มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน
รัก,ผู้ใหญ่,ชอนตะวัน,แสงดาวไอดินอินเดีย,แสงดาว,ไอดิน,อินเดีย,รัก,ผู้ใหญ่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แสงดาว ไอดิน อินเดียมากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน
มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน กลิ่นอายความรักท่ามกลางความแตกต่าง ทั้งเรื่องฐานะ อายุ สถานภาพทางสังคม ที่อบอวลไปด้วยความดีงามภายในจิตใจของคนสองคน ก่อเกิดบนเส้นทางแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย 'ปฐวี' วิศวกร วัย 22 ปี รอเรียกเข้าทำงาน เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อช่วยน้าสาวทำหน้าที่ลีดเดอร์ทัวร์ หัวใจของเขาต้องมาหวั่นไหว เมื่อได้พบดาราสาว เจ้าบทบาท 'ดวงรัศม์' ผู้ร่วมทริปครั้งนี้ แม้ทั้งสองคน พยายามปฏิเสธความต้องการของหัวใจ เพราะรับรู้ถึงความแตกต่าง และปัญหาที่จะตามมา แต่สุดท้าย ความรักที่เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความเลื่อมใสศรัทธา กลับกลายเป็นความเข้าอกเข้าใจกันและกัน จนยากลืมเลือน....
'ชอนตะวัน' อีกหนึ่งนามปากกา ของ 'จุฬามณี' ผู้เขียน ชิงชัง กรงกรรม สุดแค้นแสนรัก ทุ่งเสน่า และ วาสนารัก
‘ฝนครับ วันที่สองแล้วนะเร็วจังเลย ตอนแรกคิดว่าแต่ละวันมันจะผ่านไปด้วยความยากเย็นเสียอีก แต่พอนึกถึงวันข้างหน้ามันก็ยังรู้สึกว่านานอยู่ดี...คงเป็นเพราะคิดถึงฝนมากขึ้นกว่าเมื่อวานแน่ๆ เลย
...อย่าให้ว่าวีปากหวานนะ ความรู้สึกของวีเป็นอย่างนั้นจริงๆ ...เอ ฝนรู้สึกว่าวีเขียนคล่องขึ้นหรือเปล่า
วีว่าเพราะวีมีเวลาได้ครุ่นคิดระหว่างวันแน่ๆ เลย
เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าเลยนะ วีตื่นแต่เช้า ประมาณเกือบ หกโมงเช้า อาบน้ำ(มีน้ำอุ่นด้วยนะ) ใส่เสื้อผ้า(ชุดที่ฝนเลือกให้วี) เก็บของลงกระเป๋าแล้วก็ลากกระเป๋ามาไว้หน้าห้อง ขนกล่องบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคที่คุณน้าจัดใส่กล่องไว้มาขึ้นรถบัส โชคดีนะที่มีมาโนช(มาโนชตัวดำผมหยิกตาโตตัวไม่โตนัก) กับเด็กรถชาวอินเดียหน้าแก่ๆ อีกคนมาช่วย(จำชื่อเขาไม่ได้เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องเลย)...ก็เลยเสร็จรวดเร็ว แต่ก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน พอเสร็จแล้วคุณน้าก็อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยพอดี วีก็เลยเดินตามหลัง น้ามาศไปโรงครัว วีว่าถ้าน้ามาศไม่ไป ทางโรงครัวก็เข้าใจอยู่แล้วว่าเมื่อวานตอนกลางคืนน้ามาศสั่งอะไรไว้บ้าง...
พอจัดอาหารเรียบร้อย วีก็วิ่งไปตามคนของเราตามห้อง ต่างๆ แล้วก็วิ่งกลับมาตักอาหารวางไว้บนโต๊ะสำหรับพระสงฆ์ คณะของเรามีทั้งหมด 14 รูป สองวง พอประเคนเสร็จ วีก็วิ่งกลับไปขนกระเป๋าที่อยู่ตามหน้าห้องของคนที่ลากกระเป๋ามาไม่ไหวมาไว้ที่ท้ายรถบัส...เหมือนมันจะเหนื่อย แต่วีรู้สึกว่าวีอยากทำงานให้คุ้มกับเงินที่พวกเขาจ่ายกันเพื่อมาอินเดีย วีคิดว่า คนอื่นต้องเสียเงินเกือบสี่หมื่นกับทริปอินเดีย ในขณะที่วีมาโดยไม่ได้เสียอะไรเลย แต่ว่าไปนะ ถ้าวีได้งานทำ งานของวีก็จะได้เงินเดือนสะสมราวๆ นั้นแต่วีคงคิดถึงเงินจำนวนนั้นไม่ได้หรอก (เพราะว่ายังไม่ได้งานทำ) วีคิดแค่ว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุดอย่างที่พ่อกับแม่พร่ำบอกไว้
...ฝนเป็นอย่างไรบ้าง งานโรงเรียนสนุกไหม เปิดเทอมที่สองแล้วนะ ฝนคงปรับตัวได้มากขึ้น อดทนนะ ถ้าใครไม่เข้าใจฝน อย่างน้อยวีคนหนึ่งละที่เข้าใจ ฝนก็มีความฝันของฝน...และเราก็มีแผนอนาคตของเรา แม้มันจะเป็นไปได้อย่างยากเย็น วีสัญญานะ วีจะพยายามทำให้เราได้อยู่ด้วยกันจนได้...
