นานนับนาน...หากมีหัวใจไว้เฝ้าฝัน นานนับนาน...หากดวงตะวันยังแต้มฟ้า... “เสี้ยววินาทีที่ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่มือเอื้อมสัมผัส เจ้าจะเลือกสิ่งใด” “ข้าเลือกจะตาย”
แฟนตาซี,เรื่องสั้น,แฟนตาซี,แวมไพร์,รัก,ปีศาจ,พระเอกหล่อ,รถแห่ชวนเขียน6,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
D'Arcy ส่วนเสี้ยวของความรักนานนับนาน...หากมีหัวใจไว้เฝ้าฝัน นานนับนาน...หากดวงตะวันยังแต้มฟ้า... “เสี้ยววินาทีที่ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่มือเอื้อมสัมผัส เจ้าจะเลือกสิ่งใด” “ข้าเลือกจะตาย”
สวัสดีค่ะ
ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางครั้งใหม่ของณธนิษฐ์
กับเรื่องสั้น 4 ตอนจบ เข้าร่วมกิจกรรม รถแห่ชวนเขียน ครั้งที่ 6
คราวนี้มาในธีมฮาโลวีน
[ มิติคู่ขนาน ]
[ แวมไพร์หล่อ ๆ ที่แปลงร่างเป็นค้างคาวได้ ]
[ Silence scream ]
[ มัมมี่ ]
💖
ส่วนเสี้ยวที่สี่ ย้อนเริ่มเรื่องราว
หยดน้ำตาร่วงหล่นลงบนใบหน้าไร้สีเลือดซีดเผือดจนใจหาย ทั้งที่ตนก็คลายผนึกออกนานแล้ว วินเซนต์ยังโอบกอดร่างแน่นิ่งไว้ราวอยากถ่ายทอดทุกความมีชีวิตชีวากลับคืนเพื่อฟื้นสติ ก่อนจะรู้ว่ามันได้ผลในอีกอึกใจ ทันทีที่สีฟ้าใสของนัยน์ตาลืมขึ้นมาภายใต้เรือนผมเป็นลอนยาวสยายอยู่กลางฝ่ามือ
“ท่าน…”
เดซี่กะพริบตาถี่รัวเพื่อปรับการมองเห็นให้เป็นปกติ เมื่อรอบด้านมีเพียงดอกกุหลาบกลีบใบแหลมคมสีแดงสดกับหยดเลือดตามร่างกายของวินเซนต์เท่านั้น แถมแสงจันทร์ที่ส่องลงมายังทำให้มั่นใจเหลือเกินว่าเห็นร่องรอยของคราบน้ำตาบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาด้วย
“หลับสบายมั้ย”
“ร้องไห้เหรอคะ”
“ใช่…เซย์ของข้า ข้าเพิ่งเสียเจ้าไปอีกครั้งเมื่อครู่นี้” วินเซนต์ลูบใบหน้างามอย่างอ่อนโยนพร้อมส่งผ่านทุกความรู้สึกลงไปในนั้น
“เมื่อกี้ฉันฝันด้วยค่ะ ฝันเห็นค้างคาวตัวใหญ่จ้องจะงับเขี้ยวลงมาที่ต้นคอ ขนลุกซู่เลย”
เดซี่ขยับตัวถอยห่างจากอ้อมแขนของวินเซนต์อย่างเคอะเขิน ปากก็พร่ำเล่าเรื่องราวในฝันเพื่อกลบเกลื่อน ทั้งที่หัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะจนคนตรงหน้าเริ่มรับรู้ได้ เธอไม่ชอบความรู้สึกแปลกใหม่แถมยังหนักอึ้งนี้เลยจริง ๆ
“ความหล่อเหลาของข้ามันทำให้เจ้าหวั่นไหวล่ะสิ ก็ไม่แปลกหรอกนะ ข้ามันดูดีออกขนาดนี้นี่นา”
“หลงตัวเองจังนะคะ”
“หรือจะให้หลงใหลใบหน้างดงามของเจ้าดีล่ะ”
“ปากท่านเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ นึกว่าโหลน้ำผึ้งซะอีกแน่ะ”
วินเซนต์สะดุ้งแต่ก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
“ไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ เจ้าไม่เคยเปลี่ยนเลย” เขารำพึงกับถ้อยประโยคแสนคุ้นเคย ยื่นมือช่วยประคองให้ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงแล้วผละถอยตามความต้องการของหญิงสาวที่ยังแต้มสีแดงระเรื่อบนใบหน้าอยู่ “ช่วยพาข้ากลับบ้านทีนะเดซี่”
