ความฝันของข้าคือได้แต่งงานกับหญิงงาม แต่ไหงความจริงกลับตาลปัตรถึงเพียงนี้—ทั้งสัตว์ประหลาด แผนลับ และคำทำนายทายาทผู้ยิ่งใหญ่! ใครมันเขียนโชคชะตาข้ากันเนี่ย?”
แอคชั่น,ผจญภัย,จีน,สงคราม,เลือดสาด,จีนโบราณ,แฟนตาซี,เทพเซียน,กำลังภายใน,ผจญภัย,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ยุทธภพนี้! นี่ใครครองความฝันของข้าคือได้แต่งงานกับหญิงงาม แต่ไหงความจริงกลับตาลปัตรถึงเพียงนี้—ทั้งสัตว์ประหลาด แผนลับ และคำทำนายทายาทผู้ยิ่งใหญ่! ใครมันเขียนโชคชะตาข้ากันเนี่ย?”
ยุทธภพนี้! นี่ใครครอง
"The Edge of Dragon Spirit"
ผู้เขียน : ปริมะ , 2024
ฮวงฟาง—เด็กหนุ่มผู้ (อยาก) มีชีวิตเรียบง่ายและความฝันเล็กๆ (แต่ยิ่งใหญ่) : ทำงาน หาเงิน แต่งหญิงงามสักคน แล้วหนีให้ไกลจากเงื้อมมือของ ท่านตาจอมเผด็จการ ที่ยืนกรานว่า
“วิทยายุทธ์คือคำตอบของทุกปัญหา!”
สำหรับข้า?
“การฝึกมันคือปัญหาของทุกคำตอบ!"
ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว ทำไมต้องมานั่งทรมานตัวเองให้เมื่อยด้วย?
เพื่อไล่ตามอิสรภาพ ฮวงฟางรับจ้างทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่ ซ่อมหลังคา เฝ้ายาม ดูแลเป็ดไก่ ยันทวงหนี้นอกระบบ ความตั้งใจของเขาดูเหมือนง่ายดาย แต่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวายที่ไม่คาดฝัน!
ไม่ว่าจะเป็น แผนลับของท่านตา ที่เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยว (เดินผ่านบ้านนิดเดียวก็ซวยได้) คิงคองยักษ์ ที่โผล่มาท้าตีโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย(ก็เข้าใจคำว่าหน้าไม่เกี่ยว ใส่เดี่ยวได้หมดอยู่หรอก!) หรือแม้กระทั่งมีคนมาเรียกเขาว่า “ทายาทผู้ยิ่งใหญ่” (อะไรอีกล่ะเนี่ย?)
ฮวงฟางมีทางเลือกเดียว : “ถ้าความสงบสุขไม่มาหา ข้าก็จะหาทางวิ่งไปหามันเอง! ฮ่าฮ่าฮ่า!” (หัวเราะแบบตัวร้ายที่ซ่อนแววตาวิบวับ)
งานนี้ ฮวงฟางจะใช้ไหวพริบ (หรือความเจ้าเล่ห์?) ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย หรือจะกลายเป็น จอมยุทธ์แบบไม่ทันตั้งตัว กันแน่?
แปะ! แปะ! แปะ!
