ณ เมืองแห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ เกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่ไม่มีพยานรู้เห็นแม้แต่คนเดียว ทั้งที่ร่างของผู้ตายถูกเสียบคาไว้กับหอกของรูปปั้นใจกลางจัตุรัส ... บางคนเล่าว่ามันเป็นฝีมือของ "ปีศาจผู้ใช้คุณไสย"

Bloody Christmas : คดีจัตุรัสสีเลือด - ACT I ศพที่ถูกฆ่ากลางจัตุรัส โดย Fresh-Bluebird 🐦 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พารานอมอล,ลึกลับ,อาชญากรรม,สยองขวัญ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ผจญภัย,ผี,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์,คุณไสย,ฆาตกรรม,เหนือธรรมชาติ​,ลึกลับ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Bloody Christmas : คดีจัตุรัสสีเลือด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พารานอมอล,ลึกลับ,อาชญากรรม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สยองขวัญ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ผจญภัย,ผี,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์,คุณไสย,ฆาตกรรม,เหนือธรรมชาติ​,ลึกลับ

รายละเอียด

Bloody Christmas : คดีจัตุรัสสีเลือด โดย Fresh-Bluebird 🐦 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ณ เมืองแห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ เกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่ไม่มีพยานรู้เห็นแม้แต่คนเดียว ทั้งที่ร่างของผู้ตายถูกเสียบคาไว้กับหอกของรูปปั้นใจกลางจัตุรัส ... บางคนเล่าว่ามันเป็นฝีมือของ "ปีศาจผู้ใช้คุณไสย"

ผู้แต่ง

Fresh-Bluebird 🐦

เรื่องย่อ

ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ณ เมืองท่าแห่งหนึ่งในมณฑลฟินมาร์ก ประเทศนอร์เวย์ เกิดคดีฆาตกรรมที่ไม่มีผู้พบเห็นเหตุการณ์แม้แต่คนเดียวแม้คนร้ายจะกระทำการอย่างอุกอาจโดยการแสดงโชว์ศพเหยื่อของตัวเอง ณ กลางจัตุรัสของเมือง ตำรวจพยายามสืบหาข้อมูลอย่างเต็มที่แต่ก็พบเจอแต่ทางตัน เลยเกิดทฤษฎีเหนือธรรมชาติที่ว่า เหตุการณ์ทั้งหมด เกิดจาก "ฆาตรกรผู้ใช้คุณไสยคำสาป"

 

นิยายเรื่องนี้ แต่งขึ้นเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม

รถแห่ชวนเขียน Vol.8 #นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์ 

(Keyword : ปีศาจแครมปัส, มาร์ชเมลโล่, คนจร, ทูตสวรรค์)

นิยายมีเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง 

ทุกตัวละครและสถานที่ที่กล่าวถึงในเรื่อง เป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น 

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

สารบัญ

Bloody Christmas : คดีจัตุรัสสีเลือด-ACT I ศพที่ถูกฆ่ากลางจัตุรัส,Bloody Christmas : คดีจัตุรัสสีเลือด-ACT II แรงพยาบาทที่ซ่อนอยู่,Bloody Christmas : คดีจัตุรัสสีเลือด-ACT III ปิดม่านจัตุรัสสีเลือด

เนื้อหา

ACT I ศพที่ถูกฆ่ากลางจัตุรัส

นอร์เวย์ – 22 ธันวาคม 2015, 20.00 น. - เมืองท่าแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของมณฑลฟินมาร์ก

สายลมช่วงฤดูหนาวพัดผ่านเมืองเล็ก ๆ ณ เกือบสุดชายขอบทะเลนอร์วีเจียน บ้านไม้สีแดงสลับขาวอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับ ตึกศูนย์การค้าและสถานที่ราชการตั้งเรียงรายเป็นกลุ่มก้อนอยู่รอบ ๆ จัตุรัสกลางเมืองที่มีอนุสาวรีย์อัศวินขี่ม้าชูหอกสงครามตั้งเด่นเป็นสง่าพร้อมด้วยบ่อน้ำพุรูปวงกลม ชาวเมืองส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำประมงเนื่องด้วยสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก แต่ถึงกระนั้นเมืองแห่งนี้ก็ยังถือว่าเป็นเมืองที่ไม่ได้ด้อยความศิวิไลมากนัก ยังคงมีนักท่องเที่ยวทั้งจากในนอร์เวย์เองและจากต่างประเทศที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอย่างไม่ขาดสาย สาเหตุที่เป็นแบบนั้นส่วนหนึ่งคงเพราะวิวทิวทรรศน์อันสวยงามที่ถูกล้อมรอบด้านข้างด้วยเทือกเขาก่อนจะออกไปสู่ท้องทะเลใหญ่

ในค่ำคืนก่อนช่วงวันคริสต์มาสอีฟ จัตุรัสกลางเมืองเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวเมืองที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อนำข้าวของไปใช้จัดเตรียมงานฉลองในวันรุ่งขึ้น แม้ความหนาแน่นของประชากรจะไม่มากขนาดห้าแยกชิบูย่าของประเทศญี่ปุ่น แต่ก็มากกว่าวันนอกเทศกาลที่เหลือแต่ชาวเมืองเดินเท้าไม่กี่สิบชีวิต

เป้ง ๆ !!

