ยินดีต้อนรับสู่ร้านอาหารสามที่นั่งใต้ร่มใบบังของต้นไม้ใหญ่ กับอาหารมื้อสุดท้ายบนผืนแผ่นดินแต่เป็นมื้อแรกของอีกหนึ่งการเดินทาง

ร้านอาหารของจอมมารเบื่อโลก - ตอนที่หนึ่ง ร้านอาหารของจอมมารเบื่อโลก โดย ณธนิษฐ์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,เรื่องสั้น,เรื่องสั้น,ร้านอาหาร,ดวงวิญญาณ,ภูติจิ๋ว,ร้านอาหารเที่ยงคืน,แฟนตาซี,รถแห่ชวนเขียน7,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ร้านอาหารของจอมมารเบื่อโลก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,เรื่องสั้น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เรื่องสั้น,ร้านอาหาร,ดวงวิญญาณ,ภูติจิ๋ว,ร้านอาหารเที่ยงคืน,แฟนตาซี,รถแห่ชวนเขียน7

รายละเอียด

ร้านอาหารของจอมมารเบื่อโลก โดย ณธนิษฐ์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ยินดีต้อนรับสู่ร้านอาหารสามที่นั่งใต้ร่มใบบังของต้นไม้ใหญ่ กับอาหารมื้อสุดท้ายบนผืนแผ่นดินแต่เป็นมื้อแรกของอีกหนึ่งการเดินทาง

ผู้แต่ง

ณธนิษฐ์

เรื่องย่อ

ร้านอาหารเที่ยงคืนของจอมมารเบื่อโลก

คือเรื่องสั้นเข้าร่วมกิจกรรม รถแห่ชวนเขียน ครั้งที่เจ็ด ค่ะ

ซีอิ๊วขาว / มิตรภาพ / ร้านอาหารที่เปิดหลังเที่ยงคืน / จอมมาร

สารบัญ

ร้านอาหารของจอมมารเบื่อโลก-ตอนที่หนึ่ง ร้านอาหารของจอมมารเบื่อโลก

เนื้อหา

ตอนที่หนึ่ง ร้านอาหารของจอมมารเบื่อโลก

โลกด้านหลังดวงตะวันล้วนไร้ซึ่งสีสันยามจับมอง นอกจากแสงระยับของหมู่ดาวบนฟ้า แผงขายอาหารริมทางขนาดสามเก้าอี้ยังคงตั้งอยู่ภายในร่มใบบังของต้นไม้ใหญ่ ทอดรากหยั่งลงใต้พิภพลึกสุดลึก ที่ซึ่งใช้เป็นเส้นทางเข้าออกของดวงวิญญาณ กับอาหารมื้อสุดท้ายบนผืนแผ่นดิน แต่เป็นอาหารมื้อแรกของการเดินทางครั้งใหม่

ร้านอาหารสามที่นั่ง

ลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการโดยดวงวิญญาณจะถูกขนาบข้างด้วย ‘ผู้นำส่ง’ สองคนตลอดการเดินทางนับตั้งแต่ออกจากร่างจนถึงยังปลายสุดของรากไม้ทีเดียว

เว้นไว้แค่คืนพระจันทร์เต็มดวงเดือนละครั้งที่ลูกค้าพิเศษจะขยับเท้าก้าวเข้ามานั่งจมจ่อมมองหน้ากันก่อนจะแยกย้ายกลับถิ่นฐานตัวใครตัวมัน เพื่อรอวันนัดพบใหม่เวียนถึง โดยร้านจะแขวนป้าย ‘ปิดบริการ’ ไว้ตั้งแต่หัววัน นับเป็นการหยุดพักเหนื่อยของผู้นำส่งด้วย

“ร้านเที่ยงคืนยินดีต้อนรับค่ะ” ลอร่า ภูติจิ๋วใบหน้างามที่มีปีกทำจากฟันเฟืองสามอันวางเรียงซ้อน เพิ่งส่งเสียงทักทายกลุ่มชายผู้มาใหม่ด้วยความอ่อนโยน

“สวัสดีลอร่า ช่วงนี้ลูกค้าเยอะมั้ย” ชายผู้นำส่งสวมสูทสีดำคนแรกเพิ่งขยับเก้าอี้นั่งแต่ยังไม่ถอดหมวกทรงสูงบนศีรษะออก เขาพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเหลือเกินกับการทำงานนอกเวลาเช่นนี้

“คิวยาวจนถึงปีหน้าแล้ว ได้ข่าวว่าทีมเจ็ดเพิ่งทำ ‘ผู้เดินทาง’ สูญหายนี่เรื่องจริงรึเปล่าคะ”

“จริง ข้ายืนยันได้” ชายคนสุดท้ายชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าเตือนแล้วว่าอย่าชะล่าใจ กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเลยเห็นมั้ย”

“ทีมสามอย่างพวกเราก็เลยเดือดร้อนจนต้องไปช่วยตามจับ นี่ไง...นั่งอยู่นี่แหละ” ชายคนแรกพยักพเยิดไปยัง ‘ผู้เดินทาง’ ตรงกลางซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยวาจาใดสักคำนับตั้งแต่ทิ้งก้นลงนั่ง

