ณ เมืองแห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ เกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่ไม่มีพยานรู้เห็นแม้แต่คนเดียว ทั้งที่ร่างของผู้ตายถูกเสียบคาไว้กับหอกของรูปปั้นใจกลางจัตุรัส ... บางคนเล่าว่ามันเป็นฝีมือของ "ปีศาจผู้ใช้คุณไสย"
แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พารานอมอล,ลึกลับ,อาชญากรรม,สยองขวัญ,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ผจญภัย,ผี,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์,คุณไสย,ฆาตกรรม,เหนือธรรมชาติ,ลึกลับ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Bloody Christmas : คดีจัตุรัสสีเลือดณ เมืองแห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ เกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่ไม่มีพยานรู้เห็นแม้แต่คนเดียว ทั้งที่ร่างของผู้ตายถูกเสียบคาไว้กับหอกของรูปปั้นใจกลางจัตุรัส ... บางคนเล่าว่ามันเป็นฝีมือของ "ปีศาจผู้ใช้คุณไสย"
ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ณ เมืองท่าแห่งหนึ่งในมณฑลฟินมาร์ก ประเทศนอร์เวย์ เกิดคดีฆาตกรรมที่ไม่มีผู้พบเห็นเหตุการณ์แม้แต่คนเดียวแม้คนร้ายจะกระทำการอย่างอุกอาจโดยการแสดงโชว์ศพเหยื่อของตัวเอง ณ กลางจัตุรัสของเมือง ตำรวจพยายามสืบหาข้อมูลอย่างเต็มที่แต่ก็พบเจอแต่ทางตัน เลยเกิดทฤษฎีเหนือธรรมชาติที่ว่า เหตุการณ์ทั้งหมด เกิดจาก "ฆาตรกรผู้ใช้คุณไสยคำสาป"
นิยายเรื่องนี้ แต่งขึ้นเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม
รถแห่ชวนเขียน Vol.8 #นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์
(Keyword : ปีศาจแครมปัส, มาร์ชเมลโล่, คนจร, ทูตสวรรค์)
นิยายมีเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง
ทุกตัวละครและสถานที่ที่กล่าวถึงในเรื่อง เป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“เกิดอะไรขึ้น !! นั่นมันตัวบ้าอะไรน่ะ” สารวัตรมาร์ตินกับตำรวจทั้งกองร้อย รีบเร่งวิ่งมาตรงจุดเกิดเหตุ สีหน้าของเหล่าชายฉกรรจ์ล้วนไปไม่เป็น เมื่อได้พบกับร่างของอสุรกายหมาป่าที่นอนพะงาบอยู่บนพื้น
“คนที่อธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุด คงจะเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของคุณน่ะครับ สารวัตร” ฤทธิเดชเดินมายืนข้างลูกศิษย์คนโปรดพร้อมผายมือไปทางที่เอเซอร์ชี้ ซึ่งสุดปลายนิ้วของมือปราบวิญญาณทั้งสอง นั่นก็คือ จ่าเอริค ตำรวจหน้าใหม่ผู้พบศพของเหยื่อสองรายก่อนหน้าเป็นคนแรกนั่นเอง
“ด ... เดี๋ยวนะครับ ผมว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่เลย” จ่าเอริคทำสีหน้าไร้เดียงสาเหมือนตอนวันแรกที่เขาได้พบกับเหล่ามือปราบวิญญาณไม่มีผิด
“น ... นั่นสิครับ คุณฤทธิเดช คนอย่างจ่าเอริคเนี่ยนะครับจะเป็นฆาตกร เขาไม่ได้รู้จักกับคนตายด้วยซ้ำ” ในหัวของสารวัตรมาร์ตินเต็มไปด้วยคำถาม เขาทำใจให้เชื่อได้ยากจริง ๆ ว่าคนร้ายจะเป็นตำรวจไก่อ่อนที่เพิ่งเข้ามาประจำการได้ไม่กี่วัน