“บ้านฉันเหรอคะ”
“ใช่…บ้าน”
ของเรา
“กลับได้แล้วเหรอคะ ไหนท่านบอกว่า…”
“เมื่อไม่มีเจ้าที่นี่ก็ไม่เหลือสิ่งใดให้ติดค้างอีกต่อไปแล้ว กลับกันเถอะนะ ช่วยคิดถึงมันให้ชัดเจน คิดถึงช่วงชีวิตแสนงดงามของเจ้า…ที่ไม่มีข้าทีนะเซย์”
เดซี่เหลียวมองเมื่อถ้อยรำพึงของเขาราวจงใจเอ่ยกับตัวเองเท่านั้น แต่เส้นเสียงโหยหาก็ซึมลึกลงไปภายในหัวใจของคนฟังและไม่ยอมกลับออกมาเลยนี่สิ
“ค่ะ”
วินเซนต์ยื่นแขนรอรับ เดซี่ขยับเท้าเข้าหา แล้วห้วงเวลาก็เริ่มหมุนวนอีกครั้ง กระทั่งสิ้นสุดลงที่ห้องทำงานเก่าฝุ่นจับตามเครื่องเรือนแตกหักเช่นเดิม
“เรากลับมาแล้ว”
“ช่วยพาข้าไปที่บ้านเจ้าทีนะ”
“ได้ค่ะ แต่ขอแวะส่งงานก่อนได้มั้ย”
“ตามสบายเลย”
วินเซนต์สะบัดผ้าคลุมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้คล้ายกับผู้คนของโลกนี้ เขาเดินตามเดซี่ออกไปนอกคฤหาสน์เป็นครั้งแรก แต่แฝงตัวหลบฉากเมื่อเห็นว่าผู้คนมากมายยืนออรอต้อนรับการขยับกลับเข้ากิจกรรมของหญิงสาวกันเนืองแน่น
“เดซี่!!!”
“เคลล่า!!!”
สองสาวเพื่อนซี้เพิ่งวิ่งเข้าหาอ้อมแขนของกันและกัน ด้วยสีหน้าท่าทางแตกต่างอย่างสิ้นเชิง หนึ่งอกสั่นขวัญหาย ส่วนอีกหนึ่งก็ยิ้มร่าเบิกบานใจชวนพิศวง ไม่นับรวมคณะอาจารย์และทีมจัดงานฮาโลวีนที่หน้าซีดใจสั่นเพราะเพิ่งทำนักศึกษาหายไปอย่างไร้ร่องรอยนั่นด้วย
“ไปอยู่ไหนมาเดซี่”
“ฉันสิต้องถามเห็นวิ่งออกไปทันทีที่ฝุ่นเริ่มตั้งเค้าเลยนี่นา กลัวมากเลยสินะ” เดซี่หัวเราะ ยื่นมือสัมผัสใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนรักเพื่อปลอบเรียกขวัญเป็นการใหญ่
“ขะ…ขอโทษ กลัวจนหัวหดเลยล่ะ แต่พวกรุ่นพี่กับอาจารย์ก็เข้าไปตามหากันตั้งนานแต่ไม่เจอ แกไปอยู่ไหนมากันแน่เดซี่” เคลล่าคาดคั้นจับเพื่อนสาวหันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจหาร่องรอยของความเสียหายตามร่างกายด้วย
“อย่าบอกนะว่าที่คนเยอะแยะนี่ก็…”
“ก็ใช่ไง มาตามหาแกนั่นแหละ บาดเจ็บตรงไหนมั้ยเนี่ย”
“ถ้าบอกว่าไปเที่ยวมิติอื่นจะเชื่อมั้ย”
“เชื่อ”
“จริงเหรอ”
“เชื่อก็บ้าแล้ว…แต่ก็ช่างมันไปเหอะ ดีที่ยังกลับออกมาได้ ส่วนภารกิจก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกนะ อาจารย์บอกว่าขอแค่เข้าร่วมสร้างความคึกคักให้งานเทศกาลก็ให้ผ่านทุกคนอยู่แล้ว”
“ได้มาแล้วล่ะ เซย์ อีรอส คือเจ้าของบันทึก ส่วนคฤหาสน์หลังนี้เป็นของตระกูลดาร์ซี่ ชื่อวินเซนต์ ดาร์ซี่ ช่วยไปรายงานภารกิจทีนะ ขอกลับบ้านก่อนแล้วกัน”
“รู้ได้ไงเนี่ย”
“ผีบอกน่ะ เอ้า! หลักฐาน ไปนะ” เดซี่ยัดหน้ากระดาษส่วนเสี้ยวที่ขาดหายไปใส่มือเคลล่าเพื่อเป็นการยืนยันว่าสามารถพิชิตภารกิจได้อย่างงดงาม ดีไม่ดีอาจได้รับการจารึกชื่อไว้ด้วยซ้ำกับการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในรอบหลายร้อยปีที่ไม่เคยมีใครหน้าไหนล่วงรู้มาก่อน นอกจากจะเรียกขานกันเองว่า ‘คฤหาสน์ผีสิง’