ท่ามกลางบรรยากาศความวุ่นวายในโรงเตี๊ยม เสียงปรบมือดังขึ้น ราวกับจงใจเรียกสายตาทุกคู่ให้จับจ้องมาที่เจ้าของเสียง
“โอ้… ท่านจอมยุทธ์ น้ำใจอันกว้างขวางของท่านทำข้ารู้สึกละอายยิ่งนัก!” ฮวงฟางพูดเสียงดัง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า ราวกับเขากำลังสวมบทบาทสำคัญอยู่
เฉียงเทียนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น สายตาเรียบเฉย จับจ้องชายหนุ่มในชุดหนังสัตว์เก่า ที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาใกล้
ฉับพลัน เสียงโลหะกระทบกันดัง แกร๊ง! ผู้ติดตามทั้งสองของเฉียงเทียนชักกระบี่ออกมาอย่างพร้อมเพรียง การเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายลมวูบผ่าน แทบไม่มีใครทันเห็น
“เจ้าคนป่า! หากก้าวมาอีกเพียงก้าว ข้าจะถือว่านั่นเป็นคำสั่งเสียของเจ้า!” หนึ่งในผู้ติดตามตวาดเสียงกร้าว ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมราวกับเสือพร้อมกระโจน
เสียงขู่กร้าวนั้นสะกดทุกคนให้เงียบกริบ ชาวบ้านต่างกลั้นหายใจ ไม่กล้าเอ่ยคำใด ยังกับว่ากลัวลิ้นของตัวเองจะถูกตัด หากส่งเสียงผิดจังหวะออกมา
“ใจเย็นกันก่อนน่าท่านองครักษ์” ฮวงฟางเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงความยั่วเย้า สายตาเหลือบมองปลายกระบี่ที่จ่ออยู่ตรงหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าตัวเปล่า ไม่มีแม้แต่มีดล่าสัตว์สักเล่ม”
เฉียงเทียนมองชายหนุ่มปากกล้าตรงหน้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเบา ๆ ส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามหยุดการกระทำที่วู่วาม กระบี่ทั้งสองเล่มถูกเก็บกลับเข้าฝักทันที แต่สายตาของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความระแวดระวัง พร้อมตอบโต้ได้ทุกเมื่อ
ฮวงฟางไม่สนใจความเงียบรอบตัว เอ่ยขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแววเย้าแหย่
“ข้าแค่สงสัย…” เขาลากเสียง รอยยิ้มบาง ๆ ผุดที่มุมปาก “ท่านช่วยเจ้าหนูนั่นเพื่อให้เขาเข้มแข็งขึ้น… หรืออยากให้เขาเป็นเด็กน้อยที่ร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากพวกผู้ใหญ่ไปตลอดกันแน่?”
เขาหยุดชั่วครู่ กวาดสายตามองเฉียงเทียนอย่างพิจารณา ก่อนเบนสายตาไปรอบ ๆ อีกครั้งคล้ายกำลังมองหาบางสิ่ง
เฉียงเทียนมองฮวงฟางนิ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความฉงนกับท่าทีประหลาดของเขา
“จริงของเจ้า…” เขาหยุดมองฮวงฟางที่ยังคงสอดสายตาไปมาอย่างไม่ปกติ ก่อนพูดต่อ “วันนี้เด็กน้อยคนนั้นได้รับบทเรียนตามสมควรแล้ว ข้าเพียงหยิบยื่นโอกาสให้เขาบ้างก็เท่านั้น…”
แต่ก่อนที่เฉียงเทียนจะพูดจบ ฮวงฟางกลับโบกมือขึ้นตัดบท น้ำเสียงเบื่อหน่ายของเขาดังขึ้นแทน
“เอาเถอะ ๆ!! ท่านอยากจะจับจ่ายใช้สอยสักกี่ตำลึงก็เรื่องของท่าน ข้าไม่เห็นจะสนใจเลยสักนิด!”
ฮวงฟางยังคงสอดส่องไปรอบ ๆ ท่าทีเกินจริงขึ้นทุกขณะ บางครั้งชะโงกหน้าดูใต้โต๊ะ บางครั้งเดินไปสะบัดม่านจนดัง พรึ่บ! ก่อนจะหยุดที่ไหเหล้าใบหนึ่งบนโต๊ะ เขายกฝามันออก แล้วก้มลงส่องดูบางสิ่งในไห ราวกับค้นหาความลับสำคัญ พลางพึมพำเสียงดังพอให้คนทั้งโรงได้ยิน
“แปลกจริง… วันนี้พวกนางหายไปไหนกันหมด?”
“เจ้ากำลังมองหาอะไร?” เฉียงเทียนถาม น้ำเสียงฉงน ขณะสายตาจับจ้องด้วยความสงสัย
ฮวงฟางยกนิ้วขึ้นทำท่าจุ๊เบา ๆ “ชู่ว!” เขาปรามคู่สนทนา ราวกับไม่ต้องการเสียงรบกวน ดวงตาคมกริบคล้ายแม่แมวกำลังดุลูกที่ดื้อรั้น ขณะจมอยู่ในความคิด
ชาวบ้านในโรงเตี๊ยมต่างจับจ้องฮวงฟางที่ถอนหายใจยาว สีหน้าเหมือนกำลังชั่งใจบางสิ่ง สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึก อยากรู้ว่าเขาจะงัดไม้อะไรออกมาอีก
“ปกติพวกนางที่เคร่งครัดคงไม่พลาดโอกาสจะกรูมาด่าข้าสักที อือ... อะไรประมาณว่า—”
อยู่ดี ๆ ฮวงฟางหยุดพูด แล้วเปลี่ยนมือมาเท้าสะเอว ทำจริตจะก้าน ยกมือข้างหนึ่งขึ้นในท่าถือถาดไม้ เคาะมือกับโต๊ะที่อยู่ใกล้ ๆ ปัง! เสียงดังลั่น พร้อมกับดัดเสียงเล็กเสียงน้อย
“เจ้า! หยุดทำให้โรงเตี๊ยมวุ่นวายเดี๋ยวนี้!”
