ณ เมืองแห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ เกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่ไม่มีพยานรู้เห็นแม้แต่คนเดียว ทั้งที่ร่างของผู้ตายถูกเสียบคาไว้กับหอกของรูปปั้นใจกลางจัตุรัส ... บางคนเล่าว่ามันเป็นฝีมือของ "ปีศาจผู้ใช้คุณไสย"
แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พารานอมอล,ลึกลับ,อาชญากรรม,สยองขวัญ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ผจญภัย,ผี,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์,คุณไสย,ฆาตกรรม,เหนือธรรมชาติ,ลึกลับ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Bloody Christmas : คดีจัตุรัสสีเลือดณ เมืองแห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ เกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่ไม่มีพยานรู้เห็นแม้แต่คนเดียว ทั้งที่ร่างของผู้ตายถูกเสียบคาไว้กับหอกของรูปปั้นใจกลางจัตุรัส ... บางคนเล่าว่ามันเป็นฝีมือของ "ปีศาจผู้ใช้คุณไสย"
ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ณ เมืองท่าแห่งหนึ่งในมณฑลฟินมาร์ก ประเทศนอร์เวย์ เกิดคดีฆาตกรรมที่ไม่มีผู้พบเห็นเหตุการณ์แม้แต่คนเดียวแม้คนร้ายจะกระทำการอย่างอุกอาจโดยการแสดงโชว์ศพเหยื่อของตัวเอง ณ กลางจัตุรัสของเมือง ตำรวจพยายามสืบหาข้อมูลอย่างเต็มที่แต่ก็พบเจอแต่ทางตัน เลยเกิดทฤษฎีเหนือธรรมชาติที่ว่า เหตุการณ์ทั้งหมด เกิดจาก "ฆาตรกรผู้ใช้คุณไสยคำสาป"
นิยายเรื่องนี้ แต่งขึ้นเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม
รถแห่ชวนเขียน Vol.8 #นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์
(Keyword : ปีศาจแครมปัส, มาร์ชเมลโล่, คนจร, ทูตสวรรค์)
นิยายมีเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง
ทุกตัวละครและสถานที่ที่กล่าวถึงในเรื่อง เป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
21.00 น. (1 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ)
หลังจากเคลียร์เรื่องตัวตนกับพวกตำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายเสื้อฮู้ด หรือ เอเซอร์ ก็ได้กลับขึ้นมายังยอดตึกที่เขาเคยอยู่อีกครั้งพร้อมกับ ฤทธิเดช และ จูดี้ หนุ่มน้อยกวาดสายตามองไปรอบจัตุรัสที่ตอนนี้ยังเต็มไปด้วยตำรวจเดินลานตระเวน ก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนขอบตึกพลางจับคางเหมือนคนกำลังใช้ความคิด
“ก่อนอื่นเลย Ear plug ที่ฉันฝากแกซื้อ หาได้ไหม ?” ฤทธิเดชเปิดบทสนทนาแรกกับเด็กหนุ่ม
“ไม่มีอ่ะ ... นอนไม่หลับลุงก็ควรไปหาหมอนะ” เอเซอร์ตอบเรียบ ๆ ทำเอาชายชราแสดงอาการฉุนเล็ก ๆ
“แล้วยังไง ? ไอ้มุมที่ว่าดีกว่าร้านกาแฟของฉัน มันช่วยให้แกเห็นอะไรบ้างไหม” ฤทธิเดชย้อนคำที่เด็กหนุ่มเคยพูดไว้ก่อนหน้า เอเซอร์เหลือบตามามองชายแก่เล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปพร้อมถอนหายใจยาว
“ไม่เจออะไรเลย ... ถ้าสำหรับคนทั่วไป นี่คงเป็นอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบ” เอเซอร์ขยี้หัวตัวเองอย่างแรงราวกับเด็กน้อยที่แก้โจทย์วิชาคณิตศาสตร์ไม่ออก “ถึงจะใส่ตัวแปรเรื่อง ฆาตกรอาจเป็นผู้ใช้คุณไสยเข้าไป ก็ยังไม่เห็นอะไรอยู่ดี ... เจ้านั่นไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้สืบหาเลย ลุงก็คิดงั้นใช่ไหม ?”
