มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน
รัก,ผู้ใหญ่,ชอนตะวัน,แสงดาวไอดินอินเดีย,แสงดาว,ไอดิน,อินเดีย,รัก,ผู้ใหญ่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แสงดาว ไอดิน อินเดียมากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน
มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน กลิ่นอายความรักท่ามกลางความแตกต่าง ทั้งเรื่องฐานะ อายุ สถานภาพทางสังคม ที่อบอวลไปด้วยความดีงามภายในจิตใจของคนสองคน ก่อเกิดบนเส้นทางแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย 'ปฐวี' วิศวกร วัย 22 ปี รอเรียกเข้าทำงาน เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อช่วยน้าสาวทำหน้าที่ลีดเดอร์ทัวร์ หัวใจของเขาต้องมาหวั่นไหว เมื่อได้พบดาราสาว เจ้าบทบาท 'ดวงรัศม์' ผู้ร่วมทริปครั้งนี้ แม้ทั้งสองคน พยายามปฏิเสธความต้องการของหัวใจ เพราะรับรู้ถึงความแตกต่าง และปัญหาที่จะตามมา แต่สุดท้าย ความรักที่เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความเลื่อมใสศรัทธา กลับกลายเป็นความเข้าอกเข้าใจกันและกัน จนยากลืมเลือน....
'ชอนตะวัน' อีกหนึ่งนามปากกา ของ 'จุฬามณี' ผู้เขียน ชิงชัง กรงกรรม สุดแค้นแสนรัก ทุ่งเสน่า และ วาสนารัก
แสงตะวันในยามเช้าขมุกขมัวเพราะว่าเมฆหมอกที่ หนาทึบโอบล้อมเมืองที่มีขุนเขารายรอบ รถบัสสีขาวจอดยังไม่ทันสนิท พ่อค้าชาวอินเดียก็กรูกันเข็นรถจักรยานที่มีผ้าผ่อนหลากสีเป็นพับมัดอยู่ข้างท้ายมาดักรออยู่ที่หน้าประตู ขอทานตัวเล็กเนื้อตัวมอมแมมอีกเล่า ก็ชะแง้ส่งสายตาละห้อยเรียกหาความเห็นใจ พระครูอ้วนสั่งไว้แล้วว่า อย่าให้เด็ดขาดไม่งั้นได้ยกโขยงมารุมทึ้ง ส่วนเรื่องการซื้อสินค้านั้นให้ต่อรองแบบสุดๆ
เรื่องต่อรองได้ทดลองกันตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่ร้านค้าบนเส้นทางระหว่างเจดีย์พุทธคยามายังวัดไทยพุทธคยาและก็ทดลองอีกครั้งที่ต้นทางขึ้นเขาคิชฌกูฏ
สนุกสนานกันทีเดียว...แต่เมื่อได้ของกลับมาแล้วบางคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าที่ลดไปกว่าครึ่ง มันยังได้กำไรอีกเท่าไหร่?
บ้างก็ว่าช่วยๆ กันไป...
คนไทยใจดี๊ดี
ดวงรัศม์รู้สึกสนุกกว่าเดิม รอยยิ้มจากเพื่อนร่วมคณะมีมากขึ้น เมื่อคืนหล่อนกลับไปนอนครุ่นคิดถึงเหตุที่ทำให้อารมณ์กร่อยมากินหัวใจ เป็นเพราะหล่อนไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงที่ต้องประสบ แล้วก็เก็บไปย้ำคิดว่าทำไมต้องมาที่นี่แทนไปทัชมาฮาล มุมไบ สิกขิม หรือไม่ก็ แคชเมียร์ เลย์ ลาดัคที่กำลังลือลั่นของอินเดีย เมื่อคิดลบไม่ยอมรับ อารมณ์ไม่ดีจึงได้ออกมาทางสีหน้า แล้วใครที่ไหนมันจะกล้ามายิ้มให้
...เธอจะต้องยิ้ม และต้องเป็นขวัญใจของคนบนรถคันนี้อย่างที่ปฐวีเป็นให้ได้...
