มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน

แสงดาว ไอดิน อินเดีย - บทที่ 1 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 1 โดย ชอนตะวัน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ผู้ใหญ่,ชอนตะวัน,แสงดาวไอดินอินเดีย,แสงดาว,ไอดิน,อินเดีย,รัก,ผู้ใหญ่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แสงดาว ไอดิน อินเดีย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชอนตะวัน,แสงดาวไอดินอินเดีย,แสงดาว,ไอดิน,อินเดีย,รัก,ผู้ใหญ่

รายละเอียด

แสงดาว ไอดิน อินเดีย โดย ชอนตะวัน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน

ผู้แต่ง

ชอนตะวัน

เรื่องย่อ

มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน กลิ่นอายความรักท่ามกลางความแตกต่าง ทั้งเรื่องฐานะ อายุ สถานภาพทางสังคม ที่อบอวลไปด้วยความดีงามภายในจิตใจของคนสองคน ก่อเกิดบนเส้นทางแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย 'ปฐวี' วิศวกร วัย 22 ปี รอเรียกเข้าทำงาน เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อช่วยน้าสาวทำหน้าที่ลีดเดอร์ทัวร์ หัวใจของเขาต้องมาหวั่นไหว เมื่อได้พบดาราสาว เจ้าบทบาท 'ดวงรัศม์' ผู้ร่วมทริปครั้งนี้ แม้ทั้งสองคน พยายามปฏิเสธความต้องการของหัวใจ เพราะรับรู้ถึงความแตกต่าง และปัญหาที่จะตามมา แต่สุดท้าย ความรักที่เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความเลื่อมใสศรัทธา กลับกลายเป็นความเข้าอกเข้าใจกันและกัน จนยากลืมเลือน....

 'ชอนตะวัน'  อีกหนึ่งนามปากกา ของ 'จุฬามณี' ผู้เขียน ชิงชัง กรงกรรม สุดแค้นแสนรัก ทุ่งเสน่า และ วาสนารัก

 

สารบัญ

แสงดาว ไอดิน อินเดีย-คำนำ จากนักเขียน,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 0 สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 1 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 1,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 2 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 2,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 3 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 3,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 4 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 4,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 5 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 5,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 6 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 6,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 7 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 7,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 8 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 8,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 9 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 9,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 10 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 10,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 11 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 11,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 12 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 12,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 13 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 13,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 14 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 14,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 15 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 15,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 16 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 16,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 17 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 17,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 18 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 18,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 19 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 19,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 20 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 20,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 21 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 21,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 22 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 22,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 23 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 23,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 24 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 24,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 25 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 25,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 26 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 26,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 27 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 27,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 28 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 28,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 29 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 29,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 30 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 30,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 31 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 31,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 32 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 32,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 33 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 33,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 34 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 34,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 35 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 35,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 36 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 36,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 37 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 37,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 38 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 38

เนื้อหา

บทที่ 1 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 1

‘ฝน...วี...’

 

มือข้างขวาที่จับปากกาจรดอยู่กับกระดาษสีชมพูอ่อนหอมกรุ่นกลิ่นกุหลาบของชายหนุ่มค้างอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานเขาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ความพยายามเรียงถ้อยร้อยคำให้เป็นเรื่องเป็นราวสำหรับคนซื้อปากกากับสมุดไดอารี่เล่มสีชมพูให้นั้นจำต้องถูกเค้นออกมา

‘ไม่รู้หละ ช่วงเวลาที่อยู่อินเดีย วี จะต้อง เขียนระบายความในใจที่พบเห็นให้ฝนได้รู้’

‘ฝนดูภาพถ่ายก็ได้นี่’ ปฐวีต่อรอง

‘ภาพถ่าย ฝนว่ามันดีสำหรับคนถ่าย คนที่ไปเที่ยวแล้วเห็นกับตาตัวเอง แต่ถ้าเป็นตัวหนังสือมันจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ไม่ได้ไปมากกว่า เขียนเถอะ ลองหัดเขียนดู วีลายมือสวย...ฝนอยากอ่าน นะ นะคะ’

‘ครับ’ คำพูดสั้นๆ ขณะรับไดอารี่กับปากกา มันมีผลทำให้เขาต้องมานั่งบื้อใบ้อยู่ตรงนี้...

แต่เอาเถอะ เพื่อคนที่เขารัก...เพื่อลูกชายหญิงที่จะเกิดมาในอนาคต เขาจะต้องพยายาม

ชายหนุ่มนั่งหลับตาพยายามนึกอยู่นาน จนกระทั่ง...

‘ฝนวี...วีคิดอะไรไม่ออกจริงๆ นะ แต่วีจะพยายามเพื่อฝนแล้วกัน’ 

หมึกปากกาสีน้ำเงินเข้มจรดจ่ออยู่นาน...ความคิดล่องลอยกระจัดกระจาย...ต้องมีสักความรู้สึกซิน่า...