กลับมาที่เรื่องอินเดียต่อนะ หลังจากทานอาหารเรียบร้อย รถบัสสีขาวก็ออกเดินทางสู่เมืองราชคฤห์ ใช้เวลาในการเดินเกือบสองชั่วโมงได้มั้ง(ไม่ได้จับเวลา) วีนั่งที่เบาะหลังสุดนะ มีที่นั่งห้าที่เป็นของน้ามาศด้วย แต่น้ามาศไปนั่งที่ของมาโนชที่ด้านหน้าติดประตูทางขึ้น เพราะว่ามันไม่ค่อยกระแทกเหมือนที่นั่งข้างหลัง มาโนชก็เลยไปนั่งในห้องคนขับที่มีประตูปิดมิดชิดไม่ให้เสียงแตรรถมารบกวนผู้โดยสาร
คนที่นั่งข้างๆ วีมีสามคน เป็นผู้หญิงหมดเลย (อย่าหึงล่ะ) มีอายุมากกว่าวีทั้งนั้น วีก็เลยเรียกพี่ เรียกพี่หมดทั้งคันรถเลย...วีเป็นน้องอยู่คนเดียว...บางคนก็เรียกไอ้หนุ่ม ไอ้หนู บางคนก็เรียกปฐวี แต่พระเรียกว่า โยม...ได้ใกล้ชิดพระก็คราวนี้เอง...วีคิดถึงเรื่องบวชด้วยนะ อยากบวชแทน คุณพ่อกับแม่ก่อนหางานทำเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากบวชแค่ไม่กี่วันอย่างคนอื่นหรอก
เอ...วีนี่ก็นอกเรื่องได้เก่งเหมือนกัน...วีคิดอะไรวีก็เขียนไปเรื่อยๆ ตามความคิดวี เนื้อความดูมันกระจัดกระจายนะ อาจจะทำให้ฝนงงได้ ฝนอย่างงละ...ถ้างงคงเป็นเพราะว่าฝนใจลอยคิดถึงหน้าของวี (ตอนที่ฝนอ่านวีคงไม่กล้านั่งอยู่แถวนั้น
หรอก...)
คิดถึงนะ...
วีรู้ว่าฝนก็คงคิดถึงวี...
ต่อนะ ระหว่างทางที่โจ๊กที่สุดก็คงเป็นตอนพาเข้าห้องน้ำครั้งแรก พระครูอ้วนบอกว่า ‘ไปซาบ’ คือไปห้องน้ำ นั่งอยู่ข้างหลังแบบวี ถ้าไม่กล้าตะโกนมาในขณะที่ท่านบรรยายอยู่ ก็ให้ใช้นิ้วก้อยชูขึ้นในกรณีปวดฉี่ และให้ใช้นิ้วโป้งชูขึ้นในกรณีปวดหนัก...ถ้าชูแบบคาราบาวแสดงว่า ทั้งหนักทั้งเบา
สำหรับวีไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ผู้หญิงและคนแก่นี่ซิทรมานน่าดู...กลางแจ้ง โล่งโจ้งข้างถนน รถวิ่งสวนกันไปมา
และที่มีฮากว่านั้นระหว่างทางที่รถวิ่งตอนเช้า(รถที่นี่ต้องบีบแตรกันตลอดนะ) ชาวบ้านที่มีบ้านอยู่ข้างถนน หลังเหมือนอะไรดี วีเปรียบไม่ถูกเลยนะฝน บ้านเขาทำจากดินก็มีนะ ใช้ดินก่อเป็นข้างฝา ส่วนหลังคาใช้ใบตองเย็บเป็นตับมุงเหมือนทางภาคเหนือบ้านเรา ที่ดูดีหน่อยก็ใช้อิฐแดงก่อ หลังคาเป็นสังกะสีบ้าง เป็นผ้ายางบ้าง ที่เห็น ผ่านตา ระหว่างทางมันไม่ได้น่าดูน่าชมเลย ถ้าเปรียบกับในเมืองไทย สักที่หนึ่ง วีว่าวีไม่เคยเห็นบ้านแบบนี้ที่ไหนนะ ถ้าว่าเป็นสลัมในบ้านเราบรรยากาศมันก็ดูดีกว่านั้น
กลับมาที่เรื่องขับถ่าย เขาถ่ายกันข้างถนน ฝนอาจจะว่าน่าเกลียด แต่ท่านพระครูบอกว่าเป็นอย่างนั้นแหละฝน ถ่ายข้างถนน มีหมูหมากาไก่วิ่งมากิน มีขันน้ำหนึ่งใบใส่น้ำมาทำความสะอาดและ ที่ สำคัญพระครูบอกว่าขันใบเดียวกันนั้นใช้ทำกิจกรรมอื่นทั้งบ้าน...(ห้ามจินตนาการตามนะ) และที่เรียกเสียงฮือฮาคือมีบางคนขณะที่ถ่าย (หนักหรือเบาไม่รู้) หันหน้าเข้าหาถนน มีคนยกมือถามท่านพระครูเหมือนกันนะ ท่านบอกว่า... จะได้เห็นว่ามีคนมา...ฮาดีไหม...สงสัยซิว่าวีดูทำไม...แปลกดีนะ...ดูแบบให้รู้แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ถ้าไม่คิดเล่าให้ฝนฟัง วีก็คิดว่า
มันก็เหมือนชีวิตประจำวันเราทั่วๆ ไปนั่นเอง...
