นานนับนาน...หากมีหัวใจไว้เฝ้าฝัน นานนับนาน...หากดวงตะวันยังแต้มฟ้า... “เสี้ยววินาทีที่ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่มือเอื้อมสัมผัส เจ้าจะเลือกสิ่งใด” “ข้าเลือกจะตาย”

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก - ส่วนเสี้ยวที่ หนึ่ง D’arcy หรือ Eros โดย ณธนิษฐ์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,เรื่องสั้น,แฟนตาซี,แวมไพร์,รัก,ปีศาจ,พระเอกหล่อ,รถแห่ชวนเขียน6,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,เรื่องสั้น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แวมไพร์,รัก,ปีศาจ,พระเอกหล่อ,รถแห่ชวนเขียน6

รายละเอียด

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก โดย ณธนิษฐ์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

นานนับนาน...หากมีหัวใจไว้เฝ้าฝัน นานนับนาน...หากดวงตะวันยังแต้มฟ้า... “เสี้ยววินาทีที่ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่มือเอื้อมสัมผัส เจ้าจะเลือกสิ่งใด” “ข้าเลือกจะตาย”

ผู้แต่ง

ณธนิษฐ์

เรื่องย่อ

สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางครั้งใหม่ของณธนิษฐ์

กับเรื่องสั้น 4 ตอนจบ เข้าร่วมกิจกรรม รถแห่ชวนเขียน ครั้งที่ 6

คราวนี้มาในธีมฮาโลวีน

[ มิติคู่ขนาน ]

[ แวมไพร์หล่อ ๆ ที่แปลงร่างเป็นค้างคาวได้ ]

[ Silence scream ]

[ มัมมี่ ]

💖

สารบัญ

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ หนึ่ง D’arcy หรือ Eros,D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ สอง Daisy Evans,D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ สาม เจ้าเป็นคนเริ่มทุกอย่าง,D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ สี่ ย้อนเริ่มเรื่องราว [ จบ ]

เนื้อหา

ส่วนเสี้ยวที่ หนึ่ง D’arcy หรือ Eros

มิติคู่ขนาน : แวมไพร์หล่อ ๆ ที่แปลงร่างเป็นค้างคาวได้

Silence scream : มัมมี่


D’arcy คือตระกูลเก่าแก่ทรงพลังที่สุดของโลกราตรี 

โลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งเร้นลึก ลับ ซับซ้อน เกินกว่าคนธรรมดาจะสรรหาข้อมูลมาอธิบายหรือเข้าใจถึงการมีอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นภูติผี อสูรกาย กระทั่งแวมไพร์ที่เปลี่ยนร่างเป็นค้างคาวกระหายเลือดยามราตรีก็ตาม

มนุษย์ต่างหวาดกลัวและเลือกจะปิดกั้นการรับรู้เหล่านั้นทิ้งไป ทั้งที่ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่า ‘พวกเรา’ ต่างมีชีวิต ไม่ใช่จะไร้หัวใจไปซะหมด

จริงมั้ย!

อย่างที่รู้อยู่แล้วว่าทั้งสองตระกูลผู้เปรียบประดุจเงาของกันและกัน หากกลางคืนมี ดาร์ซี่ กลางวันก็มี อีรอส คอยเคียงข้าง เพื่อถ่วงสมดุลของตาชั่งแห่งอำนาจไว้ไม่ให้เอียงไปฝั่งใดมากเกินควร

ทุกหนึ่งร้อยปีเมื่อเส้นเวลาเรียงขนานกันจะเกิดการ ‘ก้าวผ่าน’ เสมอ 

ทุกการก้าวผ่านนั้นจะนำมาซึ่ง ‘คู่แห่งชะตา’ หรือก็คือเด็กน้อยผู้ถือกำเนิดในวันเวลาเดียวกัน และแน่นอนว่าจะรักเพียงแรกพบสบสายตา

เหมือนข้า...กับ...เขา 

 

 

“แล้วส่วนที่เหลือล่ะ”

“ไม่รู้สิ”

“แต่เราต้องตามหามันนี่”

เสียงเจื้อยแจ้วของสองสาววัยรุ่นผู้สุมหัวส่องไฟไล่สายตาไปตามหน้ากระดาษขาดวิ่นกำลังสะท้อนก้องไปรอบห้องทำงานแสนจะทรุดโทรม เต็มไปด้วยหยากไย่จับหนา ฝุ่นเกาะตามเครื่องเรือนแตกหัก และเสียงหวีดหวิวยามสายลมพัดผ่านรอยแยกของผนังห้องเข้ามาด้านใน ฟังวังเวงพิกล 