เขาเบ้ปาก กระทืบเท้าเบา ๆ ลงพื้นคล้ายสาวใช้ขี้โมโห จนชาวบ้านบางคนหลุดหัวเราะออกมา
แต่ฮวงฟางยังไม่หยุด กระแอมอีกครั้ง เปลี่ยนน้ำเสียงให้ต่ำลงเล็กน้อย พลางทำท่าถือกระบวยในมือ
“ถ้าเจ้ายังส่งเสียงดังอีก ข้าจะเอาตะบวยฟาดหัวเจ้า!”
เขาพูดพลางยกมือขึ้นกวัดแกว่งกระบวยล่องหนกลางอากาศ หมุนตัวอย่างมีชีวิตชีวา ราวกับแสดงละครฉากใหญ่บนเวที
แต่แล้ว… จังหวะนั้นเอง สายตาของฮวงฟางกลับสะดุดเข้ากับกลุ่มสาวใช้ที่มุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมโดยบังเอิญ
พวกนางกำลังยืนรวมตัวกัน ส่งสายตาผ่านหลังเขาไปอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใด
ฮวงฟางชะงักงัน ค้างอยู่ท่าฟาดกระบวยเหมือนถูกแช่แข็ง สลับสายตาไปมาระหว่างสาวใช้กับเฉียงเทียนอยู่หลายรอบ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ พยายามทำความเข้าใจกับภาพที่เห็น
ในที่สุด ชายหนุ่มก็ต้องอ้าปากค้าง ก่อนจะโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“แบบนี้นี่เอง!”
ฮวงฟางหมุนตัวกลับมาทันที พร้อมชี้นิ้วไปยังเฉียงเทียน “เป็นท่าน!… ท่านนั้นแหละที่ดึงความสนใจของพวกนางไปจากข้าจนหมด!”
เสียงโวยวายของเขาดังลั่น ราวกับเด็กน้อยที่ถูกแย่งของเล่นไป สายตากวาดมองรอบโรงเตี๊ยม ราวกับพยายามฟ้องให้ทุกคนรับรู้ถึง “ความอยุติธรรม” ที่เกิดขึ้น
ขณะที่เฉียงเทียนยังคงยืนนิ่ง สีหน้าที่เรียบสงบเริ่มเจือแววฉงนเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าควรตอบโต้ภาพเบื้องหน้าอย่างไรดี
เสียงหัวเราะคิกคักเริ่มดังขึ้นจากมุมหนึ่ง ไปมุมหนึ่ง ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโรงเตี๊ยม บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจในเมื่อครู่ พลันเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะครื้นเครง
สาวใช้บางคนที่ยืนอยู่มุมห้อง รีบหลบสายตาพัลวัน บางคนถึงกับยกมือขึ้นปิดหน้าลนลาน ท่าทางเต็มไปด้วยความขัดเขิน ราวกับเพิ่งถูกจับได้ว่ามัวแต่เผลอใจให้บางสิ่งอย่างลืมตัว
ขณะที่ฮวงฟางยืนตัวแข็ง ดวงตาลุกวาวด้วยความไม่พอใจ แต่ท่าทางนั้นกลับยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากชาวบ้านดังขึ้นเรื่อย ๆ
“ดีล่ะ!” ฮวงฟางประกาศก้อง เดาะลูกเต๋าในมือ เดินตรงไปหาเฉียงเทียนด้วยท่าทางมั่นใจ ไม่สนเสียงหัวเราะรอบตัวแม้แต่น้อย
หยุดห่างไม่กี่ก้าว เขาเงยหน้าสบตา ดวงตาเปี่ยมด้วยความท้าทายปนความอิจฉา “ในเมื่อท่านต้องการให้โอกาส… ข้าก็จะให้โอกาสท่านมอบมัน!” เขากล่าว จังหวะเดาะลูกเต๋าถี่ขึ้น สะท้อนอารมณ์ที่พุ่งพล่านภายใน