เห็นไหมว่าวีเล่าเรื่องได้เก่งขึ้น...สถานที่เหมาะแก่การเขียนบันทึกด้วยแน่ๆ
วัดที่วีนอนคืนที่สองนี้ชื่อวัดไทยสิริราชคฤห์ วัดนี้คนไม่พลุกพล่านเหมือนเมื่อคืนนะ วันนี้มีทัวร์แค่คณะเราคณะเดียวเข้าพัก พระอาจารย์บอกว่า คณะทัวร์ไม่นิยมพักค้างที่นี่ เพราะว่าราชคฤห์ไม่ไกลจากพุทธคยามากนัก ไปกลับในวันเดียวได้ และที่สำคัญ ก็คือว่าที่นี่โจรผู้ร้ายชุกชุม มียามเดินถือปืนด้วยนะ ปล้นคือปล้น ก็น่าถูกปล้นนะฝน วัดตั้งอยู่กลางทุ่งนาเลย อยู่ห่างจากชุมชนใหญ่ แต่วีชอบที่นี่นะ โปร่งโล่งสบายตาด้วย ชอบภูเขาที่อยู่ด้านทิศตะวันออกที่ทอดตัวยาว...(ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้ต้องเดินขึ้นด้วย)
ย้อนกลับมาที่มื้อกลางวันดีกว่า รถถึงเขาคิชฌกูฏ ตอนประมาณ ห้าโมงเช้า ระหว่างทางนอกจากแวะเข้าห้องน้ำแล้ว มีแวะดูรอยเกวียนเมื่อสมัยพุทธกาลด้วยนะ เป็นรอยล้อเกวียนที่ฝังลึกลงไปในเนื้อหิน...พระครูอ้วนบอกว่าที่นี่ สมัยนั้นเจริญรุ่งเรืองมากๆ แต่ตอนที่ วีเห็น มีแต่ต้นไม้ทั้งนั้นเลยฝน ต้นไม้น้อยใหญ่ เหมือนเมืองร้าง นึกสภาพความเจริญสุดๆ ในสมัยนั้นไม่ออกเลย วียังเสียดายนะที่ไม่ได้เอาหนังสือ พุทธประวัติมาด้วย แต่ถ้าเอามาวีจะมีเวลาอ่านไหมและที่สำคัญก็คือถ้าวีอ่าน วีก็คงไม่ได้มีเวลามานั่งเขียนไดอารี่อีก เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เกิดขึ้นจึงได้จากการฟังท่านพระครูและดูด้วยตาตัวเอง
เมื่อถึงทางขึ้นเขาคิชฌกูฏ น้ามาศสั่งให้มาโนชยกกล่องข้าวจำนวน 50 กล่องขึ้นหลังแบกขึ้นเขาไปด้วยนะ ตอนแรกท่านพระครูจะให้นั่งกินกันที่ข้างล่าง แต่น้ามาศว่าคนวุ่นวาย พวกขอทานนะ...วีก็เลยได้แบกขวดน้ำตาม แต่ดีที่น้ามาศหัวเร็วบอกว่าให้วีแจกให้แต่ละคนช่วยเหลือตัวเอง วีก็เลยมาช่วยถือพวกถุงขนมและอื่นๆ ขึ้นเขาไปด้วย ลำพังแค่เดินขึ้นเขาก็เหนื่อยแย่แล้วนะฝน แต่ต้องถือของไปด้วยนี่ซิ ก็เลยหอบแฮกๆ เลย แต่พวกพี่สาวสามคนก็ช่วยวีนะ...บอกว่ากลัววีเหนื่อย...วีก็เลยต้องขอบคุณยกใหญ่...
ทางขึ้นเขามีถนนปูนเป็นขั้นบันไดลาดขึ้นไปเรื่อยๆ บนเขาไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย บนยอดเขามีวัดญี่ปุ่นสร้างไว้ มีกระเช้าขึ้นด้วยนะ แต่พระครูท่านไม่ให้ขึ้น พวกเราก็เลยได้แต่ยืนมองทำตาปริบๆ แต่ถ้าขึ้นก็คงเสียวดี...
ฝนวีง่วงแล้วซิ...วีสรุปแล้วกันนะว่า บนยอดเขาคิชฌกูฏนั้นมีอะไรบ้าง...
-ถ้ำสุกรขาตา ตรงหน้าถ้ำ เรานั่งทานข้าวกันที่นั่นแหละฝน สนุกดี เหมือนไปปิกนิกแต่เป็นแค่เฉพาะวีหรือเปล่าไม่รู้ คนอื่นๆ เขาก็ไม่พูดอะไรกัน แต่ก็มีบางคนที่บ่นว่าไม่ไหว...วีว่าคนที่เดินทางมาด้วยกันในครั้งนี้ส่วนใหญ่ มีใจศรัทธาที่เหมือนกันนะ อดทนกันมากๆ แดดร้อน ก็ไม่บ่นกัน เดินกันสบายๆ
เอ้า ถ้ำสุกรขาตา เป็นถ้ำที่พระสารีบุตรได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนได้บรรลุธรรม หลังจากที่บวชเพียง 15 วัน ท่านพระครูบอกว่า พระสารีบุตร ทรงเลิศทางด้านปัญญา ถูกแต่งตั้งให้เป็น อัครสาวกเบื้องขวา...