ลอร่ากระพือปีกถี่รัวเพื่อเปลี่ยนร่างเป็นหญิงสาวผมยาวสยายแล้วส่งยิ้มทักทายอีกครั้งอย่างอ่อนโยน

“สวัสดีค่ะท่านผู้เดินทาง”

เขายังคงนั่งนิ่ง ลอร่ายังคงยิ้ม

“สนใจรับเป็นซีอิ๊วขาวสูตรหวานปานน้ำผึ้งหรือซีอิ๊วขาวสูตรหอมรสกลมกล่อมดีคะ” ลอร่ายื่นแก้วสองใบใส่น้ำสีดำอย่างละครึ่งมาตรงหน้า กลิ่นหอมของมันโชยอ่อนหยอกล้อกับปลายจมูกราวมีชีวิต

“ผม...ไม่อยากได้”

“ลองดูหน่อยดีมั้ยคะ อาจจะชอบก็ได้นะ”

“แต่ผม…”

“ยังห่วง…เหรอคะ”

“ครับ ผมห่วงเหลือเกิน”

“อยากเล่ามั้ยคะ ฉันยินดีรับฟังนะ” ลอร่าผายมือเชื้อเชิญ ดันแก้วสองใบขยับใกล้อีกนิดแต่ไม่เร่งเร้า

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งแรก คราบน้ำตายังคงทิ้งร่องรอยให้เห็นเด่นชัด เขาขยับปากขึ้นลงแต่กลับไร้เส้นเสียงเล็ดลอด ลำคอแหบแห้ง รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาจับใจจนต้องคว้าแก้วตรงหน้าขึ้นมาถือไว้แต่ยังลังเล

“ไม่ต้องรีบนะคะ”

“ผมขอน้ำเปล่าแทนได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ ได้แน่นอน”

ลอร่าหันไปคว้าแก้วใสลงมาจากชั้นแขวนแล้วรินน้ำสะอาดใส่ลงไปจนเต็มปรี่ เงยหน้ามองชายผู้ร้องขออยู่เล็กน้อย ค่อย ๆ เลื่อนมันมาตรงหน้า ผายมืออีกครั้ง

“เชิญค่ะ”

“ขะ...ขอบคุณ...ครับ” ชายวัยกลางคนใช้สองมือคว้ามันขึ้นมาหวังจะดื่มเพื่อดับกระหาย แต่จนแล้วจนรอดก็เปล่าประโยชน์เพราะไม่อาจขยับมันได้ดังใจนึก “คุณทำอะไร”

“เปล่านี่คะ” ลอร่ายื่นมือมาคว้าแก้วน้ำขึ้นไปถือไว้อย่างง่ายดาย “นี่ไง”

“แต่...ทำไมผมยกไม่ขึ้น”

“อย่างนั้นเองเหรอคะ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ”

“ผมก็ไม่รู้ ผมไม่มีเรี่ยวแรงเลย”

“ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมเมื่อครู่คุณยกทั้งสองแก้วนี้พร้อมกันได้”

“นั่นสิครับ” เขาครุ่นคิด คลายมือจากแก้วน้ำอย่างลืมตัว ความเบาของหัวใจแผ่ความอบอุ่นไปทั่วทั้งร่างกายอย่างแปลกประหลาด

“ไม่กระหายแล้วหรือคะ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วให้ประโยคคำถาม น้ำเสียงแหบแห้งกลับมาอีกครั้ง เขายังงุนงงเหลือประมาณกับอาการที่เป็นอยู่แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเหตุใดถึงสลับกลับไปมาเช่นนี้แต่ความต้องการเริ่มลดน้อยถอยลง เขาส่ายศีรษะกับใบหน้างามนั้นแผ่วเบา

“ไม่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น...อยากเล่ามั้ยคะ”

“ผมชื่อ…”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณผู้เดินทาง ฉันขอเรียกคุณแบบนี้ดีกว่าเพราะอีกเดี๋ยวเราก็ต้องบอกลากันอยู่แล้ว” ลอร่ายังคงแต้มรอยยิ้มไว้บนใบหน้าตลอดการสนทนา เธอไม่ปรารถนาให้เขาเอ่ยชื่อเพียงแค่ต้องการรับฟังเท่านั้น “เล่าเรื่องราวของคุณเถอะค่ะ”

“ผมเริ่มต้นใช้ชีวิตกับลูกชายวัยสิบสองในบ้านหลังเล็กด้วยความยากลำบาก ต้องรับจ้างทำงานสารพัดอย่างเพื่อหาเลี้ยงตั้งแต่แม่เขาด่วนจากไปเมื่อสองปีก่อนตอนสิบขวบ ผมแบกความโศกเศร้าเอาไว้เต็มบ่า แทบไม่มีเวลามองหน้าลูกชายให้เต็มตาเลยสักครั้ง เพิ่งมาดีขึ้นก็เมื่อปีก่อนนี่เอง แต่เวลาช่างผ่านไวจนน่าใจหาย ครู่เดียวเขาก็สิบสี่ ผมไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีลูกชาย…”

ลอร่ายังไม่เอ่ยสิ่งใดเป็นการขัดจังหวะลื่นไหลของถ้อยคำซึ่งพรั่งพรูจากหัวใจหาใช่ริมฝีปาก เขาเริ่มกระวนกระวายกว่าเก่าเกือบจะเอื้อมคว้าเอาแก้วใดแก้วหนึ่งขึ้นมากระดกเสียแล้ว...แต่ก็ยัง

