นานนับนาน...หากมีหัวใจไว้เฝ้าฝัน นานนับนาน...หากดวงตะวันยังแต้มฟ้า... “เสี้ยววินาทีที่ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่มือเอื้อมสัมผัส เจ้าจะเลือกสิ่งใด” “ข้าเลือกจะตาย”

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก - ส่วนเสี้ยวที่ สาม เจ้าเป็นคนเริ่มทุกอย่าง โดย ณธนิษฐ์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,เรื่องสั้น,แฟนตาซี,แวมไพร์,รัก,ปีศาจ,พระเอกหล่อ,รถแห่ชวนเขียน6,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,เรื่องสั้น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แวมไพร์,รัก,ปีศาจ,พระเอกหล่อ,รถแห่ชวนเขียน6

รายละเอียด

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก โดย ณธนิษฐ์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

นานนับนาน...หากมีหัวใจไว้เฝ้าฝัน นานนับนาน...หากดวงตะวันยังแต้มฟ้า... “เสี้ยววินาทีที่ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่มือเอื้อมสัมผัส เจ้าจะเลือกสิ่งใด” “ข้าเลือกจะตาย”

ผู้แต่ง

ณธนิษฐ์

เรื่องย่อ

สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางครั้งใหม่ของณธนิษฐ์

กับเรื่องสั้น 4 ตอนจบ เข้าร่วมกิจกรรม รถแห่ชวนเขียน ครั้งที่ 6

คราวนี้มาในธีมฮาโลวีน

[ มิติคู่ขนาน ]

[ แวมไพร์หล่อ ๆ ที่แปลงร่างเป็นค้างคาวได้ ]

[ Silence scream ]

[ มัมมี่ ]

💖

สารบัญ

D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ หนึ่ง D’arcy หรือ Eros,D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ สอง Daisy Evans,D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ สาม เจ้าเป็นคนเริ่มทุกอย่าง,D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรัก-ส่วนเสี้ยวที่ สี่ ย้อนเริ่มเรื่องราว [ จบ ]

เนื้อหา

ส่วนเสี้ยวที่ สาม เจ้าเป็นคนเริ่มทุกอย่าง

ส่วนเสี้ยวที่สาม

เจ้าเป็นคนเริ่มทุกอย่าง

 

นานนับนาน...หากมีหัวใจไว้เฝ้าฝัน 

นานนับนาน...หากดวงตะวันยังแต้มฟ้า

 

ท้องฟ้าแต้มไว้แค่ความมืดมิดราวช่วงชีวิตที่เลือนหายนานนับร้อยปี คฤหาสน์ดาร์ซี่ยังคงตระหง่านสูงเสียดฟ้าท้าทายทุกสายตาที่มองมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเทิดทูน ทั้งอยากทำลายให้พินาศไปพร้อมกัน 

ดาร์ซี่คือตระกูลเก่าแก่ทรงพลังที่สุดของโลกราตรี เป็นดั่งกำแพงขวางกั้นเหล่าอสุรกาย ภูติผีร้าย ไม่ให้คร่าชีวิตทำลายสมดุลจนเอนเอียง แลกกับการดื่มกินเลือดมนุษย์แต่ไม่อาจเปลี่ยนให้ใครกลายเป็นแวมไพร์ตามตำนานเล่าขานสืบกันมา เพราะดาร์ซี่คือดาร์ซี่ ที่ยังไงก็ต้องมีอีรอสคอยเคียงคู่ ร่วมดูแลสมดุลอีกฝั่งไว้ไม่ให้กลายเป็นต้นเหตุแห่งความล่มจมเสียเอง

แต่กระนั้น...ทุกมิติเวลาต่างก็มีเส้นทางของใครของมัน

ทุกหนึ่งร้อยปีเมื่อเส้นเวลาเรียงขนานกันจนเกิดการ ‘ก้าวผ่าน’ ซึ่งจะสร้างผู้กลายเป็นคู่ชี้วัดความเป็นไปของเส้นชะตานั้น กล่าวคือ หนทางเลือกจะเกิดขึ้นเมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ในวันที่คมเขี้ยวกระหายเลือดครั้งแรก ดาร์ซี่ผู้ยืนอยู่บนเส้นทางนิรันดร์คอยหลีกเร้นดวงตะวัน ในขณะเดียวกันอีรอสกลับยืนคนละฝั่งฟาก หากอยากเปิดประตูโอบรับแสงแดดอบอุ่นแลกกับการดื่มกินเลือดเพียงน้อยนิดแต่ช่วงชีวิตช่างแสนสั้นเฉกเช่นมนุษย์

