นานนับนาน...หากมีหัวใจไว้เฝ้าฝัน นานนับนาน...หากดวงตะวันยังแต้มฟ้า... “เสี้ยววินาทีที่ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่มือเอื้อมสัมผัส เจ้าจะเลือกสิ่งใด” “ข้าเลือกจะตาย”

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก - ส่วนเสี้ยวที่ สอง Daisy Evans โดย ณธนิษฐ์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,เรื่องสั้น,แฟนตาซี,แวมไพร์,รัก,ปีศาจ,พระเอกหล่อ,รถแห่ชวนเขียน6,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,เรื่องสั้น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แวมไพร์,รัก,ปีศาจ,พระเอกหล่อ,รถแห่ชวนเขียน6

รายละเอียด

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก โดย ณธนิษฐ์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

นานนับนาน...หากมีหัวใจไว้เฝ้าฝัน นานนับนาน...หากดวงตะวันยังแต้มฟ้า... “เสี้ยววินาทีที่ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่มือเอื้อมสัมผัส เจ้าจะเลือกสิ่งใด” “ข้าเลือกจะตาย”

ผู้แต่ง

ณธนิษฐ์

เรื่องย่อ

สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางครั้งใหม่ของณธนิษฐ์

กับเรื่องสั้น 4 ตอนจบ เข้าร่วมกิจกรรม รถแห่ชวนเขียน ครั้งที่ 6

คราวนี้มาในธีมฮาโลวีน

[ มิติคู่ขนาน ]

[ แวมไพร์หล่อ ๆ ที่แปลงร่างเป็นค้างคาวได้ ]

[ Silence scream ]

[ มัมมี่ ]

💖

สารบัญ

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ หนึ่ง D’arcy หรือ Eros,D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ สอง Daisy Evans,D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ สาม เจ้าเป็นคนเริ่มทุกอย่าง,D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ สี่ ย้อนเริ่มเรื่องราว [ จบ ]

เนื้อหา

ส่วนเสี้ยวที่ สอง Daisy Evans

ส่วนเสี้ยวที่สอง : เดซี่ อีแวนท์

เรื่องราววายป่วงทั้งหลายมันเริ่มต้นด้วยกิจกรรมทดสอบความกล้าในวันฮาโลวีน เมื่อมือของฉันที่ล้วงลงไปจับลูกกลมใสใส่ภารกิจพิชิตผีดันคว้าเอาหัวข้อที่ยากและไม่มีใครอยากทำเป็นอันดับหนึ่งขึ้นมา ท่ามกลางสีหน้าขาดเลือดของเพื่อนสนิทที่เพิ่งโกยอ้าวออกไปแล้วปล่อยทิ้งฉันให้ยืนเดียวดายมองดูความพยายามอย่างไร้จุดหมายอยู่ตรงนี้ลำพัง

ปาหี่ของค้างคาวปีกดำเพิ่งจบลงด้วยการกระพือเรียกลมพัดฝุ่นคลุ้งเล่นก็เท่านั้น ร่างกายของเขายังคงเดิมเพิ่มเติมแค่ขนาดใหญ่โตกว่าแรกเห็นจนน่าตกใจ

“นี่น่ะเหรอที่บอกว่าถ้าได้เห็นเป็นต้องร้องขอความรักน่ะ”

“ทำไมกัน...ในเมื่อพลังมันท่วมท้นซะขนาดนั้น” 

ค้างคาวหนุ่มเพิ่งรำพึงกับปีกซ้ายแล้วเคลื่อนที่หมุนวนสร้างพายุฝุ่นอีกครั้งท่ามกลางการจับมองของฉันที่ยังไม่เห็นว่ามันจะเริ่มประสบผลสำเร็จได้ตรงไหน

“กี่ครั้งก็เหมือนเดิม”

“หรือข้าต้องจัดการกับเจ้าให้เด็ดขาดเสียก่อน”

“ทำได้เหรอคะ”