“ได้ ๆ หลับให้สบายเลยนะ เจอกันอาทิตย์หน้า”
ถนนหนทางส่องสว่างจากไฟหลากสี ประดับประดาไว้ด้วยฟักทองกับของประกอบฉากฉบับเลือดสาดแทบทุกที่ไม่เว้นกระทั่งต้นเสาริมถนนที่มีแม่มดตัวน้อยห้อยระโยงระยางอย่างไร้ระเบียบ ไหนจะมนุษย์ล่องหนผู้สวมใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดเพิ่งเดินผ่านหน้าไปพร้อมจับจูงมือเด็กน้อยหลงทางกำลังร้องไห้งอแงด้วย
วินเซนต์เหลียวมองเพียงชั่วครู่ก็ละความสนใจมายังใบหน้าเปื้อนยิ้มของเดซี่ซึ่งเดินเคียงกันไปโดยไม่มีใครเริ่มต้นบทสนทนาทั้งที่ในใจคงเต็มไปด้วยคำถามนานาประการแล้วแท้ ๆ
“ดูมีความสุขดีนะ”
“ค่ะ”
เดซี่กำลังดื่มด่ำกับความสุขล้นของการได้เหยียบยืนบนผืนแผ่นดินเกิด โดยไม่ต้องหวาดหวั่นกับเสียงระเบิดตูมตาม ไม่ต้องทนหนาวอยู่บนเนินเขาเวิ้งว้าง หรือนอนไม่ได้สติกลางสวนกุหลาบแปลกตาที่กลีบใบแหลมคมเกินกว่าจะเคยเห็นมาก่อนในชีวิตนี้
ความวุ่นวายของขบวนสยองขวัญเริ่มหายจากสายตาเมื่อเดินห่างออกมานอกตัวเมืองไกลเกินพอ วินเซนต์อดเสียดายกับหลายร้อยปีที่ติดแหงกในร่างค้างราวปีกดำ โดยไม่เคยได้ออกมาดื่มด่ำกับบรรยากาศเช่นนี้ ท้องฟ้าโปร่งสบายไร้ร่องรอยอึมครึมของเมฆฝนตั้งเค้าเช่นที่คฤหาสน์ดาร์ซี่ในอีกมิติเวลา ผู้คนต่างชื่นชอบในสิ่งเร้นลับโดยไม่ต้องหวาดกลัวซ่อนความสั่นเทาไว้บนใบหน้าเมื่อยามราตรีมาเยือน แถมยังมีเหล่าแม่มดเดินกันขวักไขว่อยู่ตามรายทางอีกต่างหาก
“มิติเวลานี้ไม่มีทั้งดาร์ซี่และอีรอสสินะ แล้วพวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไรในความมืดมิดล่ะ”
“ไฟฟ้าไม่ก็ตะเกียงไงคะ”
“ข้าหมายถึงว่าใครจะคอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยจากพวกอสุรกาย ภูติผีปีศาจ ต่างหาก”
“หมอผีมั้งคะ ไม่ค่อยแน่ใจนัก คนสมัยนี้เขาไม่เชื่อกันหรอกค่ะ แต่ฉันน่ะเชื่อเต็มหัวใจเพราะเห็นมันมาตั้งแต่จำความได้เลยล่ะ”
“ถึงได้ไม่กลัวข้าสินะ”
“ค่ะ ไม่กลัว”
“นั่นเพราะข้าหล่อเหลาเอาการ”
“เหอะ! เพราะท่านมีปากไว้ยกยอตัวเองต่างหากค่ะ”
“ว่าแต่…เจ้าพาข้ามาสุสานทำไม”
“ก็อยากมาบ้านฉันไม่ใช่เหรอคะ นี่ไง ถึงแล้ว”
“มิน่าล่ะ”
“ค่ะ ท่านไม่ใช่ผีตนแรกที่ฉันเคยเจอซักหน่อย”
สุสานเก่าถูกประดับตกแต่งด้วยสีสันของวันฮาโลวีนเช่นตัวเมือง ผู้คนบางกลุ่มยังเดินก้ม ๆ เงย ๆ ทำภารกิจล่าท้าความตายอยู่ภายในนั้น เดซี่ดึงชายเสื้อของวินเซนต์ให้ก้าวตามเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าจะขยับผ่านประตูรั้วเหล็กสีหลุดลอกแต่ยังไม่มีโอกาสทาใหม่ เธอยังไม่ยอมเอ่ยถามหาเหตุผลของคำอ้อนวอนขอให้พากลับบ้าน แค่คิดเอาว่าอีกเดี๋ยวความจริงก็คงปรากฏเอง
“บ้านอยู่ทางนี้ ใครจะนอนในสุสานล่ะคะ”
“ก็...”