แต่เมื่อครบหนึ่งพันปีจะเกิดพลังที่เหนือยิ่งไปกว่านั้น คู่แห่งชะตาจะครอบครองสิ่งล้ำค่าที่อยู่เหนือกาลเวลาทั้งปวง ดาร์ซี่ที่ขึ้นนั่งตำแหน่งสูงสุด แบกรับทุกความเอนเอียงของตาชั่งไว้บนบ่า คอยจัดการกับปัญหาเพื่อรักษาสมดุล หาใช่แค่เส้นทางของตนเพียงอย่างเดียว 

ภาระหนักอึ้ง

วินเซนต์ก้มมองใบหน้างามภายใต้เรือนผมสีแดงดั่งกุหลาบหนามของหญิงสาวในอ้อมแขนแล้วเห็นเพียงความหนักใจ เมื่อรักคือตัวผูกผนึกหนทางกลับบ้านไว้ หากมันเกิดขึ้นภายในหัวใจของเดซี่แม้เพียงเสี้ยววินาที เขาลังเลแม้ไม่อาจรู้ที่มาแต่ก็ไม่ควรพาเข้าสู่การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างกันนี้ เพราะนางคือมนุษย์ซึ่งเต็มไปด้วยรอยร้าวของจิตวิญญาณ หาใช่คู่ที่เส้นชะตาผูกโยงไว้ซึ่งยังเฝ้ารอตนอยู่ด้านใน คอยสั่นระฆังเชิญชวน

“รอไม่นาน ข้าจะกลับมาปลดผนึกแล้วส่งเจ้ากลับสู่ช่วงเวลาเดิมให้ ขอบคุณนะเดซี่” 

วินเซนต์ก้มจุมพิตหน้าผากอย่างแผ่วเบา วางร่างไร้สติบนพื้นหญ้ากลางดงดอกไม้งามตาภายในสวนเขียวขจี มือขวาเด็ดดอกกุหลาบหนามวางเหนือหัวใจ มือซ้ายค่อย ๆ ร่ายพลังผนึกไว้จนเสร็จสมบูรณ์ เขาเปลี่ยนนัยน์ตาอ่อนโยนให้กลายเป็นไฟโทสะลุกโชนแล้วก้าวผ่านบานประตูเข้าสู่ความโอ่อ่ากว้างขวางด้านในโดยไม่ลังเล

“ท่านวินเซนต์!!!”

วินเซนต์สะบัดผ้าคลุมตัดผ่านเรือนร่างของผู้ที่ดาหน้าเข้ามาขัดขวางการก้าวเดิน คนแล้วคนเล่าที่ร่วงลงไปสิ้นใจแทบเท้า เขาไม่อยากให้การกลับมาต้องกลายเป็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้เลย 

“หากพวกเจ้าหยุด ข้าก็จะหยุด”

“ไม่มีทางขอรับ พวกเราได้รับคำสั่งให้ปกป้อง”

“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้” 

วินเซนต์รู้ดีว่าพลังของตนยังคงถูกถ่ายโอนไปหาเซย์อยู่เสมอ แม้จะได้รับกลับคืนมาบางส่วนจากเดซี่แล้วแต่ก็ไม่เพียงพอ หากไม่รีบจัดการคงได้ล้มลงหมดสภาพอยู่แค่โถงทางเดินนี้ โดยไม่อาจขยับเข้าหาผู้ที่ชะตาผูกโยงไว้แน่นอน 

เขารวบรวมทุกความเป็นอีรอสของเซย์ซึ่งไหลทะลักเข้ามาชั่วระยะหนึ่งไว้กับการสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะปล่อยคลื่นเสียงทำลายล้างกระทบโสตประสาทของศัตรูนับร้อยได้ในคราวเดียว 

“อีรอสนี่ทรงพลังเสมอจริง ๆ จงอย่ากล่าวโทษสิ่งใดนอกจากตัวข้าเลย” เขาโค้งศีรษะให้ผู้วายชนม์ซึ่งตนเป็นคนปลิดลมหายใจ 