เสียงระฆังของโบสถ์ตีดังบอกเวลา 20.00 น. ผู้คนหลายร้อยชีวิตในจัตุรัสแบ่งสมาธิเพียงชั่วครู่เพื่อสนใจเสียงนั้น แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าในช่วงอึดใจต่อมา ภายใต้แสงสีของการเฉลิมฉลอง เหตุการณ์สะเทือนขวัญที่จะสั่นประสาทพวกเขาไปตลอดช่วงสิ้นปี กำลังอุบัติขึ้นเหนือศีรษะไปไม่กี่เมตร

ปรี๊ด !!!

เสียงนกหวีดจากตำรวจท้องที่ ดึงความสนใจคนทั้งจัตุรัสให้หันไปมองทางเขา นายตำรวจหนุ่มที่ดูเหมือนจะเพิ่งเข้าบรรจุได้ไม่กี่สัปดาห์ตาเบิกโพลงพลางชี้มือไปยังยอดของอนุสาวรีย์ที่บัดนี้ถูกฉาบย้อมไปด้วยสีแดงฉาน

“กรี๊ด !!!!!!” เสียงหวีดร้องอย่างหวาดกลัวดังจากทั่วทุกสารทิศ เมื่อทุกคนได้พบกับภาพอันน่าสยดสยองเองกับตา ร่างของชายวัยกลางคนในชุดโค้ตสีน้ำตาลอ่อนถูกหอกของรูปปั้นกลางจัตุรัสเสียบทะลุกลางอก นอนหลังแอ่นตาเหลือกอ้าปากค้างตายสนิทพร้อมด้วยโลหิตที่ยังทะลักออกมาไม่ขาดสาย มวลความวุ่นวายเริ่มปรากฏขึ้นทั่วทุกหัวระแหง ผู้คนต่างวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น เหลือเพียงเหล่าตำรวจไม่กี่นายที่ยังพอคุมสติได้ พวกเขารีบวิทยุแจ้งเหตุไปยังศูนย์บัญชาการเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

แต่ภายใต้ความโกลาหลนั้น ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนที่ดูสงบนิ่ง ราวกับรอบตัวไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่อีกคน

 

London Bridge is falling down ~, falling down ~, falling down ~,

(สะพานลอนดอนได้พังลงมา ~ พังลงมา ~ พังลงมา ~)

London Bridge is falling down ~, My fair lady ~.

(สะพานลอนดอนได้พังลงมา ~ นางฟ้าของฉัน ~)

 

ทำนองเพลงกล่อมเด็ก London Bridge ดังขึ้นเคล้าไปกับบรรยากาศของผู้คนที่แตกตื่น และเจ้าของทำนองนั้น คือชายไร้บ้านในชุดเสื้อโค้ตสีดำพร้อมหมวกปีกใบใหญ่ปิดบังใบหน้า เขากำลังนั่งสีเครื่องสายพื้นเมืองที่ลักษณะคล้ายไวโอลินอยู่ข้างตึกศูนย์การค้าถัดจากจัตุรัส ดูจากลังกระดาษใส่เงินที่วางอยู่ตรงหน้าเขา นี่คงเป็นการแสดงเปิดหมวกเพื่อหาเศษเงินประทังชีวิต

“ขอให้ประชาชนทุกคนอยู่ในความสงบ และกลับที่พักของตัวเองด้วยครับ ทางกรมตำรวจจะจัดเวรยามลาดตระเวนตลอดคืน หากไม่มีเหตุจำเป็น แนะนำให้ทุกคนอยู่ภายในที่พักตลอดคืนนี้” เสียงตามสายถูกประกาศไปทั่วเมืองเพื่อพยายามบรรเทาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และในขณะที่ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวต่างรีบลี้ภัยกลับที่พัก กลับปรากฏร่างของชายคนหนึ่งในชุดเสื้อฮู้ดคลุมหัวเดินสวนกระแสมวลชนกลับไปทางจัตุรัส

แกร๊ง !!