“ข้าขอท้าท่านมาเสี่ยงดวง—อ๊า!?”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงที่เขาจะพูดต่อ เสียง แปะ! แผ่วเบาก็ดังขึ้น ลูกเต๋าในมือก็ลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
เฉียงเทียนที่ดูเหมือนจะยืนนิ่งมาตลอด เพียงยกมือข้างหนึ่ง ตวัดนิ้วอย่างแผ่วเบา ราวกับลมพัดผ่าน ลูกเต๋าพลันลอยมาอยู่ในมือ ท่าทีคล่องแคล่วราวกับกำลังโยนเมล็ดถั่วเข้าปาก
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงมองลูกเต๋าในมือ พลิกมันไปมาเบา ๆ เหมือนกำลังพิจารณาบางสิ่ง
“ลูกเต๋านี้…น่าสนใจนัก” น้ำเสียงของเฉียงเทียนเรียบนิ่งจนแทบจับอารมณ์ไม่ได้ แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกหยอกเย้าอย่างจงใจ
ฮวงฟางมองท่าทางของเฉียงเทียนด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป รอยยิ้มที่เคยเปี่ยมความมั่นใจพลันหดกะจ้อยร่อยจนแทบไม่เหลือ เขาขยับตัวเล็กน้อย คล้ายพยายามหาคำพูดมาทำลายบรรยากาศที่เริ่มอึดอัด
“โอ้ ท่านจอมยุทธ์ช่างมือไวเสียจริง!” ฮวงฟางเอ่ยพร้อมหัวเราะเบา ๆ แต่น้ำเสียงกลับฟังแปร่งไปเล็กน้อย “ท่านน่าจะไปเป็นนักมายากลเสียมากกว่านะ ฮ่า ๆ ๆ!”
เขาโบกมือไปรอบ ๆ ท่าทีเหมือนพยายามล้อเล่นให้สถานการณ์เบาขึ้น แต่สายตาของเขากลับเต็มไปด้วยความระวัง
เฉียงเทียนโยนลูกเต๋าคืนให้ฮวงฟางอย่างง่ายดาย แต่สายตานั้นยังคงจับจ้องคล้ายว่าอ่านทุกความคิดในหัวของฮวงฟางอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ก็ได้” เฉียงเทียนเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ แต่กลับกดดันผู้ฟังได้อย่างประหลาด “ข้าจะเล่นกับเจ้า… หากเจ้ากล้าเดิมพันหมดทั้งกระเป๋าใบนั้น” สายตาของเขาเลื่อนไปยังกระเป๋าหนังสัตว์ข้างตัวชายหนุ่ม
คำพูดนั้นทำเอาฮวงฟางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะพยายามรักษาสีหน้าให้ปกติ แม้เหงื่อบาง ๆ จะเริ่มผุดขึ้นที่หน้าผาก
เสียงหัวเราะจากชาวบ้านค่อย ๆ เงียบลง บางคนที่หัวเราะค้างไว้เปลี่ยนมาจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้า ราวกับกำลังชมการแสดงที่พลิกผันอย่างคาดไม่ถึง ความเงียบที่ตามมาทำให้บรรยากาศภายในชวนอึดอัดยิ่งขึ้น
ก่อนที่ใครจะทันได้เอ่ยคำพูดอะไรอีก เสียง “โป๊ก!” ก็ดังขึ้นก้องไปทั่วโรงเตี๊ยม
“โอ๊ย! ใครฟาดหัวข้า!?” ฮวงฟางร้องเสียงหลง กุมหัวพลางหันขวับมองหาผู้ก่อเหตุ
สาวใช้คนหนึ่งยืนถือถาดไม้ในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เจ้านี่มันจะเอะอะโวยวายไปถึงไหนกันฮะ!?”