คงไม่อาจผ่านเข้าไปโดยไม่นองเลือดสินะ 

วินเซนต์ก้าวเดินไปตามหนทางทอดยาวกับพื้นพรมปูลาดด้วยสีแดงเข้ม ผ้าม่านพัดไสวเพราะบานหน้าต่างเพิ่งถูกทำลายด้วยคลื่นเสียงทรงพลังเมื่อครู่ เพียงแค่เหลือบมองมันภาพของผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวก็ซ้อนทับเข้ามาเป็นระยะ แต่เขากลับสลัดมันทิ้งไปอย่างไม่ใยดี คงเป็นฝีมือของเซย์อีกตามเคย

สุดปลายของจุดหมายคือบานประตูสูงใหญ่ สลักลวดลายประจำตระกูลดาร์ซี่ไว้ด้านบน 

‘กุหลาบหนาม’  

 

 

เขามาแล้ว

ข้าแน่ใจว่าห้วงเวลากำลังนำพาเขากลับคืนยังสถานที่แห่งความทรงจำ ส่วนสำคัญของเรื่องราวยังคงดำเนินไปตามครรลอง การครอบครองสิ่งสูงล้ำล้วนมีราคาจำต้องจ่าย ซึ่งข้าได้ชำระไปแล้ว

ถึงคราวของเจ้าบ้าง

เสียงฝีเท้าแผ่วแต่จังหวะกลับหนักแน่น มั่นคง เป็นเสียงชนิดเดียวกันกับชายผู้ครอบครองทุกส่วนเสี้ยวของหัวใจข้าไว้หลายร้อยปี และอาจจะเป็นเช่นนี้ไปตราบนาน หากเราไม่เคยผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยกัน 

‘ชั่วชีวิตต่อจากนี้...ข้าจะใช้มันเพื่อเจ้า’

เสียงกังวานของความทรงจำ ดังทับซ้อนกันเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า 

‘ชั่วชีวิตต่อจากนี้...ข้าจะใช้มันเพื่อเจ้า’

ประตูเปิดออกพร้อมเสียงกรีดร้อง ร่างหนึ่งร่วงหล่นกองลงพื้นพรม ร่างสองนอนจมกองเลือดไร้เรี่ยวแรง 

‘ชั่วชีวิตต่อจากนี้...ข้าจะใช้มันเพื่อเจ้า’

รอยมีดกรีดลงลึกถึงขั้วหัวใจแต่กลับไม่ส่งผลร้ายใดกับร่างกาย เขายังคงก้าวเดินกระทั่งหยุดยืนเบื้องหน้าม่านบังสายตาที่มองเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงเงาเลือนรางกำลังขยับตัวนั่งจ้องมอง

‘ชั่วชีวิตต่อจากนี้...ข้าจะใช้มันเพื่อเจ้า’

“ข้ามาเพื่อทวงสัญญานั้น...เซย์”

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ...วินซ์”

 

 

ดอกกุหลาบหนามบานสะพรั่งกำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งสวนกว้าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของสองร่างซึ่งนอนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหญ้าเขียวขจี รอยยิ้มขยายริมฝีปาก หัวใจเปิดรับความสุขไว้จนล้นปรี่ ภาวนาอยากให้ช่วงเวลานี้คงอยู่นานเท่านาน

“เฮ้อ! มีความสุขจัง”

“มีความสุขแล้วทำไมต้องถอนหายใจ”

“ก็มันสุขจนแน่นหน้าอกไปหมดนี่นา ไม่คิดเลยเนอะว่าเรากำลังจะได้แต่งงานกัน เฮ้อ! มีความสุขจัง” 

“แต่ข้าคิด เฝ้าคิดทุกวันตั้งแต่พบกันครั้งแรกแล้ว”

“แหม...นั่นน่ะปากแน่เหรอ”

“ก็งั้นสิ เจ้าเห็นเป็นอะไร”

“โหลน้ำผึ้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” 

“อยากลองลิ้มชิม...จะไปไหนน่ะ กลับมาฟังให้จบก่อนสิ”

“ใครจะอยู่ฟัง” 

“รอข้าด้วย”

“แน่จริงก็ตามให้ทันสิ”

“...เซย์”

 

 

“เซย์!!!”

