ความฝันของข้าคือได้แต่งงานกับหญิงงาม แต่ไหงความจริงกลับตาลปัตรถึงเพียงนี้—ทั้งสัตว์ประหลาด แผนลับ และคำทำนายทายาทผู้ยิ่งใหญ่! ใครมันเขียนโชคชะตาข้ากันเนี่ย?”
แอคชั่น,ผจญภัย,จีน,สงคราม,เลือดสาด,จีนโบราณ,แฟนตาซี,เทพเซียน,กำลังภายใน,ผจญภัย,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ยุทธภพนี้! นี่ใครครองความฝันของข้าคือได้แต่งงานกับหญิงงาม แต่ไหงความจริงกลับตาลปัตรถึงเพียงนี้—ทั้งสัตว์ประหลาด แผนลับ และคำทำนายทายาทผู้ยิ่งใหญ่! ใครมันเขียนโชคชะตาข้ากันเนี่ย?”
ยุทธภพนี้! นี่ใครครอง
"The Edge of Dragon Spirit"
ผู้เขียน : ปริมะ , 2024
ฮวงฟาง—เด็กหนุ่มผู้ (อยาก) มีชีวิตเรียบง่ายและความฝันเล็กๆ (แต่ยิ่งใหญ่) : ทำงาน หาเงิน แต่งหญิงงามสักคน แล้วหนีให้ไกลจากเงื้อมมือของ ท่านตาจอมเผด็จการ ที่ยืนกรานว่า
“วิทยายุทธ์คือคำตอบของทุกปัญหา!”
สำหรับข้า?
“การฝึกมันคือปัญหาของทุกคำตอบ!"
ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว ทำไมต้องมานั่งทรมานตัวเองให้เมื่อยด้วย?
เพื่อไล่ตามอิสรภาพ ฮวงฟางรับจ้างทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่ ซ่อมหลังคา เฝ้ายาม ดูแลเป็ดไก่ ยันทวงหนี้นอกระบบ ความตั้งใจของเขาดูเหมือนง่ายดาย แต่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวายที่ไม่คาดฝัน!
ไม่ว่าจะเป็น แผนลับของท่านตา ที่เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยว (เดินผ่านบ้านนิดเดียวก็ซวยได้) คิงคองยักษ์ ที่โผล่มาท้าตีโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย(ก็เข้าใจคำว่าหน้าไม่เกี่ยว ใส่เดี่ยวได้หมดอยู่หรอก!) หรือแม้กระทั่งมีคนมาเรียกเขาว่า “ทายาทผู้ยิ่งใหญ่” (อะไรอีกล่ะเนี่ย?)
ฮวงฟางมีทางเลือกเดียว : “ถ้าความสงบสุขไม่มาหา ข้าก็จะหาทางวิ่งไปหามันเอง! ฮ่าฮ่าฮ่า!” (หัวเราะแบบตัวร้ายที่ซ่อนแววตาวิบวับ)
งานนี้ ฮวงฟางจะใช้ไหวพริบ (หรือความเจ้าเล่ห์?) ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย หรือจะกลายเป็น จอมยุทธ์แบบไม่ทันตั้งตัว กันแน่?