“ผมไม่รู้ว่าเขาจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีผม ทำไมการเดินทางของผมมาถึงเร็วเหลือเกินครับ”

“ทุกคนย่อมมีจังหวะเวลาแตกต่างกันค่ะ หากคำอธิษฐานสุดท้ายสามารถส่งถึง ระหว่างการก้าวไปข้างหน้าหรือหมุนช่วงเวลาถอยหลัง คุณผู้เดินทางประสงค์สิ่งใดคะ”

“ผม...ผมคงอยากย้อนไปหาลูกชายเพื่อบอกลาสักครั้งครับ”

“ถ้าเช่นนั้น เชิญแก้วนี้ค่ะ” ลอร่าผายมือไปยังแก้วใบที่สองซึ่งบรรจุซีอิ๊วขาวสูตรหอมรสกลมกล่อมไว้ครึ่งหนึ่ง “ดื่มจนหมดแก้ว แล้วก้าวสู่ห้วงเวลาของคำอธิษฐานสุดท้าย”

เขาไม่ลังเลรีบคว้ามันขึ้นดื่มรวดเดียว ความหอมอบอวลได้ลบเลือนกลิ่นเดิมของซีอิ๊วขาวหมดสิ้น ทันทีที่วางแก้วลงเก้าอี้ก็เริ่มหมุนคว้างราวลูกข่างเร่งเร็วพร้อมนาฬิกาแขวนผนังซึ่งก็หมุนทวนเข็มไปทางซ้าย เปลี่ยนภาพรอบด้านใต้ต้นไม้ใหญ่ให้กลายเป็นห้องนอนแสนอบอุ่นของลูกชายแทน

“ลูกพ่อ!”

ชายผู้เดินทางรีบกระโจนจากเก้าอี้ถึงเตียงนอนแล้วคว้าร่างที่ใจใฝ่หาขึ้นมาแนบอก เขื่อนกั้นน้ำตาเริ่มเผยรอยร้าวให้เห็นกระทั่งเสียงแรกเอ่ยเรียกขึ้นมามันจึงพังทลายโดยสมบูรณ์

“ลูกพ่อ…”

“พ่อมาเหมือนแม่เลย”

ถ้อยคำนั้นช่างบาดใจ ทันทีที่ลูกชายเอื้อนเอ่ยวัยก็ลดลงจากสิบสี่ปีเหลือเพียงสิบสอง ทำให้รู้ว่าตนเพิ่งย้อนเวลามาตามคำอธิฐานสุดท้ายแล้วจริง ๆ

“แม่หรือลูก แม่มาหาด้วยหรือลูก”

“ฮะ แม่ร้องไห้ แม่บอกว่าต้องเดินทางไกลมาก อาจไม่ได้กลับมากอดผมแล้ว ขอให้ช่วยดูแลพ่อด้วยเผื่อพ่อจะแตกสลายเกินไป แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าไง” เด็กชายครุ่นคิด นัยน์ตาใสแจ๋วหรี่เล็กลงแต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น “พ่อก็ต้องเดินทางเหรอฮะ”

“ใช่ลูก พ่อจำเป็นต้องไปแต่จำไว้นะว่าพ่อกับแม่รักลูกเสมอ สุดหัวใจเลยคนดี” เขาประคองใบหน้าไว้บนฝ่ามือ ประทับร่องรอยแห่งความรักลงกลางหน้าผากแผ่วเบา “พ่อขอโทษนะลูก”

“ผมไปด้วยได้มั้ยฮะ”

“พ่อขอล่วงหน้าไปก่อนได้มั้ย ไว้ถึงเวลาแล้วจะมารับ”

“สัญญามั้ยฮะ”

“แม่สัญญารึเปล่า”

“สัญญาฮะ แม่ขอให้ผมเป็นเด็กดีรอแม่มารับ” เด็กชายพยักหน้าขึ้นลง รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเมื่อนึกถึงค่ำคืนนั้นภายในอ้อมกอดของแม่

“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ขอให้ลูกโตขึ้นมาเป็นคนดีเช่นกัน และพ่อสัญญาว่าจะมารับ”

“ฮะ ผมจะเป็นเด็กดี”

“พ่อรักลูกนะ”

“ผมก็รักพ่อฮะ”

“นอนหลับฝันดี...ลาก่อนลูก”

ห้วงเวลาถูกหมุนกลับคืนสู่ปัจจุบันขณะอีกครั้ง ชายวัยสี่สิบห้าเพิ่งแต้มรอยยิ้มบนใบหน้า มองสบตากับลอร่าด้วยความรู้สึกท่วมท้นจนล้นลงมาเป็นสาย

“ช่วยใจดีกับลูกชายผมด้วยนะครับ ถ้าการเดินทางของเขาเริ่มต้นขึ้น เขาชื่อ ฟลอเรนซ์”

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ”

“อีกคำถามสุดท้าย ภรรยาผมเลือกแก้วใบแรกรึเปล่าครับ”

“ค่ะ เธอเลือกซีอิ๊วขาวสูตรหวานปานน้ำผึ้ง เพื่อก้าวไปข้างหน้าในช่วงเวลาที่ลูกชายเติบโตขึ้นอีกหน่อย”