“คุณยายทองดี แม่ชีคะ ดวงถ่ายรูปให้”
แม่ชีทองดีและแม่ชีพัชรีกับแม่ชีเกสรยืนเรียงแถวหันหลังให้ทางขึ้นตโปธาราม หรือวัดธารน้ำร้อนเมื่อครั้งพุทธกาล ซึ่งบัดนี้กลายเป็นฮินดูสถานซึ่งมีชาวบ้านชาวเมืองมาอาบน้ำร้อนแล้วสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบๆ
“จำเริญๆ นะอีหนู สวยๆ อย่างนี้น่าจะได้ไปเป็นดารานะ”
“เขาเป็นอยู่แล้วแม่ ดังด้วยนะ” แม่ชีพัชรีบอกแม่ชีทองดี...ดวงรัศม์รู้มาว่าแม่ชีพัชรีกับแม่ชีเกสรอยู่วัดเดียวกัน ส่วนแม่ชีทองดีคนคุยเสียงดังฟังชัดนี้ อยู่วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาในจังหวัดนนทบุรี
“อ้าว...เออ ใช่ แม่ลืม...มีคนบอกแล้ว แม่ไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์นะ สวยๆ อย่างนี้แฟนคงเยอะน่าดูซินะ”
คนต้องตอบเพียงยิ้มหวานๆ ให้
ตามกติกาของในวันนี้ ทุกคนจะต้องถือกล่องข้าวและขวดน้ำดื่มเดินขึ้นเขาเวภาระบรรพตด้วยตนเอง ด้วยเมื่อวาน นาย มาโนชบ่นยกใหญ่ อ้างว่าไม่ยุติธรรม แต่เมื่อได้สินน้ำใจเพิ่มเติม เขาเงียบทันที น้าภานุมาศบอกกับปฐวีว่าวันนี้ขึ้นภูเขาอีกวัน ต้องแก้ไขสถานการณ์...
เมื่อถูก ‘ขอโอกาส’ ทุกคนยอมรับว่าดี เพราะว่าใครก็ไม่อยากเอาเปรียบใคร...ใครก็คงไม่อยากถูกเอาเปรียบ และยิ่งตั้งใจมาเอาบุญอย่างนี้ด้วย การลดมานะละทิฐิ ช่วยเหลือตัวเอง พึ่งตัวเองให้ได้ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน
ยอดเขาเวภาระบรรพต เป็นที่ตั้งของถ้ำสัตตบรรณคูหา ความสำคัญในอดีตกาล หลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้วได้ 3 เดือน พระอริยสงฆ์จำนวน 500 องค์ มีพระมหากัสสปะเป็นประธานได้ร่วมกันทำสังคายนาพระธรรมวินัย โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูกษัตริย์ผู้ฆ่าพ่อ คือพระเจ้าพิมพิสาร รับเป็นผู้อุปถัมภ์
เมื่อเดินขึ้นบันได ผ่านตโปธาราม ธารน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลออกมาจากภูเขาเวภาระบรรพต หมู่คณะทั้งหมดต้องระวังตัวแจ เพราะพระครูอ้วนและน้าภานุมาศร้องบอกว่าให้ระวังลิงแย่งของในมือ...และให้ระวังคนที่ไม่ได้เข้าแย่งให้ เห็นแต่จะเป็นแอบล้วงโดยไม่รู้สึกตัว...
บันไดขั้นใหญ่และกว้างเป็นทางลาดลดเลี้ยวขึ้นสู่ยอดเขา...แม่ชีทองดีเริ่มโอดครวญเพราะเมื่อวานนี้ กับการออกกำลังเดินสู่ยอดเขา คิชฌกูฏเล่นเอาแข้งขาหมดกำลัง...
น้าภานุมาศหันมาสั่งกับปฐวีว่าให้ช่วยดูแลแม่ชี ประมาณว่าถ้าอุ้มขึ้นได้ให้อุ้มไปเลย...แต่ปฐวีก็ยังมีบุญ หรือเป็นเพราะแม่ชีทองดีมีเงิน เมื่อเดินพ้นจากตโปธาราม ชายร่างกำยำสีหน้าน่า ยำเกรงชาวอินเดียกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาแสดงตนว่าเป็นผู้ให้บริการ ‘แบก’ คนขึ้นเขา
เมื่อเห็นสภาพของพาหนะที่ใช้แบกคน ทั้งคณะถึงกับยิ้มกริ่มออกมา...