หนึ่งในนั้นก้มมองสอดส่องทั่วพื้นพร้อมตบไฟฉายในมือเป็นระยะเพื่อเร่งแสงสว่าง ส่วนอีกหนึ่งยังคงยืนนิ่งเพ่งพินิจแต่ตัวอักษรราวกำลังฝึกสะกดคำ

“รู้งี้หยิบไฟฉายอันใหม่มาเผื่อด้วยดีกว่า อย่าเพิ่งทรยศกันนะ แกคือความหวังเดียวของฉันแล้ว”

“ได้ยินเสียงอะไรมั้ยเคล” 

“ไม่นี่ นอกจากเสียงลม”

เคลล่า ยังคงก้มหาเศษกระดาษส่วนที่เหลืออย่างมุ่งมั่น แม้ภายในใจกำลังร่ำร้องขอออกไปอยู่ตลอดเวลา แม้การแสร้งทำว่าไม่กลัวจะช่วยฉุดรั้งขาทั้งสองข้างไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่รู้ว่า เดซี่ จะคิดเหมือนกันหรือไม่เพราะเจ้าหล่อนช่างสงบนิ่งเหลือเกิน

“โอ๊ย! ทำไมเราต้องจับได้ภารกิจนี้ด้วยนะ ขอไปสำรวจที่อื่นแทนไม่ได้เหรอ คฤหาสน์ผีสิงนี่มันหนักหนาเกินไปแล้ว” 

เคลล่ากำลังหมายถึงคฤหาสน์เก่าแก่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางภูเขาสูงชัน ช่างรับกันดีกับฉากหลังคือพระจันทร์ดวงกลมโตซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่แห่งความกล้าเพื่อทดสอบลูกบ้าของวัยรุ่นหนุ่มสาวมานานจนนับปีไม่ได้ 

ยิ่งเทศกาลปล่อยผียิ่งท้าทาย เมื่อสถาบันการศึกษาจับมือกับศาลาว่าการเมือง ร่วมกันจัดงานเสียยิ่งใหญ่แล้วบีบบังคับให้นักเรียนใหม่เข้าร่วมโดยไม่มีข้อแม้ เว้นไว้แต่จะหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่าตนต้องขาดใจตายเป็นแน่ถ้าแค่ก้าวผ่านบานประตูสูงท่วมหัวเข้าสู่ความมืดมิดด้านใน

แล้วใครมันจะมี

“แต่ฉันได้ยิน เหมือนกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เนี่ย...ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว”

“เฮ้ย! มันใช่เรื่องที่ต้องเล่ามั้ยล่ะ นี่เรากำลังทำภารกิจนะ รีบ ๆ อ่านแล้วก็ตามหาส่วนที่เหลือได้แล้ว”

“กลัวเหรอ”

“ไม่มั้ง หัวใจจะวาย”

“ถ้าตายจะเป็นผีนะ”

“งั้นไม่วาย อย่างน้อยก็จนกว่าจะออกจากที่นี่ได้แล้วกัน แต่ช่วยรีบหน่อยเถอะ...นะ” เคลล่าตัวสั่น แทบจะควบคุมมือไม้ไว้ไม่ไหวด้วยซ้ำ “ไม่กลัวเลยเหรอ”

“ไม่นะ”

“ดี อยากดีแบบนี้มั่ง จะได้อยู่ค้นหาต่อว่าเจ้าของบันทึกนี่ชื่ออะไรแล้วกลับไปรับรางวัลเสียที ไม่ชอบบรรยากาศเย็นยะเยือกนี่เลย...มันน่ากลัว โชคดีหน่อยที่คฤหาสน์นี้ไม่เคยมีประวัติว่าคนที่เข้ามาตายตกไปตามกันหมดแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่จัดกิจกรรมนี้หรอกเนอะ...ว่ามั้ย”

“กำลังปลอบใจตัวเองสินะ”

“แล้วจะให้เล่าเรื่องผีรึไงล่ะ แกไม่กลัวแต่ฉันกลัวนี่หว่า ใครมันจะไปยืนคุยกับอากาศได้เป็นวัน ๆ แบบแกล่ะ แค่คิดก็สยอง เข้ามาตั้งนานได้เรื่องได้ราวมั่งมั้ยเนี่ย ภารกิจนี้ไม่เคยมีใครผ่านซักคน ซวยจริงฉัน”