ฉันถามออกไปด้วยเสียงเรียบนิ่งในขณะที่อีกฝ่ายบินตรงเข้ามา แต่ก็หยุดชะงักอยู่แค่เบื้องหน้าห่างเพียงเล็กน้อย ยังไม่ลงมือทำร้ายหรือขยับปีกเลยด้วยซ้ำ

“ทำไม่ได้”

“งั้นก็เล่ามาเถอะค่ะ ฉันยังอยากฟังต่อนะ ที่ท่านบอกว่าเหล่าดาร์ซี่…”

ฉันมั่นใจว่าเห็นอะไรทันทีที่ชื่อนั้นหลุดพ้นริมฝีปาก เมื่อแสงประกายของความวูบไหวเบื้องหน้ากำลังแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ของค้างคาวตัวมหึมาได้เป็นครั้งแรก พร้อมน้ำเสียงเร่งเร้า ขาดห้วง แต่ยังทรงพลังของเขาด้วย

“เรียกชื่อข้าอีก...เร็ว”

“แล้วชื่ออะไรล่ะ”

“วินเซนต์ ดาร์ซี่”

“วินเซนต์!”

ฉันกำลังยืนดูอะไรอยู่กันแน่นะ

 

เบื้องหน้าของฉันตอนนี้ไม่ใช่ค้างคาวแต่กลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่มีผมดำข้างขาวข้าง นัยน์ตาเรียวยาวแดงก่ำแต่กลับไร้แววของชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป ถ้าถามว่าเขาหล่อตามคำกล่าวอ้างหรือไม่ก็ตอบได้เลยว่ามาก ทั้งเครื่องหน้าคมเข้มที่ราวสะกดใจให้หวั่นไหววูบวาบ หรือจะเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อวดเขี้ยวเงาวับยามจับมอง จนเผลอคิดไปว่าจะรู้สึกยังไงนะถ้ามันฝังคมลงบนเรือนร่างอย่างเช่นต้นคอ

บ้าบอสิ้นดี 

ฉันรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งอย่างว่องไวเพราะมันน่ากลัวเกินกว่าจะปล่อยไว้แล้วเกิดยอมให้เขาทำตามนั้นขึ้นมาจริง ๆ นับเป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกหวาดกลัว ยิ่งกว่าตอนที่ยังยืนคุยกันในรูปลักษณ์เดิมเสียอีก

“กลัวแล้วล่ะสิเซย์ ข้าเห็นนะแวววูบไหวในดวงตาเจ้าน่ะ”

“จะเรียกแบบนั้นให้ได้เลยเหรอคะ ทั้งที่ฉันบอกว่าไม่ใช่เนี่ยนะ”

“เซย์เอ๋ยเซย์...แค่เจ้าเอ่ยชื่อพลังของข้าก็เอ่อล้นออกมาอย่างท่วมท้นจนถึงขนาดกลับคืนตัวตนเดิมได้แบบนี้ ยังจะต้องแคลงใจสิ่งใดอีกเล่า”

วินเซนต์ยกมือกอดอก ส่ายศีรษะเชื่องช้า แยกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาราวรู้ทันทุกความนึกคิดของฉันได้อย่างน่าหมั่นไส้ หากมีหมุดแหลม ๆ ซักอันในมือตอนนี้คงได้ตอกลงไปยัง…อะไรกันนี่ ฉันกำลังคิดอะไรอยู่

น่ากลัวเหลือเกิน 

“เจ้าจะลืมข้าไปก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะมันก็ผ่านมานานหลายร้อยปีแล้ว แต่เดี๋ยวจะเล่าเรื่องราวระหว่างเราให้ฟังอีกครั้งเอง” 

วินเซนต์ค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้แต่ยังไม่ยอมคลายสะกดปลดปล่อยฉันเป็นอิสระ เมื่อปลายเท้าชิดปลายเท้า เขาก็บีบบังคับให้ต้องเงยหน้าตามระดับความสูงขึ้นไปหากยังอยากจับจ้องนัยน์ตาเรียวคม แต่แฝงความวูบไหวของการสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้ตลอดเวลานั้นอยู่ ซึ่งฉันก็ทำตามโดยดี 

“ข้าหลงรักสาวงามผู้มีเรือนผมสีขาวสว่างกับนัยน์ตาสะท้อนแสงจันทร์วิบวับ นางมีชื่อว่า ซะ...”