“เธอคงอยากเห็นเขาในวัยที่ไม่อาจเห็นได้ ขอบคุณมากครับ”

“ยินดีเสมอค่ะ”

“ลาก่อนครับ”

ลูกค้ารายแรกของค่ำคืนแสนพิเศษเดินจากไปพร้อมผู้นำส่งสองนายที่ไขบานประตูใต้ต้นไม้ใหญ่ออกพร้อมกัน ลอร่ายังคงสุขใจทุกครั้งที่ได้ทำหน้าที่นี้

 

นาฬิการิมผนังกำลังตะโกนบอกเวลาด้วยเสียงแหบแห้ง ภูติจิ๋วเขี้ยวโง้งเพิ่งลุกขึ้นนั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียงนอนในกล่องไม้ขีดไฟรุ่นยาวยืดยี่ห้อดัง ด้านข้างแปะป้ายรับประกันตัวโตไว้ด้วยว่า ‘จุดให้ตายก็ไม่ติด’ เขาบิดขี้เกียจอยู่สามทีก็ขยับปีกซึ่งทำจากฟันเฟืองขึ้นลงเพื่อเร่งเครื่องยนต์ ราวจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีชิ้นส่วนใดหลุดหล่นระหว่างการนอนหลับพักผ่อน

“ตื่นได้แล้วไอ้พวกขี้เกียจปีกเป็นเฟือง ใกล้ได้เวลาเปิดร้านแล้วโว้ย!”

“หัดแหกขี้ตาหนาเตอะดูรอบตัวซะบ้างเหอะ ใช้แต่เสียงนี่หว่า ใครเขาจะนอนกินตะวันเหมือนแกกันวะ!” ภูติจิ๋วเขี้ยวยาวแต่ไม่โค้งเพิ่งกระพือปีกบินเข้ามาพร้อมตะหลิวในมือ ทำท่าฟาดอากาศฉึบฉับขับไล่ความง่วงงุนของอีกฝ่าย และประกาศเตือนด้วยว่าหากยังไม่ขยับก้นไปเริ่มต้นการทำงานมันจะลงหัวแทน

“ใครจะรู้วะ”

“ก็หัดดูซะบ้าง”

“พอกันทั้งคู่นั่นแหละ…จาโร่ โคฟี่ เลิกเถียงแล้วมาช่วยเปิดร้านซักที”

“ลอร่า…” สองเสียงผสานพร้อมนัยน์ตาฉ่ำวาวหวานซึ้งซึ่งฝ่ายหญิงเลือกเมินมันด้วยการสะบัดหน้าหนีกระพือปีกบินเข้าครัวไปจัดเตรียมอาหารเพื่อเปิดร้านให้ทันเที่ยงคืน ก่อนลูกค้าคนสำคัญมาเยือน

คืนพระจันทร์เต็มดวง

ลอร่าไม่มีเขี้ยวเช่นอีกสองตนที่ยังบินส่งเสียงหึ่ง ๆ ถกเถียงไม่เลิก แม้ปีกจะทำจากฟันเฟืองไม่ต่างกันนัก พวกเธอถูกสร้างขึ้นมาจากชายผู้เบื่อหน่ายในทุกความเป็นไปของโลกใบนี้ ที่เมื่อแหงนหน้ามองจะพบร่างสูงใหญ่ดุจหินผาแต่มือกลับเบาแสนเบาเวลาซ่อมแซมขยับฟันเฟืองปีกให้เข้าที่เข้าทาง

ท่านจอมมาร

การดูแลร้านอาหารเพื่อส่งทุกดวงวิญญาณข้ามสู่การเดินทางครั้งใหม่ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางพันธะสัญญาของเหล่าชายอายุหลายพันปีทั้งสาม ผู้ซึ่งเกิดในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นเพื่อนรักกัน และแบกชะตาของโลกทุกใบในทุกเส้นเวลาไว้บนบ่าหนักอึ้งไม่ต่างกันด้วย 

“เร่งมือหน่อยได้มั้ย โคฟี่ไปปลดป้ายร้านรึยัง เดี๋ยวก็ไม่ทันเท่านั้นเอง”

“ข้าเพิ่งตื่นเองนะจ๊ะลอร่าคนสวย” โคฟี่แอบขยี้ตาขณะบินไปปลดป้ายปิดให้บริการออกแล้วแขวนใหม่เป็นยินดีต้อนรับ พลางขยับโคมไฟกลมโตผิวขรุขระเหมือนดวงจันทร์ที่ตนเพิ่งบินชนเมื่อครู่ด้วย

“ระวังหน่อยสิ”

“ขอโทษที”

ลอร่ายังคงบินวนตรวจดูความเรียบร้อยของการทำงานค่ำคืนนี้ด้วยสีหน้าบ่งบอกถึงความภาคภูมิใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายขั้นสุด อาจผสมกับความรู้สึกตื่นเต้นยินดีเข้าไปด้วยนิดหน่อยเพราะคืนนี้จะได้เจอกับใครคนนั้นแล้ว

“เสร็จเรียบร้อย เปิดร้านได้”