“Keyword ที่ 1 ความแค้นเมื่อ 3 ปี ก่อน แน่นอนว่าฆาตกรในคดีนี้ คือคนที่มีความแค้นกับ ออสการ์ ออสติการ์ด, นายกเทศมนตรีลูก้า และ โซเฟีย ดาแลนด์” เอเซอร์เริ่มอธิบายถึงข้อสันนิษฐานของเขาพลางชี้มือไปทางมาดามโซเฟียที่นั่งสั่นอยู่ตรงมุมตึกโดยมีจูดี้คอยดูแล
“จากข้อมูลตรงนี้ แน่นอนว่าผู้ต้องสงสัยหมายเลข 1 ยังไงก็หนีไม่พ้น คอร์ริน เบิร์ก ชายขอทานที่กำลังยืนเล่นดนตรีอยู่ตรงนั้น” ฤทธิเดชเข้ามาผสมโรง และเหมือนเสียงของเขาจะส่งไปถึงหูของคอร์รินด้วย ดูจากกิริยาของเขาที่เปลี่ยนไป ชายขอทานหยุดเล่นเครื่องสายในมือ ก่อนจะเงยหน้าเผยดวงตาสีฟ้าใสที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกปีกใบใหญ่ “แต่เราดันไปพบข้อมูลน่าสนใจอย่างหนึ่ง ... คดีวางเพลิงเมื่อ 3 ปี ก่อน รายงานของตำรวจบอกว่าทุกคนในตระกูลเบิร์กเสียชีวิตทั้งหมด แต่ผลจากสถาบันนิติเวชแห่งชาตินอร์เวย์กลับขัดแย้งกัน เพราะในรายงานนั้นบอกว่าในกองเพลิงมีศพเพียงศพเดียว แถมยังเป็นศพผู้หญิงด้วย”
“จ่าเอริค ... คือชื่อใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนตัวตน ใช่ไหมครับคุณ แอรอน เบิร์ก ลูกชายของตระกูลเบิร์ก ที่รอดมาจากเหตุการณ์วางเพลิงในวันนั้น” เอเซอร์เผยชื่อปริศนาที่ทำเอาจ่าเอริคถึงกับค้างนิ่งไปกลางอากาศ “เท่านี้ คนที่มีความแค้นกับเหยื่อสองรายแรก และ มาดามโซเฟีย ก็มีเพิ่มเป็น 2 คนแล้ว”
“ถึงสิ่งที่พวกคุณพูดมาจะเป็นเรื่องจริง แต่นั่นก็ไม่ได้อธิบายถึงวิธีการที่เขาใช้ในการฆาตกรรมเลยนะครับ ถึงเขาจะเป็นคนแรกที่พบศพ แต่เวลาแค่นั้น เขาจะฆ่าคนแล้วเอาไปแขวนบนยอดอนุสาวรีย์ได้ยังไง ?” สารวัตรมาร์ตินยังคงปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างสุดตัว
“ขอต้อนรับสู่โลกของผู้ใช้คุณไสย Keyword ที่ 2 คุณไสยสังคีต อาคมสาปแช่งที่ใช้ดนตรีเป็นสื่อกลาง ทุกคดีในสมัยก่อนที่ตำรวจปิดไม่ได้ ล้วนมีที่มาจากอาคมพวกนี้ทั้งสิ้น ผู้ใช้อาคมจะใช้เสียงดนตรีในการล่อลวง ควบคุม หรือ แม้กระทั่งเรียกอสุราทมิฬออกมาสู่โลกความเป็นจริง และใช้มันเป็นเครื่องมือในการฆาตกรรม” เอเซอร์เปิดคลาสเลคเชอร์อาคม 101 ให้แก่นายตำรวจทุกคนในที่แห่งนั้น
“ในคดีนี้ ฆาตกรใช้คุณไสยสังคีตหยุดเวลาพร้อมเรียกเจ้าอสุรกายนั่นออกมาเพื่อทำการสังหารเหยื่อ ที่ผมมั่นใจ ก็เพราะเราพบความผิดปกติจากภาพในกล้องวงจรปิด จากคำให้การ พยานทุกคนบอกว่าพวกเขาเห็นศพหลังจากเสียงระฆังบอกเวลา 20 : 00 : 00 น. ดังผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที แต่จากเวลาในกล้องวงจรปิด กว่าฝูงชนจะเริ่มแตกตื่นก็ปาไป 20 : 00 : 40 น. เป็นไปได้เหรอครับ ที่คนเราจะใช้เวลาตกใจนานถึง 40 วินาที พวกคุณทุกคนในที่แห่งนี้ ถูกช่วงชิง เวลา ไปครับ” ฤทธิเดชทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอนด้วยอีกคน
“หมายความว่า ฆาตกรต้องเล่นเครื่องดนตรีอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมครับ แบบนั้นก็เข้าทางเลยสิ เพราะคนที่เล่นเครื่องดนตรีอยู่ในจัตุรัสแห่งนี้มีแค่ คอร์ริน เบิร์ก คนเดียว” สารวัตรมาร์ตินปะติดปะต่อเรื่องราวและกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ
“ใช่ครับ ... ผมเป็นคนทำทั้งหมดเอง” หลังจากถูกอ้างชื่อเป็นครั้งที่สอง ในที่สุดชายขอทาน หรือ คอร์ริน เบิร์ก ก็ได้เดินเข้ามาหาทุกคนพร้อมคำสารภาพ ท่ามกลางปืนพกหลายสิบกระบอกที่จ่อเตรียมพร้อมไปที่เขา
“คุณ คอร์ริน ถึงจะรู้สึกผิดยังไง แต่ก็อย่าทำแบบนี้เลยครับ ... คุณยอมรับผิดแทนลูกชายไม่ได้หรอก ... คุณอาจจะหลอกตำรวจพวกนี้ได้ แต่หลอกพวกเรามือปราบวิญญาณไม่ได้หรอกครับ” ฤทธิเดชพูดอย่างเข้าใจในฐานะคนเป็นพ่อเหมือนกัน
“คอร์ริน เบิร์ก ไม่ใช่คนร้ายครับ ผมมีข้อพิสูจน์ที่มั่นใจถึงสองข้อ ข้อแรก เขาไม่ใช่ผู้ใช้คุณไสย เพราะทันทีที่ผมได้พบเจอกับเขาในคืนแรก ผมก็ใส่น้ำหอมติดตามไสยเวทย์ของคุณจูดี้ผ่านเหรียญ 20 โครนนอร์เวย์ ที่ให้กับเขาไปเรียบร้อยแล้ว หากเขาใช้คุณไสยสังคีตอีกครั้ง น้ำหอมนี้จะแจ้งเตือนมาที่ผมทันที ผลปรากฏว่า ผ่านมา 2 วันแล้ว ไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ จากเขาเลย” เอเซอร์บอกถึงสาเหตุที่เขาตัด คอร์ริน ออกจากผู้ต้องสงสัย พลางนึกไปถึงตอนที่เขาให้ทิปกับขอทานคนนี้ในคืนที่เกิดเหยื่อรายแรก
“ข้อสอง ช่วงเวลาที่กล้องวงจรปิดหายไป 1 นาที คุณคอร์รินเล่นเพลง London Bridge ไปเพียง 30 วินาที เพลงนี้แม่ของผมร้องให้ฟังตลอดตอนผมยังเป็นเด็ก ผมไม่มีทางกะจังหวะพลาดแน่ ๆ นั่นก็หมายความว่า เขาถูกช่วงชิงเวลาไปเหมือนกับพวกเราทุกคน”
“เจ้าเด็กนี่ได้ข้อสรุปนี้มาจากการตั้งใจฟังเสียงในคลิปกล้องวงจรปิด โชคดีจริง ๆ ที่กล้องนั้นอยู่เหนือหัวของคุณคอร์รินพอดี” ฤทธิเดชตบบ่าของเอเซอร์เบา ๆ ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“ทีนี้ พอตัดผู้ต้องสงสัยที่ 1 ได้ ... ก็เหลือแต่คุณแล้วครับ แอรอน” เอเซอร์พุ่งความสนใจกลับมาที่จ่าเอริคที่ตอนนี้เหงื่อท่วมไปทั้งตัวทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวจนแทบติดลบ
“เดี๋ยวสิ ๆ ถ้าฆาตกรต้องเล่นเครื่องดนตรีอยู่ตลอดเวลา มันก็ไม่มีทางเป็นจ่าเอริคแน่ ๆ อยู่แล้ว ตลอดเวลาตั้งแต่เขาพบศพ เขาไม่ได้พกเครื่องดนตรีเลยนะ” สารวัตรมาร์ตินยังคงไม่เชื่อจนถึงหยดสุดท้าย
“ตอบคำถามผมมาทีสิครับ แอรอน ... ทั้ง ๆ ที่มาดามโซเฟียยังไม่ได้ถูกพบเป็นศพอยู่บนยอดอนุสาวรีย์ ทำไมคุณถึงเป่านกหวีดนั้นล่ะครับ” เอเซอร์ปล่อยหมัดเด็ดที่ทำเอาจ่าเอริคหน้าถอดสีเป็นรอบที่ร้อยของวัน
“นี่มันเรื่องอะไรกันเอริค บอกฉันมาสิว่านายไม่ได้ทำ” สารวัตรมาร์ตินเริ่มทนไม่ไหว เขาตรงปรี่เข้าไปกระชายคอเสื้อของตำรวจรุ่นน้อง ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังหุบปากเงียบไม่ตอบโต้
“ในคดีเก่า ๆ ที่ตำรวจปิดไม่ลง เราพบคดีที่ต้องสงสัยว่าเป็นการใช้คุณไสยสังคีตมากมาย ถึงในแต่ละคดี เครื่องดนตรีที่ใช้จะมีชนิดที่ต่างกันออกไป แต่พอมานั่งพิจารณาดี ๆ เราก็มองเห็นจุดเชื่อมโยงได้ไม่ยาก ผมจะไล่เครื่องดนตรีที่พบในคดีต่าง ๆ นะครับ ทรัมเป็ต ... ฮาร์โมนิก้า ... รีคอร์เดอร์ ... ฟลูต ... ทรอมโบน ... คลาริเนต เห็นความสัมพันธ์ของพวกมันไหมครับ ?” ฤทธิเดชอ่าน List ของเครื่องดนตรีที่พบในคดีต่าง ๆ แต่ดูเหมือนตำรวจหลาย ๆ คนจะยังไม่เก็ตสิ่งที่มือปราบชราคนนี้กำลังจะสื่อ