“ไม่ต้องมาหาพวก สรุปก็เหลวเหมือนกัน แล้วทำมาเป็นอวดดี” ฤทธิเดชจัดการช่วยขยี้หัวเจ้าเด็กหนุ่มให้ยุ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก
“ถ้าจะพูดถึงเบาะแสเดียวของเรา ก็คงเป็นขอทานคนนั้น เขาเป็นคนเดียวที่ดูไม่ตกใจอะไรเลย แถมยังนั่งสีเครื่องดนตรีนั่นอย่างหน้าตาเฉยด้วย ... จำคดีที่ไมอามี่ได้ไหมล่ะ ?” จูดี้เริ่มเข้าผสมโรงในบทสนทนา
“คุณไสยสังคีต** คุณกำลังสงสัยมันใช่ไหม?” ฤทธิเดชลองเดา จูดี้พยักหน้าตอบ
** การสาปแช่งโดยมีดนตรีเป็นสื่อกลาง
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เขาต้องเป็นคนที่ซ่อนพลังวิญญาณได้แนบเนียนมาก ๆ เพราะพวกเราไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันกลัวว่าถ้าจะรอให้เขาใช้คุณไสยครั้งต่อไป คงเกิดศพเพิ่มขึ้นอีกแน่” จูดี้ทำหน้ากังวล
“ไปกันเถอะครับ” อยู่ ๆ หนุ่มน้อยเอเซอร์ก็ได้ผละตัวจากขอบตึกก่อนจะเดินผ่านผู้ใหญ่ทั้งสองไป “อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้อะไร ถ้าเป็นคุณไสยสังคีตจริง ก็อาจจะเป็นวิชาท้องถิ่นที่เราไม่คุ้นเคย คงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม”
“ฐานข้อมูลของวาติกัน ไม่มีบันทึกเรื่องราวในแถบนี้เลย แล้วจะไปหาจากไหน ?” ฤทธิเดชถาม
“ถ้าเป็นวิชาเก่าแก่ คงสืบทอดกันเฉพาะในตระกูล ต้องลองหาข่าวคดีเก่า ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับผู้ใช้คุณไสย เราอาจจะเจอความเชื่อมโยงบางอย่าง ... นี่ลุง โทรหาเพื่อนตำรวจลงพุงคนนั้นของลุงทีสิ บอกเขาว่าเราอยากใช้หอสมุดของเมือง” เอเซอร์บอกคำขอของตนกับฤทธิเดช ฝ่ายชายชราก็กดโทรศัพท์โทรหาสารวัตรมาร์ตินทันที หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่ามือปราบเรื่องลี้ลับทั้งสามคนก็ได้เดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
22.00 น. หอสมุดของเมือง
“หากันทั้งคืนแน่ ๆ เชื่อแกจะเป็นความคิดที่ดีจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย” ฤทธิเดชถึงกับบ่นอุบหลังจากได้เห็นปริมาณหนังสือหลายหมื่นเล่มที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบในหอสมุดสองชั้น
“นี่ลุง บอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าผมทำอะไรง่าว ๆ ไป ผมจะบอกทุกคนให้หมดเลยว่าผมเรียนรู้มาจากลุงนั่นแหละ” เจ้าหนูเอเซอร์ยักคิ้วพลางทำหน้าทะเล้นใส่ ก่อนจะรีบเดินออกไปให้พ้นรัศมีฝ่ามือของชายชราที่ยกขึ้นมารอจะโบกเขาแล้ว
“เอาน่ะคุณ อย่างน้อยถ้าเราจำกัดขอบเขตของเรื่องที่จะหาได้ ก็น่าจะง่ายขึ้นนะ” จูดี้ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ แม้จะรู้สึกปวดหัวทุกครั้งเวลาต้องเป็นคนกลางระหว่างลุงกับหลานคู่นี้ก็ตาม
“อยู่กับตัวหนังสือนาน ๆ ไม่ใช่ทางผมเลย อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวผมลองออกไปหามาให้ ถึงตอนนี้น่าจะหาร้านเปิดยากแล้วก็เถอะ” ฤทธิเดชเสนอ
“กาแฟสักแก้วก็คงดี ขอบคุณค่ะ” จูดี้ยิ้มให้กับคู่หูของเธอ ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเอง
“ก่อนอื่น ก็ต้องเปิดคอมกลาง ...” หลังจากฤทธิเดชออกไป เอเซอร์ก็ได้ตรงดิ่งไปยังคอมพิวเตอร์ประจำเคาน์เตอร์บรรณารักษ์ ก่อนจะเปิดการทำงานและทำการละเลงนิ้วมือลงบนแป้นพิมพ์อย่างคล่องแคล่ว “Keyword แรก คดีที่ปิดไม่ได้ ... ต้องสงสัยว่าเกิดจากเรื่องเหนือธรรมชาติ”