ใครๆ ก็อยากมีปัญญามากๆ นะฝน ก็เลยพากันไปกราบอธิษฐานจิตกันใหญ่เลย...วีก็อธิษฐานนะขอให้วีกลับมาแล้วได้งาน เร็วๆ ...แล้วก็ฉลาดๆ เรียนอะไรก็เข้าใจง่ายๆ ...แต่วีก็คิดถึงการอธิษฐานในเรื่องทางธรรมนะ แต่วียังไม่เข้าใจอะไรมาก ก็เลยบอกไปว่าขอให้ได้บรรลุธรรมบ้าง...
-มูลคันธกุฎี ที่ประทับของพระพุทธเจ้า อยู่บนยอดเขาเลยนะแต่ยอดของวัดญี่ปุ่นสูงกว่า (มีทางขึ้นแยกไปอีกทาง) ตอนที่ขึ้นเที่ยงพอดี แดดร้อนเปรี้ยงๆ ตอนที่เราขึ้นไปคณะพระสงฆ์จากประเทศสิงคโปร์เพิ่งกลับลงมา สวนทางกัน มีแต่พระหนุ่มๆ ทั้งนั้นเลยฝน...ว่าไปวีก็อยากบวชนะ วีรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายที่ควรทำ...
ที่มูลคันธกุฎีนี่ท่านพระครูอ้วนพานั่งสมาธิด้วยนะฝน ร้อนแดดแต่ลมเย็นๆ จากที่ไหนก็ไม่รู้พัดมาพอให้รู้สึกสบายๆ เหมือนตอนที่บ้านเราเป็นฤดูหนาว บางคนก็ว่าเป็นปาฏิหาริย์...
ตอนที่อยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏจะเห็นแนวสันเขาที่รายล้อมเห็นสถานที่ที่เคยเป็นเมือง ซึ่งตอนนี้มีแต่ต้นไม้ที่ไม่สูงมากนักเต็มไปหมด...2,500 ปีผ่านไปไม่รู้เหมือนกันว่า บ้านหายไปไหนหมด สงสัยเหมือนกันว่ามันเริ่มหายไปได้อย่างไร...แต่เมื่อนึกถึงสงครามที่ยังเกิดขึ้นในปัจจุบัน มันก็ไม่แปลกที่เมืองทั้งเมืองจะทลายและกลายเป็นที่รกร้าง...วีคิดเองว่าอดีตกับปัจจุบันคงไม่ต่างกันมากนัก ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปได้ก็เพราะคน
ลงจากเขา เราไปคุกที่ขังพระเจ้าพิมพิสารกันต่อ ลูกฆ่าพ่อ...เรียกว่าทรพี ทรพีคือชื่อควายที่เราเคยเรียนตอนอยู่ชั้นประถม แต่คนที่ฆ่า พระเจ้าพิมพิสารผู้ยิ่งใหญ่คือลูกชายของตัวเอง ‘พระเจ้าอชาตศัตรู’ เหตุเกิดจากความกลัวว่าพ่อจะเอาสมบัติทำบุญจนหมดพระคลัง...คิดแล้วก็แปลกดีนะ...เศร้าๆ วังเวงอย่างไรก็ไม่รู้
ถัดมาคือวัดชีวกัมพวัน วัดสวนมะม่วงของหมอชีวก โกมารภัจจ์ หมอที่รักษาพระพุทธเจ้า...
อีกที่หนึ่งคือ วัดเวฬุวนารามวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาที่ พระเจ้าพิมพิสารมีจิตศรัทธายกสวนถวาย...สวดมนต์นั่งสมาธิ นั่งกันนานมากๆ แต่วีเมื่อยขบแล้วก็ฟุ้งซ่านด้วยซิ อาจเป็นเพราะอากาศเย็นต้นไม้ใหญ่เยอะ...ไม่รู้วันต่อๆ ไปวีจะนั่งสมาธิได้นิ่งหรือเปล่านะ...แต่อยู่หลายๆ วันคงสงบสุขกับเขาได้บ้าง
ฝนวันนี้วีง่วงแล้วนะ (บอกกี่ครั้งแล้วหว่า) ถ้าวันนี้วีพอ
มีบุญอะไรจากที่ไปมาหลายๆ ที่วีแบ่งให้ฝนด้วยนะ ฝนกล่าวคำว่า สาธุ ซิ กล่าวแล้วใช่ไหม ได้ด้วยกัน...คิดถึงเหมือนเมื่อวาน...จุ๊บๆ วี’
“ทำอะไร”
ปฐวีรีบพับสมุดบันทึกทันทีเมื่อได้ยินว่าเป็นเสียงของใคร ร่างบอบบางของดวงรัศม์ซึ่งอยู่ในชุดกางเกงสีดำเสื้อยืดคอกลม สีขาวแขนกุดยังนิ่งอยู่บนจักรยานคันใหญ่ที่อยู่ห่างจากเขาไปสักห้าเมตร ในมือของซ้ายหล่อนหนีบหนังสือเล่มบางไว้ด้วย
“เอาของใครมาขี่” เขาลุกขึ้นพลางถาม มือสอดสมุดบันทึกเข้ากระเป๋ากางเกงขาสั้น
“ขอยืมพี่ยามมา”
ดวงรัศม์พักอยู่ที่อาคารด้านหน้าซึ่งติดอยู่กับประตูวัด ส่วนปฐวีพักอยู่กับคุณน้าที่หมู่กุฏิด้านใน...ตรงนี้จะมีโรงครัวและโต๊ะรวมสำหรับรับประทานอาหาร...