เสียงเหรียญ 20 โครนนอร์เวย์ ดังกระทบเหรียญอื่นในลังกระดาษของชายไร้บ้าน เขาหยุดมือจากเครื่องสีเพียงชั่วครู่เพื่อโค้งคำนับให้กับผู้ใจบุญเสื้อฮู้ดที่เพิ่งเดินผ่านเขาไป

“ผมชอบเพลงนี้นะ ... ขอบคุณที่เล่นให้ฟัง” ชายเสื้อฮู้ดเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวเขาในทุกที่ที่เดินผ่าน

 

ปริศนา กลิ่นคาวเลือด และ ความโกลาหล กลายเป็นเรื่องทอคออฟเดอะทาวน์ในชั่วข้ามคืน

จะว่าเป็นเหตุฆาตกรรม ก็ไร้ซึ่งหลักฐาน ไร้ซึ่งพยานแวดล้อม ไม่มีใครเห็นความเคลื่อนไหวใด ๆ เลย จนกระทั่งชายผู้เคราะห์ร้ายกลายเป็นศพอยู่บนยอดอนุสาวรีย์ บ้างก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของปีศาจแครมปัส ที่ปรากฏกายขึ้นเพื่อลงโทษคนบาปในคืนคริสต์มาส บ้างก็เชื่อว่าเป็นฝีมือเทวทูตที่อยู่ในอาการเบื่อหน่าย อยากฆ่าเวลาอันเป็นนิรันด์ของตัวเองโดยการลองเล่นคุณไสยปลิดชีพมนุษย์

แล้วความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่หลังม่านแห่งความพิศวงนั้นคืออะไรกันแน่ ?

 

18.30 น. ของวันต่อมา

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ” เสียงเล่าย้อนความตามมาด้วยเสียงถอนหายใจดังมาจากบริกรหนุ่มที่ทำหน้าที่เสิร์ฟกาแฟอุ่นเพื่อคลายหนาวให้แก่นักท่องเที่ยวสองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์บาร์ในโรงแรม บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา เพราะมีแค่ลูกค้าขาจรไม่กี่คนที่ยังคงตัดสินใจจะอยู่หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญไปเมื่อคืนวาน “พอข่าวการฆาตกรรมแพร่ออกไป ลูกค้าหลายคนก็รีบเช็กเอาท์ออกไปเมื่อกลางวันนี้เองครับ”

“พวกตำรวจในเมืองไม่ได้สร้างความมั่นใจอะไรให้กับนักท่องเที่ยวเลยเหรอครับ” นักท่องเที่ยวคนแรกเริ่มเปิดประเด็น เขาเป็นชายชราชาวเอเชียอายุราว ๆ60 ปี ที่มีส่วนสูงเกือบ 2 เมตร พร้อมมัดกล้ามเนื้อที่แทบจะทะลุเสื้อโค้ตตัวหนาออกมา ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผมหงอกทรงอันเดอร์คัทที่ตัดมาอย่างดีเหมือนพวกดาราฮอลลีวูดที่แก่แล้วแต่ยังดูมีเสน่ห์ฟีลแด๊ดดี้

“จริง ๆ พวกนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรกันขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่โรงแรมของเราอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุด ทุกคนเลยขอย้ายโรงแรมไปโซนชานเมือง ห่างจากนี่ประมาณไมล์ครึ่งน่ะครับ” บริกรหนุ่มเล่าต่อถึงผลกระทบที่โรงแรมของเขาดูจะโดนเข้าเต็ม ๆ

“แสดงว่างานคนเดินที่จัตุรัสก็ยังจะมีต่อในคืนนี้ใช่ไหมคะ ?” นักท่องเที่ยวคนที่สองเป็นคนเอ่ยถามบ้าง เธอเป็นหญิงวัยกลางคน ดูจากภายนอกอายุราว ๆ40 ปลาย ๆ แต่ยังคงความเริ่ดเชิดผ่านหุ่นเพรียวสะโอดสะองกับผมซอยสั้นสีแดงสว่างอย่างกับเด็กสาววัยรุ่น

“นายกเทศมนตรี ยืนยันจะจัดต่อครับ เขาบอกจะเพิ่มกำลังตำรวจเป็นสองเท่า แต่ถ้าให้พูดตามตรง ผมไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลย ... เมื่อเช้า ผมได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่ที่มาตั้งวงกินกาแฟที่ล็อบบี้โรงแรม บอกว่าเป็นฝีมือของปีศาจน่ะครับ” บริกรหนุ่มเล่าพร้อมกับทำท่าขนลุกสุดสมจริง

“ปีศาจเหรอครับ ?” ชายชราขมวดคิ้วพร้อมตั้งต่าฟังอย่างสนใจ

“เอ่อ ... ปีศาจแครมปัสน่ะครับ แต่พวกคุณคงไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ ผมเข้าใจ เพราะตอนแรกที่ได้ยิน ผมก็แอบเอ๊ะอยู่นิด ๆ เหมือนกัน แต่เดาจากการที่พวกตำรวจยังหัวหมุนกันอยู่แบบนี้ ก็น่าจะมาจากการที่จับตัวฆาตกรไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ เมืองของเราประชากรรวมกันยังไม่ถึงพันคนเลย ถ้าเป็นฝีมือของคนจริง ๆ พวกเขาก็น่าจะจับคนร้ายได้แล้วนะ” บริกรหนุ่มพูดข้อสันนิษฐานของตัวเอง ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้หากคนคนหนึ่งจะคิดเลยเถิดไปไกลถึงเรื่องราวเหนือธรรมชาติ

“ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อนะคะ ... จริง ๆ นั่นก็เป็นเหตุผลที่เรามาที่นี่” นักท่องเที่ยวหญิงพูดประโยคปริศนา ทำเอาบริกรหนุ่มเอียงคอด้วยความสงสัย

“เอ้อ ... พวกเขามาสายนะ ผมว่าเราเอาของขึ้นไปเก็บกันก่อนดีกว่า” ชายชราเสนอความเห็นแก่ผู้ร่วมทาง ฝ่ายคุณผู้หญิงก็พยักหน้าเห็นด้วย บริกรหนุ่มเลยผายมือเชิญพวกเขาทั้งสองคนไปยังจุดลงทะเบียน

“รบกวนลงชื่อตรงนี้นะครับ ... เอ่อ และด้วยคดีที่เพิ่งเกิดขึ้น ทางตำรวจเลยขอความร่วมมือ ให้โรงแรมทุกแห่งเก็บชื่อคนเข้าพักทุกคนไว้ด้วยน่ะครับ พวกคุณจองห้องพักไว้ ... 2 ห้อง ใช่ไหมครับ นอนแยกกันเหรอ ?” บริกรหนุ่มเอ่ยถาม

“อ้อ ... ไม่ครับ พวกเรามากันสามคน ผมกับสุภาพสตรีท่านนี้จะนอนด้วยกัน ส่วนอีกคน จริง ๆ เขามาที่เมืองนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว น่าจะมาถึงก่อนเกิดคดีด้วยซ้ำ แต่ดูแล้วคงจะยังไม่ได้เข้ามาที่นี่ ยังไงผมลงชื่อเขาไว้ให้แทนนะครับ” ชายชราพูดบอก บริกรก็ชี้ไปยังช่องบนกระดาษที่พวกเขาต้องลงชื่อ

ปึ้ง !!

เสียงเปิดประตูล็อบบี้โรงแรมดังขึ้นพร้อมการเดินเข้ามาของคนสามคน สองคนใส่ชุดโค้ตที่มีตราตำรวจ ส่วนอีกคนแต่งตัวดูภูมิฐานด้วยชุดสูทกันหนาวแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของเขาที่น่าจะสูงพอสมควร

Mr. ฤทธิเดช ขออภัยด้วย พวกเรามาสายสินะครับ” ตำรวจคนแรกที่ดูท่าทางแก่กว่าตำรวจอีกคนเดินมาทักทายนักท่องเที่ยวทั้งสองตรงล็อบบี้อย่างเป็นกันเองราวกับพวกเขารู้จักกันมาก่อน

สารวัตรมาร์ติน ไม่เป็นไรเลยครับ จริง ๆ พวกเราก็เพิ่งมาถึง” ชายชราที่เพิ่งถูกเอ่ยชื่อ จับมือทักทายกับนายตำรวจใหญ่ผู้ดูแลเมืองนี้ ทั้งยังโกหกเรื่องที่พวกเขามารอนานกว่าชั่วโมง เพื่อรักษาหน้าสารวัตรด้วย

Miss จูดี้ ไม่ได้เจอกันนานนะครับ คงตั้งแต่ฤดูหนาวเมื่อห้าปีที่แล้ว” สารวัตรเปลี่ยนมาทักทายนักท่องเที่ยวหญิง ซึ่งเธอก็ยิ้มรับอย่างอ่อนโยน

“นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะตอบรับจดหมายของพวกเราเร็วขนาดนี้ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับพวกคุณทั้งสองคนครับ” ชายอีกคนที่มากับสารวัตรมาร์ติน เดินเข้ามาร่วมวงทักทายของคนทั้งสามด้วย เขาเป็นชายร่างอ้วนท้วน แต่หน้าตาดูเป็นมิตรเหมือนคนแก่ชาวยุโรปที่มีฐานะทั่วไป

“คนนี้คือท่าน นายกเทศมนตรีลูก้า ท่านเพิ่งมารับตำแหน่งได้ 4 ปี คงเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก” สารวัตรมาร์ตินจัดการเป็นตัวกลางแนะนำผู้มีเกียรติจากทั้งสองฝั่ง

“พวกที่ วาติกัน คงเห็นความผิดปกติในรูปคดีอย่างชัดเจน แถมพวกเรายังมีแพลนจะมาเที่ยวที่นี่วันนี้พอดี จะเรียกว่าโชคดีก็ได้นะครับ” ฤทธิเดชอธิบายพลางจับมือทักทายกับท่านนายกไปด้วย

“เอ่อ ... พวกวาติกันเหรอครับ?ถ้าแบบนั้นพวกเขาก็เป็น ... พวกหมอผี ...” บริกรหนุ่มที่ได้ยินเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นถึงกับอ้าปากค้าง