คำสั่งค้นหาถูกป้อนเข้าไปในระบบเครือข่ายการจัดเก็บไฟล์ข้อมูล ใช้เวลาในการดาวน์โหลดเพียงไม่นาน หมายเลขไฟล์เอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องก็ถูกส่งขึ้นหน้าจอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์จากสื่ออย่างพวกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นซะเป็นส่วนมาก เนื่องจากเป็นการค้นหาข่าวสารเก่า
“ถ้าไล่ตั้งแต่ตอนที่เริ่มมีการเก็บข้อมูล ... มีทั้งหมด 384 ไฟล์ ที่เกี่ยวข้อง … อ่า เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” เอเซอร์ถึงกับทิ้งตัวลงบนพนักพิงเก้าอี้เมื่อได้เห็นจำนวนไฟล์ที่เขาต้องอ่าน
“แบ่งกันคนละครึ่งเถอะ ลองคัดแยกคดีที่ต้องสงสัยว่ามีการใช้เสียงดนตรีนะ” จูดี้ตบบ่าของเอเซอร์เบา ๆ เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับ
เอเซอร์กับจูดี้ทำการจดหมายเลขไฟล์ทั้งหมด ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปหาข้อมูลตามชั้นหนังสือที่มีการจัดแยกตามปี ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง กองหนังสือพิมพ์กับบันทึกเรื่องเล่าของชาวเมืองจำนวนหลายร้อยเล่ม ก็ถูกนำมากองอยู่เต็มโต๊ะยาวกลางหอสมุด
“คุณจูดี้ไปนอนพักก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมจะลองคัดแยกคร่าว ๆ ดู” เอเซอร์เสนอไอเดีย เพราะคิดว่าพลังหนุ่มของเขาน่าจะมีประโยชน์ในสถานการณ์แบบนี้
“คนที่ควรไปพักน่ะ คือเธอมากกว่านะ ... สภาพนั้น อดนอนมาตั้งแต่คืนที่แล้วใช่ไหมล่ะ” จูดี้ใช้เซนต์ของตัวเองมองออกทันทีว่าสภาพร่างกายของเด็กหนุ่มในตอนนี้นั้นอ่อนล้าเพียงใด “เข้าใจว่าเธออยากหาตัวคนร้ายเร็ว ๆ แต่หักโหมไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพนะ”
“ผมไม่เคยหลอกคุณจูดี้ได้เลยสินะครับ หึหึ” เอเซอร์ยิ้มเล็ก ๆ อย่างยอมจำนน บรรยากาศการคุยกันของเขากับอาจารย์หญิงคนนี้ช่างดูอ่อนน้อม ต่างกับการฟาดปากระหว่างเขากับชายชราอีกคนอย่างสิ้นเชิง “งั้น ของีบสักแปปนะครับ ถ้าอยากได้คนช่วยก็ปลุกผมได้เลย”
เอเซอร์ละตัวจากเก้าอี้ไปนอนแผ่บนโซฟารับรอง เปลือกตาของเด็กหนุ่มค่อย ๆ ปิดตัวลง ก่อนที่เขาจะเข้าสู่นิทราอย่างไวเพราะอาการอ่อนเพลีย จูดี้ที่เห็นแบบนั้นก็ถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาคลุมทับร่างของเด็กหนุ่มอีกชั้นเพื่อหวังให้เขาหลับพักผ่อนอย่างสบายที่สุด
“พวกเราหวังพึ่งเธอนะ” จูดี้ลูบศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ดั่งคนเป็นแม่ที่เป็นห่วงลูกชายจากใจจริง
8.00 น. เช้าวันต่อมา
แสงแดดแยงตาส่องทะลุผ่านซี่หน้าต่างลงกระทบใบหน้าที่กำลังหลับใหลอยู่บนโซฟา หนุ่มน้อยเอเซอร์ลืมตาตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงีย พลางบิดขี้เกียจเพื่อขับไล่อาการปวดเมื่อย
“หลับสบายเลยสิแก ไปล้างหน้าแล้วมาทำงานได้แล้ว” เสียงคุ้นหูกระตุกต่อมชวนทะเลาะดังมาจากโต๊ะยาวกลางห้องสมุด เอเซอร์หันไปตามต้นเสียงนั้นและก็ได้พบว่าตอนนี้ ฤทธิเดช กับ จูดี้ กำลังช่วยกันคัดแยกไฟล์เอกสารกองโตจากเมื่อคืนอยู่
“อะไรครับเนี่ย ... คุณจูดี้ไม่ปลุกผมล่ะครับ ?” เอเซอร์เดินขยี้ตาตรงมาทางผู้อาวุโสทั้งสอง จูดี้จัดการยื่นกาแฟร้อนให้เขาไปหนึ่งแก้ว เพื่อหวังให้ฤทธิ์คาเฟอีนปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่นเต็มตา