“เซย์ อีรอส ได้ยินบ่อยแล้ว”

วินเซนต์ยักไหล่ ลดมือที่ยกขึ้นมาทำท่าจะสัมผัสเส้นผมของฉันลงแนบลำตัว 

“เราใช้ทุกช่วงเวลาด้วยกัน เรามีความสุขท่วมท้น จนกระทั่งเจ้าฉกชิงพลังแล้วกักขังข้าไว้ในห้วงมิติเวลานี้ เจ้าบีบบังคับให้ข้าต้องติดอยู่ในร่างของค้างคาวนานหลายร้อยปี คอยดื่มเลือดมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์ตัวใดที่ผ่านมาเพราะเจ้าทั้งนั้นเซย์”

ฉันไม่อาจผสานสายตาไหวเพราะน้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวขึ้นจนน่ากลัว ตามมาด้วยอีกความรู้สึกที่พยายามสลัดทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่หาย สุดท้ายมันอาจเป็นฉันเองที่โผเข้าหาแล้วยื่นคอให้เขาฝังคมเขี้ยวลงมาแทน จึงทำได้แค่ก้มมองนิ้วมือของตนด้วยความเคลือบแคลงใจเพียงเท่านั้น

“ท่านทำอะไรกับหัวใจของฉัน”

“หวั่นไหวแล้วสินะ...เจ้าจะหนีข้าพ้นได้ยังไงในเมื่อเราคือคู่แห่งชะตา ก็เราเกิดวันเวลาเดียวกันนี่…เซย์ อีรอส” 

คราวนี้เขาถือวิสาสะสัมผัสเส้นผมของฉันด้วยมือซ้ายแล้วใช้มืออีกข้างเชยคางบีบบังคับให้มองสบตาที่เต็มไปด้วยไฟแห่งความขุ่นเคือง หากมีรักซ่อนไว้คงเป็นส่วนที่ลึกเกิดกว่าจะค้นเจอ

“ข้าตอบคำถามให้แล้วนะ ทำไมข้าถึงเปลี่ยนใครเป็นแวมไพร์ไม่ได้ แต่ถึงทำได้ข้าก็ไม่คิดจะทำ เราสัญญากันไว้แบบนั้นนี่นะ” 

“ฉัน…ไม่เข้าใจ” 

น้ำเสียงของฉันทำไมมันสั่นไหวพอ ๆ กับหัวใจที่เต้นค่อมจังหวะ ทุกครั้งที่คมเขี้ยวเงาวับสะท้อนแสงจันทร์เต็มดวง 

“แต่มันต้องจบลงวันนี้เพราะครบหนึ่งร้อยปีที่เส้นเวลาจะเรียงกันแล้ว เจ้าต้องไปกับข้า” 

“ไปไหน ปล่อยฉันกลับบ้านเถอะค่ะ” 

“เราจะกลับบ้านกัน แต่เป็นบ้านในอีกมิติเวลานะ”

ฉันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ 

ชายผ้าคลุมสีดำผืนหนาเลื่อนมาโอบรัดรอบเอวแล้วดึงรั้งเข้าสู่วงแขนแกร่ง ก่อนจะหมุนแรงเร่งเร็วเกินกว่าจะฝืนต้านทานไหว อันที่จริงถ้าลองหลับตาลงคงรู้สึกดีกว่านี้ แต่ฉันยังเอาแต่จับมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาตลอดการเดินทางนี่สิ แม้จะแค่วูบเดียวหากนับระยะเวลากันตามจริงก็เถอะ 

ทุกสิ่งหยุดนิ่งเมื่อเขาคลายวงแขนปล่อยฉันให้เป็นอิสระเพื่อจะพบว่าเรายังยืนอยู่ในห้องทำงานเดิมซึ่งแปรสภาพจากเก่าซอมซ่อเป็นใหม่เอี่ยมสะอาดตา เครื่องเรือนทุกชิ้นดูไร้ร่องรอยของฝุ่นผงจับแน่นและราคาน่าจะแพงหูฉี่ทีเดียว

“เฮ้อ! อิสรภาพของข้า...”