“เซ็งไหม” ดาราสาวชวนคุย
“ไม่นอนสักที” ปฐวีเปลี่ยนเรื่อง
“นอนไม่หลับ กลางคืนแบบนี้เคยได้นอนที่ไหน” ถ้าไม่ติดถ่ายละครหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ทันออกอากาศ อย่างน้อยสองคืนในหนึ่งสัปดาห์หล่อนจะต้องกรีดกรายออกจากบ้าน...เข้าไปในที่มีเสียงเพลง ดังๆ และมีคนมีระดับ เพื่อให้มีภาพหลุดออกมาเป็นข่าวสร้างความฮือฮา
“ถึงว่ากลางวันถึงได้หลับตลอด” ปฐวีหมายถึงตอนที่นั่งอยู่บนรถ
“ละครช่องที่ดวงสังกัดอยู่ ใครๆ ก็รู้ ถ่ายไปออกอากาศไป นี่ไม่รู้ว่าคุณป้าไปทำอีท่าไหน ดวงก็เลยว่าง กลับไปนี่ งานคงวิ่งเข้ามาวุ่นวาย”
ปฐวีมองหน้าดาราคนสวยแล้วถอนหายใจออกมา วันนี้ตั้งแต่เดินขึ้นเขาคิชฌกูฏ จนถึงออกมาจากวัดเวฬุวัน ดวงรัศม์บ่น
ไม่ได้หยุดหย่อน...
ร้อน เมื่อย หิว เหนื่อย เบื่อ อยากกลับบ้าน
ท่านพระครูก็ว่า ทนเอา ทนไป กลับไม่ได้แล้ว มาแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด...
เมื่อมีคนที่อ่อนแอกว่า เขาก็เลยรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมา ทั้งที่ประสบปัญหาแบบนั้นเหมือนกัน
“กลับไปนอนได้แล้วมั้ง” ปฐวีหันซ้ายหันขวา พบว่าไม่มีใครเลย ทุกคนคงจะอ่อนเพลียจากการเดินทางจึงได้เลี่ยงหลบเข้าห้องพักของตน
“หิวมีอะไรกินบ้าง” ดวงรัศม์จอดจักรยานแล้วปรี่มายังโต๊ะ ที่มีกระติกน้ำร้อนและตะกร้าซองน้ำปานะแบบฉีกใส่แก้วเติมน้ำ คนให้เข้ากัน แล้วยกดื่ม
“น้ำมะตูม น้ำขิง เฮ้ย กินไม่ได้” ดวงรัศม์บ่นลอยๆ ออกมาพร้อมกับถอนหายใจแล้วเพ่งมองหน้าของชายหนุ่มอย่างไม่ได้ปิดบังสายตาตนเอง
กลิ่นหอมกรุ่นติดตัวดาราสาวกับตาวาวๆ ทำให้ปฐวีหนุ่มน้อยวัย 22 ปีถึงกับต้องหลบวูบ
“วีชงเนสให้หน่อยซิ” ดวงรัศม์ล้วงซองเนสวีต้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง 2 ซอง
“ของวีซอง ของดวงซอง”
“ผิดศีล” เสียงของปฐวีผะแผ่ว แบบกลัวคุณน้ามาศที่นอนอยู่ในห้องจะได้ยิน...
“หิวเหมือนกันใช่ไหมล่ะ อย่าทำเป็นเคร่งนักเลย ถาม คุณป้าแล้ว ป้าบอกว่าเรื่องเนสวีต้าเนี่ย บางวัดก็อนุญาต บางวัดก็ไม่อนุญาตเพราะว่ามันมีนมและผงธัญพืชผสมอยู่ด้วย แล้วอีกอย่างเราไม่ได้เคี้ยวนี่”
ปฐวีเริ่มสงสัยว่าคำว่า ‘น้ำปานะ’ มีอะไรที่กินได้บ้าง อย่างผลสมอก็ต้องเคี้ยวแล้วทำไมไม่อาบัติ...ถามใครดีนะ...ท่านพระครูอ้วน หรือหลวงพี่ที่อายุไม่ห่างจากตนมากนักอย่างพระมหาสามารถ
หรือหลวงพี่แอ พระลูกศิษย์ของพระอาจารย์บุญช่วย
ซองเนสวีต้าที่เทผงข้างในใส่แก้วแล้วถูกพับใส่กระเป๋ากางเกงของปฐวีแทนถังขยะที่อยู่ด้านข้าง เก็บทำลายหลักฐาน... แก้วเซรามิกสีงาช้างถูกเลื่อนไปหาตัวนางแบบสาวที่ก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มที่ถือมา...ปฐวีนั่งลงพร้อมกับแก้วสีดำรูปทรงใหญ่กว่า ไฟฟ้ากะพริบเพราะกำลังไฟตก...