ทันทีที่แสงตะเกียงไม้ภายในร้านถูกจุดจนสว่าง เสียงเครื่องยนต์ก็พัดสายลมหมุนวนอยู่เหนือศีรษะ ลูกค้ารายแรกมาถึงตรงเวลาเสมอแม้จะเดินทางไกลกว่าใครเพื่อนเลยก็ตาม

ลอร่ารีบบินออกมาต้อนรับชายหนุ่มผู้สวมหมวกทรงสูงกับไม้เท้าคู่ใจ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยหนวดเคราขึ้นรกแต่ไม่ถึงกับมากเกินพอดี อาจเพราะการเดินทางยาวนานจนหาเวลาสำหรับสะสางมันไม่เจอก็เป็นได้

“สวัสดีลอร่า...มาถึงกันรึยังเอ่ย”

“สวัสดีค่ะท่านแอสโฟรเฟล คนแรกตามเคยเลยนะคะ” ลอร่าโค้งคารวะด้วยความนอบน้อมพร้อมผายมือไปยังเก้าอี้ไม้ตั้งวางอยู่ที่แผงหน้าร้าน

“แปสโทรเฟลต่างหากนะลอร่า” ชายหนุ่มขยิบตาแล้วเดินไปทิ้งก้นลงบนเก้าอี้ที่เพิ่งเปลี่ยนตัวเองเป็นเบาะนุ่มฟูรองรับ

“อย่าไปฟังเลย จะเรียกอะไรก็สุดแล้วแต่ใจเถอะลอร่า เดี๋ยวเดือนหน้าก็เปลี่ยนอีกอยู่ดีนั่นล่ะ สวัสดี”

“สะ...สวัสดีจ๊ะ เอลมอร์ ดะ...เดินทางสนุกมั้ย” ลอร่าหน้าแดง เลือดลมสูบฉีดเดือดพล่านจนแทบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่ พยายามส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ติดแค่ภูติจิ๋วสุดหล่อในชุดเดินทางทะมัดทะแมงแถมยังสวมหมวกทรงสูงดูเท่กลับไม่ได้หันมอง รอยยิ้มหวานชื่นจึงถูกลมพัดปลิวไปเท่านั้นเอง

เอลมอร์คือภูติจิ๋วนักเดินทางซึ่งนายท่านสร้างขึ้นมาเป็นตัวตนแรกและมอบให้กับ แอสโทรเฟล เป็นของขวัญ เขาจึงไม่มีหน้าที่ใดภายในร้านอาหารแห่งนี้เลยนอกจากคอยงมหาทิศทางกลับมาเดือนละครั้งให้เจอเท่านั้น

“มาอีกละ มารหัวใจ” โคฟี่สะบัดหน้าใส่ทันทีที่เอลมอร์ส่งยิ้มทักทายเช่นเคย

“สวัสดีโคฟี่”

“ดี”

“งอนแก้มป่องเชียว จาโร่ล่ะ”

“ข้าอยู่นี่เอลมอร์ คิดถึงเจ้าชะมัดยาด วันนี้จะทำอาหารสุดอร่อยให้กินจนพุงกางเลยนะ” จาโร่บินเข้ามาสวมกอด ก่อนจะเหลียวมองลอร่าที่จิตใจล่องลอยไปไหนก็ไม่รู้อยู่คนเดียว “ไปช่วยข้าในครัวมั้ยเพื่อนรัก”

“เอาสิ ข้าอยากนั่งดูเจ้าทำอาหาร คิดถึงกลิ่นหอมของน้ำซุปมากกว่าไอทะเลเค็ม ๆ เสียอีก ข้าเพิ่งข้ามมหาสมุทรมาเลยนะมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเยอะแยะ” เอลมอร์กอดคอทำท่าจะขยับปีกบินเข้าไปด้านในแต่จาโร่ก็เหนี่ยวรั้งไว้เสียก่อน

“ลอร่า...มาฟังเรื่องเล่ากัน ท่านจอมมารยังไม่มาง่ายนักหรอก” จาโร่รู้ได้ถึงความในใจของภูติสาวจึงเอ่ยปากชวนเพื่อเปิดโอกาส เขาไม่อยากให้เธอพลาดมันไปแม้จะยิ่งห่างไกลหัวใจของตนกว่าเดิมก็ตาม

“จะดีเหรอ”

“ดีสิ”

“เอ้า! แล้วข้าล่ะ” โคฟี่งอนแก้มป่องเมื่อรู้สึกว่าตนช่างว่างจากความสนใจราวอากาศธาตุ

“ก็มาด้วยกันสิ” เอลมอร์บินมาคว้าแขนของโคฟี่ผู้ปากกับใจไม่เคยตรงกันไว้แน่น ก่อนจะหันไปพยักหน้าส่งยิ้มสดใสให้ลอร่าอีกครั้ง “ไปเถอะลอร่า ปล่อยหมอนั่นไว้อย่างนั้นแหละ”

เขาหมายถึงผู้ที่จับจองเก้าอี้เบาะนุ่มอยู่ลำพัง ชายหนุ่มจาก อีรอส หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ซึ่งยืนอยู่จุดกึ่งกลาง เหล่ามนุษย์ผู้ก้าวผ่านคำว่าธรรมดาสามัญไปไกลด้วยการเกิดมาเพื่อเป็นคู่แห่งชะตากับ ดาร์ซี่ แวมไพร์ผู้ทำหน้าที่คอยรักษาสมดุลให้ทุกชีวิต คอยคานอำนาจกันเสมอ อีรอสมีพลังไว้ใช้หากฝ่ายนั้นเริ่มหันมาทำร้ายมนุษย์เสียเอง