“คุณสารวัตรอาจจะยังไม่รู้นะครับ ... แต่คำว่าดนตรีน่ะ มันกว้างกว่าที่คุณคิดเยอะ ... ขอแค่มีความรู้ในด้านนี้ อะไรก็ตามที่สามารถปรับอัตราการไหลของลมได้ มันก็สามารถบรรเลงเป็นโน้ตดนตรีได้ทั้งนั้นแหละครับ เพราะ Keyword ที่ 3 ที่เป็นสิ่งชี้ตัวฆาตกร ก็คือ เครื่องเป่า ยังไงล่ะครับ !!” เอเซอร์กระแทกเสียงอย่างมั่นใจพลางชี้นิ้วไปที่นกหวีดที่จ่าเอริคแขวนอยู่กับคอ สารวัตรมาร์ตินเอื้อมมือไปคว้าวัตถุต้นเรื่องมาดู และเขาก็พบว่ามันมีรูเปิดปิดที่มากกว่านกหวีดทั่วไปจริง ๆ
“ที่คุณ แอรอน หรือ จ่าเอริค เป่านกหวีด นั่นไม่ใช่การเป่าเมื่อพบศพ แต่เป็นการเป่าเพื่อสร้างศพต่างหาก พอนกหวีดถูกเป่า ในเสี้ยววินาทีนั้น ทุกคนในจัตุรัสก็ย่อมต้องหันไปมองทางเขา มันเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของมนุษย์อยู่แล้วที่จะต้องหันไปมองตามต้นเสียง และช่วงเวลานั้นแหละครับ ที่พวกเราทุกคนถูกช่วงชิงเวลาไป คุณไสยสังคีต ทำให้เวลาของสิ่งมีชีวิตถูกหยุด ในช่วงที่เวลาถูกหยุด เขาก็จัดการใช้อสุรกายทมิฬสังหาร ออสการ์ ออสติการ์ด กับ นายกเทศมนตรีลูก้า พร้อมนำศพของพวกไปแขวนโชว์ไว้ที่กลางอนุสาวรีย์ พวกเราทุกคนคิดว่าเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ แต่ไม่จริงเลย เขามีเวลาเหลือเฟือในการทำการฆาตกรรมทั้งหมด ในนามของวาติกัน นี่เป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผลที่สุดครับ” เอเซอร์พูดปิดม่านการเฉลยตัวคนร้ายไว้เพียงเท่านี้
หลังจากข้อสันนิษฐานทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมา จ่าเอริค ก็กำหมัดพร้อมด้วยอาการสั่นเทา ฟันของเขาขบกันจนเสียงกรามดังลั่น นายตำรวจทุกคนเริ่มถอยออกห่างจากเขา ยกเว้นแต่สารวัตรมาร์ตินที่ยังกระชับมืออยู่ที่ปกเสื้อของนายตำรวจคนนี้
“หึหึ เก่งมากครับ ผมคงประมาทเกินไปที่ไม่รีบฆ่าพวกคุณไปตอนที่ยังมีโอกาส” แต่เพียงไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น จ่าเอริคก็ได้เผยรอยยิ้มสุดชั่วร้ายออกมา ทำเอาสารวัตรมาร์ตินถึงกับผงะถอยหลัง “พวกมันสมควรตาย ... คนที่ช่วงชิงชีวิตไปจากคนอื่น ก็สมควรได้รับสิ่งเดียวกัน”
เมื่อธาตุแท้ทั้งหมดถูกเปิดเผย เอเซอร์ กับ ฤทธิเดช ก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมรับห่าอาคมที่กำลังถูกสาดมา
“พอได้แล้ว แอรอน ... หยุดแค่นี้เถอะ” แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ ชายขอทานผู้เป็นพ่อของนายตำรวจหนุ่มก็ได้เดินมาจับบ่าของเขาไว้เพื่อหวังให้ลูกชายใจเย็นลง “พ่อไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว แม่ของลูกก็คงคิดเหมือนกัน”
“พ่อครับ ...” จ่าเอริคที่ได้เห็นสีหน้าอาลัยของผู้เป็นพ่อ เขาก็หันกลับไปกอดคอร์รินทันที “เรื่องทั้งหมดมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ ... พ่อควรจะเป็นคนรับผิดทั้งหมด ... แล้วเน่าตายไปในคุกนั่นสิ ... คิดจริง ๆ เหรอว่าที่ฉันทำไปทั้งหมดนี่ คือการทำเพื่อแก ... ไอ้แก่ผีพนันจอมกะล่อน ถ้าไม่มีแกสักคน ... แม่ก็คงไม่ตาย ... แกควรจะเป็นศพสุดท้ายในการล้างแค้นนี่ ... แต่ไหน ๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันจะลัดคิวให้แกตายก่อนนางนั่นก็แล้วกัน”
ฉึก !!