“อย่างน้อยเราก็รู้นามสกุลแล้วนะ แค่ไม่แน่ใจว่า...ดาร์ซี่ หรือ อีรอส

เสี้ยววินาทีที่ชื่อเหล่านั้นหลุดพ้นริมฝีปากออกมา สายลมวูบใหญ่ก็พัดฝุ่นคลุ้งกระจาย สร้างความหวาดผวาจนเคลล่าขวัญกระเจิงก่อนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็จ้ำหนีออกไปโดยปล่อยทิ้งให้หญิงสาวเผชิญหน้ากับบางสิ่งเพียงลำพังแล้ว

“ในที่สุดก็หาเจอเสียที”  

เดซี่เลือกจะหลับตายืนรอโดยไม่ใส่ใจกับเสียงปริศนาซึ่งดังมาจากทิศทางที่เคลล่าเพิ่งวิ่งหนีไป แม้เงาของความเคลื่อนไหววูบวาบกำลังทาบทับใบหน้าราวจะเรียกร้องความสนใจก็ตาม 

“เซย์...”

เดซี่มั่นใจว่าเสียงที่กำลังได้ยินไม่น่าจะใช่มนุษย์เพราะนอกจากตนกับเพื่อนสนิทก็ไม่มีใครได้รับภารกิจใดในคฤหาสน์หลังนี้แน่ แต่นั่นยังไม่ใช่เหตุให้ตื่นตกใจเพราะต่อให้เป็นสิ่งใดก็แค่ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นก็พอ

ทันทีที่ฝุ่นคละคลุ้งจางคลาย แสงจันทร์ส่องผ่านรอยแตกของกระจกหน้าต่างเข้ามา เดซี่ก็มองเห็นคู่สนทนาซึ่งเป็นเพียงค้างคาวปีกดำนัยน์ตาข้างขวาแดงก่ำสลับกับข้างซ้ายที่มีเพียงสีขาวซีดจางไร้แวว 

“ทำไมต้องแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทำไมไม่พูดอะไรให้สมกับที่ข้าเฝ้าตามหาเจ้ามานานหลายร้อยปีเลยฮึ...เซย์

“ใครคือเซย์”

“อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้น”

“แต่ฉันไม่ใช่เซย์...เดซี่” หญิงสาวเพิ่งยกนิ้วชี้จิ้มหน้าอกตัวเองประกอบการสนทนาเผื่อเขาฟังไม่เข้าใจด้วย 

“แต่เจ้าใช่...ฟังนี่”

ความเงียบเท่านั้นที่กำลังครอบครองพื้นที่รกร้างทุกตารางนิ้ว แม้เขาจะอ้าปากค้างนานแค่ไหนก็ไม่เกิดสิ่งใดเลย

“ไม่เห็นได้ยิน”

“เอาใหม่” 

เจ้าค้างคาวขยายร่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิด แล้วกระพือปีกอ้าปากกว้างทำท่าเหมือนจะยิงพลังใส่แต่ไม่มีสิ่งใดส่งออกมานอกจากคลื่นเสียงประหลาดกระทบโสตประสาทของเดซี่ได้เป็นครั้งแรก

“ได้ยินข้าหรือไม่”

“ได้ยิน”

“นั่นไง...เซย์”

“เดซี่ อีแวนท์”

“เซย์!”

“เดซี่”

“เจ้าหลอกข้าไม่สำเร็จ”

“นั่นก็เพราะว่าฉันเป็นคนไม่ใช่ผี ว่าแต่...เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้ชื่ออะไรนะ” เดซี่หัวไวรีบใช้โอกาสดีที่ผีหยิบยื่นให้เกิดประโยชน์ อีกฝ่ายเองแม้งุนงงแต่ก็บินเข้ามาเพ่งพินิจใกล้ ๆ เช่นเดียวกัน

“มันก็ของเจ้านี่เซย์”

“เซย์...เซย์ไหน”

“เซย์ อีรอส”

“ขอบคุณ” เดซี่ยิ้มร่าเมื่อเห็นว่าภารกิจสำเร็จเสร็จสิ้น เหลือก็แค่พยายามกลับออกไปในขณะที่ร่างกายอยู่ครบสามสิบสองเท่านั้น