“อ่านอะไรหรือครับ”
“พุทธประวัติ คุณป้าถือติดมาด้วยบังคับให้อ่านตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้วแต่ว่าขี้เกียจ”
“แล้ววันนี้ทำไมอยากอ่าน”
“ฟังท่านพระครูเล่าอะไรไม่รู้เรื่องเลย แบบเสียดายเวลาที่ต้องนั่งฟังก็เลยอยากรู้คร่าวๆ ไว้บ้าง”
นี่แหละคือดวงรัศม์ หญิงสาวที่ต้องการความเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอ
“นึกสภาพตอนพุทธกาลไม่ออกเลยนะ เขาบอกว่าที่เมือง ราชคฤห์นี้เป็นเมืองที่มีภูเขาล้อม ภูเขาเป็นป้อมปราการชั้นดี เป็นเมืองที่มีเศรษฐีอยู่ถึง 5 คน แต่ละคนก็ประมาณเจ้าของบริษัทใหญ่ๆ อย่างในเมืองไทยปัจจุบัน”
“แต่อ่านไปแล้วมันสลดๆ อย่างไรก็ไม่รู้ บอกไม่ถูก...พระครูท่านเอ่ยคำว่าอะไร ดับไปๆ ”
สีหน้าของแม่ดาราสาวที่ยกแก้วน้ำปานะ(พิเศษ )ขึ้นดื่ม เป็นเช่นนั้นจริงๆ
“เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” ปฐวีทวนเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาเช่นกัน
“ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้” ปฐวีกล่าวถึงถ้อยคำที่ ได้ยินมา อีกนิด...
สีหน้าของดาราสาวสลดวูบลงอีก...หล่อนรู้สึกเบาและคลายเหนื่อยขึ้นมาอย่างประหลาด...ที่ผ่านมาที่หล่อนมุ่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ...มุ่งเก็บเงินให้ได้มากๆ และมุ่งใช้เงินเพื่อให้ดูแพรวพราวมา
ตลอดนั้นก็เพื่อ การตั้งอยู่อย่างมีตัวตน
ที่หนึ่ง...
หล่อนไม่ยอมตกจากลำดับ หากมีรุ่นน้องสักคน มีโอกาสจะเผยอหน้าขึ้นหวังแตะที่หนึ่ง หล่อนเป็นต้องหาวิธีดันตัวเองให้เป็นข่าว ให้อยู่ในจุดที่น่าสนใจจากสื่อจนได้...และการติดบ่วงคุณป้ามาถึงที่นี่ หล่อนคงไม่ยอมให้ตัวเองกลับไปมือเปล่าอย่างแน่นอน ภาพต่างๆ ที่ คุณป้ากดชัตเตอร์ให้จะต้องถูกเล่าในเว็บไซต์ hi 5 และเว็บไซต์ที่แฟนคลับพากันจัดทำให้...
หรือจะให้ดีกว่านี้ หล่อนอาจจะบันทึกเรื่องราวที่ได้เดินทางมาในสถานที่เหล่านี้เพื่อให้ชาวไทยที่เป็นชาวพุทธกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ได้รู้สึก ชื่นชมกับการพลิก ‘ลุค’ ของหล่อน
“วียังไม่ได้บอกเลยว่าเรียนจบอะไรมา”
“วิศวกรรมศาสตร์โยธาครับ”
“อนาคตดีนี่นะ...มีแฟนหรือยัง” หน้าคนถูกถามแดงระเรื่อขึ้นมาทีเดียว...แวบนั้นดวงรัศม์ได้เห็นแววตาที่ดูสดชื่นและมีความหวังของเขาด้วย
หล่อนไม่ชอบเห็นคนรักกันมากนัก
ยิ่งคนมองหล่อนโดยหามีสายตาหลงใหลในเสน่ห์เย้ายวนที่หล่อนมีอยู่...หล่อนรู้สึกรับไม่ได้ ถ้าไม่คิดว่าเขาผิดเพศ เขาคนนั้นก็ต้องเจียมตัวเองดี จนรู้ว่าดาวดวงนี้ไม่ทางที่ใครจะมาเอื้อมถึงได้ง่ายๆ แต่ก็มีผู้ชายมากมายนักที่คิดเอื้อมหยิบดาวบนฟ้าเช่นหล่อน “มีแล้วครับ”
คำตอบนั้นยิ่งกว่าใช้ฝ่ามือหนาๆ ตบหน้าเสียอีก...ดวงรัศม์รับไม่ได้...เขากล้าตอบชัดถ้อยชัดคำแสดงว่าเขาไม่คิดสนใจหล่อนเลยสักนิด
เขามีแฟนแล้ว ก็น่ามีอยู่หรอก หน้าตาของเขารึใช่ว่าจะขี้ริ้ว ขี้เหร่นัก เป็นหน้าไทยแท้ทั้งปากจมูกและดวงตาที่แวววาวดูอ่อนน้อม และพร้อมแข็งขืนหากต้องถูกบังคับบัญชา
“คงรักกันมากซินะ”
“ครับ ถ้ากลับไปผมได้งานที่มั่นคงทำก็คงเก็บเงินสักสามปี
แล้วก็แต่งงานกัน”
“สักปี จะได้สักเท่าไหร่”
“เรียกเงินเดือนไปหนึ่งหมื่นห้า” ปฐวีตอบอย่างไม่ปิดบัง
หัวสมองของดวงรัศม์คำนวณเลขด่วนจี๋ทีเดียว
...เกือบแสนแปด ใช้จ่ายสักแสนบาท ต่อปี คงมีเงินเหลือเก็บ แปดหมื่น...เงินจำนวนนี้น้อยนักสำหรับหล่อน แต่สำหรับชนชั้นปฐวีก็ถือว่ามากแล้ว...พ่อของหล่อนเป็นข้าราชการมานานปี เดือนหนึ่งยังทำงานทำเงินได้ประมาณเท่านี้ ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดานับว่ามากโข แต่ว่าเมื่อเป็นพ่อของดาราใหญ่ มีรึที่หล่อนจะยอมให้อยู่อย่างพอเพียง เงินที่ได้มาง่ายๆ นั้นถูกโอนไปหาบุพการีง่ายดายเช่นกัน แต่ในคำว่าง่ายนั้นไม่ใช่แค่ คำว่ากตัญญูรู้คุณ แต่ว่าเพื่อหน้าตาของหล่อนเองด้วย ภาพที่ออกมาสำหรับดวงรัศม์จะต้องดูดีอยู่เสมอ คำว่ากลับบ้านต่างจังหวัดของหล่อนก็คือ บ้านทรงไทยหรูหราริมแม่น้ำปิงที่แวดล้อมไปด้วยสวนไม้หอมไม้ไทยมีสกุลหายากนานาพันธุ์ กิจการรีสอร์ตเกิดขึ้นใกล้ๆ กัน เพื่อสร้างอิทธิพลให้ดูยิ่งใหญ่ในบ้านหลังนั้น...
