใหญ่ริมทาง จากนั้น สติของผมก็ดับไป
...
...
...
ผมกลับมาได้สติอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว มารู้ตัวอีกทีคือออกมาอยู่นอกรถแล้ว เหมือนสมองผมได้รับแรงกระทงกระเทือนสูงมากเพราะมันปวดหัวสุดๆ ความรู้สึกเจ็บเป็นยังไงตอนนั้นไม่สามารถรับรู้ได้ รู้แต่ความรู้สึกชาอย่างเดียวที่มันแล่นไปทั่วทั้งตัว ผมอยากขยับตัวนะแต่มันก็ขยับไม่ไหว ที่ทำได้ก็แค่นอนมองดูรถของผมที่มันตกไปอยู่ข้างทางในสภาพข้างหน้าพังยับเยิน มันยุบไปติดคากับต้นไม้ใหญ่ที่กำลังจะหักโค่นจากแรงชน ไฟหน้ารถก็ยังไม่ดับ ผมหวังว่าจะมีใครมาพบเพื่อที่จะนำผมส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที
เหมือนโชคของผมยังมี ไกลลิบๆ ผมเห็นแสงไฟดวงเล็กๆ กำลังเคลื่อนเข้ามาทางที่ผมอยู่ ผมมีความหวัง
"แฮ่ก แฮ่ก ... " เหมือนกล่องเสียงของผมจะบาดเจ็บทำให้ผมส่งเสียงออกมาไม่ได้ ก็แน่ล่ะสิ โดนชนซะขนาดนั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ 'แล้วเมื่อกี้เราชนใครวะ?'
ผมสอดส่ายสายตาค้นหาผู้บาดเจ็บอีกคนที่ผมชน ไม่รู้ว่าเขากระเด็นไปอยู่ตรงไหน เป็นหรือตายยังไงผมก็อยากรู้
"แฮ่กกก แฮ่กกก" ผมไม่มีเสียงตะโกนเรียกเขาจริงๆ
แต่แล้วจู่ๆ ผมก็เห็นเงาของคนๆ หนึ่งมายืนอยู่ใกล้ๆ ผม ผมพยายามเพ่งมองเท่าที่แสงไฟสลัวจะอำนวย ทว่า ทันทีที่ภาพชัดผมก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่า เงานั้นคือใคร
'พี่ โต !' ถ้าผมตะโกนได้ผมตะโกนแล้ว 'ผะ ผีหลอกกกก'
ผมโคตรตกใจจนหัวใจแทบจะระเบิดแล้วล่ะมั้ง ตอนนั้นพี่โตพูดกับผมกลับมาเพียงประโยคสั้นๆ
"หนุ่ย พี่ไปก่อนนะ!" แล้วร่างพี่โตก็เลือนหายไปเฉยๆ อย่างงงๆ
ผมรีบตะเกียกตะกายตัวเองลุกขึ้นหนีไปจากตรงนี้ให้ไวที่สุด ไม่รู้อะไรหัก อะไรเจ็บบ้างล่ะ ขอมาอยู่ตรงแสงสว่างก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แล้วพี่โตมาได้ไง? แกตายไปแล้วไม่ใช่เหรอวะ แล้วมาบอกกูทำไมเนี่ย?" สารพัดคำถามผุดขึ้นในหัวจากความกลัว มันเป็นวันสุดจะสะพรึงในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ แต่ว่า ความน่ากลัวของวันยังไม่จบแค่นั้น เมื่อสายตาอันซุกซนของผมดันเหลือบไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น...
"ห๊ะ!?" นั่นคือ ร่างของผมเองที่คอหัก เลือดท่วมตัว มีโครงเหล็กของรถอัดทับกระดูกซี่โครงจนบี้แบน ไม่เหลือเค้าความหล่อที่ดูเป็นสิ่งมีชีวิตมีลมหายใจได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ในตอนนั้นด้วยความตกใจที่เห็นตัวเองตายแล้ว ผมเลยร้องไห้โฮใหญ่จนสุดเสียง
"ฮะ โฮ่ง...อะฮู้ววววว"