ปฐวีนึกถึงการสอบข้อเขียนในวิชาออกแบบโครงสร้าง,กำลังวัสดุ ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมงในรั้วมหาวิทยาลัย...เขายังหน้าดำคร่ำเคร่งทำมันส่งอาจารย์ได้เลย...แค่บันทึกความรู้สึกแค่นี้น่าจะจิ๊บจ๊อย

 

‘เอาเป็นว่า หลังจากที่เท้าวีแตะพื้นสนามบินแล้ว วีก็เริ่มงานอันหนักหน่วงอีกครั้งทีเดียว...อีกครั้งทีเดียว...เอ้อ นึกออกแล้ว...วีจะเล่าตั้งแต่ตอนที่วีมาจากพิษณุโลกดีกว่าไหมฝน...ถ้าเล่าเป็นลำดับขั้นตอน วีรู้สึกว่ามันง่ายกว่านะ วีเริ่มแล้วนะ ให้ฝนตั้งใจอ่านอย่าแอบหลับเด็ดขาด...เอ...เครื่องชักเริ่มติดแล้วฝน...’

 

เขียนว่าเครื่องติดแล้ว แต่ว่ามีเสียงเคาะประตู...ปฐวีเดินไปดึงประตูไม้เข้ามาหาตัว เป็นคุณน้าภานุมาศของเขา ใบหน้าของ คุณน้าบึ้งตึง “เซ็งๆ เบื่อมากๆ โดยเฉพาะป้า-หลานดารานั่น วีทำอะไร” 

น้าสาวมองหน้าหลานชายที่ทำหน้าปั้นยากไม่ตอบคำถามแล้วเลี่ยงเข้าไปข้างในห้อง โยนกระเป๋าเป้สะพายสีดำใบใหญ่ลงบนเตียงของตนที่เต็มไปด้วยเอกสาร ถ้าจะล้มตัวลงนอนคงต้องเก็บเรียงอีกนาน หรือเมื่อเก็บเรียงแล้ว กว่าจะหาเจอก็คงอีกนานเหมือนกัน

“พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า แล้ววีไปที่ในครัวนะ น้าบอกแม่ชีแม่ครัวแล้วว่า จะให้ทำอะไรบ้าง แล้วก็ดูยกของไปที่ห้องอาหาร” 

น้าภานุมาศกอดอกสายตาครุ่นคิด ปฐวีเดาใจคุณน้าไม่ออก

“อาบน้ำหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ” ว่าพลางชายหนุ่มผมรองทรงสูงดูสุภาพจะเดินมายังเตียงนอนของตน...แต่ “งั้นวี ออกไปข้างนอกก่อน น้าขอผลัดผ้าหน่อย”

ปฐวีที่อยู่ในชุดกางเกงผ้าฝ้ายเสื้อยืดคอกลมสีขาวคว้าหนังสือท่องเที่ยว ‘4 สังเวชนียสถาน’เล่มกะทัดรัดติดมือออกมาด้วย...เมื่อเดินออกมาจากห้องพัก เขาสวมรองเท้าแตะสีดำราคา  ร้อยกว่าบาทเดิน ลัดเลาะหมู่อาคารหลังคาทรงไทยมายังจุดที่จอดรถบัส ซึ่งเป็นที่โล่งมีลานปูนและสวนดอกไม้ที่เคยเห็นในเมืองไทย อย่างดาวกระจาย ดาวเรือง บานชื่นและบานไม่รู้โรย ล้อมรอบหอระฆังและพระอุโบสถ

ด้วยเป็นปลายเดือนพฤศจิกายน ทำให้อากาศค่อนข้างเย็น ปฐวียัดหนังสือเล่มนั้นลงในกระเป๋ากางเกง นึกถึงเสื้อกันหนาวสีขาวที่แม่ซื้อให้ใหม่ มันพาดอยู่บนหัวเตียง 

อดทนหนาวสักครึ่งชั่วโมง คุณน้าคงอาบน้ำเสร็จ

ปฐวีกอดอก เหม่อมองสถาปัตยกรรมของพระอุโบสถที่ดู คุ้นตา...คล้ายที่วัดเบญมจบพิตร มีหน้าบันจัตุรมุขลวดลายไทย

ใจครุ่นคิดว่าจะนำภาพที่ได้เห็นกลับไปเล่าเรื่องให้ฝนรู้เรื่องต่ออย่างไรดี...

แล้วในสายตาของเขาก็พบกับร่างระหงที่มีใบหน้าไม่เหยียดชื่นเหมือนที่เคยคุ้นจากหน้าจอโทรทัศน์และตามนิตยสาร หญิงสาวเดินก้าวฉับๆ มุ่งตรงมา...เมื่อมาจนใกล้ ปฐวีอยากทักทายด้วยเดินทางมาร่วมคณะ แต่เขาไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยคำว่าอะไร

“นี่...ดวงต้องการน้ำร้อน อยากชงอะไรกินหน่อย”          เจ้าหล่อนเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอย่างไร้ทีท่าขัดเขิน

เขาหันซ้าย หันขวา ทำหน้าเลิ่กลั่ก...ประหม่าเมื่อผู้หญิง สวย บาดตาซึ่งอยู่ในชุดกางเกงแนบเนื้อสีขาวกับเสื้อยืดแขนยาวคอเต่าเนื้อดียืนสะบัดผมดำเป็นประกายเงางามอยู่ตรงหน้า

“คุยอยู่กับตัวเองนั่นแหละ” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าใจเริ่มเย็น แต่ดวงตาบอกว่าข้างในยังร้อนรุ่มอยู่ดี ปฐวีชี้มาที่หน้าอกตัวเอง...