แต่ แอสโทรเฟล อีรอส ออกจะแตกต่างไปนิดหน่อยตรงความแปลกแยกแหกคอก เขาชื่นชอบการผจญภัยบนบอลลูนคู่ใจเพื่อตามหาและจดบันทึกดวงดาวเกิดใหม่ในทุกเส้นเวลา หาตัวจับยากนี่แหละ ยกเว้นคืนนี้ของทุกเดือนล่ะนะ

เมื่อภูติจิ๋วบินเข้าไปในครัว หน้าร้านจึงเงียบเหงาจนเรียกได้ว่าวังเวง ชายหนุ่มถูกปล่อยทิ้งให้จมกับความคิดแสนเวิ้งว้างกับการงมหาทางเส้นใหม่ไปยังห้วงเวลาอื่น เพื่อยืนชื่นชมหมู่ดาวบนบอลลูนคู่ใจ แต่ยังไม่ทันได้เริ่มขยับทำสิ่งใด เสียงหึ่ง ๆ เหมือนยุงตีกันก็ดังผสานอยู่ข้างหูเสียก่อน

มาแล้ว

ชายหนุ่มหน้าตาดีที่เวลาแยกยิ้มเห็นเขี้ยวคมเงาวับขยับผ้าคลุมพร้อมเส้นผมดำข้างขาวข้าง เพิ่งหย่อนก้นลงนั่งทางด้านซ้าย ตามมาติด ๆ กับการปรากฏกายของเพื่อนซี้อีกคนทางขวา ผู้เป็นเจ้าของร้านอาหารเที่ยงคืนแห่งนี้

จอมมาร 

“มาถึงก็ตีกันเลยนะ” แอสโทรเฟลส่ายศีรษะ คว้าแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ “สวัสดีกันก่อนมั้ย”

จอมมารพยักหน้าหงึกหงัก เขามีใบหน้าหล่อเหลาเช่นเดียวกับทั้งสองคน แต่รอยยิ้มมักไม่ค่อยปรากฏให้เห็นบ่อยนัก ยกมือเสยผมรุงรังมืดมิดดำสนิทที่ไม่เจอกับกรรไกรมานานแสนนานให้พ้นทาง มือขวาเอื้อมคว้าหนังยางแถวนั้นมารวบมัดมันไว้แบบลวก ๆ ปากก็ขยับบ่นอะไรงึมงำเพราะกระดาษแผ่นล่าสุดเพิ่งส่งเสียงตะโกนกรอกหูก่อนจะออกมาจากห้องทำงานเมื่อครู่นี้เอง

“คนของเจ้าล้ำเส้นไปหน่อยนะ วินเซนต์

“เก็บประโยคนี้ไว้ใช้กับตัวเองเถอะ เซฟีส ต้องให้บอกด้วยมั้ยว่าคนของเจ้าล้ำเข้ามากี่ขาภายในอาทิตย์เดียวน่ะ ช่วยโผล่หัวออกมาดูโลกบ้างเถอะ ข้าเหนื่อยต้องตามเก็บแล้วนะ”

วินเซนต์ ดาร์ซี่ สวนกลับทันควันหลังต้องรอมานานกว่าจะได้เอ่ยประโยคเป็นงานเป็นการแบบนี้เพราะเจ้าตัวเอาแต่มุดหัวอยู่ในถ้ำลูกเดียว ติดต่อไปแต่ละทีก็เงียบเฉย มีแค่ช่วงเวลาแห่งพันธะสัญญานี้เท่านั้นถึงจะได้เจอกัน แม้จะแค่ชั่วครู่กว่าดวงตะวันจะแต้มฟ้าก็เถอะ

แวมไพร์อย่างตระกูลดาร์ซี่มีอยู่เพื่อรักษาสมดุลไม่ให้เหล่าอสุรกายทำลายล้างมนุษย์มากเกินควร แต่เจ้าตัวผู้มีอำนาจเหนือมันกลับไม่ยอมขยับทำสิ่งใดเลยสักอย่างนอกจากส่งภูติตัวจิ๋วออกทำงานแทน

“เลิกนิสัยชอบซุกทุกปัญหาไว้แล้วขลุกอยู่แต่ในห้องเสียทีเถอะ”

“ข้าก็ทำงานอยู่”

“ข้าก็เห็นว่ามันไม่เคยได้ผล”

“ภูติจิ๋วก็ยังทำหน้าที่ได้ดีพอ”

“แต่มันก็ยังไม่ดีพอ”

แอสโทรเฟลที่เพิ่งหันซ้ายเหลียวขวาไปตามเสียงของฝ่ายตรงข้ามถึงกับต้องส่ายศีรษะ เหมือนเดิมทุกทีจะกี่ร้อยกี่พันปีมันก็เป็นเช่นนี้อยู่เอง ทำใจได้อย่างเดียว

“พวกเจ้านี่ยังไง ทำไมเจอหน้าเป็นต้องตีกันตลอด”

“ลองมาเป็นข้าดูบ้างมั้ยล่ะ”

สองเสียงผสานกันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

“ไม่เอา ปวดหัว”

“งั้นก็เงียบแล้วกินไปเถอะ”

แอสโทรเฟลลองก้มหน้าคว้าเครื่องดื่มกรอกใส่ปากอยู่พักใหญ่โดยไม่พูดไม่จากับใคร แต่ก็ทำได้ไม่นานเพราะมันช่างอึดอัดจนอกจะระเบิด เมื่อคิดออกว่าตนไม่ได้บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อนั่งสงบปากคำเสียหน่อย

“โอ๊ย! จะบ้าตาย คิดถึงพวกนายชะมัดเลยนะ หนึ่งเดือนเหมือนหมื่นปี นี่ถ้าเราได้เป็นครอบครัวเดียวกันคงดีเนอะ”

“ไม่เอา!!!”

“เนี่ย พูดอะไรก็เหมือนกันไปหมด ใจตรงใจซะขนาดนี้”

“ข้าคนนึงล่ะที่ไม่อยากเกี่ยวกับหมอนี่ เซย์ซี่ฝากความคิดถึงมาด้วย ว่าง ๆ ก็แวะไปหาหน่อย” วินเซนต์รีบเปลี่ยนเรื่องไปทิศทางอื่นเพราะยังไม่อยากฟังถ้อยคำหวานเลี่ยนมากกว่านี้ มันคงเป็นเวรกรรมตามมาทันเพราะตนก็ชอบพูดอะไรแบบนั้นให้ภรรยาพะอืดพะอมอยู่บ่อยครั้ง

“ถ้าว่างนะ”

“มันต้องว่างบ้างได้แล้ว เจ้าจะออกตามหาดาวอีกกี่ดวงถึงจะหยุดพัก” วินเซนต์ส่ายหน้ากับลูกดื้อของพวกตระกูลอีรอส ทั้งดื้อทั้งดึง ฉุดยังไงก็ไม่อยู่ เหมือนภรรยาสุดสวยที่บ้านไม่มีผิด

“จะชมภรรยาตัวเองก็กลับไปชมต่อหน้าเถอะ”

“ใครใช้ให้เจ้าอ่านความคิดข้าล่ะ”

“ก็ช่วยคิดให้มันเบา ๆ หน่อยแล้วกัน ข้าไม่เคยมองว่านางสวยเลยสักครั้งให้ตาย”

“แน่จริงก็ลองมองดูสิ ข้าจะได้เพ่นกบาลให้แยกเลย”

“คงไม่คิดว่าข้าจะอยู่เฉย”

“พวกเจ้านี่น่าสนุกนะ ข้าคงไม่เบื่อถ้าได้นั่งฟัง”

“แต่ข้าเบื่อ!”

“เออ! ข้าก็เบื่อ รวมไอ้พวกอสุรกายดุร้ายชอบไล่ล้างชีวิตผู้คนจนเกินความจำเป็นเข้าไปด้วย สมดุลมันจะเสียเอาถ้าเจ้ายังยับยั้งไว้ไม่ได้แบบนี้” วินเซนต์พาบทสนทนาวกกลับเข้าเรื่องราวเป็นงานเป็นการอีกครั้งเพราะยังอยากได้ความชัดเจนหรือไม่ก็แนวทางแก้ปัญหาจากจอมมารผู้เบื่อโลกอยู่

“ข้ากำลังแก้ไข พวกภูติจิ๋วยังทำงานขมักเขม้นไม่เคยพัก และมันก็ไม่เคยมีปัญหา จริงมั้ยลอร่า”

จอมมารหันไปขอความเห็นกับหญิงสาวที่เพิ่งบินออกจากครัวมาต้อนรับพร้อมขยับจานอาหารหลากรสมาตรงหน้าอย่างแช่มชื่น

ลอร่าเพิ่งได้ใช้ช่วงเวลาแสนหวานกับชายที่ใฝ่ฝัน แม้มันไม่เคยขยับความสัมพันธ์ไปไหนเลยก็เถอะ เธอลังเลอยู่เสี้ยววินาทีก็ส่ายหน้าปฏิเสธชายผู้สร้าง พลางถอนหายใจ นั่นทำให้เขางงงวยหนักกว่าเก่าเสียอีก

“อะไรกันลอร่า มันไม่จริงงั้นรึ”

“ค่ะนายท่าน หน่วยเจ็ดเพิ่งทำผู้เดินทางหลุดมือ วันนี้หน่วยสามออกไปตามจับกลับมาได้ เขาดูปั่นป่วน สับสน และกล่าวขอน้ำเปล่าด้วยค่ะ” ลอร่ายุติทุกถ้อยคำไว้แค่นั้นเมื่อโคฟี่เดินนำอาหารอีกสองจานเข้ามายื่นส่งให้ เธอหันไปรับก่อนหวนกลับสู่วงสนทนาอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้ผู้ฟังเลยสักนิด “ไม่เคยมีใครเอ่ยขอน้ำเปล่ามาก่อนเลยนะคะ”

“นั่นฟังเป็นไง เข้าท่ามั้ยล่ะนายท่าน” วินเซนต์ประชดประชัน คว้าแก้วบรรจุน้ำสีแดงสดขึ้นมาดื่มดับความขุ่นข้องใจเพราะไม่อยากจะหลุดปากเอ่ยอะไรออกมาอีกระลอก