เสียงตะโกนก้องของความตื่นตกใจสะท้อนออกไปรอบตัว เมื่อภาพตรงหน้าคือโศกนาฏกรรมของความรักที่มีตัวเอกสวมชุดเจ้าสาวแสนสวยกำลังนอนจมกองเลือดพร้อมด้วยลมหายใจรวยริน 

วินเซนต์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตายเพราะความโศกเศร้ากดทับหน้าอกจนแน่นขณะสูดลมหายใจ ไม่ได้ต่างอะไรกับหญิงผู้เป็นที่รักในอ้อมแขนเลยสักนิด 

“เซย์ของข้า...ทำไมเจ้าถึงได้…” 

เซย์ลืมตามองใบหน้าของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสามีได้เพียงไม่นานก็ต้องจากกันชั่วนิรันดร์เสียแล้ว แม้สองมือไร้เรี่ยวแรงเอื้อมคว้าเรือนร่างของเขาดังใจโหยหา แต่ริมฝีปากก็ยังขยับเปล่งถ้อยเสียงสุดท้ายได้ แม้จะยากเหลือเกิน

“วินซ์…”

“เซย์! เกิดอะไรขึ้น ใครมันทำกับเจ้าแบบนี้”

“ช่วย…”

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าเองนะ”

“ช่วยปล่อย...ข้าไป…”

“ไม่! ทำไมพูดแบบนั้น เจ้าก็รู้ว่าข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า”

“ขอร้อง…อย่า…ทำ...สิ่งใด”

“เซย์!!!”

 

 

“นั่นมันอะไรกันเซย์” 

วินเซนต์ส่ายศีรษะขับไล่ภาพมายามากมายภายในหัว ทั้งห้วงแห่งรักหวานซึ้งติดตรึงใจ ทั้งโศกนาฏกรรมนองเลือดจมน้ำตา

“เจ้าสร้างภาพอะไรมาบดบังใจข้าอีก ขอบอกไว้เลยว่ามันไม่มีประโยชน์ ข้าไม่มีวันหลงกลเจ้า” 

“ข้าน่ะหรือคนทำ เจ้าแน่ใจเช่นนั้นได้อย่างไรกันวินซ์” 

หยดน้ำตากำลังหลั่งรินเมื่อม่านเบาบางเพิ่งพัดพลิ้วตามแรงของความโกรธเกรี้ยว เผยใบหน้างามราวภาพวาดตวัดสายตาสบกันอีกครั้งในรอบหลายร้อยปี

เซย์ อีรอส คือหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวสว่างกับนัยน์ตาสุกสกาวสะท้อนแสงจันทร์วิบวับ ดังคำกล่าวของวินเซนต์ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด หากแต่ตอนนี้กลับมีสีดำแต้มไว้ประปรายช่างคล้ายคลึงกับเขา มันคือเครื่องย้ำเตือนถึงสายใยของคู่แห่งชะตาและพลังที่กำลังไหลเวียนสลับกลับไปมาจากทั้งสองคน 

“อย่าเล่นลิ้นเลย รู้ไว้ด้วยว่าที่ข้าไม่เข้าไปเพราะยังรักเจ้าเต็มหัวใจหรอกนะ” 

“กลับกัน ข้าช่างเกลียดชังเหลือเกิน" 

“ทำไมกันเซย์…”

“เจ้าทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพนี้!”

เซย์ระเบิดคลื่นเสียงกรีดร้องจากความเจ็บปวดที่แม้แวมไพร์อย่างเขายังไม่อาจทานทน คงเพราะกำลังยังคงถดถอยจึงไม่อาจยืนต้านพลังทำลายล้างจากริมฝีปากอวบอิ่มคู่นั้นได้ 

วินเซนต์ลอยกระแทกผนังแต่เขากลับใช้พลังเปลี่ยนร่างเป็นค้างคาวปีกหนาได้ทันก่อนจะร่วงหล่นลงพื้นพรม ในจังหวะเวลาที่เซย์เคลื่อนที่เข้าใกล้ด้วยความว่องไวปราดเดียวถึงตัว