“ก็คุณภานุมาศบอกว่ามีอะไรให้เรียกใช้ตัวเองได้”

“ครับ ใช้ได้” ปฐวีรีบตอบ...พลางยกมือขึ้นมาเกาหัว เขาเองก็ไม่รู้อะไรในวัดไทยพุทธคยาแห่งนี้มากไปกว่าเจ้าหล่อน 

“เอาไปชงอะไรหรือครับ”

“เนสวีต้านะซิ ให้อดมื้อเย็นแบบนี้ ดวงตายแน่ๆ ...มันหิว” 

แท้จริงดวงรัศม์ไม่ได้หิวโหย แต่เป็นเพียงความอยากให้มีอะไรตกถึงท้อง แทนผลสมออบแห้งสีดำสามลูกที่ลีดเดอร์ทัวร์ให้นายปฐวีเดินแจกเมื่อตอนออกมาจากหมู่บ้านนางสุชาดา หล่อนกลืนไม่ลง แม้มันไม่ขม แต่มันก็หาได้มีรสชาติถูกปาก อยากจะขว้างทิ้งแต่คุณป้าบอกว่าให้เก็บไว้

 

ปฐวีเลี่ยงไปยังห้องอาหารที่คิดว่าน่าจะมีของที่หญิงสาวต้องการ...เขาพบกระติกน้ำร้อนตั้งอยู่ที่บนโต๊ะมุมห้อง ชายหนุ่มคว้า แก้วใสออกมาจากกระบะ กดน้ำร้อนลงไป ความร้อนกระจายสู่เนื้อแก้วใส ทำให้ต้องรีบวาง เขามองหาจานสักใบที่จะรองกันร้อนๆ ...แต่ก็หาไม่เจอ

“ได้ไหม” ร่างระหงหอมกรุ่นของดาราสาวระดับนางเอกแถวหน้าของเมืองไทยเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ตัวเขา...ปฐวีละล้า  ละลังมือไม้เกะกะไปหมด

“ร้อนนี่” นิ้วเรียว ข้อนิ้วเรียบไม่มีรอยแตกบ่งบอกให้รู้ว่าหญิงสาวไม่เคยทำงานหนักมาก่อน...

“ส่งซองมาซิฮะ เดี๋ยวผมจะชงให้” ดวงรัศม์ยื่นซองอาหารเสริมไปให้เขา แสร้งให้ปลายนิ้วอ้อยอิ่งอยู่กับมือที่สั่นนิดๆ นั่นของเขา...สำหรับเธอทริปนี้ถ้าไม่มีนายปฐวี หลานชายของคุณภานุมาศ ลีดเดอร์ทัวร์ปากจัด เธอคงกร่อยยิ่งกว่านี้เป็นแน่

“วีรู้ไหมว่าน้าวีนิสัยแย่มากๆ” ดวงรัศม์เอ่ยชื่อเล่นของ ชายหนุ่มออกมา จึงดูเป็นกันเองมากขึ้น

“ฮะ”

“คนเรามีความศรัทธา ความอดทนไม่เหมือนกัน แล้วจะมาบังคับกันได้อย่างไร นี่นะ ถ้าดวงรู้ว่าไม่มีอะไรให้กินในตอนเย็น ดวงให้คุณป้าหอบเสบียงมาจากกรุงเทพฯ แล้ว...เฮ้ย แต่ว่าไป ป้าดวงเองนั่นแหละตัวดีเลย อยากดัดสันดานดวง หน็อย บอกกับเราว่าจะพาไปอินเดีย เราก็นึกว่า อัคราฟอร์ด ทัชมาฮาล ที่อยากไป ที่ไหนได้ ทัวร์ไหว้พระ อย่างดวงเนี่ยนะ มาไหว้พระ นักข่าวรู้คงจิกกัดกันตาย” ใบหน้าเรียวได้รูปเชิดรั้งขึ้นอย่างถือดี

“แล้ววีตัดสินใจมาได้อย่างไร ไม่ได้ทำงานทำการอะไรเหรอ”

สีหน้าของดาราสาวดูผ่อนคลาย แต่ถึงกระนั้นปฐวีก็ยังไม่กล้าสบตาหรือจ้องมองสรีระของเธอตรงๆ 

“ผมมาช่วยคุณน้า...เป็นสต๊าฟทัวร์นะครับ เพิ่งเรียนจบรองานอยู่” มือของปฐวีฉีกซองมาเทผงข้างในใส่แก้ว หาช้อนไม่ได้ จึงหยิบแก้วอีกใบมาวางไว้ แล้วแข็งใจไม่กลัวร้อนหยิบแก้วที่มีเนสวีต้ากำลังละลายอยู่เทใส่ลงไป แล้วก็เทกลับไปกลับมา เป็นการคนอาหารเสริมให้ละลายกับน้ำร้อน ที่คนดูอยู่รู้สึกทึ่ง

“ฉลาดจังเลย แต่หน้าเด็กๆ แบบนี้จบคณะอะไรมา...แต่อย่าเพิ่งบอกนะ ขอทายก่อน” นิ้วเรียวถูกยกมาเคาะที่ตรงข้างสมอง...ผมของหญิงสาวดำเป็นเส้นตรง ปฐวีนึกถึงตอนที่หล่อนสะบัดผมเพื่อให้เห็นเป็นประกายเงางามในโทรทัศน์...วันนี้เขาอยากชะแง้ไปดูใกล้ๆ อยากเห็นว่ามันมีสปริงจริงๆ หรือเปล่า...เคยถามฝน...      ฝนทิพย์ บอกว่า...