“ใช่แล้ว ดูแลพวกเขาอย่างดีเลยนะ สองคนนี้คือ Mr. ฤทธิเดช กับ Miss จูดี้ จากตระกูลวอร์เรน สองมือปราบวิญญาณที่เก่งที่สุดของสภาศักดิ์สิทธิ์วาติกัน” สารวัตรมาร์ตินประกาศสถานะของนักท่องเที่ยวทั้งสอง “เขาสองคนเป็นคนไขคดีผู้ใช้คุณไสยมืดที่เมืองแวดโซ Miss จูดี้ กับน้ำหอมติดตามไสยเวทย์ของเธอติดตามร่องรอยของพวกมันไปจนถึงที่กบดาน ก่อนจะส่งต่อให้ Mr. ฤทธิเดช จัดการทลายรังของพวกมันด้วยตัวคนเดียว”

“คุณก็พูดเกินไปนะมาร์ติน แล้วคุณจะไม่แนะนำพ่อหนุ่มคนนี้ให้พวกเรารู้จักหน่อยเหรอ?” จูดี้พูดอย่างถ่อมตัวพลางหันไปสนใจตำรวจหนุ่มอีกคนที่ตามสารวัตรมา

“อ้อ นี่จ่าเอริค เขาเพิ่งย้ายมาทำงานที่นี่ได้ไม่ถึงเดือนก็เจอเรื่องใหญ่ซะแล้ว” สารวัตรมาร์ตินตบไปที่บ่าของนายตำรวจหนุ่มเบา ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็โค้งให้กับแขกทั้งสองด้วยท่าทีเขินอายเล็ก ๆ “ผมพาเขามาด้วย เพราะเขาเป็นคนแรกที่พบเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ถ้าได้ฟังข้อมูลจากปากของเขา ผมว่าน่าจะเป็นความคิดที่ดี”

“ส ... สวัสดีครับ หวังว่าข้อมูลจากผมจะพอช่วยอะไรได้นะครับ” จ่าเอริคโค้งอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ให้กับฤทธิเดชและจูดี้ ดูจากภายนอกเขาเหมือนเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ขัดรูปลักษณ์ใบหน้าที่หล่อเหลา ผิวขาวสว่าง ตาสีฟ้าใส ผมสีบลอนด์ทองแบบหนุ่มยุโรปเหนือ

“คุณช่วยเราได้มากแน่ ๆ ไม่ต้องกังวลนะครับ” ฤทธิเดชพยายามพูดผ่อนคลายความเกร็งของตำรวจหนุ่ม

“นี่ก็จะทุ่มแล้ว พวกเราควรไปดูสถานที่เกิดเหตุกันเลยดีไหม ?” จูดี้เสนอไอเดีย ฤทธิเดชพยักหน้าเห็นด้วย

“ถ้าแบบนั้น ผมรบกวนช่วยยกกระเป๋าของพวกเขาไปไว้ที่ห้องพักด้วยนะครับ ส่วนค่าที่พักส่งบิลมาเก็บกับสำนักงานตำรวจได้เลย” สารวัตรมาร์ตินจัดแจงบอกกับบริกรหนุ่ม ก่อนจะยื่นแบงค์ 1,000 โครนนอร์เวย์ ให้กับเขา แทนค่าเหนื่อย “เชิญทางนี้เลยครับทั้งสองคน”

“อ๊ะ !! เดี๋ยวครับ ผมลืมถามไปว่า กระเป๋านี้เป็นของพวกคุณแค่สองคนเหรอครับ ... ไม่มีของแขกอีกคนใช่ไหม ?” บริกรที่เพิ่งนึกขึ้นได้พยายามตะโกนถามแต่ไม่ทันการณ์ เพราะกลุ่มของสารวัตรมาร์ตินกับผู้มาเยือนได้เดินออกจากโรงแรมไปแล้ว บริกรโรงแรมเลยก้มหน้าลงไปอ่านที่ชื่อของแขกอีกคนบนกระดาษแทน เผื่อพวกเขาจะติดแท็กป้ายไว้ที่กระเป๋า “ของแขกอีกคนที่ห้อง 1013 ... Mr. เอเซอร์ ...”

 

จัตุรัสกลางเมือง 19.30 น.