“มาเถอะค่ะ”
วินเซนต์หยุดยืนรออยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นสภาพซอมซ่อแต่กลับแฝงความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ภายใน ทั่วทุกอณูที่แสงไฟลอดผ่านก็ราวมีพลังขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ล่าถอยได้อย่างไรอย่างนั้น
“กลับมาแล้วค่ะ”
“กลับมาแล้วเหรอลูก...ทะ...ท่านวินเซนต์”
หญิงชราสวมผ้าคลุมไหล่ปักลายลูกไม้เพิ่งลุกจากเก้าอี้โยกตัวโปรดอย่างทุลักทุเล เซถลาเข้ามาเอื้อมคว้าแขกรายสุดท้ายของคืนฮาโลวีนที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นหน้ากันแน่ในชีวิตนี้ เธอบีบมันแน่นจนแน่ใจว่าไม่ใช่แค่ความฝัน
เดซี่ตื่นตะลึงยิ่งกว่าใครเพราะคุณย่าเพิ่งเรียกชื่อเขาได้ถูกต้องโดยที่ตนยังไม่ทันเอ่ยคำแนะนำหรือพูดอะไรเลยด้วยซ้ำไป
“นี่มันอะไรกันคะคุณย่า รู้จักเขาด้วยเหรอ”
“รู้สิลูก นี่คือท่านวินเซนต์ต้นตระกูลของเราไง”
“ต้นตระกูล!”
“เจ้าคือ...”
“เฮเลน่า อีรอส เจ้าค่ะ ดิฉันอยู่รับใช้ท่านเซย์มานานหลายปีก่อนที่…” หญิงชรายุติถ้อยคำที่เหลือไว้แค่นั้นเพราะน้ำตากำลังไหลรินลงมาอาบใบหน้าให้ต้องสูดลมหายใจเข้าก่อนค่อยเริ่มต้นเล่าเรื่องราวอีกครั้ง “กำลังรออยู่เลยเจ้าค่ะ ดิฉันนึกว่าจะตายก่อนได้ทำตามความปรารถนาของท่านเซย์เสียแล้ว”
“เซย์...อยู่ที่ไหน”
“เชิญตามดิฉันมาทางนี้ เดซี่รีบปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนาด้วยลูก” เฮเลน่าพยักพเยิดไปทางด้านหลังเมื่อเห็นว่าหลานสาวแค่แง้มมันไว้ตอนที่วินเซนต์ก้าวผ่านกรอบไม้เข้ามาแล้วยังไม่ทันได้งับประตูปิดสนิทดังเดิม
กลอนของบ้านอีแวนท์ออกจะแตกต่างไปจากหลังอื่นอยู่ไม่น้อยเพราะมันถักทอจากผ้าลินินสีขาวแล้วผูกไว้ตามประตูหน้าต่างแค่นั้นเลย เดซี่เคยตามซักไซ้หาความจริงกับคุณย่ามาครึ่งวันว่ามันจะช่วยป้องกันสิ่งใดกันแน่ซึ่งคำตอบที่ได้ก็มีแค่รอยยิ้มเพียงอย่างเดียว จนโตอีกหน่อยค่อยสังเกตเห็นกลุ่มควันเบาบางพยายามทะลุผ่านแต่กลับโดนแสงประกายระยิบระยับขับไล่จนสลายหายไปแทน
หลังจากนั้นการพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตปริศนาก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ สร้อยข้อมือถักกับริบบิ้นผูกผมกลายมาเป็นของที่ต้องใส่ติดตัวเสมอเมื่อออกจากบ้าน ฉะนั้นการพบกันครั้งแรกของค้างคาวปีกดำจึงไม่ทำให้หญิงสาวหวาดกลัวได้เลยสักนิดเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อาจสร้างอันตรายกับตนได้ แม้จะคลาดจากที่คิดไว้นิดหน่อยก็ตาม