‘เฟคทั้งนั้นแหละ ทั้งไดร์ ทั้งเป่า หนีบ โกรก ทุกๆ วันจะเงา

งามได้อย่างไร’

จริงๆ เขาไม่เคยสนใจผม แต่ว่าที่น่าสนใจในตัวดวงรัศม์ในหมู่เพื่อนฝูงนั่นก็คือ ‘หน้าอก’ ที่ดูคล้ายกับว่าเจ้าหล่อนแบกไว้เกินน้ำหนักของตัวเอง...

“บัญชีใช่ไหม” ปฐวีตกใจที่เจ้าหล่อนดึงมือข้างขวาของเขาขึ้นมา...

“ดูมือก่อน นิ้วแบบนี้ ไม่ใช่แน่ๆ” 

ปฐวีรีบชักมือกลับมาจับกันไว้มั่น...ดวงรัศม์คว้าแก้วที่คิดว่าน่าจะอุ่นแล้วยกจ่อริมฝีปาก ดื่มไปได้เศษหนึ่งส่วนสี่ของน้ำที่มีอยู่ในแก้ว เธอชะงักมือออก...

“เอ หรือว่าเรียนวิชาครู เคร่งขรึมแบบนี้น่าใช่นะแบ่งหน่อย

ไหม หรือว่าแอบกินอะไรในห้องนอน เห็นว่ามีกล่องเสบียงมาเพียบเลยนี่” เจ้าหล่อนเปลี่ยนเรื่องเร็วจนปฐวีคิดตามไม่ทัน

“ไม่ฮะ ตามสะดวกเลย”

“อ๊ะ เอาหน่อยนะ ดวงกินคนเดียวไม่หมดหรอก...แค่อยาก ไม่ได้หิวโหยอะไร” เธอยื่นแก้วให้เขา...ปฐวีรับมาถือไว้...

“ดื่มเลย ดื่มให้หมดหรือว่ารังเกียจกัน”

“ไม่ฮะ ไม่รังเกียจ แต่คุณดวงพอหรือครับ ดื่มไปแค่นิดเดียวเอง”

“อยากกินข้าว” ดวงรัศม์หาเรื่องชวนคุย

“ดื่มซิ เร็วๆ” น้ำเสียงของดวงรัศม์คะยั้นคะยอ ปฐวีจำต้องยกแก้วกระดกน้ำสีน้ำตาลมีกากธัญพืชลงท้องตัวเอง...ก่อนจะนึกขึ้นมาได้...

คุณน้าบอกว่า เนสวีต้าก็กินไม่ได้ ถือว่าไม่ใช่น้ำปานะ ตายแล้ว...ศีลของเขาขาดเสียแต่วันแรกเสียแล้ว ตั้งใจจะทำให้ได้ เพราะดวงรัศม์คนเดียว

“เป็นอะไร สีหน้าไม่ดี” ดวงรัศม์เร็วต่อความรู้สึกเช่นกัน

“คุณน้าบอกว่า ดื่มไอ้นี่ไม่ได้ ไม่ใช่น้ำปานะ”

“อ้าว...ดื่มไปแล้ว...ขาดด้วยกันซิ” แม้ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล 8 เหมือนหมู่คณะ แต่ว่าดวงรัศม์ก็ไม่อยากขัดกับนโยบายส่วนรวม แต่เมื่อมันพลาดไปแล้ว เพราะคุณป้าก็คงไม่รู้เหมือนกัน ถ้ารู้ก็คงไม่ติดกระเป๋ามาด้วย ไม่ใช่ความผิด ดวงรัศม์จึงยักไหล่...

“แม่ดวง” ดวงรัศม์หันกลับไปที่ประตู...คุณป้าที่มีผมบ๊อบหน้าม้ามาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมรึเปล่า ดวงรัศม์ก็ไม่เคยถาม ถลึงตาเข้าใส่ ทำนองว่า ดึกดื่นค่อนคืนมายืนคุยกับชายหนุ่มในที่รโหฐานแบบนี้ได้อย่างไร

“ดวงหิวน้ำค่ะ” ดวงรัศม์รีบผละจากชายหนุ่มไปหาคุณป้า

“กลับห้องนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า มาตั้งนาน     ป้าห่วงจนนอนไม่หลับ”

ดวงรัศม์รีบไปจูงคุณป้าผละออกไป แต่ก่อนจะลับตา     หญิงสาวก็หันมายักคิ้วหลิ่วตาแบบเล่นๆ ให้กับเขา ปฐวีหน้าร้อน  ผะผ่าวขึ้นมา...เขาสูดลมหายใจ นึกถึงเพื่อนในรั้วมหาวิทยาลัย พวกมันจะดีใจแค่ไหนที่วันนี้เขาได้มายืนชิดพูดคุยกับ

‘…….’ ไม่อยากจะเอ่ยมาเลย มันหยาบคายมากๆ ...แต่ตัวจริงของเธอไม่ได้ดูร้ายหรืออึ๋มเกินพิกัดแบบในทีวีสักนิดเลย...