สารวัตรมาร์ติน พา ฤทธิเดช กับ จูดี้ มาเฝ้าสังเกตการณ์ที่ร้านกาแฟกลางแจ้งที่มองเห็นรอบ ๆ จัตุรัสได้ชัดเจน โดยมี จ่าเอริค กับ ท่านนายกเทศมนตรีลูก้าคอยช่วยให้คำแนะนำอีกแรง ที่ลานคนเดินวันนี้มีคนมาเดินเลือกซื้อของน้อยลงจากเมื่อวานอย่างชัดเจนแม้จะเป็นคืนก่อนคริสต์มาสอีฟ แต่ประมาณจากสายตาแล้ว ก็ยังน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยคน

“พบเจอเขาอยู่บนนั้นครับ ตอนประมาณ 2 ทุ่ม” จ่าเอริคชี้นิ้วไปที่รูปปั้นอัศวินตรงกลางจัตุรัส จุดที่เขาพบศพชายนิรนามเมื่อวันก่อน “มันไม่มีสัญญาณอะไรเลย ไม่มีเสียงร้อง มันเหมือนกับ ... ทุกอย่างถูกเสกขึ้นมาจากอากาศ เราสืบพยานจากทุกคนที่เห็นเหตุการณ์แล้ว ทุกคนให้การเหมือนกันครับ”

“ข้อมูลผู้เสียชีวิตล่ะครับ ?” ฤทธิเดชเอ่ยถาม

ออสการ์ ออสติการ์ด นักธุรกิจด้านการประมง เดินทางมาจากออสโล (เมืองหลวงประเทศนอร์เวย์) เมืองวันที่ 20 ธันวาคม เพื่อคุยเรื่องการซื้อกิจการเรือประมงครับ” สารวัตรมาร์ตินเปิดแฟ้มข้อมูลรายงานผลกับฤทธิ์เดช

“ไม่มีผู้ต้องสงสัยเลยเหรอคะ คนที่เราพอจะตีวงได้” จูดี้ถามเสริม

“เอาจริง ๆ จากหลักฐานแวดล้อม มีคนสองคนที่เราพบจากกล้องวงจรปิดครับ” สารวัตรมาร์ตินเปิดโน้ตบุ๊คที่ฉายภาพกล้องวงจรปิดให้ ฤทธิเดช กับ จูดี้ ดู “พวกเขาดูแตกต่างจากคนทั่วไปที่ตอนนั้นพากันวิ่งหนี”

ภายในกล้องวงจรปิดฉายให้เห็นภาพช่วงที่ผู้คนเริ่มเห็นเหตุการณ์และกรีดร้อง ภาพชายขอทานที่นั่งสีเครื่องดนตรีอยู่ที่มุมหนึ่งของจัตุรัส กับ ภาพชายที่ใส่ฮู้ดคลุมหัวจนกล้องไม่อาจจับใบหน้าได้ ซึ่งสิ่งที่ทั้งสองคนมีเหมือนกันคือ ท่าทางที่ดูไม่ทุกข์ร้อนเหมือนประชาชนคนอื่น ๆ ชายขอทานยังคงนั่งบรรเลงเปิดหมวกต่อไป เช่นเดียวกับชายใส่ฮู้ดคลุมหัวที่ยืนจ้องมองศพกลางจัตุรัสอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินหายไปจากจุดที่กล้องจับภาพได้

“ภาพนี้เริ่มที่เวลา 20 : 00 : 40 น. มีภาพก่อนหน้านี้ไหมครับ ?” ฤทธิเดชถามหาข้อมูลเพิ่มเติม

“นี่แหละครับที่น่าแปลก เมื่อช่วงเวลาประมาณ 19 : 59 : 40 น. กล้องถูกคลื่นพลังงานบางอย่างรบกวนทำให้สัญญาณภาพหายไปชั่วคราว กว่าจะติดขึ้นมาอีกครั้งก็ตามเวลาบนกล้องนั่นแหละครับ” สารวัตรถึงกับถอนหายใจ เมื่อต้องพูดถึงหลักฐานสำคัญที่หายไป

“อืม ... น่าสนใจจริง ๆ1 นาที ที่กล้องดับงั้นเหรอ ?” ฤทธิเดชอุทานเบา ๆ ในท่านั่งมือประสานกันจรดที่ระหว่างคิ้วเหมือนคนใช้ความคิด

“สารวัตรครับ ถึงช่วงเวลาเข้าเวรของผมแล้ว ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ” จ่าเอริคกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของสารวัตรมาร์ติน เขาเพยิดหน้าเล็ก ๆ ให้กับตำรวจหนุ่มใต้บังคับบัญชาแทนสัญญาณบอกให้ไปได้

“ถ้างั้น ... เรามาพุ่งประเด็นไปที่ผู้ต้องสงสัยหลักกันดีไหมคะ?เริ่มจากชายขอทานคนนี้ พอจะทราบข้อมูลของเขาไหม” จูดี้เริ่มพุ่งประเด็นไปที่ชายน่าสงสัยทั้งสองคนในกล้อง

“เขาชื่อ คอร์ริน เบิร์ก เคยเป็นชาวประมงที่มีเรือหาปลาเป็นของตัวเอง แต่ดูเหมือนเขาจะขายมันทิ้งไปเมื่อประมาณ 3 ปี ก่อนจะกลายมาเป็นคนเร่ร่อนอย่างที่พวกเราเห็น” นายกเทศมนตรีลูก้า อาสาเป็นคนบอกประวัติของชายขอทานให้มือปราบวิญญาณทั้งสองคนได้ฟัง