ดวงตาของคอร์ลินเบิกโพลง โลหิตอุ่น ๆ สีแดงไหลทะลักออกมาจากท้อง มีดทหารเล่มโตถูกแทงเข้าที่ชายโครงของเขาอย่างแรงโดยฝีมือของลูกชายแท้ ๆ ร่างของชายขอทานแห่งจัตุรัสล้มลงกับพื้น พร้อมขั้วหัวใจถูกตัดขาดจากการแทงเพียงครั้งเดียว
เอเซอร์ กับ ฤทธิเดช ถึงกับช็อกกับภาพที่เห็น เช่นเดียวกับตำรวจที่อยู่รอบ ๆ
“เอาล่ะ ... มาเริ่มสาปแช่งกันได้แล้ว ... ไอ้พวกวาติกัน” จ่าเอริคเปลี่ยนลุคไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จากตำรวจหนุ่มขี้อายกลายเป็นฆาตกรโรคจิตเต็มตัว เขาใช้มีดกรีดฝ่ามือของตัวเอง พร้อมปล่อยหยดเลือดลงกับพื้น “ฆ่ามันซะ ลัคกี้ เอาคืนที่มันเผาแกจนเกรียมในคืนนั้นเมื่อ 3 ปีก่อนไง”
เลือดของจ่าเอริคได้พุ่งตรงไปหาร่างของอสุรกายหมาป่าที่นอนอยู่เบื้องหลัง ทันทีที่โลหิตสัมผัสกับร่างของมัน เจ้าอสูรก็ได้ฟื้นคืนกำลังวังชาอีกครั้งพร้อมด้วยขนาดที่ใหญ่โตจนสูงเกือบ 3 เมตร
เอเซอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้เห็นอสุรกายตัวยักษ์ เด็กหนุ่มตบไปที่บ่าของชายชราผู้เป็นอาจารย์เบา ๆ พลางยิ้มให้เขาด้วยสายตาเป็นมิตร “ยกให้ลุงเลย ... เดี๋ยวผมไปซัดไอ้บ้านั่นเอง”
“อ๊ะ ไอ้นี่ ... พอเห็นตัวใหญ่ ๆ ก็ปอดซะแล้ว” ฤทธิเดชยืนเท้าเอวให้กับเจ้าลูกศิษย์ตัวดีที่ชิ่งหนีไป ก่อนจะหันกลับมาและพบว่าจมูกพร้อมฟันเลื่อยของเจ้าอสุรกายหมาป่าอยู่ห่างเขาไปเพียงไม่กี่เมตร “คืนนี้ท่าจะสนุกซะแล้ว”
ก๊าซซซซซ !!
อสุรกายหมาป่าคำรามลั่น เหล่าตำรวจที่ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวต่างระดมห่ากระสุนใส่สิ่งลี้ลับตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะยิงไปเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะไม่ระคายผิวเจ้าขนปุยตัวนี้เลย
“ทุกคนถอยไปครับ ... จากนี้ให้พวกเราจัดการเอง” ฤทธิเดชตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน ตำรวจทุกนายที่ได้ยินดังนั้นก็พากันวิ่งหนีกระเจิงไปคนละทาง “จูดี้ อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์”
จูดี้จัดการร่ายมือในอากาศอย่างคล่องแคล่ว พริบตาหลังจากนั้นก็ปรากฏโดมอาคมสีฟ้าผุดขึ้นจากพื้นดิน ครอบทับร่างของมนุษย์ชรากับหมาป่าตัวเท่าบ้านไว้ด้วยกันภายใน
“เอาล่ะ มาคุยกันหน่อยดีไหม แอรอน ไม่นึกเลยนะว่าแกจะทำกับพ่อตัวเองแบบนั้นได้” ตัดมาที่คู่เอกอีกคู่ของคืนนี้ เอเซอร์เดินเข้าประชันหน้าจ่าเอริค หรือ แอรอน เบิร์ก อย่างไม่กลัวเกรง
“แกนี่มันน่าหมั่นไส้ว่ะ ฉันกำลังจะมีความสุขจากการได้ฆ่านางนั่น ดันมาขวางซะได้ ... ทำไม ชอบนางนั่นเหรอ หลงเสน่ห์มันเหรอ ? อย่าคิดไปไกลเลยพ่อหนุ่ม นางนั่นมันไม่ได้สนใจอะไรนอกจากเงินหรอก” แอรอนพยายามพูดเพื่อให้คู่กรณีของตัวเองไขว้เขว แต่เอเซอร์ก็ดูจะไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่ “เอางี้ไหม ? เรามาแลกเปลี่ยนกัน ขอให้ฉันได้ฆ่านางนั่น แล้วแกจะเอาศพมันไปปู้ยี่ปู้ยำทำอะไรก็ตามใจ วิน ๆ กันทั้งสองฝ่ายนี่ ใช่ไหม ? หึหึ”
ผัวะ !!