“เราคัดแยกไฟล์เกือบหมดแล้ว ฝากเธอดูต่อทีนะ มันน่าจะมีความเชื่อมโยงกันบางอย่าง” จูดี้ผายมือไปยังกองหนังสือพิมพ์กองเล็กที่ถูกแยกไว้อย่างเป็นระเบียบ ปริมาณของมันเมื่อเทียบกับของเมื่อคืน เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ปี 2003 ... ฆ่าตัวตายปริศนาโดยการวิ่งกระโดดลงน้ำในฤดูหนาว ... พยานที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงให้การว่าได้ยินเสียงทรัมเป็ตดังแว่วก่อนเกิดเหตุ” เอเซอร์ประเดิมอ่านหัวข้อข่าวแรกที่มีกลิ่นอายความน่าสงสัย ก่อนที่เขาจะเปิดอ่านรายละเอียดข้างในเพิ่ม
“ยังมีข่าวในปี 2005 ที่พูดถึงศพปริศนาที่ถูกแขวนคออยู่แถวชานเมืองด้วย ตำรวจปิดคดีว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ตอนนั้นชาวเมืองตั้งข้อสงสัยในบาดแผลบนตัวศพที่ดูเหมือนโดยทำร้ายและนำศพมาจัดฉากมากกว่า แถมยังมีคนได้ยินเสียงฮาร์โมนิก้า (เมาท์ออแกน) ดังตลอดคืน ก่อนจะมีคนพบศพในตอนเช้าด้วย” ฤทธิเดชยื่นข่าวน่าสนใจอีกอันมาให้กับเอเซอร์
“ทุกคดี ... มีเครื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องหมดเลย” เอเซอร์ไล่ใช่ปากกาไฮไลท์ที่ชื่อเครื่องดนตรีแต่ละชนิดที่ปรากฏในข่าวทุกข่าว “ทรัมเป็ต ... ฮาร์โมนิก้า ... รีคอร์เดอร์ ... ฟลูต ... ทรอมโบน ... คลาริเนต ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะ เมืองนี้มีผู้ใช้คุณไสยสังคีตในการลอบสังหารมาอย่างยาวนานแล้ว”
“ความน่ากลัวของเสียงดนตรีเหล่านี้ มีชาวเมืองคนหนึ่งบันทึกเรื่องราวเป็นจริงเป็นจัง จนถึงขั้นเกิดความเชื่อเรื่องปีศาจแครมปัสที่มาพร้อมกับเสียงเพลงเลย” จูดี้ยื่นสมุดบันทึกเก่าแก่เล่มหนึ่งในกับหนุ่มน้อยเอเซอร์
“และคนเดียวที่เล่นดนตรีอยู่ในจัตุรัสนั้นทั้งสองคืน ... ก็คือคุณลุงขอทานคนนั้น” เอเซอร์พุ่งประเด็นไปที่ข้อสงสัยหลัก
“ฉันได้ยินเรื่องน่าสนใจ ตอนออกไปซื้อกาแฟเมื่อคืนด้วยนะ ... คอร์ริน เบิร์ก ชายขอทานคนนั้น ที่สารวัตรมาร์ตินบอกว่าเขาขายเรือประมงของตัวเองทิ้งไปเมื่อ 3 ปีก่อน ดูเหมือนการซื้อขายนั้นจะไม่ได้มาจากความยินยอมของเจ้าตัวเอง แต่โดนนักธุรกิจจากเมืองหลวงบีบด้วยหนี้มหาศาลที่คอร์รินกู้ยืมไป และชื่อของหนึ่งในนักธุรกิจคนนั้นก็คือ Mr. ออสการ์ เหยื่อรายแรกที่ถูกฆ่าเมื่อ 2 วันที่แล้ว” ฤทธิเดชเปิดเผยข้อมูลสำคัญ ทำเอาอีกสองคนถึงกับตาลุกวาว
“แรงจูงใจในการก่อเหตุสินะ ชัดเจนมากเลยด้วย” จูดี้สันนิษฐานตามข้อมูลที่ได้รับ “แต่ ท่านนายกเทศมนตรี ที่เป็นเหยื่อรายที่สอง เกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะ ถ้าเป็นการฆ่าเพื่อล้างแค้นจริง มันน่าจะต้องมีสาเหตุที่มากกว่านี้”
“เรื่องนั้นน่ะ ... ชาวเมืองทุกคนรู้กันหมดแหละค่ะ” อยู่ ๆ ระหว่างบทสนทนาของเหล่ามือปราบวิญญาณจากวาติกัน ก็ได้ปรากฏร่างของหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา เธอแต่งกายเรียบร้อยเหมือนพวกข้าราชการใกล้เกษียณอายุ น้ำเสียงฉะฉานเหมือนคนรู้ความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้น “ฉัน อิงกริด บรรณารักษ์ของที่นี่ค่ะ ขอโทษด้วยที่มาช้า ได้ยินว่าพวกคุณขอมาใช้หอสมุดกันตั้งแต่เมื่อคืน”
“ไม่เป็นไรเลยครับ แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว” ฤทธิเดชลุกขึ้นจับมือทักทายกับคุณป้าบรรณารักษ์ “เพราะเป็นสถานการณ์เร่งด่วน ถ้าคุณอิงกริด มีข้อมูลสำคัญอะไรที่พอจะช่วยได้ พวกเราก็อยากฟังนะครับ”