“เจ้าทั้งนั้นวินเซนต์ เป็นเพราะเจ้าคนเดียว” 

เซย์จับปีกสีดำเหวี่ยงไปอีกฝั่งของห้องโดยไม่สนใจว่าจะบาดเจ็บสาหัสเพียงไหน หากจำต้องฆ่ากันให้ตายก็พร้อมจะทำ

“ข้าแบกรับมันมานานเหลือเกินแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาเจ้าบ้าง”

“เจ้าแบกสิ่งใดกันเซย์ เป็นข้ามิใช่หรือที่ต้องทนเจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่พลังไหลเวียนไปหาเจ้า ข้าถูกขังในร่างนี้ปล่อยทิ้งให้มีชีวิตต่ำช้าเสียยิ่งกว่าดาร์ซี่คนใดเคยผ่าน ทั้งที่ความรักของเรากำลังผลิบานถึงขนาดนั้น”

“ข้าเคยขอไว้เช่นไร ทำไมไม่ทำตามถ้อยคำ เจ้าตระบัดสัตย์ เจ้าเปลี่ยนข้าเป็นแวมไพร์ทำไม ทำทำไม!!!”

เซย์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดหากไม่มีเส้นเสียงใดลอดผ่านริมฝีปากออกมา นอกจากคลื่นทำลายล้างกวาดทุกสิ่งทุกอย่างพินาศหายไปราวฝุ่นควัน 

วินเซนต์โฉบหลบได้ทันท่วงทีแต่ยังไม่อาจเข้าถึงตัวเพื่อยุติเรื่องราว เซย์ทรงพลังเกินไปหรือไม่ก็เพราะหัวใจอ่อนยวบของตนที่ร่ำร้องหาใบหน้างามนั้นแต่จำต้องกดกลั้นมันไว้ เขาบินออกจากห้องนอนตรงไปยังสวนกว้างกลางคฤหาสน์แทน

“อย่าเอาแต่หนีวินเซนต์ มาจบเรื่องราวของเราตรงนี้ เจ้าจะได้กลับไปเป็นดาร์ซี่แสนเย่อหยิ่ง…”

“แล้วเจ้าเล่ายอดรัก”

“ข้าจะกลับไปเป็นแค่…”

เซย์พุ่งเข้ามาทางขวา วินเซนต์เบี่ยงหลบโดยไม่โจมตีกลับ ราวพร้อมรอรับความเดือดดาลนั้น

แต่…ตนกลับคืนร่างเป็นคนตอนไหน 

แต่…หมุดหนามันมาอยู่ในมือได้อย่างไร แล้วเหตุใดถึงปักคากลางหัวใจของยอดรักได้กัน 

“เซย์…เจ้าทำอะไรลงไป ทำไม…”

“ข้าพึงใจจะเป็นแค่…เซย์ของท่าน…” 

“เซย์!!!”

 

 

เจ้าปล่อยทิ้งข้าไว้ได้อย่างไร

วินเซนต์กำลังจะตายลงตรงนี้ ท่ามกลางดวงจันทร์สุกสกาวราวสีของเลือด สายลมพัดพากลีบกุหลาบหนามดอกไม้ประจำตระกูลปลิดปลิว เมื่อแสงประกายกำลังนำพาร่างของเซย์เลือนหายจากอ้อมแขน ล่องลอยออกไปอย่างไร้จุดหมายพร้อมเสียงระฆังบอกเวลาเที่ยงคืน 

หัวใจของเขาแหลกสลายกลายเป็นเถ้าด้วยไฟแห่งความโศกเศร้าเผาผลาญ อีกครั้งหรือไรที่ต้องทนมองภาพนี้ มันจะมีวันจบสิ้นเมื่อไหร่กันแน่

เสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาจากทางด้านหลังแม้แผ่วเบาราวกระซิบแต่วินเซนต์ก็จับฟังได้ชัดเจน หากไม่ใคร่จะใส่ใจว่าใครกันแน่ที่เดินฝ่าดงกุหลาบหนามเข้ามาใกล้โดยไม่เกรงกลัวต่อความตายซึ่งตนอาจเป็นฝ่ายหยิบยื่น

“อีรอสคือหายนะของดาร์ซี่เสมอ”