“ข้าไม่เข้าใจ เจ้าเพิ่งเดินกลับมาหาข้าเองทั้งที่หนีไปหลายร้อยปีเพื่อจะถามว่าเจ้าของสมุดเล่มนี้ชื่ออะไร…งั้นรึ กำลังวางแผนใดอีกเซย์”

“วางแผนจะกลับออกไปข้างนอกไง”

“จะหนีข้าอีกแล้วสิ เจ้านี่มันยังไงนะ”

“ท่านสิยังไง ลองเข้ามาดูหน้าฉันใกล้ ๆ หน่อยมั้ยจะได้เห็นชัด ๆ ว่าฉันไม่ใช่เซย์ของท่านอะไรนั่นสักนิด” 

“ใช่ ‘เซย์ของท่าน’ เจ้าเพิ่งพูดมันออกมา เจ้ามักจะเรียกตัวเองแบบนั้นเสมอ”

“ก็เข้ามาดูใกล้ ๆ ซักทีสิ” 

เดซี่เริ่มฉุนกับความดื้อดึงของค้างคาวปีกดำตัวมหึมาดวงตาแดงก่ำที่กำลังขยายร่างกายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าถามว่ากลัวมั้ยก็ตอบเลยว่าไม่ ที่ยังยืนคุยกันได้โดยไม่สติแตกเพราะตนชินกับอะไรแบบนี้ดีอยู่แล้ว หากใครมีประสาทสัมผัสไว ข้ามเส้นแบ่งของคำว่าปกติมาไกล แถมยังเอนไปทางอมนุษย์ก็คงเป็นแบบนี้ทุกคนนั่นแหละ

คู่สนทนาขยับปีกขึ้นลงเพื่อเคลื่อนตัวเข้าใกล้ตามคำเชิญชวน ก่อนจะเบิกตากว้างเพราะภาพตรงหน้าผิดแผกไปจากหญิงผู้เป็นที่รักอย่างสิ้นเชิง

นัยน์ตาสีฟ้าใสไร้แววตื่นตระหนกกับเรือนผมสีแดงสดกำลังจับจ้องเขม็งไม่ลดละ เขามองหามันไม่เจอถึงความอ่อนหวานที่เคลือบแฝงด้วยพลังใจท่วมท้น ตรงนี้มีเพียงใบหน้างามแต่แข็งกร้าวกับรอยร้าวบางอย่างของจิตวิญญาณเพียงเท่านั้น

ต่างกันเกินไป

“เจ้าไม่ใช่เซย์”

“อ๋อ! ค่ะ เดซี่”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงรับรู้ถึงคลื่นพลังระหว่างข้ากับเซย์ได้ เจ้าเป็นใครกันแน่”

“ลองย้อนกลับขึ้นไปนับก็หลายเดซี่แล้วนะ ช่วยจำใส่สมองซะบ้างเถอะ หรือไม่ก็ปล่อยฉันไปเสียทีก็ดีค่ะ” 

เดซี่ก้มมองแทบเท้าซึ่งถูกตรึงไว้กับพื้นพรมขาดวิ่นด้วยพลังของค้างคาวปีกดำมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ฝุ่นเริ่มคละคลุ้ง มันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ตนไม่อาจวิ่งตามเคลล่าออกจากคฤหาสน์หลังนี้ได้นั่นแหละ

“ข้าไม่เข้าใจ...เจ้า”

“ซักทีเถอะ”

“เจ้าไม่คิดจะกลัวกันหน่อยเลยงั้นรึ” 

เขาสงสัยในเรื่องที่ผิดแผกไปจากความนึกคิดอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เดซี่คิดว่าเขายังติดใจเรื่องตัวตนแท้ที่จริง กลับสนแค่เธอจะกลัวเมื่อไหร่ซะอย่างนั้น

ใครมันจะไปกลัว

“ท่านสงสัยเรื่องนี้สินะ”

“เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าคือใคร”

“น่าจะแวมไพร์กระหายเลือดมั้งคะ ค้างคาวธรรมดาคงพูดไม่ได้หรอก”

“ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าข้าคือแวมไพร์ คือค้างคาวกระหายเลือดเนี่ยนะ พิลึกคน”

“ก็ยังไม่น่ากลัวอยู่ดี ท่านน่าจะมีเหตุผลบางอย่างให้ทำร้ายใครไม่ได้ ไม่งั้นคงมีข่าวลือว่าพวกล่าท้าความตายถูกกัดคอจนเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ไปหมดเมืองแล้ว” 