“คอร์ริน น่ะ ติดหนี้พนันอย่างหนัก จนต้องขายเรือของตัวเองชดใช้ แต่นักธุรกิจบ้าเลือดคนนั้นอยากจะกดราคาของเรือให้ต่ำที่สุด เลยร่วมมือกับนายกเทศมนตรี กุข่าวที่คอร์รินเป็นฆาตกรฆ่าวางเพลิงครอบครัวตัวเอง” คุณป้าอิงกริดเล่าความจริงอันน่าตกใจให้ทุกคนฟัง
“ฆ่าวางเพลิงเหรอครับ ?” เอเซอร์ขมวดคิ้วสงสัย
“ใช่ ... ภรรยา กับ ลูก รวมไปถึงสุนัขของคอร์ริน ถูกพบว่าเป็นศพอยู่ในกองเพลิงนั้น คอร์รินกลายเป็นผู้ต้องสงสัยหลัก แต่เพราะทางตำรวจไม่มีหลักฐานมากพอ เขาเลยถูกปล่อยตัวในอีกหลายเดือนให้หลัง แต่กว่าจะพ้นข้อกล่าวหา เรือของเขาก็ไม่อยู่แล้ว มันถูกขายทอดตลาด และ Mr. ออสการ์ ก็เป็นคนประมูลซื้อไป” คุณป้าอิงกริดเล่าขยายรายละเอียดของข่าวลือที่ฤทธิเดชได้ยินมาให้กระจ่างยิ่งขึ้น
“เป้าหมาย แรงจูงใจ รูปแบบคุณไสย ทุกอย่างพุ่งเป้าไปที่เขาคนเดียวเลย คงไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ” จูดี้แสดงความมั่นใจจากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ
“แต่ยังมีอีกคนนึงนะ ... ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” คุณป้าอิงกริดขัดการสรุปคดีไว้ชั่วคราว ก่อนที่เธอจะเดินไปหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งจากด้านหลังเคาน์เตอร์บรรณารักษ์ “คนที่ประมูลชนะ และได้รับเรือของคอร์รินไป มี 2 คน Mr. ออสการ์ ออสตินการ์ด กับอีกคน Mrs. โซเฟีย ดาแลนด์”
ทันทีที่รายชื่อที่สามถูกเปิดเผยออกมา มือปราบวิญญาณทั้ง 3 คน ก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหมือนคนสัมผัสได้ถึงเรื่องราวเลวร้ายที่กำลังจะเกิด
“ลุง ... ติดต่อวาติกัน ให้แจ้งประสานขอข้อมูลของเธอมา ด่วนเลย” เอเซอร์พูดขึ้นด้วยท่าทีร้อนรน
“ฉันรู้น่ะ กำลังทำอยู่” ฤทธิเดชรีบเปิดโน้ตบุ๊คของตัวเอง เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลของสำนักงานใหญ่ทันที “Mrs. โซเฟีย ดาแลนด์ เธอเพิ่งลงเครื่องจากออสโล มายังสนามบินใกล้ ๆ เมื่อเช้านี้เอง เธอจองที่พักในเมืองนี้ไว้ด้วย และจะเข้าเช็กอินช่วงบ่าย”
“คอร์ริน วางแผนมาอย่างดี เขารู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เหยื่อทั้ง 3 คน จะมาที่เมืองนี้ แถมข่าวเรื่องการเสียชีวิตของนายกเทศมนตรีที่เป็นเหยื่อรายที่สอง น่าจะยังไปไม่ถึง Mrs. โซเฟีย ที่เป็นว่าที่เหยื่อรายที่สามด้วย” จูดี้พูดเสริม “เราควรแจ้งเธอไม่ให้มาที่เมืองนี้ ไม่งั้นต้องเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นอีกแน่”
“เดี๋ยวครับ คุณจูดี้ ผมไม่คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่ ถ้าฆาตกรไหวตัวทัน เขาอาจหลบหนีไปก็ได้ เหตุผลเดียวที่จะรั้งเขาไว้ที่เมืองนี้ได้ ก็คือเธอคนนี้ ... ถ้าเขาไม่ได้ฆ่าวันนี้ วันหน้าเขาก็จะตามไปฆ่าเธออยู่ดี ถึงตอนนั้นเราจะช่วยเหลือเธอไม่ทันนะครับ” เอเซอร์อธิบายแนวคิดของตัวเอง
“แต่เราก็รู้แล้วนิ ว่าฆาตกรคือใคร แค่ไปตามจับซะก็สิ้นเรื่อง” ฤทธิเดชแย้งขึ้น
“ยังมีบางอย่างกวนใจผมอยู่ ... เหมือนเซนต์ของผมยังไม่ปักใจเชื่อ ว่าเรื่องทุกอย่างเชื่อมโยงกัน” เอเซอร์เอามือจรดขึ้นตรงหว่างคิ้วเหมือนคนกำลังใช้ความคิด
“หลักฐานทุกอย่างก็ชี้ชัดแล้วนะ ทั้งกล้องวงจรปิด แรงจูงใจ คุณไสยสังคีต ทุกอย่างชี้ไปที่ คอร์ริน เบิร์ก หมดเลย ยังจะมีตรงไหนกวนใจแกอีกเหรอ ?” ฤทธิเดชยืนกอดอกพร้อมเอ่ยถามเด็กหนุ่ม