ยังไม่ทันที่แอรอนจะหัวเราะจนจบดี แก้มของเขาก็ถูกสัมผัสด้วยหมัดของเอเซอร์เข้าอย่างจัง แรงจากหมัดนั้นส่งร่างของนายตำรวจหนุ่มลอยละลิ่วไปตามลมจนลงไปนอนวัดพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน
“อุก ... ถุย ...” แอรอนถุยฟันของตัวเองที่บิ่นหักจากแรงหมัดออกจากปาก เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็เซล้มลงกับพื้นอีกครั้งเพราะอาการมึนที่ยังตกค้างอยู่ในหัว
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเธอคนนั้นทำอะไรกับแกไว้บ้าง เธออาจชั่วจนนรกยังไม่อยากยอมรับก็ได้ ... แต่ฉันไม่ได้มีหน้าที่ตัดสิน ... ซึ่งมันเป็นคนละกรณีกับแก พวกผู้ใช้คุณไสยสามานย์สาปแช่ง ยิ่งพอได้ยินความคิดอุบาทว์ของแกแล้วด้วย ฉันตัดสินแกได้โดยชอบธรรมเลยล่ะ ...” เอเซอร์เปลี่ยนมาเป็นโหมดแบดบอยบ้าง เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปที่หมัดของตัวเองที่เปื้อนเลือดโสโครกของแอรอน ก่อนจะปามันทิ้งพร้อมทำสีหน้ารังเกียจ
“ไอ้เวรนี่ !!” แอรอนพยายามจะพุ่งเข้าใช้มีดแทงใส่เอเซอร์ แต่ฝ่ายมือปราบวิญญาณก็ใช้สองมือของตัวเองหยุดข้อมือของนายตำรวจหนุ่ม ไม่ให้คมมีดมาถึงตัวเขาได้
“พอมาดูใกล้ ๆ แล้ว ... นาฬิกาของแกก็สวยดีเหมือนกันนะเนี่ย” เอเซอร์พูดชมนาฬิกาข้อมือของแอรอนที่กำลังต้านกำลังอยู่กับเขาอย่างหน้าตาเฉย “แต่น่าเสียดาย ... ฉันคงจะอัดมันเละจนดูเวลาไม่ได้อีกเลย ... หมายถึงหน้าแกนะไม่ใช่นาฬิกา”
ผัวะ !!
เอเซอร์จัดการเสยเข่าลอยใส่ปลายคางของแอรอนไปอีกดอก ฆาตกรโรคจิตเมื่อเจอดอกนี้เข้าไป เขาก็ถึงกับเห็นดาวฤกษ์นับพันลอยอยู่เหนือหัวของตัวเอง
หมับ !!
เอเซอร์จัดการปลดอาวุธมีดของแอรอนทิ้ง ก่อนที่เขาจะจิกหัวของฆาตกรชั่วขึ้นมาสบตากับเขาชัด ๆ “ให้ตายสิ พอมาดูใกล้ ๆ แล้ว นาฬิกานี่กระจอกเป็นบ้า ... แต่ไม่ต้องห่วง เพราะตอนนี้ฉันมีสิ่งที่มองแล้วไม่สบอารมณ์มากกว่า นั่นก็คือหน้าของแกยังไงล่ะ”
“แกมันโรคจิต ...” แอรอนถึงกับพ่นคำสบถออกมา หลังเห็นสายตาของคู่กรณีที่ดูเหมือนจะยิ้มแฉ่งให้กับเขาอยู่
ตูม !!