“แล้วชายใส่ฮู้ดคนนี้ พอจะมีข้อมูลของเขาไหมคะ ?” จูดี้เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นชายอีกคน หลังจากรู้ประวัติชายคนแรกแล้ว

“เนื่องจากกล้องจับใบหน้าไม่ได้ เราเลยระบุตัวไม่ได้ครับ แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่คนในพื้นที่ เพราะจากการสอบถามคนพยาน ไม่มีใครเคยเห็นเขามาก่อนเลย” สารวัตรมาร์ตินตอบ

“อืม ... แต่ผมว่าท่าเดินของเขามันคุ้น ๆ อยู่นะ” ฤทธิเดชพยายามเพ่งมองภาพในกล้องวงจรปิดที่ถ่ายติดชายใส่ฮู้ดอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับจูดี้ “ไม่น่านะ ...”

เป้ง ๆ !!

เสียงระฆังของโบสถ์ตีดังบอกเวลา 20.00 น. คล้ายกับเมื่อวาน และด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์ ทุกคนบนโต๊ะก็เหลือบไปมองตามต้นเสียงพร้อมกัน

ปรี๊ด !!

ราวกับภาพฉายซ้ำของเมื่อวาน เมื่อไม่กี่อึดใจหลังจากเสียงระฆัง ก็บังเกิดเสียงนกหวีดจากสายตรวจดังลั่นไปทั่วจัตุรัส คนกว่าร้อยชีวิตในที่แห่งนั้นหันไปมองทางต้นเสียงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“กรี๊ด !!!!” เสียงกรีดร้องดังสนั่นแต่เบากว่าเมื่อวานเพราะจำนวนคน สารวัตรมาร์ติน ฤทธิเดช และ จูดี้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกันก่อนจะมองไปยังยอดของอนุสาวรีย์อัศวิน ที่บัดนี้ ปรากฏร่างของใครบางคนถูกเสียบทะลุหน้าอกเช่นเดียวกับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเมื่อคืนวาน

“ไม่รู้สึกเลย ... คุณไสยอะไรกันเนี่ย” ฤทธิเดชถึงกับเหงื่อตก เมื่อได้มาเห็นภาพการสังหารต่อหน้าต่อตา ด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของเขา เขามั่นใจว่าระยะเวลาตั้งแต่เริ่มได้ยินเสียงระฆังจนถึงตอนพบศพ มันผ่านไปไม่ถึง 5 วินาที ด้วยซ้ำ

“ด ... เดี๋ยวนะ คนที่อยู่บนนั้น ...” สารวัตรมาร์ตินลนลานจนทำแก้วกาแฟหกเลอะโต๊ะ เมื่อเขาได้เห็นกับภาพใบหน้าเหยเกของศพที่สะท้อนผ่านแสงจันทร์สว่าง “ท่านนายกเทศมนตรี !!”

คำกล่าวนั้น ทำเอา ฤทธิเดช กับ จูดี้ มองหน้ากันแบบไม่อยากเชื่อสายตา เพราะเมื่อครู่ท่านนายกเทศมนตรียังนั่งดื่มกาแฟกับพวกเขาอยู่ที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ นี้อยู่เลย เรียกได้ว่าเป็นการก่อเหตุที่อุกอาจมาก ๆ

“ท่านนายกเทศมนตรีถูกฆาตกรรม จับตาผู้ต้องสงสัยทั้งสองคน ถ้าพวกมันปรากฏตัว อนุญาตให้เข้าจับกุมทันที !!” สารวัตรมาร์ตินตะโกนใส่วิทยุสื่อสารอย่างบ้าคลั่ง ตำรวจหลายสิบนายที่กระจายตัวอยู่รอบจัตุรัสก็พากันมองหาชายขอทานกับชายใส่ฮู้ดกันให้ควั่ก

[พบเป้าหมายที่ 1 คอร์ริน เบิร์ก (ชายขอทาน) ยังคงนั่งสี Hardanger fiddle** อยู่ตรงที่เดิมครับ เขาไม่มีอาการตื่นตระหนกเลย ปกติทุกอย่าง]

**เครื่องดนตรีประจำชาติของประเทศนอร์เวย์ มีลักษณะคล้ายไวโอลิน

“แล้วไอ้คนใส่ฮู้ดล่ะ ลองมองหาให้ทั่ว มันอาจมองเหตุการณ์อยู่บนตึกสักหลังก็ได้” สารวัตรมาร์ตินให้คำแนะนำสายตรวจทุกคน

[เจอแล้วครับ !! ตึกศูนย์การค้าทางทิศใต้ ยืนยันเป้าหมาย] ไม่กี่อึดใจหลังจากคำสั่งของสารวัตร สายตรวจนายหนึ่งก็ตอบวิทยุพร้อมบอกข้อมูลสำคัญ [หนีไปแล้วครับ !! เหมือนมันจะรู้ตัว ทุกคนกระจายกำลังไปล้อมตึกไว้ !!]