“กล้องวงจรปิด ?” ทันทีที่เอเซอร์ได้ยินคำนั้น เขาก็หันไปมองหน้าฤทธิเดชทันที “ทำไมผมไม่รู้ว่ามีกล้องวงจรปิดล่ะ”
“สารวัตรมาร์ติน เอาให้พวกเราดูเมื่อวานน่ะ แต่เหมือนสัญญาณจะขาดหายไปในช่วงเกิดเหตุพอดี เราเลยคิดว่ามันไม่น่าจะช่วยอะไรได้” จูดี้พูดบอกกับเอเซอร์
“ขอผมดูหน่อยได้ไหมครับ” เอเซอร์เอ่ยขอ จูดี้เลยเปิดไฟล์กล้องวงจรปิดที่ได้รับมาจากสารวัตรมาร์ตินให้เด็กหนุ่มดู
“คลิปกล้องวงจรปิดหายไปในช่วง 19 : 59 : 40 น. ถึง 20 : 00 : 40 น. เป็นเวลา 1 นาที พอดี” จูดี้อธิบายถึงสัญญาณภาพที่หายไป เอเซอร์ก็เลื่อนสลับไปมาระหว่างช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุกับหลังเกิดเหตุเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง
“ทั้งสองช่วงเวลา คนที่ดูไม่ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็มีแต่ คอร์ริน เบิร์ก กับ แก นั่นแหละ แถมตาลุงขอทานคนนั้น ยังดีดเครื่องดนตรีนั่นต่ออย่างหน้าตาเฉยด้วย” ฤทธิเดชชี้ให้เห็นถึงคนสองคนที่ถูกบันทึกไว้ในกล้องวงจรปิด
“ลุง กับ คุณจูดี้ ช่วยเงียบแป๊บนึงนะครับ ผมอยากฟังเสียงชัด ๆ” เอเซอร์ยกมือขึ้นแทนสัญญาณให้คนรอบตัวของเขางดใช้เสียงสักครู่ ก่อนที่เขาจะต่อหูฟังเข้ากับคอมพิวเตอร์พร้อมครอบหูเพื่อฟังเสียงที่เกิดขึ้นในภาพกล้องวงจรปิดซ้ำไปซ้ำมา ฤทธิเดช กับ จูดี้ เมื่อเห็นแบบนั้นก็ได้แต่มองหน้ากันพลางคิดตั้งคำถามกับการกระทำของเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ของพวกเขา
หลังจากฟังเสียงในคลิปอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเอเซอร์ก็ได้ถอดหูฟังออก ก่อนจะหันไปถามคุณป้าอิงกริดผู้เป็นบรรณารักษ์ “คุณอิงกริดครับ ผมขอข้อมูลคดีฆ่าวางเพลิงตระกูลเบิร์กที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปี ก่อนทีครับ”
“แกรู้อะไรแล้วงั้นเหรอ ?” ฤทธิเดชเอ่ยถาม
“ผมขาดอีกแค่ Keyword เดียว ขอให้ทุกอย่างเข้าทางทีเถอะ” เอเซอร์เปรยขึ้นระหว่างรอข้อมูลจากคุณป้าอิงกริด
“นี่จ้ะ บันทึกคดีในปีนั้น เพราะเป็นอีกหนึ่งคดีที่ชาวเมืองให้ความสนใจ เราเลยมีบันทึกนั่นจากกรมตำรวจด้วย” คุณป้าอิงกริดยื่นแฟ้มสีดำเล่มหนึ่งให้กับคณะมือปราบวิญญาณ
“ลุง กับ คุณจูดี้ ช่วยตรวจสอบประวัติของทุกคนทีนะครับ ทั้งคุณคอร์ริน และ ทุกคนที่เสียชีวิตวันนั้น โยงกับฐานข้อมูลของวาติกัน มันน่าจะละเอียดกว่าข้อมูลที่บันทึกในระบบตัวตนแบบปกติของรัฐบาล” เอเซอร์ยื่นแฟ้มต่อให้กับผู้อาวุโสทั้งสอง ฤทธิเดช กับ จูดี้ ถึงจะไม่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มคิดจะทำอะไร แต่พวกเขาก็ยอมทำตามคำขอแต่โดยดี
มือปราบอาวุโสทั้งสองคนดำเนินการสืบประวัติของทุกคนในแฟ้มคดีนี้กันอย่างขะมักเขม้น ในขณะที่เอเซอร์ก็นั่งรอฟังผลอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ในที่สุด เสียงที่เอเซอร์อยากได้ยินที่สุดก็ดังขึ้นจากฤทธิเดช เหมือนมือปราบชราจะได้พบข้อมูลบางอย่างน่าสนใจเข้าแล้ว
“อย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย ... ไปกันเถอะครับ เราได้ตัวฆาตกรที่ทำเรื่องทั้งหมดแล้ว” ทันทีที่เอเซอร์เห็นข้อมูลลับที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโน้ตบุ๊คของฤทธิเดช เขาก็รีบคว้าเสื้อคลุมมาสวม พร้อมกับบอกให้ทุกคนเตรียมตัวทันที
จัตุรัสกลางเมือง 19.50 น.