“ผิดแล้ว อีรอสคือทางเลือก คือโอกาสเพียงหนึ่งของดาร์ซี่ต่างหาก”

“เจ้าคิดเช่นนั้นรึ ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะหลานรัก”

การ์เลน ดาร์ซี่ ผู้ทำหน้าที่ดูแลตระกูลสืบต่อจากพ่อของวินเซนต์ เขารั้งตำแหน่งแทนอยู่หลายร้อยปีในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายกลายเป็นเพียงค้างคาวปีกดำติดอยู่ในอีกมิติเวลา ยังหาทางย้อนกลับคืนมาไม่เจอ 

“มันเป็นเช่นนั้นเสมอท่านอา”

“ทางเลือกที่มาพร้อมความตาย แล้วเจ้าจะเกิดเป็นดาร์ซี่ทำไมให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูล” 

น้ำเสียงของชายสูงวัยเข้มขึ้นด้วยการผสมอารมณ์ลงไปจนล้นปรี่ ขณะสาวเท้าก้าวเข้าใกล้เรื่อย ๆ กระทั่งหยุดยืนอยู่ด้านหลังกำลังถือวิสาสะเกาะกุมเส้นผมของวินเซนต์ไว้แล้วกระชากมันขึ้นมาสุดแรงด้วยสีหน้าของความขุ่นเคือง ที่ต้องก้มมองความเศร้าโศกเสียใจของหลานชายอีกวาระ

“สีผมด่างพร้อยนี่น่ะรึที่แบกรับพลังมหาศาลเอาไว้ ช่างไม่คู่ควร ถ้าเจ้าไม่ใช่ดาร์ซี่ ข้าคงขย้ำคอให้ตายคาปากไปแล้ว”

“ถ้าทำได้ก็ลองดู” วินเซนต์สะบัดหลุดจากการเกาะกุมได้อย่างง่ายดายโดยที่มือซ้ายยังกำกลีบกุหลาบหนามไว้แน่น “ข้าจะฆ่าท่าน”

“ก็เอาเลย แต่ข้าคงไม่รอให้มันเกิดขึ้นหรอก” การ์เลนยื่นแขนขวา ใช้พลังดึงร่างไร้เรี่ยวแรงของเดซี่ซึ่งวินเซนต์ผนึกไว้กลางสวนเข้ามาหาแล้วหวังจะฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอขาวเนียน โดยไม่ละสายตาจากใบหน้าของหลานชายแม้แต่วินาที

“เดซี่!!!”

เสียงตะโกนจากความเจ็บปวดเพิ่งส่งผ่านริมฝีปากถึงเรือนร่างงาม เดซี่ลืมตาขึ้นมองใช้สองมือปัดป้องการรุกรานของคมเขี้ยว เธอกรีดร้องไร้เสียงปล่อยคลื่นพลังผลักการ์เลนกระเด็นออกไป ก่อนเจ้าตัวจะเปลี่ยนร่างเป็นค้างคาวตัวใหญ่โผบินกลับมาหมายจะเอื้อมคว้าไว้อีกครั้ง 

หากมันไม่ทันการเพราะความว่องไวของวินเซนต์ไม่เคยเป็นสองรองใคร พริบตาเดียวลมหายใจของหญิงสาวก็อยู่ถูกที่ถูกเวลา ก่อนจะสงบลงกลับคืนสู่ห้วงนิทราในอ้อมแขนของตนตามเดิม

“ดูถูกความเชื่อมโยงของคู่แห่งชะตาไม่ได้เลยสินะ”

“ข้าคงไม่อยู่เฉยอีกครั้งแน่”

“แววตาแบบนั้น...เหมือนกันไม่มีผิด ไอ้พวกสิ้นคิดหน้าโง่ ถ้าข้ามีโอกาสได้เป็นคู่แห่งชะตาเสียเอง คงไม่ต้องลงเอยเช่นนี้ ดาร์ซี่จะล่มสลายเพราะเจ้า” 

การ์เลนแผดเส้นเสียงแข็งกร้าวจากไฟโทสะ มันกำลังสะท้อนก้องราวท่วงทำนองของคืนวันเก่าก่อน เมื่อภาพบางอย่างเพิ่งผ่านเข้ามาสู่หัวใจของวินเซนต์อีกครั้ง 

 