 

ปฐวีกลับไปถึงห้อง เคาะประตูสามครั้ง คุณน้าเปิดออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม...

“หายไปไหนมา”

“เดินเล่นครับ” เขาตอบแล้วไปนั่งลงที่เตียงนอนของตนเอง คุณน้าซึ่งอยู่ในชุดกางเกงผ้ายืดสีขาวเสื้อยืดคอกลมแขนยาว         สีเดียวกันกลับไปนั่งคุดคู้บนเตียงก้มมองเอกสารเหมือนเคย

“ผมนอนก่อนนะครับ” ปฐวีล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มออกมาคลี่คลุมกายแล้วพลิกตัวตะแคงหันหลังให้คุณน้าภานุมาศ ซึ่งเป็นน้องสาวคนเดียวของแม่...ใจของเขาครุ่นคิดถึงฝนทิพย์ ยังติดค้างเรื่องที่ต้องเล่าลงในไดอารี่...ถ้าเขาปล่อยมันทิ้งไว้จนถึงพรุ่งนี้ก็จะกลายเป็นดินพอกหางหมู

ปฐวีพลิกตัวเป็นนอนคว่ำ ไฟฟ้าที่หัวเตียงยังสว่างอยู่ คุณน้าคงยังไม่นอนง่ายๆ เขาเอื้อมมือไปหยิบสมุดที่ฝนทิพย์ซื้อให้ซึ่งมีปากกาคั่นอยู่ออกมาวางตรงหน้า

“ยังไม่นอนอีก ทำอะไร”

“เขียนบันทึกครับ” เขาพูดเบาๆ โดยไม่ได้หันไปหาดูว่า   คุณน้าทำอะไร...ด้วยรู้หลานชายคงต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง คุณน้าจึงเงียบเสียงไป

 

‘ฝนครับ เมื่อกี้กำลังเครื่องติดแต่ว่ามีเหตุให้ เครื่องดับไปเสียก่อน วีขอเล่าตั้งแต่ ตอนที่วีนั่งรถมาจากพิษณุโลกแล้วกันนะ วีถึงกรุงเทพฯ ตอนตีสามแน่ะ แล้ววีก็นั่งรถแท็กซี่จาก    หมอชิตไปคอนโดของคุณน้าที่อยู่ย่านประตูน้ำ ที่นี่วีเคยมาตอนที่น้าเขยของวียังมีชีวิตอยู่กี่ปีแล้ว ตั้งแต่วีอยู่ ม. 3 มั้ง ตอนที่เรานั่งรถมาซื้อคอมพิวเตอร์ที่ห้างพันธุ์ทิพย์ตอนนั้นวีกับฝนอยู่ปี 4 ตอนนั้นวีก็ไม่ได้พาฝนแวะมาหาคุณน้า...สรุปว่าคุณน้าลงมารับวีที่ข้างล่างหลังจากที่วีต่อโทรศัพท์ขึ้นไปหา...ห้องน้ารกมากๆ (ตอนที่เขียนบันทึกอยู่นี้ เตียงของคุณน้าก็รกมากๆ เลย) ฝนคงไม่ชอบคุณน้ามาศแน่ๆ มีคนไม่ชอบน้ามาศเยอะเลยนะ แค่   วันเดียวเอง วีรู้สึกว่าลูกทัวร์รู้สึกอึดอัดกับคุณน้ามาศ วีว่าน้ามาศเพี้ยนนิดหน่อยนะฝน วีต้องเล่าให้แม่ฟังแล้วหละ...แต่แม่ก็ไม่ได้มาวุ่นวายกับชีวิตน้ามาศนานแล้วนะ...(นินทาระยะเผาขนเลยนะฝน) คงช่วยแก้อะไรไม่ได้หรอก

 วีง่วงนอนแล้ว ขอวีเล่าต่ออีกหน่อยนะ พอได้ระบายออกมาอย่างนี้ทำให้ความคิดถึงฝนคลายลงไปได้มากทีเดียว อยากให้ฝนมาด้วยกันจังเลย วีคงสนุกกว่านี้...เอ้า กลับไปที่ประตูน้ำก่อนนะ...ตื่นเช้ามา น้ามาศออกจากห้องไปแล้ว ที่ห้องน้ามาศมีหมาพันธุ์พุดเดิ้ลตัวหนึ่ง ตอนแรกวีนึกว่าลูกแกะโดนตัดขนไปทำเสื้อกันหนาวเสียอีก ที่ไหนได้ มันเป็นหมาที่ถูกเลี้ยงในห้องมืดมานาน...สงสารหมาเหมือนกันนะ มันอยู่ในกล่องทั้งวันทั้งคืน ถ้าน้ามาศไม่อยู่บ้าน เขาก็จะจ้างคนที่พักอยู่ในตึกเดียวกันเอาอาหารมาให้...จะว่ามันสบายก็คงไม่ใช่...วีว่ามันมีกรรมมากกว่านะ 