บรรยากาศโดยรอบจัตุรัสในคืนวันคริสต์มาสอีฟนั้นช่างเงียบเหงาไม่ต่างจากเมืองร้าง ไร้วี่แววนักท่องเที่ยว เหลือเพียงชาวเมืองเพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังกล้าเดินผ่านหลังจากเกิดเหตุฆาตกรรมติดต่อกัน 2 คืน แต่แน่นอนว่าแขกขาประจำที่ยังคงมาที่จัตุรัสแห่งนี้นั่นก็คือ ขอทานผู้มาพร้อมเสียงดนตรี คอร์ริน เบิร์ก
สารวัตรมาร์ตินสั่งกระจายกำลังตำรวจให้เฝ้าจับตาชายขอทานคนนี้จากทุกมุมที่สามารถมองเห็นตัวเป้าหมาย เขาตั้งใจมากว่ายังไงคืนนี้ก็ต้องจับตัวฆาตกรคนนี้ให้ได้
“นี่มันอะไรกันเนี่ย คนเมืองนี้ไม่ฉลองคืนคริสต์มาสอีฟ กันเหรอ ?” เสียงหวานใสแกมบ่นของผู้หญิงคนหนึ่ง ดังมาจากร้านกาแฟกลางแจ้งที่เป็นเพียงไม่กี่ร้านที่ยังเปิดทำการอยู่ เธอเป็นสาววัยรุ่ยอายุเกือบสามสิบที่ประโคมแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกับผมสีบรอนด์เงินที่ดัดลอนมาอย่างดีจากช่างทำผมฝีมือเยี่ยม มองจากระยะร้อยเมตรยังรู้เลยว่าเธอน่าจะสวยและรวยมาก
“มัคคิอาโต้ที่สั่งได้แล้วครับ” พนักงานเสิร์ฟในชุดยูนิฟอร์มของร้าน จัดการเสิร์ฟออเดอร์ที่ลูกค้าท่านนี้ได้สั่งอย่างเบามือ “Mrs. โซเฟีย ดาแลนด์ ใช่ไหมครับ ? ยินดีต้อนรับสู่เมืองของเรานะครับ”
“โอ้ ... ไม่ยักรู้ว่าฉันก็เป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองนี้ด้วยเหมือนกัน” แม่สาวโซเฟียเอามือป้องปากพลางขำเบา ๆ ในลำคอ เธอเปรยตามองพนักงานเสิร์ฟหนุ่มที่รู้ชื่อจริงของเธอด้วยสายตาสนใจ “ทำไมหนุ่มหล่ออย่างเธอถึงได้มาเดินเสิร์ฟกาแฟแบบนี้ล่ะ เบ้าหน้าแบบนั้น ไปเป็นดาราได้สบายเลยนะ”
“พอดี ผมค่อนข้างหวงตัวน่ะครับ ไม่อยากให้ใครรู้จักมาก” พนักงานหนุ่มยิ้มให้กับลูกค้าสาวเบา ๆ แต่ก่อนที่เขาจะเดินจากไป มือของเขาก็ได้ถูกลูกค้าเพียงคนเดียวของร้านจับเอาไว้ก่อน
“ฉันรู้สึกเหงานิดหน่อยน่ะ เธอช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหม ?” โซเฟียเปิดเกมรุกใส่พนักงานหนุ่มอย่างเต็มที่ และดูเหมือนเขาก็มีท่าทีสนใจเธอไม่น้อย
“แน่นอนครับมาดาม ... ผมจะอยู่ข้าง ๆ คุณ จนกว่าระฆังจะดังเลย” พนักงานหนุ่มเผยคำพูดปริศนา ก่อนจะกุมมือของลูกค้าสาวพร้อมนั่งลงใกล้ ๆ เธอ
“ถ้าฉันไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร ฉันก็ไม่ค่อยอยากมาที่เมืองนี้นักหรอก ... แต่ครั้งนี้ได้มาเจอเธอ ถือเป็นเรื่องโชคดีของฉันเลย” โซเฟียโปรยเสน่ห์ของเธอผ่านสายตาหวานหยาดเยิ้ม พนักงานหนุ่มเห็นดังนั้นก็ใช้มืออีกข้างของเขาจับกุมไปที่มือของเจ้าหล่อนอย่างช่ำชอง
“มาดาม ... หลังจากนี้ขอให้คุณเชื่อใจผม ถ้ายังอยากมีชีวิต” อยู่ ๆ บรรยากาศรอบ ๆ ตัวทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป คำพูดเย็นยะเยือกของพนักงานหนุ่ม ทำเอาโซเฟียรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ฉ ... ฉันไม่เข้าใจ ... เธอกำลังหมายถึง ...” โซเฟียทำท่าจะชักมือกลับ แต่ก็ถูกมือทั้งสองข้างของพนักงานหนุ่มกุมไว้แน่น
เป้ง ๆ !!