 

การปิดล้อมพื้นที่เพื่อล่าตัวฆาตกรดำเนินไปอย่างเอิกเกริก โชคดีที่ภายในศูนย์การค้าช่วงเวลานั้นมีคนอยู่ไม่มาก ทำให้ไม่นานพวกเขาก็พบกับเป้าหมายที่กำลังวิ่งหนีออกจากตึกไปทางประตูหลัง

“เฮ้ย !!” ตำรวจนายแรกไล่ตามชายใส่ฮู้ดมาจนถึงซอกตึกแห่งหนึ่งด้านหลังศูนย์การค้า เขาพยายามคว้าตัวผู้ต้องสงสัยไว้ แต่กลับถูกชายคนนั้นล็อกแขนและจับทุ่มข้ามไหล่จนขาชี้ฟ้า จากท่าทางการใช้ศิลปะการต่อสู้ เขาน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่

“หยุด !!” ถึงตำรวจนายแรกจะเสียท่า แต่การถ่วงเวลาของเขาก็ช่วยให้กำลังเสริมตามมาทัน ตอนนี้กำลังตำรวจหลายสิบนายได้ปิดทางเข้าออกซอกตึกที่ชายใส่ฮู้ดอยู่ไว้หมดแล้ว

“แฮ่ก ๆ จนมุมแล้วแก มอบตัวซะ” สารวัตรมาร์ตินที่ตามมาถึงตอนหลังได้พูดขึ้นพร้อมอาการหอบซี่โครงบาน เดาได้ไม่ยากว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ออกภาคสนามมานานแล้ว

ชายใส่ฮู้ดปล่อยแขนของตำรวจหนุ่มที่เขาล็อกอยู่ลงกับพื้น พร้อมกับยกมือสองข้างขึ้นแสดงอาการยอมแพ้

“เดี๋ยวค่ะ ๆ ฉันขอคุยกับเขาก่อน” จูดี้พยายามทำให้สถานการณ์เย็นลง ฤทธิเดชพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เหล่านายตำรวจทั้งหลายอย่าตื่นตระหนกและเชื่อใจพวกเขาทั้งสองคน

คู่ชายหญิงมือปราบวิญญาณ เดินเข้าไปหาชายใส่ฮู้ดที่ยืนตระหง่านอยู่กลางซอกตึกอย่างไม่กลัวเกรง ท่ามกลางการเฝ้าระวังของเหล่าตำรวจทั้งเมือง

“เฮ้อ ... เขาไม่ใช่คนร้ายค่ะ” พอได้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อฮู้ด จูดี้ก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะตะโกนบอกตำรวจทุกคน

“วุ่นวายกันหมดเพราะแกเนี่ย ไอ้หนู !! ทำไมไม่ไปรวมกลุ่มกันก่อน” ฤทธิเดชกอดอกพร้อมเชิดหน้าวางท่าสั่งสอนราวกับเขารู้จักชายตรงหน้าเป็นอย่างดี

“น ... นี่มันอะไรกันครับ อธิบายให้ผมฟังทีได้ไหม” หลังเห็นว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิด สารวัตรมาร์ตินก็รีบวิ่งเข้ามาถามหาความจริง

“ไปนั่งอยู่มุมนั้น มันจะเห็นอะไรไหมล่ะครับ ?” ชายเสื้อฮู้ดยักไหล่ตอบเชิงประชดประชัน ก่อนที่เขาจะเปิดฮู้ดออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาภายใต้ผมทรงคอมม่าเหมือนพวกพระเอกทรงอย่างแบดในซีรี่ส์เกาหลี กับ ดวงตาสีฟ้าที่คมดุจตาของเหยี่ยว “ห่วงกินกาแฟเหรอ ? ทำไมไม่สั่งมาร์ชเมลโล่มานั่งกินด้วยเลยล่ะ”

“เฮอะ !! ไอ้เด็กบ้า อายุยังไม่ 20 แต่ปากกล้าเหลือเกินนะ” ฤทธิเดชขยี้ทรงผมสุดเท่ของหนุ่มน้อยด้วยความหมั่นไส้ ส่วนอีกฝ่ายทำได้แต่ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ

“เอ่อ ขอโทษด้วยค่ะ เขาเป็นอีกคนที่วาติกันส่งมาพร้อมกับพวกเรา เอเซอร์ วอร์เรน ค่ะ” จูดี้โค้งคำนับแทนคำขอโทษแก่ตำรวจทุกคนจนหัวแทบติดพื้น ในขณะที่เจ้าตัวต้นเรื่องยังคงผิวปากมองฟ้าอย่างไม่ทุกข์ร้อน

จบองค์ที่ 1