ตอนสายๆ น้ามาศกลับเข้ามาพร้อมอาหารเช้าของวี เป็นโจ๊กกับผลไม้ หลังจากอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเริ่มงาน...น้ามาศมีคอนโดสองห้องอยู่ติดกันเลย อีกห้องหนึ่งน้ามาศซื้อเสบียงกรังทั้งหมดที่จะใช้ในการเดินทางมาอินเดียมาเตรียมไว้ แต่ยังไม่ได้แพ็กใส่กล่องเลย...น้ามาศมีรายการอาหารในแต่ละวันที่อินเดีย วีนั่งอ่านแล้ววีงงสุดๆ แต่วีก็ทำหน้าเข้าใจไปอย่างนั้นแหละ...สรุปว่า วันนั้นทั้งวัน น้ามาศโยนนั่นโยนนี่ลงกล่องส่วนวีเขียนบันทึกในกระดาษว่ากล่องหมายเลขนี้มีอะไร แพ็กติดกาวมัดเชือก แล้วยกไปรอไว้นอกห้อง...ช่วงนั้นน้ามาศแกก็เล่าเรื่องราวที่วีต้องไปพบเจอที่อินเดียให้วีได้รับรู้คร่าวๆ แต่วีนึกอะไรไม่ออกหรอกฝน จนกระทั่งวันนี้ตอนที่เท้าแตะพื้นดินอินเดียนี่แหละ...

วีจะเล่าข้ามไปนะ เอาตอนเช้ามืดที่วีตื่นมาตั้งแต่ตีสามก่อนดีกว่าวุ่นวายน่าดูเลย น้ามาศจ้างรถกระบะมาขนของ     ยาม(รปภ.) กดลิฟต์ ใช้รถเข็นมาขนกล่องลงไปข้างล่าง เสร็จเรียบร้อย เรารีบบึ่งมาที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นครั้งแรกเลยฝนที่วีได้มีโอกาสมาสนามบิน มันตื่นเต้นปนหวั่นใจจะทำเด๋อด๋า...แล้วความวุ่นวายโกลาหลก็เกิดขึ้น 

วีงุนงงไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร คณะไหนบ้าง น้ามาศให้วีคอยช่วยเช็คกระเป๋าของคนอื่นๆ ว่ามีมาคนละกี่ใบ แถมน้ามาศยังขู่ด้วยว่า หากใครเอากระเป๋ามาเกินกว่าที่ได้ตกลงไว้จะให้ขนกลับบ้านไปเลย แล้วตอนนั้นใครที่มาส่งมันจะอยู่รอขนละฝน...คนเริ่มไม่ชอบน้ามาศกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ วีว่าบางทีน้ำเสียงของน้ามาศมันดูบังคับจิตใจกันอย่างไรไม่รู้นะ 

แต่ผู้ร่วมเดินทางบางคนก็เหลือเกินจริงๆ ทำไมบางคนเอามาแค่กระเป๋าใบใหญ่ใบเดียวได้ แต่บางคนเล่นหอบมาเต็มพิกัดเลย...ตกหนักวีนี่แหละ ต้องช่วยลากตอนที่ออกมาจากสนามบินคยา...สนามบินคยา ตลกมากๆ เลยฝน มันดูเหมือนอาคารร้างกลางทุ่งนา ทีแรกวีคิดว่าจะพลุกพล่านแบบดอนเมืองบ้านเรา แต่นี่เงียบเชียบ มีเจ้าหน้าที่นิดเดียว ต่อคิวกันนานมาก แถมพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย เจ้าหน้าที่ก็หน้าตาน่าเกรงขาม

...วีง่วงนอนมากขึ้นแล้วนะ ฝนก็รู้ว่าวีไม่อดทนกับ      การอดนอน สรุปเลยแล้วกัน เรานั่งรถบัสขนาด 39 ที่นั่งออกจากสนามบินมาที่ วัดไทยพุทธคยา พอมาถึงก็วุ่นวายจัดคนเข้าห้องพัก บางคนก็ลากกระเป๋าไม่ไหววีต้องช่วยลากไปส่ง (วี อิ่มใจนะตอนที่ช่วยเขา แต่ น้ามาศบอกว่าไม่จำเป็นต้องช่วยทุกคนหรอก)

 เมื่อห้องพักลงตัวแล้วก็ถึงมื้อกลางวัน มีกรุ๊ปทัวร์หลายคณะมาก(เขามาก่อนพวกเรานะ) ห้องอาหารแน่นไปหมดเลย แต่เราก็กินข้าวกันจนได้แหละ 

ตอนบ่ายพระอาจารย์พาพวกเราไปสถานที่สำคัญแห่งแรก เจดีย์พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า...คนเยอะน่าดูเลยฝน ปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นจังเลย ทำไมตอนนั้นคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาได้ก็ไม่รู้...แต่ที่รู้ๆ วันนี้วีโทรกลับไปหาพ่อกับแม่มาแล้วนะ บอกว่าคิดถึงพ่อกับแม่    จังเลย แม่ร้องไห้อีกบอกว่าคิดถึงวีเหมือนกัน...วีก็เลยรู้สึกว่าวันนี้วีโตขึ้นแล้วนะ ถ้าได้งานขึ้นมา ถ้าวีไม่ได้อยู่ที่พิษณุโลกเหมือนเดิม พ่อแม่คงรู้แล้วว่า จะต้องรู้สึกอย่างไร 