เสียงระฆังของโบสถ์ตีดังบอกเวลา 20.00 น. โซเฟีย เงยหน้ามองไปที่ระฆังต้นเสียง ในขณะที่พนักงานหนุ่มหยิบสิ่งของบางอย่างขึ้นมา ก่อนจะใส่เข้าไปในหูทั้งสองข้างของตัวเอง
“มาดามโซเฟีย ... หมอบลงครับ” พนักงานหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของโซเฟียเบา ๆ ซึ่งลูกค้าสาวก็ยอมทำตามแต่โดยดี
ปรี๊ด !!
ภาพเดิมฉายซ้ำเป็นครั้งที่สาม เสียงนกหวีดจากตำรวจลาดตระเวนดังขึ้น โซเฟียถูกสัญชาตญาณมนุษย์ดึงให้ใบหน้าของเธอเงยขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น เธอก็ถูกมือของพนักงานหนุ่มกดให้หัวของเธอหมอบลงกับโต๊ะอีกรอบ
ภาพรอบตัวของพนักงานหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวดำ มวลอากาศหยุดไหล ทุกสิ่งหยุดนิ่งราวกับถูกกดปุ่มสต็อป มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ยังคงเคลื่อนไหวได้ และเสี้ยววินาทีต่อมา ฆาตกรตัวจริงก็ได้เผยโฉมหน้าของมันให้โลกนี้ได้เห็น
ร่างของอสุรกายตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนยอดตึกที่อยู่ข้างร้านกาแฟกลางแจ้ง ลักษณะของมันคล้ายกับหมาป่าขนสีนิลพร้อมด้วยดวงตาสีโลหิต แผงฟันเรียงสวยเหมือนใบเลื้อยยนต์ที่พร้อมเชือดเฉือนทุกสรรพสิ่ง สายตากระหายเลือดของมันจ้องเขม็งมาที่เหยื่อในค่ำคืนนี้ เหยื่อผู้หมอบค้างนิ่งอยู่กับโต๊ะร้านกาแฟใต้เบื้องเท้าของมัน
แฮ่ !!
เจ้าอสุรกายกระโจนลงจากยอดตึก หมายขย้ำคอหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย แต่ในครั้งนี้ แผนการฆาตกรรมของมันดูเหมือนจะไม่ราบรื่นเหมือนสองครั้งก่อนหน้า เพราะปรากฏร่างของชายคนหนึ่งที่ไม่ได้ถูกหยุดเวลาตามสิ่งอื่นรอบตัวไปด้วย
ชายหนุ่มพนักงานร้านกาแฟ บรรจงพนมมือแนบอก ก่อนจะเอ่ยงึมงำในลำคอเบา ๆ “บทพระอิติปิโสแปดด้าน บทที่ 7 วา โธ โน อะ มะ มะ วา วา ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์ !!”
ทันทีที่คาถาอาคมถูกร่ายจนจบบท เสียงตวาดดังลั่นก็พุ่งกระจายเป็นคลื่นกระแทกพุ่งอัดใส่ร่างของเจ้าอสุรกายจนมันกระเด็นไปกระแทกหน้าต่างของตึกแตกกระจาย
ทันทีที่ร่างของเจ้าอสูรถูกโจมตี เวลาก็ได้กลับมาเดินอีกครั้ง พนักงานหนุ่มใช้ตัวบังร่างของโซเฟียจากเศษกระจก ในขณะที่บาริสต้าผู้ชงกาแฟของร้านอีกสองคนก็ได้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของตัวเอง
“อย่างงี้นี่เอง เข้าใจทุกอย่างชัดเลยล่ะ” ฤทธิเดชที่ปลอมตัวเป็นบาริสต้าพูดขึ้น “แล้วไหนแกบอกว่าหา Ear plug ไม่ได้ ขี้โม้นี่หว่า”
“ก็มันเหลืออันเดียว ผมก็อยากใช้เหมือนกันนิ ช่วยไม่ได้” พนักงานหนุ่มตอบโต้คำของบาริสต้าแก่พลางยักไหล่แบบกวน ๆ สวนไปอีกรอบ ในขณะที่บาริสต้าอีกคนซึ่งก็คือจูดี้ ได้รีบเข้ามาพาโซเฟียที่ยังอยู่ในอาการช็อกไปหลบในที่ปลอดภัยก่อน
“คุณไสยสังคีต ขอแค่ไม่ได้ยิน ก็จะไม่ตกอยู่ในภวังค์ของค์ของมันแล้ว ... และคนที่ใช้เสียงดนตรีในการสาปคนในจัตุรัสได้ ก็มีแต่นายนั่นแหละ” เอเซอร์ที่ปลอมตัวเป็นพนักงานหนุ่ม ได้ปลดชุดพนักงานของตัวเองออกพร้อมชี้นิ้วไปที่ฆาตกรตัวจริง
จบองค์ที่ 2