“นั่นมัน…ไม่น่าเป็นไปได้”

“ต้องยอมรับว่าตกใจมากทีเดียวค่ะกับดวงวิญญาณผู้น่าสงสารเหล่านั้น เพราะการดื่มน้ำเปล่าจะลบลืมทุกเรื่องราว คำอธิษฐานสุดท้ายคงไม่มีวันเป็นจริง พวกเขาจะติดอยู่ที่นี่โดยไร้ร่างกายและหมดโอกาสได้ก้าวข้ามไปอีกเลย”

“ออกมาดูโลกซะบ้างเถอะก่อนอะไรมันจะสายเกินไป”

“เรื่องนี้เห็นด้วยแฮะ” แอสโทรเฟลพยักหน้าหงึกหงักไปพร้อมวินเซนต์ เขาเพิ่งแหงนมองท้องฟ้าแล้วพบว่าใกล้ได้เวลากลับขึ้นบอลลูนยักษ์คู่ใจซึ่งใช้อาศัยเป็นบ้านลอยข้ามไปมาระหว่างเส้นเวลาเพื่อตามหาดวงดาวที่หายไป “ใกล้เช้าอีกแล้ว เวลานี่ผ่านไวจริงเชียว”

“รอบนี้จะไปไหนอีก”

“ยังคิดอยู่แต่คงต้องถามเข็มทิศคู่ใจซะก่อน นั่นไง มาตรงเวลา”

เอลมอร์เพิ่งขยับปีกบินจากหลังร้านแล้วเปลี่ยนร่างเป็นหนุ่มหล่อสวมหมวกทรงสูงคู่ใจ ก้มศีรษะให้จอมมารผู้สร้างตนขึ้นมาด้วยความนอบน้อมเช่นเคย บอกลากับลอร่าแล้วแยกไปเตรียมตัวขึ้นบินโดยมีจาโร่ช่วยขนเสบียงนำส่งด้วย

“อย่าลืมแวะไปหาเซย์ซี่...หรือจะจับมัดมือมัดเท้ากลับไปด้วยกันซะเลยดีเนี่ย ล้อเล่นน่า” วินเซนต์หัวเราะร่า ตบบ่าผู้เป็นทั้งเพื่อนและญาติเกี่ยวดองในฐานะน้องชายคนเดียวของภรรยาอย่างรักใคร่ ความสัมพันธ์ของสองตระกูลอย่างดาร์ซี่กับอีรอสทำยังไงก็ไม่เคยตัดขาดต่อให้ผ่านโศกนาฏกรรมหนักหนาแค่ไหนมาก็ตาม

ครั้งหนึ่งซึ่งก็นานหลายร้อยปีที่ตนกับภรรยาต้องเผชิญบททดสอบหนักหนาแสนโหดร้าย ต้องใช้ทั้งชีวิตวางเดิมพันจนกว่าจะผ่านพ้นมันมาได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น แถมยังมองไม่เห็นความช่วยเหลือจากใครในที่นี้เลยสักคนเดียว

“พวกแกปล่อยทิ้งเราอยู่หลายสิบปี จนโลกล่มสลายไปหลายเส้นเวลา ดาร์ซี่ย่อยยับในสงครามที่ตนเป็นผู้ก่อ อีรอสก็เช่นกัน อำนาจช่างน่ากลัวนัก”

“ข้าไม่ยื่นมือเข้าช่วยเพราะไม่อาจแทรกแซงความเป็นไปของคู่แห่งชะตาได้ ก็น่าจะรู้”

“เออ รู้แต่ไม่อยากยอมรับมีอะไรมั้ยล่ะ”

บทสนทนาในห้วงความทรงจำเลือนรางเพราะเสียงถอนหายใจของจอมมารผู้เบื่อโลก ทุกชีวิตตรงจุดนั้นหยุดชะงัก เหลียวมอง และจับจ้องริมฝีปากเอาไว้เผื่อเจ้าตัวจะเอื้อนเอ่ยประโยคใดตามหลังมา

“เอ้า! จะพูดอะไรก็รีบพูดเข้าสิ เหนื่อยจะลุ้นแล้วนะ” วินเซนต์อดรนทนไม่ไหวชิงส่งเสียงเร่งเร้าแทน

“ข้าจะออกจากถ้ำ”

“ก็แค่นั้น…”

“ข่าวดีของคืนจันทร์เต็มดวง เดือนหน้าเราคงได้ฟังเรื่องเล่าสนุก ๆ กัน ข้าอยากพาพวกเจ้าไปนั่งบอลลูนชมดาวมาตั้งนานแล้ว”

“ไม่ไป!!!”

สองเสียงผสานก่อนหายวับแยกย้ายกันกลับสู่ถิ่นฐานตัวใครตัวมัน ปล่อยทิ้งให้แอสโทรเฟลนั่งยิ้มกับจินตนาการของตนเพียงลำพัง แทบลืมขึ้นบินสู่ห้วงเวลาอื่นไปเลย

 

จบ.


เฝ้ารอการเดินทางครั้งต่อไป

กราบขออภัย หากผิดพลาดสิ่งใดไปด้วยนะคะ

มีความสุขในทุกวันค่ะ

ขอบคุณจากหัวใจ

ณธนิษฐ์.