“ดาร์ซี่ของเราจะล่มสลายเพราะเจ้าไร้พลังและข้าไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้น”

“ท่านพูดอะไร ท่านอา”

“ข้ากำลังทำเพื่อตระกูลของเราเพราะเจ้ามันก็โง่เง่าไม่ต่างจากพี่ชายตัวดีที่เลือกจะตายแล้วทิ้งความรับผิดชอบไว้ให้ข้าแบกรับ อย่าใช้สายตาแบบนั้นกับคนที่เพิ่งช่วยเจ้าไว้นะวินเซนต์”

“ท่านทำอะไรกับนางกันแน่”

“ข้าก็แค่ช่วยให้นางสมหวังในความตายเยี่ยงอีรอส” 

“ท่านคือคนที่สังหารนางในคืนวันแต่งงานของพวกเรา”

“ใช่…นั่นก็เพราะแก ไอ้หลานโง่ ดันเกิดมาพร้อมพลังมหาศาล เป็นคู่แห่งชะตาในรอบหลายพันปีจะมีเพียงหนึ่ง แต่เจ้ากลับคิดจะเลือกอีรอสแทนดาร์ซี่ อยากเป็นนักคนธรรมดาไร้เรี่ยวแรง มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น!”

 

 

วินเซนต์กระพริบตาถี่รัวเมื่อความทรงจำบางอย่างเพิ่งหวนคืนสู่ห้วงสำนึก ตามมาติด ๆ ด้วยภาพของคืนวันเก่าครั้งที่ความรักยังผลิบานสะพรั่งดั่งดอกกุหลาบหนามสีเลือด

 

 

“ข้าดีใจเหลือเกินเซย์ อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น”

“ท่านคิดดีแล้วใช่มั้ยที่จะเลือกอยู่ด้วยกันแบบนี้จนกว่าลมหายใจสุดท้ายจะพรากเราจากกัน แทนที่จะเป็นดาร์ซี่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นนิรันดร์”

“ขอแค่มีเจ้า จะเป็นอะไรข้าก็ไม่เคยสนอยู่แล้ว เราจะทิ้งความวุ่นวายแล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังเล็กบนเนินเขา ได้กางแขนโอบรับแสงตะวันยามเช้า นอนกลิ้งบนพื้นหญ้าเขียวขจี และที่สำคัญคือเราจะมีลูกเล็กวิ่งกันเต็มบ้านเลย” 

“เฮ้อ…มีความสุขจัง”

“มีความสุขแล้วทำไมต้องถอนหายใจ”

“ก็มันสุขจนแน่นหน้าอกไปหมดนี่นา ไม่คิดเลยนะว่าเรากำลังจะได้แต่งงานกัน เฮ้อ! มีความสุขจัง” 

เซย์ขยับเข้ามาสวมกอดผู้ที่ใกล้จะได้ชื่อว่าสามี วางใบหน้าบนแผ่นอก สดับฟังเสียงเต้นถี่รัวด้วยความรักล้นใจ

วินเซนต์สูดอากาศเย็นสบายเข้าไปเต็มปอด อีกเดี๋ยว เมื่อวัยย่างเข้ายี่สิบปีทางเลือกของดาร์ซี่จะหวนมา และคู่แห่งชะตาจะนำพากันและกันไปตามเสียงของหัวใจ 

“แต่ข้าคิด เฝ้าคิดทุกวันตั้งแต่พบกันครั้งแรกแล้ว ว่าข้าจะรักเพียงแค่เจ้าเท่านั้น”

“แหม...นั่นน่ะปากแน่เหรอ”

“ก็งั้นสิ เจ้าเห็นเป็นอะไร”

“โหลน้ำผึ้งมั้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” 

“แล้วอยากลองลิ้ม ชิม...จะไปไหนน่ะเซย์ กลับมาฟังให้จบก่อนสิ ข้าอุตส่าห์คิดถ้อยคำหวานล้ำได้เชียวนะ”

“ใครจะอยากอยู่ฟังกันล่ะ” 

“รอข้าด้วย”

“แน่จริงก็ตามให้ทันสิ”

“...เซย์”

 

 

วินเซนต์เพิ่งรู้ว่าภาพเหล่านั้นหาใช่เพียงมายาแต่คือความทรงจำแสนล้ำค่าระหว่างกันต่างหาก ก่อนที่ผู้เป็นอาจะพรากมันไปพร้อมลมหายใจสุดท้ายในคืนที่เขาสาบานว่าจะเป็นเพียงคนธรรมดาไม่ยอมข้ามฝั่งไปสู่นิรันดร์

“การ์เลน!!!”