“นี่ฉันอยู่ที่ไหนคะ”

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านของเรา คฤหาสน์ดาร์ซี่...เดี๋ยว! มันต้องมีอะไรผิดพลาด นี่ไม่ใช่!”

ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยสิ่งใดให้ครบจบประโยค เสียงระเบิดทำลายล้างก็ดังตูมตามจากทั้งซ้ายขวา แม้ยังไม่เห็นร่องรอยของความเสียหายได้ด้วยตาแต่ฉันคงต้องสวดภาวนาขอให้ห้องทำงานนี้แข็งแรงทนทาน สามารถต้านระเบิดลูกต่อไปที่อาจจะตามมาได้ไหว

“สงคราม...ที่นี่มีสงคราม อีกมิติเวลา” วินเซนต์รำพึงรำพันกับฝ่ามืออย่างเลื่อนลอยก่อนจะคว้าร่างของฉันเข้าหาแล้วพาเรากลับออกไปอีกครั้ง “ดาร์ซี่กับอีรอสคงเปิดศึกกันแล้ว นึกถึงบ้านเราไว้สิ”

“บ้านเราน่ะมันที่ไหนล่ะคะ ฉันยังไม่เข้าใจเลยนะ”

“นี่เจ้ากลัวงั้นรึ หัวใจเต้นแรงเชียว”

“ไม่กลัวมั้งคะ ระเบิดจะลงหัวอยู่รอมร่อแล้วเนี่ย”

“ก็ไหนว่าเก่ง ทีค้างคาวตัวใหญ่พูดได้เจ้ายังไม่กลัว”

“ต้องถามด้วยเหรอว่าอะไรน่ากลัวกว่ากัน มันเหมือนกันเหรอคะท่านกับระเบิดน่ะ ฉันยังไม่อยากตายหรอกค่ะ”

“งั้นก็หลับตาไว้สิเซย์ จะเอาแต่จ้องหน้าข้าให้หลงรักอีกรอบเลยรึยังไง ไว้ถึงบ้านเราแล้วจะบอก”

ฉันทำตามโดยไม่เถียงกลับ จะเรียกอะไร จะพาไปไหนก็สุดแล้วแต่ความต้องการเลย ขอแค่ออกจากสนามรบให้ได้เป็นพอ 

ความเร็วลมยังพัดพาร่างหมุนคว้างเป็นลูกข่าง แม้สักพักก็หายคลายความเร่งร้อน แต่อีกเดี๋ยวมันก็เริ่มใหม่วนซ้ำอยู่อย่างนั้น เมื่อยังไม่เจอสถานที่ที่เรียกว่า ‘บ้านของเรา’ 

“ยังไม่ถึงอีกหรือคะ เวียนหัว”

“ข้าสงสัยนักว่าทำไมไปไม่ถึงเสียที ทั้งที่ก็คิดจนปวดหัวไปหมด” 

ฉันลืมตาขึ้นมาทันทีที่วินเซนต์คลายวงแขน แต่ภาพรอบตัวตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงทุ่งหญ้าเขียวขจีกลางดึกสงัด ไร้เงาของคฤหาสน์หลังงามราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง

“ทำไมกลายเป็นแบบนี้ล่ะ”

“มิตินี้ตระกูลดาร์ซี่อาจพ่ายแพ้ไปแล้ว คฤหาสน์คงถูกทำลายทิ้งไม่เหลือซาก นี่เจ้าผนึกข้าไว้ด้วยสิ่งใดกันแน่ฮึเซย์ ชื่อรึ ไหนลองเรียกอีกครั้งสิ”