‘ดวงรัศม์รีสอร์ต’ มีห้องจัดแสดงรูปและผลงานของหล่อนไว้ ใกล้ๆ กับล็อบบี้ บางครั้งเมื่อหล่อนว่างงาน หล่อนจะลงต้อนรับแขกด้วยตัวเองเช่นกัน...
ยิ่งภาพหล่อนดูสูงส่งเป็นดาราไฮโซมากเท่าไหร่ ใครๆ ก็เกรงใจหล่อนมากขึ้นเท่านั้น...ดวงรัศม์จะไม่มีวันตกลงมาอย่างเด็ดขาด หากหล่อนจะออกจากวงการ หล่อนจะไม่ออกไปเพราะไม่มีงาน
แต่เป็นเพราะหล่อนเลือกที่จะออกไปอย่างนางพญาที่ลงจากบัลลังก์หาใช่ ‘เฟรด’ หายไปอย่างคนอื่น...และวิธีใดละที่จะทำให้ดาราสาวออกไปจากวงการอย่างสง่างาม
เรียนต่อเมืองนอก...หล่อนไม่คิดทำแน่...
แต่งงาน กับพระเอกเบอร์หนึ่งของช่อง หรือพระเอกที่ดังที่สุดของวงการ นั่นก็ยากแสนเข็ญ เพราะ...รู้เช่นเห็นชาติกันดีแท้แอ๊บแมนก็มี หน้าพระเอก ใจผู้ร้ายก็มี หล่อนไม่พบคนถูกใจสักคน...ที่ผ่านมากับนักร้องหน้าละอ่อน ก็แค่ภาพที่ช่วยกันผลักกันดันเท่านั้น
หล่อนไม่ชอบเด็กไร้ความคิด คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นนักธุรกิจที่ถูกตีตราคบหากันก็เพียงเพื่อดึงให้เขาดัง บางคนที่ผ่านเข้ามา มีเม็ดเงินมาให้ สำหรับการเป็นเพื่อนควงให้เป็นข่าวภายในสามถึงหกเดือน
แล้วอีกอย่าง ถ้าจะให้หล่อนแต่งงาน เพื่อเงินแบบนั้น ก็ไม่ใช่หล่อนอีก หล่อนไม่อยากเป็นคุณนาย หล่อนอยากเป็นเพียงศิลปินที่อยู่ในใจของท่านผู้ชมเท่านั้น...
ปฐวีเห็นสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของหญิงสาว
ดวงรัศม์ถอนหายใจออกมา
“สวยไหมนะผู้หญิงโชคดีคนนี้”
“ก็พอดูได้ครับ อ้วนกลมตัวป้อมเชียว” ดวงรัศม์อยากยิ้มเยาะ แต่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ ประเทศนี้จะหาผู้หญิงที่เพอร์เฟคเช่นหล่อนได้ง่ายๆ หรือ
“มีรูปถ่ายมาไหม อยากเห็น” ดวงรัศม์รู้สึกว่าลมหายใจของตนเองร้อนขึ้น
“อยู่ในกระเป๋าเงินครับ อยู่ในห้อง”
“พรุ่งนี้ก็ได้” ดวงรัศม์ยกแก้วขึ้นจิบแล้วเลื่อนไปให้ปฐวี...
“กินไม่หมดเหมือนเคย แต่ก็ไม่หิวเท่าเมื่อวานนี้แล้วนะ” หญิงสาววกกลับมาหาเรื่องที่น่ามีความรู้สึกร่วมกัน
อินเดีย หล่อนเจอผู้ชายหน้าตาน่ารักที่อินเดีย...หล่อนหวั่นไหวกับเด็กหน้าบ้านๆ คนหนึ่ง...ดวงรัศม์อยากจะหัวเราะ แต่อีกใจมันก็เจ็บปวดชอบกล เป็นเพราะหล่อนเป็นดาราเจ้าบทบาทแน่ๆ หล่อนถึงได้หวั่นไหวได้ง่าย
ดวงรัศม์เริ่มตั้งสติหาสาเหตุที่ทำให้ใจของตนหวั่นไหว
เป็นเพราะอะไร...