เฮเลน่าเพิ่งพาขึ้นบันไดไปชั้นสองแล้วหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนของเดซี่ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ดูงุนงงยังจับต้นมาชนปลายไม่ถูกเลย ไม่เคยรู้ด้วยว่ายังมีใครอาศัยอยู่ภายในนั้น แต่คำตอบก็มาพร้อมนิ้วมือของหญิงชราที่เอื้อมปลดผ้าลินินสีขาวออกจากกลอนประตูแล้วผลักมันเข้าไปสู่ความอบอุ่นด้านใน สว่างไสวด้วยเปลวเทียนที่ไม่มีวันดับลง
มิติเวลาถูกทับซ้อนกันด้วยผนึกของเซย์ วินเซนต์กำลังยืนมองหญิงสาวนอนเหยียดยาวบนเตียงหนา ถูกห่อหุ้มด้วยเส้นผมสีขาวสว่างไว้ทั้งเรือนร่างโดยไม่มีส่วนใดหลุดลอดออกมา
“ทำไมนางมีสภาพเช่นนี้”
“หลังจากเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น ท่านเซย์ก็พาพวกเราหลบหนีมาที่นี่แล้วผนึกร่างกายไว้เพื่อรอท่านมาตลอดเจ้าค่ะ”
“แล้วเซย์ที่ข้าเจอล่ะ”
“นั่นแค่เสี้ยวสำนึก อาจจะเป็นส่วนเสี้ยวของความโกรธเกรี้ยวที่การ์เลนช่วงชิงไปได้ก่อนพวกท่านจะหนีออกมา”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
วินเซนต์อยากโผเข้าไปแล้วโอบกอดผู้ที่ใจโหยหาไว้แนบแน่น แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะพลังยังไหลเวียนสลับฝั่งอยู่เสมอ หากเข้าใกล้มากเกินคงได้กลายเป็นเพียงค้างคาวปีกดำแล้วหวนคืนตัวตนเดิมไม่ได้อีกเลย
“เรื่องราวมันเริ่มจากแผนร้ายของตระกูลอีรอสที่หวังจะครอบครองพลังของพวกท่านโดยอาศัยความเชื่อมโยงของคู่แห่งชะตา เมื่อผ่านพ้นคืนแต่งงาน เมื่อท่านวินเซนต์ตัดสินใจข้ามฝั่งเลือกจะมีอายุขัยเทียบเท่ามนุษย์ พวกมันจะสังหารท่านทิ้งทันทีเพราะมั่นใจว่าพลังคงไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของท่านเซย์แน่นอน”
“อาข้าพูดถูกสินะ เขาช่วยดาร์ซี่ไว้”
“ก็แค่ส่วนเดียวเจ้าค่ะ เพราะทันทีที่ท่านเซย์ล่วงรู้ถึงแผนลับนี้ พวกดาร์ซี่เองชิงสังหารท่านเซย์ทิ้งเสียคืนนั้น แล้วตั้งใจจะใช้ช่องว่างของความสูญเสียยึดครองพลังทั้งหมดไว้เอง ที่สำคัญกว่านั้น การ์เลนไม่ใช่อาของท่านวินเซนต์หรอกนะเจ้าคะ มันช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างจากท่านมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“ตั้งแต่ที่รู้ว่าท่านคือคู่แห่งชะตาในรอบพันปี พวกมันที่คิดคดก็รวมหัวกัน สังหารครอบครัวดาร์ซี่แล้วยึดอำนาจแทน เลี้ยงดูท่านมาในฐานะอาเพื่อรอวันที่แผนการณ์ประสบผลสำเร็จ”
“โดนหักหลังทั้งคู่เลยสินะคะ” เดซี่ถอนหายใจเพราะความหนักหนาของอารมณ์เพิ่งแล่นเข้ามากดทับหน้าอกแน่นจนเกินไป
“อีรอสล่มสลายแล้วด้วยน้ำมือของการ์เลน แต่พลังของท่านวินเซนต์ยังคงไหลไปหาส่วนเสี้ยวที่ฝ่ายดาร์ซี่ครอบครองไว้เสมอ ท่านเซย์จึงตัดสินใจพาทุกคนหลบหนีมามิตินี้ ลบความทรงจำแล้วบิดเบือนในบางส่วนเสียใหม่ อันที่จริงเวลาไม่ได้ผ่านนานหลายร้อยปีอย่างที่ท่านเข้าใจหรอกเจ้าค่ะ มันเกิดเทียบเท่าอายุของเดซี่ต่างหาก”