หมัดสุดท้ายจากชายมือปราบประเคนเข้าใส่หน้าของฆาตกรเต็ม ๆ จนมันล้มหงายตึงไปกับพื้น เอเซอร์ทำหน้าเหยเกพร้อมสะบัดมือเล็กน้อย สงสัยว่าเขาจะไม่ยั้งมือไปหน่อยจนข้อมือถึงกับเคล็ด
“แก ... ตายแน่” แอรอนที่ยังคงเหลือสติเลือนราง ได้พยายามยกนกหวีดของตัวเองขึ้นมาเป่า เพื่อหวังหยุดเวลาและเขาจะได้ฆ่าไอ้เด็กอวดดีตรงหน้าให้สาแก่ใจ
“Eisaz - ᛁ (น้ำแข็ง)” แต่ก่อนที่แอรอนจะได้ทำอะไร เอเซอร์ก็ได้หยิบก้อนหินสีฟ้าที่สลักอักขระรูนโบราณจากในกระเป๋ามาก้อนหนึ่ง ก็จะบรรจงร่ายคาถาซัดใส่นกหวีดนั่น ผลของอาคมส่งไอน้ำแข็งเย็นยะเยือกเข้าเกาะกุมจนฆาตกรผู้ใช้คุณไสย ไม่อาจทำสิ่งที่ต้องการได้
“ฟู่ ~ เกือบไป ๆ เอาล่ะพอแค่นี้เถอะ คิวของพวกเราหมดแล้ว มานั่งดูโชว์นี้ด้วยกันดีกว่า” เอเซอร์ดัดข้อมืออย่างไม่ทุกข์ร้อนพร้อมกับเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ แอรอนที่ตอนนี้ดูเหมือนจะสติแตกไปแล้ว
“แก ... แกไม่รอดแน่ ... ลัคกี้ ... เจ้าลัคกี้ของฉันจะฆ่าไอ้แก่ที่มากับแก แล้วมันจะกลับมาช่วยฉัน ... แกเตรียมตัวตายได้เลย” แอรอนเริ่มพูดไม่เป็นภาษาเพราะความกลัว
“ไอ้เพื่อนเกลอเอ๋ย ... ฉันล่ะสงสารหมาแกจริง ๆ ... หวังว่าจะไม่โดนองค์กรพิทักษ์สัตว์เอาทัวร์มาลงนะ” เอเซอร์ตอบโต้คำนั้นของแอรอน พร้อมกระแอมเสียงในลำคอเล็กน้อย “ไอ้ลุง !! อย่ารุนแรงกับสัตว์มาก เอาแค่พอประมาณ”
แอรอนไม่เข้าใจในสิ่งที่เอเซอร์พูดแม้แต่น้อย เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าชายแก่อายุเหยียบ 60 จะเอาอะไรมาสู้กับอสุรกายยักษ์ในบัญชาของเขา แต่ผ่านไปไม่ถึงนาที โดมอาคมสีฟ้าก็ได้คลายออก พร้อมเผยผลการต่อสู้ระหว่าง ฤทธิเดช กับ อสุรกายหมาป่าทมิฬ ให้ชาวโลกได้รับรู้
ภาพที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอาแอรอนอ้าปากค้าง เพราะเขาเห็นอสูรคู่ใจกำลังถูกชายชราซัดด้วยหมัดลุ่น ๆ หมัดแล้วหมัดเล่าจนมันมีสภาพไม่ต่างจากเจ้าของ หลังจากซัดจนหนำใจแล้ว ฤทธิเดช ก็ทำการปิดม่านของคืนนี้ โดยการเหวี่ยงร่างของเจ้าอสูรใส่กำแพงตึกอย่างแรงจนมันถึงกับแน่นิ่งหมดสภาพ
“อ่า ... ออกแรงมากไปหน่อยไหมเนี่ย” ฤทธิเดชเกาหัวแกรก ๆ ระหว่างยืนมองผลงานของตัวเอง
“ตำรวจครับ ~ มีคนทำร้ายสัตว์ครับ จับได้จับเลยนะครับ” เอเซอร์ป้องปากพูดลอย ๆ แต่ก็ทำเอาชายชราถึงกับคิ้วกระตุก
“ทำได้ดีมากทั้งสองคน คืนนี้คงจบแล้วสินะ” หลังจากศึกทั้งสองสมรภูมิจบลง จูดี้ก็ได้เดินกลับมารวมตัวกับสองลุงหลาน พร้อมใส่อาคมรักษาบาดแผลให้ทั้งคู่
“พ ... พวกแกเป็นตัวอะไรกันแน่” แอรอนที่หมดสิ้นแล้วซึ่งกำลังจะตอบโต้ ได้แต่ส่งคำถามที่ติดค้างคาใจเขาไปให้แก่กลุ่มผู้วิเศษตรงหน้า
“ก็แค่คนที่ถูกส่งมาทำงาน แค่นั้นแหละ” เอเซอร์ตอบเรียบ ๆ หลังจากนั้นสารวัตรมาร์ตินกับเหล่าตำรวจที่แตกกระเจิงไปก่อนหน้าก็ได้กลับมาควบคุมสถานการณ์และจับกุมตัวคนร้ายตัวจริงไปฝากขังตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะครับ ผมไม่รู้เลยว่าคนร้ายตัวจริงจะอยู่ใกล้ตัวผมมาโดยตลอด” หลังจากเคลียร์พื้นที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว สารวัตรมาร์ตินก็ได้มากล่าวขอโทษเหล่ามือปราบวิญญาณทั้ง 3 กันยกใหญ่