ท่าทางที่อ่อนน้อมของเขาเวลาที่เดินแจกขนม ลูกอม บนรถ
อย่างนั้นหรือ...รึเป็นภาพตอนที่คุณน้าของเขาสั่งให้คุกเข่าประเคน
ข้าวกล่องแก่พระสงฆ์ทั้งคณะ
...หรือจะเป็นเพราะใครๆ ต่างก็ร้องเรียกเขาว่า ‘น้องวี’ มาทางนี้หน่อย...ใครก็ให้ความสนใจกับปฐวี
หรือเป็นเพราะหล่อนเหงา เพียงแค่สองวันหล่อนเหงา... แต่มันเป็นสองวันที่แย่ที่สุดในชีวิตนี่นา...ความน่าตื่นตาตื่นใจอย่างฮ่องกง ปารีส ลอนดอน หรือลาสเวกัส ไม่มีในที่นี่เลย
คนเยอะเต็มรถบัสก็จริง แต่หาได้มีใครสนใจหล่อนจริงจัง บางคนขอถ่ายรูปด้วยครั้งเดียวแล้วก็หายไปเลย หลายๆ คนมองหล่อนแบบผ่านๆ เท่านั้น...พวกเขาคิดอะไรกับหล่อน...รังเกียจพฤติกรรมสวยเชิดของแม่ดาราหน้าสวยอย่างนั้นหรือ...
ปฐวีจัดการส่วนที่เหลือของดวงรัศม์อย่างไม่ได้นึกรังเกียจ แก้วสองใบถูกเขานำไปวางไว้ในถังข้างโต๊ะ โรงครัวอยู่ไม่ไกลและเจ้าหน้าที่ของวัดไทยสิริราชคฤห์ก็ไม่มากมาย จนน่าเกรงขามเหมือนที่วัดไทยพุทธคยา ตอนที่เขาช่วยมาโนชแบกลังเสบียงตามหลังน้าภานุมาศเข้าไป พี่ผู้หญิงไทยที่มีสำเนียงอีสานดูใจดี ไหนจะสามเณรที่ช่วยกันหั่นผักเตรียมอาหารสำหรับมื้อพรุ่งนี้อีกก็ดูเป็นมิตร เขารู้สึกชอบความสงบและความเป็นกันเองของที่นี่มากกว่าวัดไทยพุทธคยา...ไหนจะอากาศที่เย็นยะเยือกกว่านั่นอีกเล่า ทำให้เขามีอารมณ์นึกถึงคนไกลได้อย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
แล้วดวงรัศม์ละ เธอถามเขาถึงคนรัก ผู้หญิงสวยๆ อย่างหล่อนมีคนรักคนคิดถึงไหม
ไม่ใช่ซิ ต้องใช้คำว่ากี่คนถึงจะถูก...
“แล้วคุณดวงมาอย่างงี้ แฟนคุณไม่”
ปฐวียังพูดไม่ทันจบ ดวงรัศม์ก็รีบตอบมาทันที
“ไม่มี ดวงไม่มีแฟน”
ปฐวีหันกลับมามองด้วยใบหน้าเป๋อเหลอ ไม่อยากจะเชื่อเลย สวยๆ แบบนี้ไม่มีแฟน แล้วที่เขาได้ยินแว่วๆ ผ่านสื่อ ผ่านปากของ ฝนทิพย์กับเพื่อนล่ะคืออะไร
‘เฟคทั้งนั้นแหละวีพวกนี้’ พวกดารา
“ไม่เชื่อซิ” ดวงรัศม์ยืนขึ้นพลางเชิดหน้าระบายลมหายใจออกมา
“จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ไม่มี ไม่ได้โกหกนะ แต่ว่ามันไม่มีแบบที่อยากมี”
คนฟังปั้นหน้าเมื่อย...สมุดบันทึกที่เหน็บอยู่ในกระเป๋ากางเกงร่วงลงมา ปากกากระเด็นไปอีกทาง ดวงรัศม์ก้มเก็บปากกาในขณะที่ปฐวีก้มเก็บสมุดของตน
กลิ่นสาบสาวลอยเข้าจมูก ดวงหน้าเรียวได้รูปเด่นหราอยู่ห่างจากปลายจมูกเขาเพียงคืบ ตาของเจ้าหล่อนมีพลังบางอย่างออกมา... มือของปฐวีสั่นระริกเมื่อถือสมุดไว้แล้ว...
“ทำอะไรกันนะ”
เป็นเสียงของน้าภานุมาศ คนทั้งคู่รีบลุกขึ้นจากหลังโต๊ะเครื่องดื่มจำพวกน้ำปานะ สายตาของน้าภานุมาศมีกลิ่นตำหนิหญิงสาวมากกว่าหลานชายของตนเอง...
“ดึกดื่นแล้ว คุยอะไรกันอยู่ เสียงรบกวนคนอื่นเขา รู้บ้างไหม”
“ไปแล้วนะ” ดวงรัศม์หาได้สนใจกับถ้อยคำและสายตาตำหนินั่น...หล่อนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แค่สายตาแบบนั้นจะแคร์ไปทำไม ร่างของดวงรัศม์ปั่นจักรยานลับตากลับไปแล้ว ปฐวีเดินกลับเข้าห้อง
อากาศเย็นๆ อย่างนี้ ทำให้เขากระชับผ้าห่มขึ้นแนบทรวงอก...อยากนึกถึงฝนทิพย์ให้มากกว่าคนที่เพิ่งผละจากไป แต่เขาก็ทำไม่ได้