• สายลมเย็นต้นฤดูเหมันต์พัดโชยผ่านนครม่านไหม แสงแดดเจือจางในยามบ่ายพอช่วยขับไล่ความหนาวเหน็บให้จตุรัสกลางเมืองมีความอบอุ่นขึ้นมาบ้าง แม้กลิ่นอายความเย็นยังคงวนเวียนอยู่ในอากาศ
ผู้คนในชุดคลุมหนาค่อย ๆ ก้าวเดินสวนกันอย่างไม่รีบร้อน บ้างกำลังต่อรองราคากับพ่อค้าแม่ค้าในตลาด บ้างหยุดพูดคุยกันหน้าร้านน้ำชา
กลิ่นน้ำซุปที่เดือดพล่านจากเตาไฟลอยคลุ้งไปทั่ว ปะปนกับเสียงหัวเราะสดใสของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นตรงตรอกเล็ก ๆ ริมถนน บรรยากาศแห่งการเตรียมพร้อมรับหน้าหนาวครอบคลุมทั่วเมือง
เฉียงเทียนกระชับผ้าคลุมแน่น เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เขาคุ้นเคย ด้านหลังมีชายสองคนเดินติดตามมาอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าเปื้อนฝุ่นของพวกเขาบอกเล่าถึงการเดินทางอันแสนยาวนาน
ในที่สุด พวกเขาทั้งสามก็มาหยุดยืนหน้าโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เสียงพูดคุยจอแจจากด้านในถูกกลิ่นฉุนบาดคอของสุรา กลบจนหมดสิ้น ราวกับเป็นหลักประกันถึงความเลิศรสของมัน เฉียงเทียนผ่อนลมหายใจช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าจะดื่มที่นี่สักหน่อย พวกเจ้าก็มานั่งพักเถิด”
“นายน้อย นี่ใช่โรงเตี๊ยมที่ท่านเคยพูดถึงหรือไม่ขอรับ?” ผู้ติดตามหนึ่งถาม ขณะเหลียวมองรอบตัวด้วยความสนใจ
“ใช่แล้ว” เฉียงเทียนตอบเรียบ ๆ สายตาเหลือบไปยังป้ายไม้เก่าคร่ำบนประตูทางเข้า ความทรงจำในวัยเด็กย้อนคืนมา
“ที่นี่เคยเป็นที่ที่ข้ามาเที่ยวเล่นกับท่านพ่อเมื่อยังเยาว์”
เฉียงเทียนหยุดฝีเท้าหน้าบันไดทางขึ้น เขาหันกลับไปมองผู้ติดตามอีกคนที่ยังจับกระบี่แน่น ชายผู้นั้นมักเคร่งขรึมและจริงจังอยู่เสมอ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “วางใจเถอะ ที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าต้องกังวล”
ผู้ติดตามสองพยักหน้าอย่างว่าง่าย แม้มือที่จับกระบี่จะคลายลงเล็กน้อย แต่สายตาของเขายังคงระวังภัยรอบตัว
เมื่อก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม ไออุ่นจากแสงโคมไฟและเตาผิงกลางห้องพรันโอบล้อมกาย เสียงพูดคุยปะปนกับเสียงหัวเราะดังก้องทั่วโถงใหญ่ เขากวาดตามองรอบห้องอย่างสงบ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโต๊ะริมหน้าต่างด้วยท่าทีแช่มช้า
ผู้ติดตามหนึ่งวางกระเป๋าหนักอึ้งลงดัง ตึง! ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ยกเท้าขึ้นคลึงเบา ๆ “เดินเท้าเป็นร้อยลี้ ข้าไม่คิดว่าข้าจะเหลือขามาถึง!”
“ใช่! ข้ายังหวังให้เจ้าถูกโจรสับขาเสียด้วยซ้ำ จะได้ไม่ต้องมาโอดครวญเยี่ยงนี้!” ผู้ติดตามสองปรามเสียงเข้ม ก่อนจะกวาดตามองรอบตัวด้วยแววตาเคร่งขรึม “นายน้อย เส้นทางในเทือกเขาอีแปะนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นรังซ่องสุมของพวกดักปล้น เหตุใดท่านจึงเลือกเส้นทางอันตรายเช่นนี้…”
“เจ้าพูดเหมือนตัวเองไม่เหน็ดเหนื่อย” ผู้ติดตามหนึ่งแย้งเสียงหงุดหงิด ขณะที่ลอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคือง
เฉียงเทียนเพียงยิ้มบาง ๆ ขณะจัดแจงถ้วยชามตรงหน้า เขามองดูทั้งสองคนอย่างผ่อนคลาย “พวกเจ้านั่งลงก่อนเถิด ตอนนี้ถึงที่หมายแล้ว กินอะไรอุ่น ๆ รองท้องเสียก่อน”
ขณะนั้น สาวใช้ในชุดเรียบง่ายเดินเข้ามาพร้อมถาดไม้ที่บรรจุอาหารและไหสุรา ทั้งหมดถูกวางลงด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าจะรบกวนการสนทนาของพวกเขา กลิ่นเครื่องเทศจากเนื้อย่างสอดรับกับกลิ่นหอมของสุราที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ กระตุ้นให้ท้องของผู้ติดตามทั้งสองร้องครวญเบา ๆ
ทั้งคู่สบตากันโดยไม่พูดสิ่งใด ก่อนจะสูดกลิ่นหอมที่อบอวลเข้าเต็มปอด ราวกับให้กลิ่นนี้ช่วยปลอบประโลมความหิวและความเหนื่อยลาตลอดการเดินทาง
ผู้ติดตามหนึ่งหยิบเนื้อย่างชิ้นใหญ่จากจานตรงหน้า ยัดเข้าปากทั้งคำจนแก้มตุ่ย เคี้ยวดังก้อง ก่อนจะวางจอกสุราลงเบา ๆ เหมือนกำลังเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะเนื้อเต็มปากทำให้เขาต้องกลืนลงไปก่อน สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ข้าจำได้ว่า ท่านเคยเล่าเรื่องสาวงามแห่งนครม่านไหมให้พวกข้าฟัง… พวกนางสมคำลืออย่างที่ท่านว่าไว้จริง ๆ ขอรับ!”
น้ำเสียงของเขาติดขบขัน ฟังไม่ชัดนักเพราะยังเคี้ยวเนื้ออยู่เต็มปาก ขณะที่มือก็รินสุราเพิ่มใส่จอก ก่อนจะกระดกตามอีกคำโต
“เจ้ากินให้เสร็จก่อนจะพูดได้หรือไม่!” ผู้ติดตามสองปรามเสียงเข้ม พร้อมทั้งส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย เขาเอื้อมมือไปรินสุราบ้าง ก่อนจะเหลือบมองรอบโถงราวกับกลัวใครจะสังเกตเห็นภาพไม่น่ามองของเพื่อนร่วมทาง “นี่เจ้าอย่าลืมว่าเรากำลังนั่งอยู่ในบ้านเกิดของนายน้อย สำรวมกิริยาไว้เสียบ้าง!”
เฉียงเทียนเพียงหัวเราะเบา ๆ สายตามองพวกเขาอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าไม่ได้ถือสาอะไรหรอก… พวกเราเดินทางมาไกล หากอาหารตาและสุราเลิศรสพอจะช่วยทุเลาความเหนื่อยล้าได้บ้าง ข้าก็ไม่ว่ากระไร”
ผู้ติดตามหนึ่งยิ้มเผล่ หยิบเนื้อขึ้นมาเคี้ยวต่อโดยไม่สนใจคำปราม “นอกจากอาหารตาแล้ว ข้าเกรงว่าอาหารท้องพวกนี้ก็ดีไม่แพ้กัน!”
“เจ้านี่มันเห็นของกินแล้วลืมทุกสิ่งจริง ๆ!” ผู้ติดตามสองกลอกตา ก่อนจะยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองเบา ๆ ราวกับระงับความปวดหัว “อย่าให้ข้าต้องปวดหัวเพราะเจ้ามากไปกว่านี้เลย!”