“คุณไม่ผิดหรอกครับสารวัตร ขนาดพวกเรายังเกือบเขวเลย ถ้าไม่ได้เจ้าหนูนี่ช่วยไว้ เราคงจับคนร้ายผิดตัวและมีคนตายอีกแน่” ฤทธิเดชกล่าวชื่นชม ทำเอาเอเซอร์ถึงกับเอามือป้องปากอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“แม่เจ้า ... ลุงแม่งชมผมว่ะ คุณจูดี้ ลุงเขาชมผมด้วยแหละ ... หนึ่งในรอบร้อยปีมั้งเนี่ย ... นี่ลุง ๆ พูดอีกครั้งได้ป่ะ ขออัดเสียงไว้หน่อย” คำพูดเหน็บแนมของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาได้รับของบรรณาการจากผู้เป็นลุงด้วยหมัดเขกกะโหลกไปหนึ่งดอกจนหัวโน จูดี้ที่เห็นแบบนั้นก็อดยิ้มให้กับความสนิทของทั้งคู่ไม่ได้
“ถึงทุกอย่างจะจบแล้ว แต่ฉันก็อดสงสารแอรอนไม่ได้ ... สิ่งที่เขาเจอทำให้เขาเลือกทางผิด หวังว่าสักวันนึงหลังจากเขาได้ชดใช้สิ่งที่ตัวเองก่อแล้ว เขาจะคิดได้บ้างนะ” จูดี้กล่าวอาลัยแก่ฆาตกรที่เอาจริง ๆ แล้ว ก็ล้วนกำเนิดขึ้นมาจากความโลภของมนุษย์ทั้งสิ้น
“เมืองนี้เป็นหนี้พวกคุณ ถ้าไม่มีธุระรีบไปที่ไหนต่อ ก็พักผ่อนที่เมืองนี้ได้เต็มที่เลยนะครับ ผมพร้อมเป็นเจ้ามือ” สารวัตรมาร์ตินโค้งให้กับทั้ง 3 เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะขอตัวไปจัดการเรื่องคดีต่อ
“เอ่อ ... ฉันก็อยากขอบคุณด้วยค่ะ” บุคคลที่สามที่เพิ่งได้พบประสบการณ์เฉียดตาย เดินออกมาจากตึกที่ซ่อนตัวเพื่อขอบคุณเหล่าคนที่ช่วยเหลือชีวิตเธอไว้
“คุณก็ควรไปให้การกับตำรวจนะครับ มาดามโซเฟีย ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสามปีก่อน แต่ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจ ผมก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรต้องกลัว” เอเซอร์ให้คำแนะนำที่จริงใจที่สุดกับโซเฟีย
“จริง ๆ ฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกค่ะ คนที่ชื่อออสการ์ เขาติดต่อฉันมาเกี่ยวกับโปรเจกต์เรื่องเรือประมง เขาคงเอาชื่อฉันเป็นเครดิตในการประมูล ฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจริง ๆ” โซเฟียเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ฤทธิเดช กับ จูดี้ ยิ้มให้กันเพราะดีใจที่พวกเขาช่วยคนที่ไม่ได้มีความผิดไว้ได้
“งั้นก็ดีครับ ขอให้มีความสุขในคืนคริสต์มาสนะครับ” เอเซอร์จับมือกับโซเฟียเป็นการอำลากันอย่างเป็นทางการ
“เอ่อ ... ว่าแต่ คุณชื่อเอเซอร์สินะ คืนนี้ถ้าไม่ติดอะไร ช่วยพาฉันเที่ยวชมเมืองได้ไหมคะ ?” ไม่น่าเชื่อว่าจนถึงตอนนี้ โซเฟีย ก็ยังคงรุกใส่เด็กหนุ่มไม่หยุด หมัดตรงไม่มีอ้อมค้อมของหญิงสาวทำเอาเอเซอร์ถึงกับกะพริบตาปริบ ๆ
“ลุยเลยไอ้เสือ ฉันกลับที่พักก่อนล่ะ ไปกันเถอะจูดี้” ฤทธิเดชโค้งเล็ก ๆ ให้กับโซเฟีย ก่อนจะพาคู่หูของเขาออกไปจากตรงนั้นเพราะไม่อยากเป็นก้างขว้างคอใคร
“ไอ้ลุงนี่ ...” ถึงจะอยู่ในอาการกัดฟันกรอด แต่เอเซอร์ก็ยังต้องฝืนยิ้มไว้ เพราะสาวสุดแซ่บที่อยู่เบื้องหน้าไม่ยอมปล่อยมาเขาเสียที “ก็ได้ครับ ผมก็ว่าง ๆ อยู่พอดี”
โซเฟียยิ้มหน้าบานหลังจากได้รับการตอบกลับในทางบวก ชายหนุ่มกับหญิงสาวพากันจูงมือเดินไปตามถนนในเมืองที่ตอนนี้เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาบ้างแล้ว
“ว่าแต่ ... มาดามโซเฟียครับ” อยู่ ๆ ระหว่างบรรยากาศแสนโรแมนติก หนุ่มน้อยเอเซอร์ก็ได้หันมาพูดกับคู่ของเขา ก่อนจะมองกวาดไปที่ข้อมือของเธอ “จะว่าไป นาฬิกาของคุณก็สวยดีเหมือนกันนะครับเนี่ย ...”
FIN~