“เจ้าฉลาดคิดแต่มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก” ค้างคาวปีกดำเพิ่งเพิ่มขนาดของร่างกายจนบดบังแสงจันทร์จากบานหน้าต่างได้มิด แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังไม่มีแววตื่นตระหนกตกใจอยู่ดี 

“นี่พยายามจะทำให้กลัวงั้นเหรอคะ”

“เปล่า ข้าแค่กำลังฟื้นพลัง มันถูกของเจ้าที่ว่าข้าทำร้ายใครไม่ได้ แต่ก็ผิดในเรื่องของการเปลี่ยนผู้คนเป็นอสูรกายดุร้ายกระหายเลือด มันเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด”

“ยังไงคะ”

“เอ้า! นี่ไม่ได้อยากจะกลับออกไปแล้วหรอกงั้นเหรอ”

“ก็แค่เรื่องนี้ดูน่าสนุกกว่า” เดซี่ยืนยันคำพูดด้วยการพยักหน้า ยกมือกอดอกและยินยอมจะยืนนิ่งเท้าติดพื้นต่อโดยไม่ร้องขอให้ช่วยคลายพลังเลย

เสียงลมเพิ่งพัดหวีดหวิวรับกับความเงียบของเกมจ้องตาระหว่างคนกับค้างคาวที่ยังไม่มีฝ่ายใดยอมขยับปากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ อาจทำมันหล่นระหว่างนั้นหรือไม่ก็ยังครุ่นคิดตีกันยุ่งในหัว

“เจ้าจะว่าเหมือนก็เหมือน จะว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือนนะ”

“ไม่เอาเรื่องนั้น เอาเรื่องนี้”

“แล้วข้าจะเล่าทำไม...แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่นะ” 

“ถ้าไม่คิดจะคลายพลังก็เล่ามาให้มันรู้เรื่องไปเลยเถอะค่ะ บอกตรง ๆ ว่าอยากฟัง” เดซี่เริ่มเอือมระอากับท่าทีพิรี้พิไรอะไรอยู่นั่นของเขาแล้ว

“พวกเราเหล่าดาร์ซี่แค่อยากใช้ชีวิต อยากรัก อยากถูกรัก พวกเจ้าต่างหากที่พยายามยัดเยียดเรื่องพวกนั้นมาให้ แม้มันจะถูกซะส่วนใหญ่ก็เถอะ”

“เล่นลิ้น”

“นั่นคำพูดข้า”

“ก็ท่านเล่นลิ้น วกไปวนมา กว่าจะเข้าเรื่อง”

“เพราะข้ากำลังถ่วงเวลาไว้ไง”

“ถ่วงเวลา!”

“เริ่มกลัวแล้วล่ะสิ”

เดซี่สาบานว่าเพิ่งเห็นภาพของรอยยิ้มเขี้ยวเงาวับซ้อนทับเข้ามาแทนที่ใบหน้าของค้างคาวตัวมหึมาเพราะยังไม่ยอมหยุดเพิ่มขนาดร่างกายตลอดเวลาที่ปักหลักพูดคุยกัน แม้ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำสิ่งใดแต่ความเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องแรกก็มีมากกว่าจะหวาดกลัวอยู่ดี

“ข้าไม่เคยเชื่อคำพูดกับใบหน้างามนี้สักนิดเพราะเจ้ายังคงสร้างภาพมายาหลอกล่อหัวใจข้าอยู่เช่นนั้นเอง แต่นะ...พลังที่เอ่อล้นจากพื้นส่งผ่านเข้ามาสู่ร่างกายนี้ต่างหากเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนว่าเจ้านั่นน่ะ...เซย์ อีรอส” 

สิ้นเส้นเสียงแข็งกร้าวฟังบาดหู การขยายร่างก็ยุติลงพร้อมฝุ่นผงคละคลุ้งอีกระลอก เดซี่ไม่อาจขยับหนีทำได้แค่จับจ้องมองความเป็นไปตรงหน้านี้ก็เท่านั้น

“ไม่รู้เจ้ายังจำได้อยู่มั้ยว่าข้าน่ะหล่อมากนะ ถ้าเจ้าได้เห็นอีกครั้งเป็นต้องกรีดร้อง”

“ขอชีวิตเหรอคะ”

“ขอให้รักต่างหาก”


โปรดติดตามตอนต่อไป