วีไม่โทรหาฝน ฝนอย่าโกรธวีนะ ก็ฝนให้วีเขียนบันทึกนี่ วีก็เลยงมๆ เขียนอยู่นี่ไง เอ เราไปไหนต่ออีกนะ ไปบ้าน       นางสุชาดา แล้วก็เดินผ่านทุ่งนาไร่ผักคะน้าไปที่ต้นไทรที่       นางสุชาดาถือถาดไปถวายข้าวมธุปายาส หลังจากนั้นก็เดินผ่านเนินทรายผืนใหญ่ไปที่อุรุเวลาเสนา-นิคม ที่สามพี่น้องตระกูลกัสสะปะบำเพ็ญเพียรแล้วก็เดินวกกลับมาที่ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตรงจุดที่พระพุทธองค์ทรงลอยถาดทองคำ อธิษฐานว่าถ้าหากได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในคืนนี้ขอให้บาตรลอยทวนกระแสน้ำ...

วีฟังอะไรเยอะแยะจากพระอาจารย์ที่นำมามากมายแต่วีไม่รู้อะไรมาก...วีเสียดายเหมือนกันนะ รู้อย่างนี้วีอ่านหนังสือพุทธประวัติมาสักเล่มก็ดีหรอก

ตอนเย็นวันนี้หลังจากที่พวกเราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว พระอาจารย์ก็พาพวกเรากลับไปที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์อีกรอบ ไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นกัน...วีพยายามสวดตามเขาให้ได้นะ ไหนๆ ก็ได้มาแล้ว อยากเก็บบุญไปให้มากที่สุด บางคนก็บอกว่าวีโชคดีที่ได้มาที่นี่ตั้งแต่อายุเท่านี้...บ้างก็ว่ามีบุญด้วย...ทั้งโชคดีและมีบุญ

 มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่วีเห็นเยอะแยะเชียว แต่วีเล่า  ไม่ถูก ดึกแล้ว นอนก่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า...คิดถึงฝนนะ...คิดถึงมากด้วย...รัก...วี’

เสียงละหมาดังตั้งแต่ดวงตะวันยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้าเสียงร้องจิ๊บจั๊บของนกกระจิบที่เกาะอยู่บนยอดไม้หลังตึกพักไม่ได้ช่วยปลุกร่างระหงที่นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา มือบางแต่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาเขย่าเบาๆ ไปที่กองผ้าผืนนั้น “ตื่นได้แล้วดวงรัศม์”...

“ยังง่วงอยู่เลย จะรีบไปไหนละคะ” มีเสียงอู้อี้เล็ดลอดออกมา...

“จะรีบไปไหน คุณมาศนัดเจ็ดโมงครึ่งให้พร้อมกันที่ห้องอาหารนะ แปดโมงครึ่งจะต้องออกเดินทางกันต่อนะ” 

“โอ๊ย ไม่ไหวหรอกค่ะป้าแวว ถ้าลุกตอนนี้ดวงตายแน่ๆ นอนครบแปดชั่วโมงที่ไหนกัน”...

“เมื่อคืนก็มัวไปคุยอยู่กับเด็กนั่นอยู่ทำไม...เร็วลุกๆ อย่าโอ้เอ้...จะเก็บกระเป๋า เดี๋ยวขนออกไปไม่ทันเขา” ผ้าห่มถูกดึงออกมาเหมือนเมื่อครั้งดวงรัศม์เป็นเด็กๆ 

ใบหน้าได้รูปยังหลับตาพริ้ม ขนตาเป็นแพยาวทำให้รูปหน้าน่ามองยิ่งขึ้น...

...ดวงรัศม์มาอยู่กับคุณป้าตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ตอนนั้นคุณพ่อของหล่อนย้ายไปประจำการอยู่ในจังหวัดชายแดนที่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน และด้วยกลัวว่าลูกสาวคนโตของน้องชายจะได้รับอันตราย 

ในฐานะพี่สาวที่ทำงานส่งเสียน้องชายจนได้ดี มียศ มีตำแหน่งในวงการสีกากี การเอ่ยปากขอร้องจึงหมายถึงการบังคับไปในตัว แม่ของดวงรัศม์ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าลูกอยู่กับป้าตั้งแต่เด็ก คนเป็นแม่ก็จะหมดความสำคัญ แต่ว่าพ่อของดวงรัศม์ไม่สามารถขัดความต้องการของป้าแวว ด้วยรู้จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพี่สาวใหญ่ที่

ไม่ยอมแต่งงานคนนี้ 

ความเห็นอกเห็นใจจึงเกิดขึ้น...