ใครที่ไหนจะกล้าให้คนมาแบกลักษณะอย่างนั้น...
“ราคาเท่าไหร่” แม่ชีร้องถามสีหน้าละห้อยละเหี่ยคล้ายคนจะเป็นลมเสียให้ได้
เมื่อรู้ราคา น้าภานุมาศร้องเรียกพระครูอ้วนให้ลงมาช่วยต่อรองราคาและยื่นข้อตกลง...ภาษาฮินดี ถูกเปล่งออกมา...เสียงดังสลับกันไปมา
ราคาเท่านี้ ขึ้นและรอลงด้วย พระครูบอกว่าตรงนี้ต้องเน้นและย้ำให้ชัดๆ ไม่งั้นจะมีปัญหา...
สุดท้ายได้ราคาเป็นที่น่าพอใจ แม่ชียอมจ่าย ร่างผอมบางของแม่ชีสูงอายุถูกพาไปนั่งขัดสมาธิในสาแหรกที่มีไม้สี่เหลี่ยมจัตุรัสปูผ้าหนานุ่มรองรับ
“ถ่ายรูปให้แม่ด้วยนะอีหนู” อีหนูหน้าหวานยิ้มให้พลางกด ชัตเตอร์เก็บภาพไว้...
ชายทั้งสองคนที่หน้าตาน่ากลัวยกไม้คานขึ้นบ่า ใบหน้าปูดเป็นสัน ชายร่างกำยำอีกสองสามคนเดินเกาะกลุ่มกันไปด้วย เพราะครูบอกว่า พวกที่เดินตามไป แม้ไม่ได้มีส่วนได้ แต่ก็อยากมีส่วนได้ ประมาณว่าหากสองคนนั้นเหนื่อยแล้วเปลี่ยนให้ตัวเองแบกเมื่อไหร่ เงินที่ตกลงกันแล้วจะถูกแบ่งปันให้คนที่มารอคิวทันที
คนอื่นๆ พากันไต่บันไดสูงชันตามจีวรสีเหลืองส้มไปเรื่อยๆ บ้างก็บ่นเหนื่อย บ้างก็บ่นล้า บ้างก็หิวน้ำ...ภูเขาไร้ต้นไม้ใหญ่ ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ความสูงจะทำให้เห็นความสวยในมุมกว้าง แต่แสงแดดก็แผดแสงหนักหน่วง คนที่เดินตามกันเริ่มหยุดเสียงคุย โดยมีแต่เสียงหอบเข้ามาแทนที่ ความเมื่อยล้าทำให้ผู้แสวงบุญเริ่มมองหน้ากัน...ที่มาเป็นคู่ก็ เกาะกุมจูงมือดึงรั้งกันไปเพื่อให้ถึงจุดหมาย ที่มาคนเดียวก็เริ่มหาคู่ เผื่อพลาดเป็นลมล้มไปเพื่อนใหม่จะได้ช่วยทัน
ปฐวีมองหน้าที่ชื้นเหงื่อของสาวสวยที่สุดในคณะ ซึ่งเกาะอยู่กับคุณป้าแววด้วยทีท่าห่วงใย หมวกผ้าปีกกว้างสีขาวของป้ากับหลานแทบจะเกยกัน...
“เหนื่อย พักก่อนดีกว่า” หญิงสาวร่างระหงซึ่งใส่เสื้อผ้า สีขาวมิดชิดเพื่อป้องกันแสงแดดร้องบอก...
ป้าแววเองก็มีท่าทีว่าจะไปไม่ไหวเหมือนกัน...