“เดี๋ยว! พวกเจ้าฟังข้าก่อน—!” เขาร้องลั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ยังไม่ทันจะจบประโยคดี เสียง “โป๊ก!” อีกครั้งก็ดังขึ้น คราวนี้เป็นกระบวยในมือของสาวใช้อีกคนที่ฟาดลงหัวเขา
“น่ารำคาญจริง!” สาวใช้คนที่สองตวาดลั่น กระชับกระบวยในมือแน่น ก่อนฟาดลงบนโต๊ะเสียงดัง ปัง! จนจอกเหล้ากระเด้ง ชาวบ้านใกล้ ๆ ถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ถ้ายังไม่เชื่อฟังอีก แม่จะเอาตะบวยนี่ฟาดซ้ำให้จำจนวันตาย!” เธอชี้กระบวยไปที่ฮวงฟาง ด้วยสายตาขุ่นเขียวเหมือนแม่ครัวที่เพิ่งเจอหม้อแกงไหม้
“—ฟังข้าก่อน! ข้ากำลังช่วยพวกเจ้าอยู่นะ!” ชายหนุ่มโอดครวญ กุมหัวด้วยสองมือ ร่างเซถอยหลังจนแทบจะล้ม
พวกเธอไม่ได้ฟังคำพูดของฮวงฟางเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังจับแขนเขาคนละข้าง ลากออกไปอย่างไม่ปรานี แม้เจ้าตัวจะดิ้นรนโวยวายจนเสียงดังไปทั้งโรงเตี๊ยม
“ข้ากำลังจะพนันเอาเคล็ดลับดูแลเส้นผมที่พวกเจ้าอยากได้มาให้อยู่แล้วนี้ไง!” ฮวงฟางร้องเสียงดัง
พวกสาวใช้หยุดชะงัก หันมามองหน้ากัน ก่อนจะจ้องเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“เจ้านี่มัน…” สาวใช้คนหนึ่งทำหน้าราวกับเจอคนเสียสติ “พูดบ้าอะไรของเจ้า?”
“โธ่! พวกเจ้าทำแบบนี้ ข้าก็เสียหน้าแย่สิ!” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงโอดครวญ แม้ร่างจะถูกลากไปกับพื้นจนฝุ่นฟุ้งกระจาย
เสียงร้องอิดออดของเขาค่อย ๆ จางหายไปในอากาศ ดั่งเสียงลมที่พัดผ่านไป ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะจากชาวบ้านที่แทบจะกลิ้งลงจากเก้าอี้กันเป็นแถว
เฉียงเทียนยืนอยู่ในมุมเดิม มองตามฮวงฟางที่ถูลู่ถูกังไปกับพื้น เขาเผลอยิ้มบาง ๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นแม้จะจาง แต่กลับแฝงความขบขันเจืออยู่
“ขอบคุณแม่นางทั้งสองที่สั่งสอนเขาแทนข้า” เฉียงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ดวงหน้ายังฉายแววอมยิ้ม
สาวใช้ทั้งสองหันมามองเฉียงเทียนทันที ใบหน้าที่เคยดุดันเมื่อครู่กลับเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ พวกนางหลุบตาลง ราวกับไม่กล้าสบสายตาเขาโดยตรง
เฉียงเทียนมองตามพวกนางจนลับสายตา ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอย่างสงบ ผู้ติดตามคนหนึ่งที่เดินตามมากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ ราวกับเพิ่งได้ชมเรื่องสนุก
“แม่นางพวกนั้น… ช่างเก่งกาจเกินตัวเสียจริง ๆ”
คำพูดนั้นทำให้ผู้ติดตามอีกคนที่ปกติจะดุดันอยู่เสมอเผลอหลุดยิ้ม พลางพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อพวกเขากลับมานั่งที่โต๊ะ ผู้ติดตามหนึ่งเอ่ยขึ้นทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอยากรู้
“นายน้อย… ท่านรู้ใช่ไหมว่าเจ้าหนุ่มนั่นใช้เล่ห์กลอะไรเปลี่ยนหน้าลูกเต๋า?”
เฉียงเทียนหยิบจอกเหล้าขึ้นมาจิบ ก่อนตอบเรียบง่ายโดยไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้น
“ไม่มีของแบบนั้นหรอก”
คำพูดสั้น ๆ ของเฉียงเทียนทำให้ผู้ติดตามหนึ่งยิ่งสับสน เขาทำหน้าฉงน ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
เฉียงเทียนวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา สายตามองมายังผู้ติดตามทั้งสอง
“เขาแค่สกัดลมปราณใส่ลูกเต๋า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แล้วแต้มจุดไว้ เพื่อบ่งบอกว่าลูกเต๋าแต่ละหน้าคืออะไร”
ผู้ติดตามสองขมวดคิ้วแน่น ขณะที่ผู้ติดตามหนึ่งอ้าปากเล็กน้อยด้วยความตกใจ
“เขาไม่ได้เปลี่ยนผลลัพธ์… แต่แค่รู้ผลลัพธ์?”
“ใช่แล้ว” เฉียงเทียนตอบสั้น ๆ ก่อนจะเงียบไป
ทั้งสองนิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังประมวลผล ก่อนที่ผู้ติดตามหนึ่งจะโพล่งขึ้น
“แล้วเจ้านั่นใช้ถ้วยแปลก ๆ ใบนั้นดูผลลัพธ์ ก่อนวางเดิมพันเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบที่สุดใช่หรือไม่!?”