ลมหนาวพัดแทรกผ่านหน้าต่างไม้ที่เปิดไว้เพียงครึ่ง ดึงไอเย็นเข้ามาจนกระทบผิว เฉียงเทียนทอดสายตาผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้ม ทิวหลังคาบ้านเรียงตัวลดหลั่นเต็มมีหิมะเกาะบาง ๆ ขณะที่ม่านผ้าหน้าร้านค้าสั่นไหวตามแรงลม เมืองทั้งเมืองดูราวกับกำลังหลับใหล
“ข้าไม่คิดว่าที่นี่จะเงียบสงบถึงเพียงนี้” ผู้ติดตามสองพูดขึ้น พร้อมกับชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาสำรวจสภาพรอบตัวอย่างระมัดระแวดระวัง
“ใช่ขอรับ!” ผู้ติดตามหนึ่งรีบเสริม ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเนื้อย่างอีกชิ้นจากจานตรงหน้า “สงบจนข้าคิดว่าพวกเขาเฉื่อยชากันเกินไปด้วยซ้ำ” เขาเคี้ยวเนื้อขณะเหลือบมองกลุ่มชาวบ้านที่กำลังหาบของเดินผ่านไป “พวกเขาคงไม่รู้ตัวว่าความเปลี่ยนแปลงกำลังจะมา”
“ไม่ผิดนัก… ที่พวกเขาเป็นเช่นนี้” เฉียงเทียนจิบสุรา แค่นยิ้มบาง “เมืองนี้สงบสุขมานับร้อยปี คงไม่แปลกที่ผู้คนจะลืมเลือนความระแวดระวังไปทีละน้อย… โดยไม่รู้ตัว”
“ผู้ติดตามหนึ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ “หากพูดเช่นนั้น ข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านจึงพูดถึงบ้านเกิดท่านอยู่บ่อยครั้ง…”
“ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไม่ได้หยุดแค่การสะสมกำลัง…” ผู้ติดตามสองกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง สายตาเหลือบมองกองสัมภาระโดยไม่ตั้งใจ จับจ้องอยู่ชั่วครู่กับสิ่งที่ถูกห่อผ้าไว้ ก่อนจะรีบเบนสายตากลับและเอ่ยต่อด้วยเสียงเบาแต่หนักแน่น “หากสิ่งที่ข้าคิดเป็นความจริง พวกเขาอาจหมายตาแผ่นดินแถบนี้เป็นเป้าหมายต่อไป”
ผู้ติดตามหนึ่งพึมพำเบา ๆ “แล้วนายน้อยคิดว่า นครม่านไหมแห่งนี้จะต้านทานความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้หรือไม่ขอรับ?”
เฉียงเทียนจิบสุราพร้อมยิ้มบาง ๆ “ถึงข้าจะอยากให้เป็นเช่นใจข้า แต่คงไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยตลอดกาลหรอก”
ลมหนาวกรูพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเป็นระยะ พอให้โคมไฟในโรงเตี๊ยมสั่นไหวเป็นระลอก เปลวไฟโยกไปมา ราวกับสะท้อนถึงชะตากรรมที่ไม่แน่นอนของเมืองนี้ คำพูดนั้นเรียกความเงียบงันชั่วขณะ สายตาของเฉียงเทียนยังคงทอดยาวออกไปนอกหน้าต่าง
ขณะที่ผู้ติดตามทั้งสองนั่งนิ่ง สบตากันเพียงแวบเดียว ก่อนจะก้มหน้าลงโดยไม่กล้าเอ่ยคำใดต่อ
พลันเสียงโวยวายดังสนั่นขึ้นจากมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม ดึงสายตาผู้คนให้หันไปมอง ชายวัยกลางคนในชุดผ้าหยาบทุบโต๊ะเสียงดังจนจอกสุรากระเด็นตกพื้น
“ข้าไม่เชื่อ! มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ!” เขาคำรามลั่น
ตรงข้ามเขาเป็นชายหนุ่มในชุดหนังสัตว์เก่าซอมซ่อ เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน รอยยิ้มเย้ยหยันกว้างพอให้ใครที่มองเห็นต้องรู้สึกหมั่นไส้ ดวงตาของเขาไหวระริก ราวกับกำลังสนุกกับอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครบอกได้
ลุงกล่าวหาข้าหนักไปแล้วนะ” เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
เขาคีบลูกเต๋าลูกหนึ่งขึ้นมา ดวงตาเรียวรีจ้องมันแน่วนิ่ง ราวกับกำลังชื่นชมผลงานศิลปะที่ไร้ที่ติ
“ลูกเต๋าของข้านี่ไม่มีเวทมนตร์ หรือเล่ห์กลอะไรพิศดารเลย—ลุงไม่ไว้ใจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เขาใช้นิ้วคีบลูกเต๋าแล้วหมุนมันไปมาเหมือนเล่นของเล่น ดวงตาจ้องมองอีกฝ่ายราวกับกำลังจับไต๋
“โชคชะตาเป็นของท่าน… เหตุใดถึงมาโทษลูกเต๋าข้า มันจะออกหน้าไหน ข้าควบคุมมันไม่ได้เสียหน่อย”
“โกหก!” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ข้าแทงปู ปูมันก็เดินหนี พอข้าแทงเสือ เสือมันก็วิ่งหนีอีก ครั้นข้าแทงน้ำเต้า เหตุใดมันจึงออกลูกเป็นปลาได้!”
คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากกลุ่มคนที่มุงดูอยู่รอบโต๊ะ เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ บ้างตบบ่าเพื่อนข้าง ๆ อย่างขบขัน บ้างตะโกนยุให้เขาเลิกบ่นเสียที ราวกับเพลิดเพลินไปกับชะตากรรมอันน่าอับอายของชายวัยกลางคน
“ดูเหมือนทางนั้นจะมีอะไรน่าสนุกนะขอรับ” ผู้ติดตามหนึ่งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นจิบ พลางมองไปที่วงพนันที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ “แค่เล่นพนันก็ทำให้คนรอบวงเฮฮากันได้… ข้าว่าเจ้านั่นมีฝีมือสร้างความบันเทิงไม่น้อย”
ผู้ติดตามสองหรี่ตามองชายหนุ่มในวงพนันด้วยแววตาเคร่งขรึม
“ฝีมือ? เจ้ากล้าเรียกว่านั่นเป็นฝีมือ?” เขากล่าวเสียงต่ำ แฝงความไม่ไว้วางใจ
“คนที่ใช้ปากเป็นอาวุธ กับมือที่ไวผิดปกติแบบนั้น… เจ้านั่นต้องมีลับลมคมในอยู่ไม่น้อย”
“ฮึ!” ผู้ติดตามคนแรกหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นกระดกอีกคำ
“ข้าว่าเจ้าคิดมากเกินไป เขาอาจจะแค่โชคดีเท่านั้น… โอ๊ะ! หรือบางทีเทพแห่งโชคชะตาอาจโปรดปรานเจ้านั่นอยู่ก็ได้!”
เขากล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ ราวกับเรื่องตรงหน้าเป็นเพียงการละเล่นไร้พิษภัย
“เจ้าดูนั่นสิ” ผู้ติดตามสองเอ่ยแทรก น้ำเสียงจริงจังขึ้น ขณะปรายคางไปทางกระเป๋าหนังสัตว์ใบใหญ่ที่ชายหนุ่มวางพิงข้างตัว “สิ่งนั้น… มันใหญ่เกินกว่าจะใส่แค่เงินพนันธรรมดา ข้ามั่นใจว่ามันถูกเตรียมไว้ล่อตาพวกคนโลภให้หลงกลมากกว่า”
ผู้ติดตามหนึ่งชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองกระเป๋าหนังสัตว์ใบใหญ่ที่หวงฟางวางพิงข้างตัว ใบหน้าที่เคยยิ้มขบขันของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“เจ้าคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นตุกติกหรือ?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเล็กน้อย
ผู้ติดตามคนที่สองปรายตามองเพื่อน ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“นั่นแหละคือสิ่งที่กวนใจข้า… โชคดีเกินไป… จนน่าสงสัย”
เฉียงเทียนที่ยังนิ่งเงียบมาตลอด ยกจอกสุราขึ้นจิบ สายตาของเขายังคงจับจ้องไปทางหวงฟางที่กำลังกลิ้งเหรียญไปมาตามนิ้วมืออย่างคล่องแคล่ว ราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
เฉียงเทียนเอ่ยขึ้นเบา ๆ แทรกบทสนทนา น้ำเสียงเรียบนิ่ง
“โชคชะตามักถูกสร้างขึ้น โดยคนที่ฉลาดพอจะใช้มันเสมอ”
เสียงเอะอะยังคงดังลั่นรอบวง บ้างหัวเราะจนพ่นสุราออกมา บ้างขำจนตัวงอ ราวกับซ้ำเติมชายวัยกลางคนที่นั่งกัดฟัน หน้าแดงก่ำด้วยความเจ็บใจ ทว่ากลับไม่มีใครยื่นมือช่วย เหมือนคำกล่าวที่ว่า “คนล้มย่อมมีคนเหยียบ”
“ก็เจ้าแทงเสียเองนี่! ฮ่า ๆ ๆ”
“ใช่! เสียเองแล้วยังจะโวยวายอีก!” เสียงหัวเราะจากอีกโต๊ะดังเสริมขึ้น พร้อมเสียงจอกสุรากระแทกโต๊ะดัง เคล้ง! ตามจังหวะ
“ถ้าดวงเจ้าไม่ดี ข้าบอกแล้วว่าอย่าไปแทงเสือ! ฮ่า ๆ ๆ” ชายหนุ่มอีกคนในวงสุราตะโกนแซวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“อย่าโทษเจ้าหนุ่มคนนั้นคนเดียวเลย!” ชายชราหัวเราะพลางตบกระเป๋ากางเกงที่ตุงไปด้วยเหรียญ “ข้าเองก็ฟันเงินเจ้าไปไม่น้อยเหมือนกัน!”
“ตึง! กรุ๊งกริ๊ง!” เสียงเหรียญกระทบพื้นดังก้องสะท้อนไปทั่ววง ทุกสายตาหันไปที่ชายหนุ่มในชุดหนังสัตว์ซอมซ่อ เขายังคงหมุนเหรียญตำลึงไปมาระหว่างนิ้วอย่างชำนาญ ดวงตาเรียวรีวาววับด้วยแววขบขัน ราวกับกำลังล้อเล่นกับโชคชะตา
ถ้าลุงดวงตกขนาดนี้…” ชายหนุ่มในชุดหนังสัตว์ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะดีดเหรียญตำลึงในมือขึ้นกลางอากาศ
กริ๊ง!
เสียงเหรียญดังสะท้อนไปทั่วโต๊ะ ลอยคว้างกลางอากาศ มันสะท้อนแสงไฟจากโคมเหนือหัวจนวาววับ ราวกับกำลังล่อแมงเม่าให้บินเข้าหา ทุกสายตาจับจ้องไปยังเหรียญเหมือนต้องมนตร์ เสียงพูดคุยและหัวเราะรอบวงพลันเงียบลงอย่างพร้อมเพรียง
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปอย่างคล่องแคล่ว
หมับ!!
เขาคว้าเหรียญไว้ได้ก่อนที่มันจะตกถึงพื้น—เฉียดปลายจมูกของชายวัยกลางคนไปเพียงคืบ พอให้ฝ่ายตรงข้ามชะงักนิ่ง กลืนน้ำลายดังอึกใหญ่
“ข้าว่าลุงควรไปจุดธูปสักดอก… เผื่อเทพแห่งโชคชะตาของข้า… จะเมตตาลุงขึ้นมาบ้าง”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกเจือประชดประชัน รอยยิ้มยังคงแต่งแต้มบนใบหน้าราวกับประกาศชัยชนะอันสมบูรณ์ ก่อนจะโยนเหรียญกลับลงในถุงเงินดัง กรุ๊งกริ๊ง!