“เราค่อยทำลูกกันใหม่ ยกให้พี่แววเขาไป เขาจะได้อุ่นใจว่าแก่เฒ่าไป จะได้มีคนดูแล”

พ่อคิดอย่างนั้นก็ถูก แต่ดวงรัศม์หาได้เข้าใจ หล่อนคิดว่า พ่อกับแม่ทิ้งขว้างหล่อนไว้กับป้าเพียงเพราะหล่อนเป็นผู้หญิง เด็กผู้หญิงที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร

ดวงรัศม์เติบโตมากับกฎระเบียบต่างๆ ที่ป้าเนรมิตขึ้นมา เพื่อให้หล่อนเหมาะสมกับคำว่ากุลสตรีไทย แต่หล่อนก็พร้อม    แหกกฎอยู่เสมอ เพราะคนที่ตั้งกฎ ไม่ใช่พ่อแม่บังเกิดเกล้า ไม่ใช่คนที่จะสามารถชี้เป็นชี้ตายกับหล่อนได้ ดวงรัศม์เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน หล่อนก็สำนึกและเห็นใจว่าคนที่มอบความรักให้หล่อน ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับหล่อนมากน้อยแค่ไหน...ถ้าเทียบกันระหว่างหล่อนและน้องชายอีกสองคนที่พ่อแม่เลี้ยงดูเอง

  หล่อนถือว่าสุขสบายกว่าเป็นไหนๆ คุณป้าเป็นข้าราชการตำแหน่งสูง ด้วยเป็นคนมัธยัสถ์อดออม และได้สมบัติส่วนหนึ่งมาจาก คุณตาคุณยาย คุณป้านำมาลงทุนซื้อตึกแถวให้คนเช่า บางส่วนเก็บฝากธนาคารกินดอกเบี้ย ทำให้สมบัติของป้างอกเงยขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเงินแล้ว นอกจากทำบุญตามกาล คุณป้ายังทุ่มลงมาเพื่อความสมบูรณ์พร้อมของหลานสาวเพียงคนเดียว...

ดวงรัศม์เรียนในโรงเรียนสตรีล้วนสัญชาติอังกฤษ หล่อนพูดภาษาอังกฤษได้อย่างดียิ่ง หลังเลิกเรียน นอกจากวิชาการ แล้วหล่อนต้องเรียน เต้นรำ ร้องเพลง ว่ายน้ำ สารพัดวิชาที่ใครๆ เขานิยมส่งบุตรหลานไปเรียนกัน ดวงรัศม์เป็นคนเข้ากับคนได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันหล่อนก็ผละออกจากคนได้ง่ายๆ เช่นกัน

หล่อนมักปรารถนาที่หนึ่ง จึงทำให้ชีวิตของหล่อนต้องตะเกียกตะกายอยู่ตลอดเวลา...

เมื่อแซะหลานออกจากที่นอน ให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว คุณป้าแวว ก็รีบหยิบชุดกางเกงกับเสื้อสีขาวและชุดชั้นในมาวางไว้รอท่าบนเตียงนอน เมื่อดวงรัศม์ออกมา ด้วยผ้าพันกายผืนเดียว ครีมทาผิวจึงถูกละเลงทั่วตัวโดยเร็วไว นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุก่อนการตัดสินใจซื้อทัวร์มาทริปนี้กับคณะพระอาจารย์บุญช่วย แววตาจึงต้องขอคุยกับคนจัด ทริปก่อน บอกเหตุผลส่วนตัวว่าไม่สามารถหลับนอนร่วมกับคนอื่นได้เพราะอะไร หลานของนางเป็นดารา ภาพที่ออกสู่สาธารณชน คือตัวอย่างของความดีงามทั้งหมด หากใครรู้ว่าต้องมาแซะหรือเอาอกเอาใจกันขนาดนี้ แล้วไปพูดปากต่อปาก ภาพของหลานสาวที่น่ารักก็จะกลายเป็นน่าหมั่นไส้ได้

กว่าดวงรัศม์จะมีวันนี้ได้ นางเองก็หมดไปไม่ใช่น้อย แต่วงการบันเทิงก็ทำให้หลานสาวที่เคยสดใสสมวัยเปลี่ยนไป ดวงรัศม์หยาบกร้านขึ้น...การแต่งเนื้อแต่งตัวที่ดูดีมีรสนิยมแบบเรียบๆ กลายเป็นเอ็กซ์อึ๋มเพื่อทำให้ตัวเองโดดเด่นอยู่ตลอดเวลา แม้พร่ำบอกแค่ไหน ว่ามันเป็นพิษเป็นภัยต่อตนเองทั้งโลกนี้และโลกหน้า แต่ดวงรัศม์หาได้เชื่อฟัง

“ถ้าคนอื่นตกนรกเพราะแต่งตัวโป๊ ก็คงไม่ใช่ดวงคนเดียวที่ ตกนรก และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในนรกเพื่อนในวงการบันเทิงคงเยอะดี จะได้คุยกันรู้เรื่อง”

ดวงรัศม์ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ชาติหน้า อย่างที่ป้าแววเชื่อ สุดหัวใจ อีกหนทางที่จะหยุดความแรงของดวงรัศม์ดาราเจ้าบทบาทเบอร์หนึ่งของช่องได้คือ ดินแดนพุทธภูมิ...

และแน่นอนว่า หากบอกตรงๆ นางก็จะไม่มีวันได้หลานสาว ตัวดีมาด้วยอย่างแน่นอน...

คิวที่ขอความร่วมมือจากผู้จัดการตัวดี ที่ดวงรัศม์ได้รู้คือ อินเดีย ทัชมาฮาล ราชสถาน หาใช่ 4 ตำบล สังเวชนียสถาน

สังเวชนียสถาน...สถานที่ก่อให้เกิดความสลดสังเวชใจ น่าจะช่วยให้ดวงรัศม์คลายความทะเยอทะยานและดำเนินชีวิตอยู่บนทางสายกลางได้บ้าง

...นั่นคือความปรารถนาของคุณป้าแวว