“อ้อ! ถ้างั้นกระเป๋านั้น!” ผู้ติดตามหนึ่งอุทานขึ้นอีกครั้ง “ท่านมั่นใจว่าข้างในไม่มีของมีค่าใด จึงเสนอให้เขาเดิมพันด้วยทุกสิ่งในนั้น!”
เฉียงเทียนเพียงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่น
“เขาไม่ได้ล่อลวงด้วยกระเป๋า… แต่ด้วยสิ่งที่ทุกคนอยากได้”
ผู้ติดตามสองที่นิ่งเงียบมานาน เผยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความไม่สบายใจ
“ถ้ากระเป๋านั่นมีไว้แค่ตบตา… แล้วเส้นเอ็นที่เจ้าหนุ่มพกติดตัวตลอดเวลาล่ะ? หรือมันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับถ้วยหวายนั่น?”
คำพูดนั้นเหมือนสะกิดต่อมบางอย่างในใจเฉียงเทียน ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ราวกับนึกบางสิ่งที่อาจพลาดไป แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
ทันใดนั้นเอง เสียงในโรงเตี๊ยมก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ฮวงฟางกระโดดขึ้นบนโต๊ะตัวหนึ่งอย่างฉับพลัน เสียงขาโต๊ะลั่นดัง เอี๊ยด! ดึงสายตาของคนรอบ ๆ ให้หันกลับไปมองเขาอีกครั้ง
“ท่านทั้งหลาย… ดูนี่สิ!” เขาประกาศลั่น พลางล้วงมือเข้าไปในเสื้อ สายตากวาดมองไปยังผู้คนเบื้องล่าง ราวกับกำลังปล่อยให้พวกเขาลุ้นระทึก ก่อนจะค่อย ๆ ดึงสิ่งที่ซ่อนไว้ในเสื้อออกมาอย่างเชื่องช้า
“ข้าล่ะหวังจริง ๆ ว่าของข้างในคงจะเป็นสมบัติชิ้นงาม!”
ในมือของเขาคือม้วนผ้าสีหม่นที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา สิ่งนั้นดึงดูดสายตาทุกคู่ในโรงเตี๊ยม เส้นเอ็นบาง ๆ ยังคงพันรุงรังที่ปลายม้วนผ้า ราวกับมันเพิ่งถูกใช้อย่างเร่งรีบ
ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงฮือฮา บางคนถอยห่างด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ขณะที่อีกส่วนกลับเบียดเข้ามาใกล้ ดวงตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เสียงกระซิบกระซาบดังทั่วโรง แม้หลายคนจะมองด้วยความสนใจ แต่บางสายตากลับฉายแววไม่พอใจ คล้ายไม่เห็นด้วยกับการเล่นเกินขอบเขตของชายหนุ่มในครั้งนี้
ชั่วพริบตา ผู้ติดตามของเฉียงเทียนที่นั่งอยู่กับเขาแทบจะลุกพรวดขึ้นทันที เมื่อสายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังม้วนผ้าชิ้นนั้น
“นายน้อย… หรือว่าสิ่งนั้นจะเป็น!” ผู้ติดตามสองที่ปกติมักเงียบขรึม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล ดวงตาจ้องเขม็งไปยังภาพเบื้องหน้า
เฉียงเทียนลุกขึ้นยืนช้า ๆ ท่ามกลางความวุ่นวายของผู้ติดตามที่พยายามควบคุมอารมณ์ ใบหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง สายตาจับจ้องไปยังฮวงฟางที่ยังคงยืนตระหง่านอยู่บนโต๊ะ ชูม้วนผ้าขึ้นสูงเหนือหัวราวกับเด็กที่กำลังอวดสมบัติล้ำค่า
ฮวงฟางส่งยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะเล็ก ๆ ของตนเอง
เฉียงเทียนเงียบอยู่ชั่วครู่ ดวงตากวาดมองไปยังกองสัมภาระเล็ก ๆ ของตน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ผู้ติดตามทั้งสองได้ยินชัดเจน
“เห็นทีข้าคงต้องสอนบทเรียนให้เขาบ้าง… ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ควรล่วงเกิน”
คำพูดนั้นราวกับเสียงฟ้าฟาด บรรยากาศในโรงเตี๊ยมพลันเงียบงัน ทุกสายตาจับจ้องไปที่เฉียงเทียน ราวกับรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป