มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน
รัก,ผู้ใหญ่,ชอนตะวัน,แสงดาวไอดินอินเดีย,แสงดาว,ไอดิน,อินเดีย,รัก,ผู้ใหญ่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แสงดาว ไอดิน อินเดียมากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน
มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน กลิ่นอายความรักท่ามกลางความแตกต่าง ทั้งเรื่องฐานะ อายุ สถานภาพทางสังคม ที่อบอวลไปด้วยความดีงามภายในจิตใจของคนสองคน ก่อเกิดบนเส้นทางแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย 'ปฐวี' วิศวกร วัย 22 ปี รอเรียกเข้าทำงาน เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อช่วยน้าสาวทำหน้าที่ลีดเดอร์ทัวร์ หัวใจของเขาต้องมาหวั่นไหว เมื่อได้พบดาราสาว เจ้าบทบาท 'ดวงรัศม์' ผู้ร่วมทริปครั้งนี้ แม้ทั้งสองคน พยายามปฏิเสธความต้องการของหัวใจ เพราะรับรู้ถึงความแตกต่าง และปัญหาที่จะตามมา แต่สุดท้าย ความรักที่เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความเลื่อมใสศรัทธา กลับกลายเป็นความเข้าอกเข้าใจกันและกัน จนยากลืมเลือน....
'ชอนตะวัน' อีกหนึ่งนามปากกา ของ 'จุฬามณี' ผู้เขียน ชิงชัง กรงกรรม สุดแค้นแสนรัก ทุ่งเสน่า และ วาสนารัก
“ทำไมเพิ่งมาละคะ” คนถามไม่ปิดบังสีหน้าว่าไม่พอใจ
คนเป็นผู้ใหญ่กว่ามีสีหน้าสำนึกผิดตอบคำถามเสียงผะแผ่ว
“ขอโทษค่ะคุณมาศ”
อยากจะกล่าวต่อว่า “ท้องเสียค่ะ” แต่ก็รู้ว่าผิดศีลข้อมุสาวาทอีก...แค่นั้นก็น่าจะพอสำหรับการเดินมายังห้องอาหารในเวลาเกือบแปดโมงเช้า โดยที่คนอื่นๆ ลุกจากห้องอาหารกลับห้องพักไปขนกระเป๋าออกมารอที่ท้ายรถบัสสีขาวตามที่คุณภานุมาศได้แจ้งไว้เมื่อวาน
“วี เดี๋ยวช่วยไปลากให้พี่ด้วยนะ วางไว้หน้าห้องแล้ว” ป้าแววของดวงรัศม์ร้องบอกชายหนุ่มที่กำลังลากกระเป๋าของลูกทัวร์คนที่มีกำลังน้อยมาจากห้องพักเพื่อมารวบรวมไว้ข้างหลังรถบัส
ดวงรัศม์ไม่พูดไม่จา ใบหน้าของหล่อนเรียบเฉย...ไม่ยินดียินร้ายกับคนไทยคณะอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมาแล้วจ้องมองดูหล่อนด้วยสายตา ชื่นชมยินดี
“จะยิ้มให้คนอื่นบ้างไม่ได้เลยหรือ” ป้าแววสะกิดบอก...
“ก็ดวงง่วงนี่คะ”
“ตามใจเธอแล้วกัน อยากให้เขาเอาไปเม้าท์กันที่เมืองไทยว่า แม่นางเอกที่เคยเห็นแจ๋นๆ หน้างอเป็นม้าหมากรุกตอนอยู่อินเดีย”
คนเป็นหลานถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปยังห้องอาหาร คุณป้าสาวเท้าตามด้วยความอ่อนใจคุณภานุมาศรีบวิ่งตามไป หล่อนชี้ไปยังสำรับที่อาหารวางไว้บนโต๊ะปูผ้ายางลายดอกไม้
“ทางนี้เลยค่ะ ในถาดบนโต๊ะของคณะอื่นเขาค่ะของเราทานกันหมดแล้ว มาศตักไว้ให้ เชิญเลยค่ะ”
ท้ายประโยคถ้าตั้งใจฟังนั่นคือน้ำเสียงที่เข่นเขี้ยวออกมา
“แต่ถ้าไม่พอก็ไปตักของเขาได้ ทานเสร็จแล้ว ขอความร่วมมือเก็บถ้วยจาน แก้วน้ำ ไปไว้ในกะละมังทางด้านโน่นเลยนะคะ ขอโอกาสไปดูแลลูกทัวร์คนอื่นก่อนนะคะ”
คำว่า ‘ขอโอกาส’ ของคุณภานุมาศนั้น ดวงรัศม์ได้ยินตั้งแต่สนามบินดอนเมืองแล้ว...
‘ขอโอกาสแนะนำตัวเองกับทุกๆ คนก่อนนะคะ เผื่อบางคนไม่ได้ไปปฐมนิเทศวันนั้น’
‘ขอโอกาสแนะนำน้องสต๊าฟที่จะช่วยงานนะคะ’
‘ขอโอกาสแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบว่า กระเป๋าของทุกๆ ท่านต้องไม่หนักเกิน 20 กิโลกรัม ถ้าใครเกิน จะให้เอาออกนะคะ’
คนชอบขอโอกาส ในชุดเสื้อยืดกระโปรงบานผ้าเป็นริ้วๆ ถุงเท้ารองเท้าสีขาวผมบ๊อบหน้าม้าแบบคุณป้าแวว ออกไปแล้ว ดวงรัศม์มองอาหารบนโต๊ะ อันได้แก่ ผัดกะหล่ำปลี, ยำกุนเชียง, ไข่เจียว แล้วถอนหายใจออกมา
“ดวงไม่หิว” หลานสาวนั่งบนเก้าอี้พลาสติกทำหน้าเมื่อย
“กาแฟหน่อยไหม” ป้าแววเอาใจ
“ดวงกลับก่อนได้ไหมคะคุณป้า”
“กลับก่อนได้ที่ไหน ตั๋วเครื่องบินระบุวันกลับแล้ว”
“งั้นดวงย้ายไปนอนโรงแรมแล้วซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่ ดวงคิดว่าดวงไม่ไหวหรอกค่ะ อะไรก็ไม่รู้ เมื่อวานเห็นถนนหนทางเห็นสภาพผู้คนแล้วดวงท้อนะคะ”
ป้าแววตักไข่เจียววางในจานข้าวแล้วก็ตักข้าวเข้าปาก หลานสาวเห็นว่าคุณป้าดูไม่สนใจจึงเซ้าซี้ต่อ
“ดวงมีงานถ่ายโฆษณา”
“ป้าเคลียร์กับสไบนางเรียบร้อยก่อนที่ดวงจะมาแล้ว ดวงจะไม่มีงานใดๆ ทั้งนั้นในช่วงสิบห้าวันนี้”
คนเป็นหลานหน้ามุ่ย
“ดวงต้องตายแน่ๆ เลย”
“ตายให้มันตายกันไป...ดี จะได้เผาที่แม่น้ำคงคาแล้วเอากลับแต่กระดูก”
“คุณป้าอ่ะ” ใบหน้าได้รูปสะบัดพรืดไปด้านข้าง แล้วสายตาของดวงรัศม์ก็ปะกับร่างของหนุ่มรุ่นน้องซึ่งมีบุคลิกภาพที่ดูสุภาพอ่อนโยน คนที่สะดุดตาตั้งแต่สนามบินดอนเมือง
มีผู้ชายอายุน้อยกว่าเป็นคู่ควงเป็นภาพของดวงรัศม์ ดารารัตน์ มาตั้งแต่มีชื่อเสียง ดาราหนุ่มรุ่นน้องคนแล้วคนเล่าที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นคนรู้ใจ...ภาพดาราสาวเจ้าบทบาท ‘กินเด็ก’ ติดตัวเธอมา...ดวงรัศม์ตาเป็นประกายเมื่ออีกฝ่ายมองตอบมาด้วยทีท่าเงอะงะ
“ฮะแอ่ม” ป้าแววกระแอม ดึงสติหลานสาวตัวเองกลับมา
“มันก็ต้องหาอะไรสนุกๆ ทำบ้างซิคะ”
“ห่างกันกี่ปี แล้วมันคุ้มไหมที่เอาตัวเองลงไปเล่นกับเด็กไม่มีชื่อเสียงใดๆ เลย” ที่ผ่านมาคุณป้ารู้ว่าพฤติกรรมในข่าวฉาวว่า ‘กินเด็ก’ เป็นการสร้างภาพอย่างหนึ่งจากทีมประชาสัมพันธ์ของช่อง...ด้วยสมัยนี้ดาราถ้าไม่มีข่าวคาวโอกาสที่จะดังคับฟ้านั้นยาก...ต้องอึ๋ม เอ็กซ์ มีภาพ เซ็กซี่ เป็นตัวของตัวเอง
แรกทีเดียว คุณป้าแววก็รับกับกติกาใหม่นี้ไม่ได้ แต่เมื่อหลานสาวต้องการ แล้วก็ชี้แจงมาว่าแค่ภาพ ป้าจึงเงียบเสียงลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคอยกำกับดูแลให้อยู่ในสายตาของผู้จัดการอยู่เสมอ...
แต่ในคำว่าเสมอ มีรึที่ดวงรัศม์จะไม่พยายามแหกคอกออกมา ดีแต่ว่า สไบนางให้ความร่วมมือและดวงรัศม์เองก็ไม่ได้ แก่นแก้วกร้านโลกจนไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง...
“วี ทางนี้” ดวงรัศม์ยกมือขึ้น ปฐวีที่ถือจานข้าวกับแก้วน้ำมองมา เขาพยายามหาที่นั่งแต่หาไม่ได้ เต็มเกือบทุกโต๊ะ...เขาจึงต้องเดินมาหา จะนั่งฝั่งไหนดีระหว่างข้างคุณพี่(ป้า)แวว กับ คุณหลานดาราสวยพริ้งทีเดียว
“นั่งข้างพี่นี่” คนเรียกตัวเองว่าพี่ ร้องบอก ดีเลย เขาคิดว่าถ้านั่งข้างดวงรัศม์ก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าสวยของเจ้าหล่อน แต่ถ้านั่งอีกฝั่ง ไม่น่าจะได้เห็นแค่หน้าที่มีปากแต่น่าจะได้เห็นหน้า ‘อย่างอื่น’ ด้วย
เมื่อวางจานข้าวและแก้วน้ำแล้ว ปฐวีค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมา
“เหนื่อยไหมวี”
“หายหนาวเลยครับ” พูดพลางตักข้าวเข้าปากตัวเอง
ดวงรัศม์ชะเง้อมองพบว่าในจานของปฐวีมีหมูทอดกระเทียมชิ้นแห้งๆ พอดีคำ...หล่อนจึงเอื้อมมือถือวิสาสะไปหยิบมาเข้าปากตัวเอง แน่นอนว่าคุณป้าใช้สายตาตำหนิกลับมา...ดวงรัศม์ไหวไหล่เชิดหน้าท้าทาย...ปลายนิ้วที่จะ ‘แหนบ’ ให้...
ปฐวีเห็นความสดใสน่ารักแล้วหัวใจพองโต...ครั้งหนึ่งในชีวิตมีดาราเจ้าบทบาทเบอร์หนึ่งของช่องมาหยิบหมูในจานออกไปกิน...ตัวเขาลอยๆ ชอบกล
“กินบ้างดีกว่า...วีจ๋า ดวงวานหน่อยได้เปล่า”
“ยายดวง” คุณป้ารีบปราม
“ทำอะไรหรือครับ”
“ตักข้าวให้จานแล้วก็เอาหมูกระเทียมแบบนี้มาสักสิบชิ้น”
“ของคณะอื่น” ป้าแววรีบบอก
“เหรอครับ คงไม่เป็นไรหรอกครับ เมื่อเช้าคณะอื่นยังมารุมกินของคณะเราเลยครับ น้ามาศกลัวอาหารไม่พอก็เลยตักแบ่งมาไว้ให้พี่ดวงรัศม์”
“วี” ดวงรัศม์มีเสียงสูงทันที
“เรียกผู้หญิงที่หน้ายังอ่อนเยาว์อยู่ว่าพี่นี่เสียมารยาทมากๆ รู้ไหม อนุญาตให้เรียกว่าดวง โอเค”
“โอเคครับพี่...เอ๊ย ดวง”
ปฐวีลุกออกไปยังโต๊ะกลางแล้ว ดวงรัศม์ชะแง้ตามไปโดยหาได้อยากสบตาที่จ้องจะตำหนิอยู่ตรงกันข้าม...
“ดวงรัศม์ใช่ไหมมาได้อย่างไรเนี่ย” หญิงวัยเดียวกับคุณป้าแววสามคนที่ยืนเก้ๆ กังๆ ปรี่เข้ามาทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงรัศม์ยิ้มให้แล้วก็ยกมือพนมแบบนางสาวไทย (ประชดคุณป้าแววของตัวเอง)
“มารยาทดีจริงๆ เลย เห็นในโทรทัศน์ดูแก่นแก้ว...ได้ข่าวว่าเคยทะเลาะกับดารารุ่นแม่”
“แค่ข่าวสร้างกระแสละครค่ะ ตัวจริงดวงรัศม์น่ารักจะตายค่ะ” คุณป้าได้ทีช่วยแก้ต่างพร้อมสร้างคะแนนนิยม ยังมีการพูดคุยชมผลงาน ชมผิวพรรณหน้าตาจนกระทั่งขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา ปฐวีจึงยื่นจานข้าวมาให้ดาราเจ้าบทบาท
“ขอตัวทานอาหารเช้าก่อนนะคะ เดี๋ยวคณะจะรอแย่”
ไม่ใช่เดี๋ยวจะรอแย่ แต่รอแย่แล้วต่างหาก...ปฐวีมองผ่านหน้าต่างไปยังรถบัสสีขาว คุณน้าภานุมาศของเขายกมือดูนาฬิกาแล้วด้วย แต่พอมองไปทางตึกพักก็ยังเห็นคนอื่นๆ เตร็ดเตร่อยู่แถวๆ หน้าระเบียง...อีกสักห้านาทีคงละเลียดข้าวเข้าปากหมดจาน เขากลับมานั่งที่ตัวเองแล้วรีบยัดข้าวเข้าปาก...
“อร่อยจังเลยค่ะ ของเราจะมีหมูทอดแบบนี้บ้างไหมเนี่ยวี”
“กลางวันมีครับ เป็นข้าวกล่อง”
ปฐวีรีบยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม พลางยกนาฬิกาดูเวลา...
“ใกล้ได้เวลาแล้วนะครับ คุณดวงจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม”
“ดวงเฉยๆ จ๊ะ ดวงกับวีเท่านั้น” หญิงสาวบอกความสถานะความสัมพันธ์ของตนกับชายหนุ่มให้เขาซึมซาบ ปฐวียิ้มแหยๆ ให้
“ขอกาแฟอีกแก้วแล้วกันนะ รบกวนหน่อยนะคะ” ปฐวีรีบไปยังมุมกาแฟ ฉีกกาแฟซองสำเร็จใส่แก้ว ใส่น้ำร้อนแล้วใช้ช้อนคนก่อนจะเดินกลับมาหาหญิงสาวที่มีใบหน้าผุดผ่องเป็นยองใย...เนียนเรียบจนหาที่ติแทบไม่ได้...เขาเคยได้ยินข่าวว่าพวกดาราสาวชอบทำศัลยกรรมกัน อยากเห็นเหมือนกันว่า ใบหน้าที่ทำศัลยกรรมนั้นจะมีจุดที่ทำให้จับผิดได้บ้างไหม
“จ้องอะไรดวง” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าไม่ได้โกรธแต่หยอกคืนต่างหาก
“เปล่าครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ คุณน้ารอแล้ว” ท้ายประโยคอยากจะบอกให้รู้ว่า อย่าช้า อย่านาน เดี๋ยวจะมีปัญหา ปฐวีลับตาไปแล้ว ดวงรัศม์จึงละข้าวที่ยังเหลืออยู่เกือบเต็มจาน ยกแก้วน้ำขึ้นจิบก่อนจะเปลี่ยนเป็นแก้วกาแฟ...
“กินข้าวให้เหลืออีกแล้ว...ถ้ารู้ว่ากินไม่หมด ทำไมไม่ตักเสียเองจะได้รู้ปริมาณของตน” ด้วยรู้ว่าหลานสาวจะแก้ตัวอย่างไร คุณป้าก็เลยบ่นแบบดักคอไว้เรียบร้อย
“ที่นี่มีแต่คนจนคนยากทั้งนั้น ขอทานเต็มเมือง ที่ป้าพามาเพราะป้าอยากให้ดวงคิดได้เองว่า ควรพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่แค่ไหน”
“อิ่มแล้วค่ะ คุณป้าอิ่มหรือยัง เร็วๆ นะคะ เดี๋ยวเพื่อนนักเรียนผมบ๊อบหน้าม้าของป้าจะบ่นเอา เร็วๆ ค่ะ” พูดจบดวงรัศม์ก็ถือแก้วกาแฟ แก้วน้ำของตนไปยังกะละมังใส่จานที่ใช้แล้ว หล่อนกลับมาเก็บจานข้าวของตนที่มีข้าวอยู่เกือบเต็มจาน...อาหารที่อยู่ในถ้วยของคุณป้าก็เหลือไม่ใช่น้อย แล้วจะทำอย่างไรดี...
พอดีแม่ชีที่ดูแลเรื่องห้องอาหารเดินผ่านเข้ามา...
“ที่เหลือก็เอามาเทใส่ถาดไว้เลยค่ะ เดี๋ยวจะมีคนงานมากินกันต่อ”
คุณป้าแววกับดวงรัศม์ช่วยกันจัดการเทกับข้าวคืนถาด ที่หาถาดชนิดเดียวกันไม่ได้ก็ตั้งถ้วยทิ้งไว้อย่างนั้น ส่วนข้าวจานของดวงรัศม์ต้องเทลงถังอาหารเหลือเพราะถ้าเทคืนหม้อคงน่าเกลียด
เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ดวงรัศม์กับคุณป้าแววก็พบว่าปฐวียืนรอด้วยทีท่ากระสับกระส่าย
“ด่วนเลยครับ รถจะออกแล้ว”
เมื่อได้ยิน ดวงรัศม์นึกอยากแกล้งหนุ่มหน้าเด็กนี่เสียจริง แต่ถ้าแกล้งไปผลร้ายจะตกอยู่กับใคร หล่อนกับคุณป้าแวว
“มาตามใช่ไหม ขอโทษทีนะ”
ปฐวีอยากจะบอกว่าขอโทษคนบนรถดีกว่า แต่เขาก็พูดไม่ออก ป้ากับหลานเดินตามเขาไป จนกระทั่งเขาหยุดยืนที่หน้าประตู ให้ผู้หญิงขึ้นไปก่อน
“กราบขอโทษค่ะ” ป้าแววพนมมือค้อมตัวขออภัยกับ พระอาจารย์บุญช่วยที่กำลังยืนพูดคุยอยู่กับคณะศรัทธาของตน
“เอ้า วันแรกยังไม่เป็นไร ให้อภัยได้”
คุณน้าภานุมาศที่นั่งอยู่บนที่นั่งของเด็กรถซึ่งติดอยู่ข้างประตูทางขึ้น-ลง ถอนหายใจออกมาก่อนจะหันมาสั่งหลานชายของตนว่า “วีไปตามท่านพระครูอ้วน มาด้วยนะ”
ปฐวีวิ่งกลับไปยังห้องของพระครูผู้มีหน้าที่บรรยายระหว่างการเดินทางตลอดสิบกว่าวันนี้อีกรอบ...
พระครูอ้วนได้รับข้อความ ก็รีบออกมาจากห้องพักพร้อมกับพระภิกษุผู้ช่วยของตน ปฐวีเดินนำหน้ากลับมา มาโนชเด็กรถ ชาวอินเดียที่สามารถพูดไทยได้ยิ้มส่งฟันขาวให้เขา...ปฐวียิ้มตอบ ถ้าไม่ได้มาโนชมาช่วยรองรับอารมณ์ร้อนๆ ของคุณน้า เขาก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน
ตั้งแต่เช้า คุณน้าใช้มาโนชให้ทำนั่นทำนี่แทบไม่ได้หยุดหย่อน มาโนชก็ ‘ครับๆ ’ อย่างเดียว ตอนมาโนชกับเด็กรถวัยสี่สิบกว่าตัวผอมลีบอีกคนแบกกล่องน้ำดื่มมาขึ้นรถ เขารู้สึกสงสาร แต่ถ้าให้เขาแบก เขาก็ต้องแบกให้ได้ เพราะคุณน้าบอกก่อนเดินทางมาแล้วว่ามาเพื่อช่วยให้งานของน้าคล่องตัวขึ้น...ได้เที่ยวเมืองนอกแลกกับแรงงานน่าจะคุ้มค่า
เมื่อทุกคนพร้อม รถคันสีขาวก็แล่นออกจากวัดไทยพุทธ คยา พระอาจารย์บุญช่วยส่งต่อไมค์ให้กับท่านพระครูอ้วนที่มีคุณวุฒิทางธรรมระดับมหาเปรียญและวุฒิทางโลกระดับดอกเตอร์จากมหาวิทยาลัยในเมืองพาราณสี และมีประสบการณ์พระธรรมทูตในต่างแดนอีกหลายประเทศ
ปฐวีเดินกลับมานั่งยังที่ของตน มันอยู่ทางด้านหลังสุดของตัวรถ...มีทั้งหมดห้าที่นั่ง ตอนนี้คุณน้ายังไม่เดินกลับมา เขาจึงนั่งอยู่ตรงกลาง ซึ่งจะสามารถมองเห็นทะลุถึงตัวท่านพระครูที่ยืนบรรยายอยู่...
เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงยี่สิบกว่าชั่วโมง เขายังไม่รู้หรอกว่า ลูกทัวร์ที่คุณน้าให้ช่วยดูแลทั้งพระและโยมกว่า 39 ชีวิต ใครมีนิสัยอย่างไรบ้าง...
เคยถามน้าภานุมาศตอนที่อยู่คอนโด น้าก็ว่า...
‘ส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์พระอาจารย์บุญช่วยที่อยู่สุพรรณบุรี แต่บางคนก็เป็นคนรู้จักของลูกศิษย์ท่าน บางคนก็มาแบบปากต่อปาก ส่วนพระอีกสิบสี่รูป สิบเอ็ดรูป เป็นพระสายของพระอาจารย์บุญช่วยมาจากไหนบ้าง น้าไม่รู้ ส่วนหลวงพี่สามารถเป็นลูกศิษย์ท่านพระครู ทั้งคู่จำวัดอยู่ในกรุงเทพฯ...’
ปฐวีเปิดเอกสารสวดมนต์ที่มีแผนผังเบาะรถและรายชื่อ ลูกทัวร์ แต่ละคนติดอยู่ด้านหลัง เขาใช้ปากกาติ๊กคู่ที่เขาพอรู้จักแล้ว...เป็นสามีภรรยากัน 3 คู่...
เท่าที่ได้คุยกันบ้างแล้ว มีคู่พี่สมรักษ์กับลุงสุขสันต์ ภรรยาดูเด็กกว่าสามีเยอะทีเดียว ตอนที่แรกเขานึกว่าเป็นคู่พ่อกับลูกสาว...ด้วยฝ่ายหญิงเรียกอีกคนว่าพ่อ...แต่ฟังไปฟังมา คือสามี-ภรรยา... ทั้งคู่ บ้านอยู่บางแค ทำมาค้าขายอะไรไม่รู้
คู่ที่สอง ลุงบุญเกิดกับป้าชอุ่ม สามีเป็นข้าราชการเกษียณ..ภรรยาเป็นแม่บ้าน ไม่มีลูกเต้าสืบสกุล
คู่ที่สาม ลุงสว่างกับนางสมศรี คู่นี้หน้าตาผิวพรรณบอกว่าไม่เคยทำงานหนัก แต่ดวงตาของทั้งคู่หม่นเศร้า...
ที่เหลือเป็นชาย 6 คน 3 สามคู่ซึ่งที่นั่งเป็นเบาะถัดมาจากพระสงฆ์
มีนายประพนธ์ คุณน้าบอกว่าเป็นม่ายและที่หมายเหตุพิเศษเพิ่มมา นั่นก็คือกินมังสวิรัติ เว้นจากเนื้อสัตว์ ซึ่งนั่งคู่กับ นายธนกิจ เท่าที่ได้คุยกัน เป็นหนุ่มใหญ่วัยเกือบสี่สิบปีที่มีน้ำเสียง
เหน่อสุพรรณ เหมือนพี่ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เขาอีกสามคน
ปฐวีเลื่อนปลายปากกามายังคู่ถัดมาเบาะซ้ายด้านล่าง
คู่พ่อกับลูกชายนายกิมและนายมงคล...
และคู่ที่นั่งเบาะตรงกันข้ามกับนายประพนธ์ คือนาย ประทุมกับนายวิชัย วัยของทั้งคู่น่าจะเกิน 60 ปี
คุณน้าบอกเหตุผลที่จัดให้ผู้ชายนั่งตรงกลางว่า
‘พระท่านจะได้ไม่อึดอัด ถ้ามีผู้หญิงมานั่งต่อไป เดี๋ยวท่านจะอาบัติได้ง่าย แต่อย่างไร ถ้าข้างหลังมันกระแทกมากๆ ก็จะให้มีการสลับที่นั่งกันได้’
ผู้หญิง...ปฐวีไล่ปากกาดูรายชื่อ...
ฝั่งซ้าย ต่อที่นั่งของลุงสุขสันต์กับพี่สมรักษ์ เป็นคู่สองป้าหลาน...น.ส. แววตา น.ส. ดวงรัศม์
ที่นั่งถัดมาเป็น คุณป้ากาญจนากับแม่ชีทองดีวัยเจ็ดสิบกว่า รายนี้แหละที่เรียกเขาว่าไอ้หนูอยู่ตลอดเวลา...
ส่วนฝั่งขวา เบาะตรงกันข้ามกับดวงรัศม์ เป็นของ น.ส.วรรณดี กับ นางวิมลรัตน์ แว่วมาว่านางวิมลรัตน์เป็นเพื่อนกับคุณป้าของดวงรัศม์
เบาะถัดมาเป็นของแม่ชีเช่นกันแม่ชีพัชรี กับแม่ชีเกสร
และแถวสุดท้าย ปฐวีต้องเรียกว่าพี่ที่นั่งทางด้านขวามือทั้งสองคนเพราะดูอายุแล้วคงห่างจากตนไม่เกินสิบปี...พี่เรณูและ พี่นิตยา ส่วนฝั่งซ้ายอายุประมาณสี่สิบปีเป็นของพี่สุวิมล
“จำได้หรือยังว่าใครชื่ออะไรบ้าง” พี่นิตยาที่นั่งติดอยู่กับเขายื่นหน้ามาดูแผนผังรายชื่อผู้ร่วมเดินทางด้วย...
“เริ่มจำได้แล้วครับ จำพี่กับพี่เรณูได้แล้ว เออที่มาจากสุพรรณเหมือนกับพี่มีใครบ้างครับ”
“มีพี่ พี่สุวิมล พี่เรณู ลุงประพนธ์ พี่ธนกิจ ลุงกิม พี่มงคล กาญจนา...แล้วก็พระที่รู้จักอีก 5 องค์นอกนั้นไม่รู้มาจากไหนกันบ้าง ปากต่อปากนะ”
“แล้วที่สุพรรณบุรีทำอะไรกันหรือครับถึงได้มีเงินมาเที่ยวอินเดีย” ด้วยเห็นผิวพรรณแล้วไม่ใช่คนที่ทำงานสบายอยู่ในร่มเป็นแน่ ปฐวีจึงต้องถามถึงงานออกไปอย่างเสียมารยาท
“ทำไร่อ้อยกัน กลับไปก็ต้องไปตัดอ้อย”
“ยังเด็กกันอยู่เลยนะครับ ทำไมถึงมีศรัทธามากันแล้ว” ปฐวีซักไซ้อีก
“เด็กที่ไหนพี่จะสี่สิบแล้ว ลูกสองคนแล้ว” พี่เรณูตอบกลับมา ปฐวีก้มหน้าผ่านพี่นิตยาไปมองคนที่บอกว่ามีลูกสองคน...
“หน้าเด๊กเด็ก” เขาชม คนถูกชมยิ้มเขิน
“พี่ลูกสอง พี่นิตยายังไม่มีแฟน เป็นโสด” พี่เรณูบอกซ้ำ...
ปฐวีก้มหน้าดูเอกสารในมือต่อ...ดูรายชื่อของพระภิกษุสงฆ์ที่คุณน้ากำชับกำชาว่าให้ดูแลเป็นพิเศษ...โดยเฉพาะท่านพระครูอ้วนซึ่งคุณน้าบอกว่าท่านมีความรู้มาก ใครๆ ที่มาเที่ยวอินเดียต่างก็อยากได้ท่านมาเป็นวิทยากรเพราะท่านอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปี จึงพอรู้ภาษาฮินดี และด้วยท่านเป็นพระนักเผยแผ่ พระธรรมทูตและเรียนอยู่ที่อินเดียมานานทำให้ภาษาอังกฤษของท่านแตกฉานทำให้ง่ายในการทำงานบริการคณะศรัทธาในครั้งนี้...
รถบัสสีขาวแล่นไปบนถนนแคบๆ ที่มุ่งสู่เมืองราชคฤห์ ระหว่างทางเป็นที่น่าสนใจของคนบนรถพอๆ กับถ้อยคำบรรยายของท่านพระครู
รถกระเด้งกระดอนเพราะท้องถนนที่เรียบเหมือนผิว ดวงจันทร์โดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่แถวหลังแบบนี้ถึงกับต้องจับเบาะที่อยู่ข้างหน้าไว้ แต่ถึงแม้จะลำบากอย่างไรกติกาที่ตั้งไว้ก็ต้องดำเนินต่อไป...ท่านพระครูอ้วนส่งไมค์โครโฟนให้พระอาจารย์บุญช่วย หนังสือที่มีบทสวดมนต์ทำวัตรถูกสั่งให้นำออกมาจากกระเป๋าของแต่ละคน...
เมื่อวานในภาคเย็นที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ นอกจากประวัติย่อๆ ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ จุดที่น่าสนใจและท้าทายปฐวีก็คือ บทสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น ที่เขาคิดว่า สิบกว่าวันนี้เขาจะต้องท่องให้ขึ้นใจให้ได้...
ประการแรกเขาอยากเอาชนะความยาก เพราะพระบางรูป ผู้ร่วมเดินทางบางคนไม่ต้องเปิดดูหนังสือก็ว่าปากเปล่าได้เสียงกังวานไพเราะและถ้าเขาท่องได้ เมื่อถึงคราวที่ต้องบวชแทนคุณให้พ่อกับแม่ เขาก็จะได้ไม่ต้องไปฝึกท่องให้เสียเวลา และถ้าพ่อกับแม่รู้ว่าเขาสวดมนต์ได้ พ่อกับแม่ต้องดีใจอย่างแน่นอน...
เสียงสวดมนต์จากเครื่องขยายดังกระท่อนกระแท่นเพราะรถโยกไปโยกมา...จนกระทั่งจบบทสวดมนต์...คุณน้าภานุมาศเคาะประตูเรียก มาโนชที่นั่งอยู่ในห้องของคนขับกับเด็กรถอีกคน...
น่าจะเป็นสั่งให้หยุดเข้าห้องน้ำที่ทุกคนแสนกลัว...
ห้องน้ำข้างถนน...ซึ่งมีฟ้าเป็นหลังคาและมีอากาศรอบๆ ตัว
เป็นข้างฝา...ปัญหาไม่เกิดขึ้นกับพวกผู้ชายอย่างแน่นอนแต่กับผู้หญิงโดยเฉพาะดวงรัศม์...
“ต้อง...แบบนี้จริงๆ หรือคะคุณป้า ดวงตายแน่ๆ เลย”
“ถ้าเธออั้นไว้ เธอก็ต้องตายเหมือนกัน”
“โอ้ย...คุณป้าขา กลับกันเถอะค่ะ ไม่ไหวนะคะ...ถ้ามีภาพหลุดออกไปดวงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน นั่งฉี่ข้างถนนเนี่ยนะ”
“ป้าเตรียมผ้าถุงกับร่มกันแดดมาแล้วหาที่เหมาะๆ ก็คงไม่ยากเย็นอะไร”
ดวงรัศม์หน้ามุ่ย แล้วก็มีดวงตาขวางขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงลอยลมมาว่า “อย่างนี้ทำเป็นอาย ทีนุ่งน้อยห่มน้อย ถ่ายรูปค้างอยู่ในกระดาษอย่างนั้นหน้าระรื่น”
เป็นความจริงที่ทำให้เธอได้คิด แต่มันก็เป็นความจริงที่ไม่ได้อยากได้ยินจากปากของคนอื่น...ลมหายใจของดวงรัศม์เริ่มร้อนผะผ่าว...กี่ครั้งแล้วนะที่เพื่อนของเพื่อนคุณป้าแววแง๊บๆ ใส่เธอ
“ไปกันเร็ว ป้าไม่ไหวแล้ว” ป้าแววลุกขึ้นแล้วฉุดหลานสาว ให้เดินตามลงจากรถพร้อมร่มและผ้าถุง
ตามกติกา ผู้หญิงไปทางซ้ายและผู้ชายไปทางขวา ปฐวีเดินกลับมาเห็นท่าเกาหัวและหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของดวงรัศม์แล้ว อดกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ แต่เขาจะมายืนดูเจ้าหล่อนแบบนี้ไม่ได้เช่นกัน
รถบัสเคลื่อนออกจากริมถนนด้วยเสียงหัวเราะของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหลังของรถ โดยเฉพาะแม่ชีทองดีซึ่งมีใบหน้าเหี่ยวย่น ดูจะเบิกบานมากกว่าคนอื่นๆ
“สงสารอีหนูนี่จังเลย ไม่เคยข้างถนนแบบนี้ใช่ไหม”
“ค่ะ” ดวงรัศม์ตอบกลับมาด้วยเห็นว่าแม่ชีคงไม่รู้จักหล่อนเหมือนป้าวรรณาผู้ซึ่งเป็นสาวแก่เหมือนกับคุณป้าของเธอ
“ปัญหาของแม่ชีไม่ได้อยู่ที่ความอายหรอกหนู”
“แล้วอยู่ที่อะไรละคะ” ดวงรัศม์มีแก่ใจหันมาซักคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“อยู่ที่นั่งยองๆ แบบนี้แล้วลุกไม่ขึ้นนะซิ ยิ่งถนนลาดๆ แบบนี้เสียวหน้าคะมำ” เมื่อจินตนาการตามปฐวีถึงกับหัวเราะออกมา
“หน้าคะมำแม่ชีจะเรียกไอ้หนูไปช่วยอุ้มขึ้นมา อุ้มแม่ไหวไหม”
“ไหวครับ” ปฐวีตอบกลับเสียงดังฟังชัด
“ไหวก็ดี แต่ที่แน่ๆ กระเป๋าของแม่ทุกใบช่วยยกไปให้แม่ที่ห้องพักด้วยนะ ตอนจะยกขึ้นรถก็ช่วยไปยกกลับมาด้วย ไม่งั้นแม่กระดูกกรอบแน่ๆ ”
“มาแค่ไม่กี่วันไม่รู้จะขนอะไรมานักหนา” มีเสียงแว่วๆ ออกมาจากเบาะด้านซ้ายมือของปฐวี ดูแล้วแม่ชีคงไม่ได้ยิน ถ้าได้ยินก็คงไม่พูดออกมาแบบนั้นอีก
“ไอ้เรามันพวกบ้าสมบัติ ไอ้นั่นก็กลัวไม่มีไอ้นี่ก็กลัวไม่พร้อม ใจหนึ่งก็อยากไปนิพพาน แต่อีกใจก็ห่วงลูกห่วงหลาน เข้าวัดมาเป็นสิบปีข้าวของสมบัติบ้ายังเต็มห้อง พระอาจารย์ก็บ่นว่าทำไมไม่รู้จักสละเสียบ้าง...สละเงินร้อยเงินพันสร้างวัดสร้างวามันง่าย แต่สละไอ้ขยะที่คิดว่ายังมีประโยชน์สละอย่างไรก็ไม่หลุดหายเหมือนเงิน...เฮ้ย กลุ้ม” แม่ชีเล่าแบบบ่นเปรยๆ บางคนก็ซักถามต่อบางคนก็นิ่งเงียบฟัง...สำหรับปฐวีฟังแล้วก็คิดตาม...แล้วก็คิดถึงห้องรกๆ ของคุณน้าของเขา หากวันหนึ่งคุณน้าสิ้นลมไปกะทันหันแบบสามี ห้องสองห้องนั้นจะตกเป็นของใคร และถ้าตกถึงมือแม่ของเขาในฐานะทายาททางกฎหมาย ในระหว่างที่เขามีชีวิตการทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ พอดีเขาจะเข้าไปจัดการกับห้องนั้นอย่างไร...แล้วเขาก็ต้องส่ายหัวเพราะได้สติคิดว่านั่นคือความฟุ้งซ่าน...