เฮเลน่าหยุดพักหายใจหลังร่ายเรื่องราวยาวยืดจนเหนื่อยหอบ ก็หญิงชราอายุเฉียดร้อยแม้จะมีพลังของอีรอสไหลเวียนอยู่ภายในสายเลือดจะทำให้ร่างกายแข็งแรงกว่าคนปกติธรรมดาก็ตาม
“ในระหว่างนั้นที่หลบหนีก็ตามหาทุกวิธีเพื่อแก้ปัญหา ท่านเซย์ตัดสินใจผนึกร่างกายตัวเองไว้ด้วยวิธีโบราณที่หาเจอในตำรายุคเก่าของมิติเวลาอื่นค่ะ”
“วิธีโบราณงั้นรึ”
“ว่ากันว่าหากพันร่างกายไว้ด้วยผ้าลินินสีขาวแช่น้ำยาชนิดพิเศษหรือที่เรียกว่า ‘มัมมี่’ จะสามารถเก็บรักษาเรือนร่างไว้เพื่อรอจิตวิญญาณหวนกลับคืนอีกครั้งเจ้าค่ะ แต่ท่านพิเศษกว่านั้นคือใช้เส้นผมเป็นตัวช่วยผนึกแทน”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร ต้องตัดเส้นผมพวกนี้ทิ้งสินะ”
“อย่าเจ้าค่ะ เส้นผมของท่านเซย์คือเครื่องช่วยรักษาร่างกายไว้ หากจิตวิญญาณยังไม่หวนกลับคืนจะเป็นอันตรายได้เจ้าค่ะ”
“จิตวิญญาณงั้นรึ”
“จิตวิญญาณของอีรอสที่หลุดลอยออกไปทันทีที่ท่านวินเซนต์เปลี่ยนเธอให้เป็นแวมไพร์”
ทั้งคู่เหลียวมามองหญิงสาวหลังห้องผู้ยืนฟังอย่างเงียบเชียบ พยายามคิดตามให้ทันทุกถ้อยสนทนาอย่างยากเย็น
“นางสินะ”
“เจ้าค่ะ ข้ารับหน้าที่ดูแลให้เรื่อยมา”
“หนูเหรอคะ” เดซี่ชะงักค้าง ยกนิ้วชี้จิ้มหน้าอกของตนเป็นเชิงถามให้อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ
“จ๊ะ หลานนั่นแหละเดซี่”
“ข้าถึงเห็นรอยร้าวในจิตวิญญาณของนาง เห็นกระทั่งส่วนเสี้ยวของความรักด้วยซ้ำ”
“ไม่น่าใช่มั้งคะ” เดซี่ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธความคิดบ้าบอนี้ แต่ก็ขมวดคิ้วแน่นที่ไม่มีใครคล้อยตามมาเลยสักคน ยังเอาแต่จับจ้องมองแล้วตกลงปลงใจกันเองฝ่ายเดียว
“หากความรักคือตัวผูกผนึก มันย่อมต้องใช้ความรักคลายผนึกนั้น”
วินเซนต์เคลื่อนตัวเข้าหาแล้วโอบร่างของเดซี่ไว้ด้วยนัยน์ตาทอประกายฉายห้วงแห่งรักหวานซึ้ง มันทำให้หัวใจอ่อนยวบราวถูกหลอมละลายด้วยใบหน้าหล่อเหลาของเขา แต่สติอีกส่วนก็ยังดีเยี่ยม ยังพอเหลือเรี่ยวแรงขัดขืนไม่ว่าเขาตั้งใจจะทำสิ่งใดอยู่
“ทะ…ท่านจะทำอะไรคะ คุณย่า ช่วยหนูด้วย”
“หัวใจบอกข้าเสมอไม่ว่าจะเซย์หรือเดซี่…ล้วนเป็นเจ้า”
ริมฝีปากอุ่นทาบทับพร้อมแสงประกายฉายความทรงจำเลือนรางให้ย้อนกลับชัดเจนสู่ห้วงคำนึง
หยดเลือดจากเขี้ยวเงาวับหลังถอนคมขึ้นมาจากต้นคอของหญิงสาวคือเครื่องยืนยันความเป็นดาร์ซี่ได้ดีกว่าคำพูดใดเสียอีก
เซย์เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว สองมือเกาะกุมต้นคอของตนไว้ ในขณะที่นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำดั่งดอกกุหลาบหนามดาร์ซี่
“ท่านทำอะไรลงไปวินซ์”
“เซย์ยอดรัก เจ้ากลับมาแล้ว”
“ทำไมวินเซนต์ ทำทำไม!!!”