“ไม่มีสัมมาคารวะเสียเลยนะหลานรัก อย่างน้อยข้าก็เป็นอาของเจ้ามิใช่รึ” 

“แกสมควรตายมากกว่าจะมาพูดพร่ำสั่งสอนข้า แกพรากความรัก พรากความทรงจำ พรากทุกสิ่งทุกอย่างไป”

“นั่นผิดถนัด ข้าพรากแค่อีรอสหาใช่ความทรงจำของเจ้าเสียหน่อย เรื่องนี้เจ้าคงต้องถามเอากับภรรยาตัวดีและวงศ์ตระกูลของนาง” 

เสียงหวีดหวิวของสายลมฟังคล้ายท่วงทำนองของความเศร้าระทมให้วินเซนต์จดจำ เขาแคลงใจเหลือเกินแต่ก็เลือกจะปล่อยผ่าน แล้วหันมาจัดการกับชายสูงวัยผู้ผันตัวเป็นศัตรูกันอย่างโจ่งแจ้ง 

“ถ้าเจ้าจะเคืองคงต้องเป็นอีรอสหาใช่ดาร์ซี่ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าข้าได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ คำขอบคุณก็ไม่มีสักคำ”

“อย่ามาเล่นลิ้น!”

“พวกมันต่างหากที่ใช้ความเชื่อมโยงของพวกเจ้าให้เป็นประโยชน์ ทันทีที่เจ้าเลือก มันจะขโมยพลังทั้งหมดของดาร์ซี่ไป เจ้าเข้าใจรึยัง ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ยังไม่สำนึกบุญคุณ”

“แกโกหก!”

“การ์เลนโฉบฉวัดเฉวียนโจมตีตามร่างกายที่ยังไม่อาจฟื้นฟูเต็มที่ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันนั้นก็พร่ำพูดให้อีกฝ่ายเสียสมาธิไปด้วย

“ข้ากักขังนังนั่นไว้แต่เจ้าก็มาทำลายแผนการณ์กอบกู้ดาร์ซี่พังไม่เป็นท่า เจ้าเพิ่งมอบพลังของเราให้พวกมัน ไอ้หลานโง่เง่า”

การ์เลนรู้ดีว่าพลังของตนไม่อาจเทียบเคียงหากวินเซนต์ได้รับมันกลับคืนจนสมบูรณ์ โอกาสมีเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น เขาจึงทุ่มกำลังทั้งหมดลงไปกับการโฉบบินเข้าจู่โจม 

วินเซนต์ยังคงปักหลักนิ่งกับพื้น ไม่หวาดเกรง ไม่ถอยหลบ แต่ใช้ความเป็นอีรอสของเซย์ให้เกิดประโยชน์ พลังเพียงหนึ่งเดียวที่จะต่อกรกับดาร์ซี่ได้ 

 

หากกลางคืนมีดาร์ซี่ กลางวันก็มีอีรอส คอยเคียงข้าง

 

“มันคงเป็นเหมือนท่านว่าไว้ อีรอสคือหายนะของดาร์ซี่เสมอ”

ในจังหวะเวลาที่การ์เลนโผเข้าถึงตัว วินเซนต์ก็ปล่อยคลื่นพลังไร้เสียงแต่บาดคมลึกถึงกระดูกออกไปในระยะประชิด มันทำลายทุกเส้นประสาทให้พินาศย่อยยับได้ในพริบตาโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีโอกาสเลี้ยวหลบด้วยซ้ำ 

วินเซนต์ยืนมองร่างของการ์เลนนอนจมกองเลือดด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก เมื่อห้วงทรงจำเพิ่งหลั่งไหลเข้ามาพร้อมเสียงสะท้อนผ่านวันเวลาของเซย์ อีรอส

“ตามหาข้าที…ตามหาเซย์ของท่านด้วย…” 

 


โปรดติดตามตอนต่อไป