“วิน…วินเซนต์” 

ฉันไม่เข้าใจ ทำไมแค่ขยับปากนัยน์ตาแดงก่ำของเขาก็ส่องประกายขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ภาพตรงหน้าทำเอาฉันปฏิเสธไม่ลง แม้ไม่อยากมองมันแต่ก็ละสายตาไปไม่ได้จริง ๆ

“พลังมันยังกลับมาไม่เต็มที่ เจ้าต้องผนึกทางกลับไว้เป็นแน่ ไหนลองบ้างเป็นไร ลองมาขย้ำคอข้าเลยก็ได้ เอาสิ”

“บ้ารึเปล่า!” 

ฉันผลักเขาออกด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่พอจะหาได้จากอาการเลื่อนลอย ใจสั่น และเส้นเสียงเหือดหาย นี่เขาพูดบ้าอะไร ใครมันจะไปขย้ำคอชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่กำลังโอบแขนรอบเอวของฉันไว้กันเล่า

“อย่าเอาแต่คิดสิ เราจะไปไม่ถึงบ้านเอานะ” วินเซนต์ยังคงรบเร้าพร้อมย่อตัวลงมาให้ซอกคออยู่ในระดับเดียวกับริมฝีปากซีดเผือดของฉัน “อยากติดอยู่มิตินี้รึไง ถ้าจันทร์เลือนลับเมื่อไหร่การเรียงตัวจะสลายทันทีนะ”

“มะ...มิตินี้?” 

“หรือไม่ก็อาจจะหลุดกลับไปในสงครามก็ได้ใครจะรู้ เจ้าจะลังเลทำไม ไม่อยากกลับบ้านรึไง เดซี่”

“ทีงี้ล่ะเรียกเดซี่”

ฉันอ้าปากให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ แม้ไม่รู้ว่าต้องใช้แรงมากแค่ไหนหรือกัดไว้นานเท่าไหร่ เกิดมาก็ไม่เคยงับคอใครซะด้วยสิ

“กัดเต็มแรง” 

ฉันสลัดความลังเลทิ้งแล้วรีบทำตามนั้นแต่โดยดี สิ่งแรกที่รับรู้คือความอบอุ่นแผ่ซ่านยามริมฝีปากสัมผัสกับผิวกาย ตามมาด้วยความกระหายอย่างแรงกล้าราวอยากฉีกกระชากเนื้อหนังของเขาให้ขาดวิ่น

น่ากลัวเกินไป 

ฉันพยายามขยับตัวหนีทั้งที่ยังไม่ทันได้ฝังคมเขี้ยวทื่อ ๆ ลงบนต้นคอของวินเซนต์เพราะกลัวความรู้สึกนึกคิดที่ควบคุมไม่ได้ภายในหัวจะปะทุขึ้นมา แต่เขาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น วงแขนโอบรัด มือกดศีรษะให้จดจ่ออยู่ที่ลำคอเพียงอย่างเดียว 

“เอาเลย ไม่ต้องกลัว”

“ท่านมันบ้า”

น้ำตาซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเอ่อคลอตั้งแต่เมื่อไหร่หรือจากความรู้สึกใด แต่มันกำลังท่วมท้นล้นลงมาทันทีที่ฉันตัดสินใจฝังคมเขี้ยวลงกับซอกคอของเขา

ความรัก…งั้นเหรอ

วินาทีที่เขาตวัดหน้าเข้ามาใกล้ จูบแรกของฉันก็ถูกฉกชิงไปพร้อมเส้นใยบางเบาส่งผ่านถึงกัน ภายในหัวใจยังคงร่ำร้อง โหยหา ไม่อยากคลายจากกันเลยสักเสี้ยววินาที ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะเลือนรางจนดับลงในอ้อมแขนของวินเซนต์ซึ่งพร่ำรำพันถ้อยคำ

“อ่า…เซย์ที่รัก…ข้ากลับคืนมาแล้ว”


โปรดติดตามตอนต่อไป