ระเบิดพลังมหาศาลเพิ่งทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว คฤหาสน์ทั้งหลังพังครืนลงมา วินเซนต์ใช้พลังปัดป้องมันไว้ให้พ้นทาง ก่อนจะโอบกอดหญิงผู้เป็นที่รักไว้แนบแน่น แม้อีกฝ่ายพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นแค่ไหนก็ตาม น้ำตาไหลรินจากหัวใจเมื่อนับจากนี้ตนไม่อาจก้าวข้ามผ่านความตายได้อีกต่อไปแล้ว
“ข้าเกลียดท่าน”
“เซย์…”
“ก็ไหนท่านสัญญาแล้ว เราจะไม่เอาชีวิตนิรันดร์แต่จะใช้ทุกวินาทีด้วยรักจนลมหายใจสุดท้าย เราจะโอบรับแสงตะวัน เรา…เราไม่ควรพบกัน ท่านไม่น่าช่วยข้าไว้เลยวินเซนต์”
เสียงร่ำไห้ระงมไปรอบห้องใต้ดินเย็นเยียบ มันกรีดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจของวินเซนต์พอกันกับเซย์ที่เจ็บเจียนตายแต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อีกต่อไปแล้ว
“ทำไมไม่ปล่อยข้าไป ทำไม”
“ข้าจะปล่อยให้เจ้าตายไปทั้งอย่างนั้นได้ยังไงกัน ข้าทำลงไปเพื่อช่วยเจ้านะ”
“แต่ข้าไม่ต้องการ!”
“ข้าขอโทษ”
“ข้าเกลียดท่านวินเซนต์ เกลียดเหลือเกิน...”
“ข้าขอโทษ…”
หยดน้ำจากฟ้าตกกระทบใบหน้า ต่อให้ย้อนเวลากลับไปอีกกี่ครั้งก็ยังเลือกแบบเดิมไม่เปลี่ยน
“เสี้ยววินาทีที่ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่มือเอื้อมสัมผัส เจ้าจะเลือกสิ่งใด”
“ข้าเลือกจะตาย”
ภาพอดีตจางหายพร้อมเดซี่ที่ค่อย ๆ สลายร่างไปกับสายลมพัดวนหวนคืนสู่ตัวตนเดิม เส้นผมยาวสยายกำลังคลายผนึกออกทีละนิด เปิดเผยใบหน้าของเซย์ อีรอสต่อสายตาเป็นครั้งแรก ความงดงามยังคงเดิมหากจะมีเพิ่มเติมคงเป็นสีสันบนเรือนผมที่เพิ่งแต้มไว้ด้วยสีแดงสดของดอกกุหลาบหนาม เซย์ลืมตาพร้อมสีฟ้าใสเช่นเดียวกับเดซี่ หากแต่รอยยิ้มอ่อนหวานยังคงครอบครองหัวใจให้ไหวยวบไม่เปลี่ยนเลย
วินเซนต์โผเข้าหา เซย์ฝังใบหน้าลงกับแผ่นอก
“เซย์ของข้า...ยอดรักของข้า”
จบ
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน ขอบคุณจากหัวใจค่ะ
มีตอนพิเศษแถมให้ด้วยน้าา...