“ไหวไหมครับ มาผมช่วยถือกระเป๋าให้ไหม” ปฐวีแสดงน้ำใจ
ดวงรัศม์มองหน้าคุณป้าแล้วส่ายหน้า เพราะที่กระเป๋าเป้เกาะอยู่ที่ด้านหลังและมือทั้งสองของเขาก็มีสิ่งของประดามีอยู่แล้ว หากเพิ่มภาระเข้าไป คนอื่นจะว่าหล่อนได้
“วีขึ้นไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่กับดวง ตามไป” ป้าแววหอบแฮกๆ
“น้ามาศให้รั้งท้ายไว้ครับ เผื่อมีใครเป็นอะไรจะได้ช่วยทัน”
แล้วทั้งสามคนก็ได้ยินเสียงตะโกนลงมาของน้าภานุมาศ...
“วีในกระเป๋าเป้ข้างหลังมียาดมยาหม่องนะ ใครเป็นอะไรหยิบมาใช้ได้เลย”...
เสียงที่แผดก้องภูเขานั้นทำให้คนอื่นๆ รู้ว่าลีดเดอร์เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์เต็มที่
“บริษัททัวร์นี้ชื่ออะไรเหรอ” ป้าแววร้องถามขณะที่ปฐวีลดเป้จากหลังลงมาวางรื้อค้นหายาดมมาให้คนที่เริ่มหมดแรง
“ผมไม่รู้อะไรเลยครับ รู้แต่ว่าเมื่อก่อนน้ามาศเขาเคยเป็นไกด์มาก่อน เคยทำบริษัททัวร์ด้วย ตอนหลังพอสามีน้าเขาเสียชีวิต แม่บอกว่าน้าหันมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม ส่วนบริษัททัวร์ของน้าเป็นอย่างไรต่อไป ผมไม่รู้อะไรเลย” ปฐวีบอกตามตรง
ป้าแววสูดยาดมใหม่แกะจากแพ็กเข้าจมูก...
“อันนี้ขอไว้เลยแล้วกันในกระเป๋ายังมีสำรองอีกไหม” ดวงรัศม์ร้องถาม ปฐวีพยักหน้า...พอป้าแววมีแรงแล้ว คนสามคนที่รั้งท้ายก็ก้าว ยาวๆ ขึ้นบันได
เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ที่ว่าเหน็ดเหนื่อยเหมือนหายเป็นปลิดทิ้ง ภาพวัดไทยสิริราชคฤห์กลางทุ่งนาที่อยู่ไกลตานั้นทำให้รู้สึกอุ่นใจที่คุ้มครองป้องกันภัยและอำนวยความสะดวกให้กับคนไทยอยู่ตรงนั้น ดวงรัศม์ถอนหายใจออกมา เมื่อวานพระครูอ้วนได้ พูดถึงความยากลำบากของท่านเจ้าอาวาส
กว่าวัดจะเป็นรูปเป็นร่างต้องผ่านเหตุร้ายๆ มาไม่ใช่น้อย ทั้งโจร ทั้งเรื่องปัญหาที่ดิน สมบัติวัดสมบัติของชาติไทยที่พร้อมพลิกเป็นอื่นอยู่เรื่อยๆ ความห่างไกลจากความเจริญ ย่อมทำให้กฎหมายเข้ามาช่วยได้อย่างยากเย็น การอธิบายให้คนต่างลัทธิต่างศาสนาเข้าใจในเหตุที่ต้องมาสร้างวัดแข่งศรัทธาต้องใช้ความอดทน...
อดทนเพื่ออะไร ภาพของพระสงฆ์ที่ดวงรัศม์ได้รับรู้ที่อยู่เมืองไทยไม่ค่อยดีนัก
...เข้าวัดเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวและหมู่คณะ
แต่ท่านที่นี่...อดทนเสี่ยงอันตรายเพื่อให้คนไทยที่มาแสวงบุญได้รับความสะดวกสบาย ให้รู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลัง ที่มี พระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าอยู่หัวแผ่มาปกคลุม...
...เมื่อได้เห็นปากถ้ำเวภาระบรรพตน้ำตาของดวงรัศม์พาลจะไหลออกมาเสียให้ได้ ความปลื้มปีติใจมันบังเกิดขึ้นเอง สถานที่ตรงนี้ความสำคัญคือจัดหมวดหมู่พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ตลอด 45 พรรษา เป็นบุญของเธอโดยแท้ที่อ่านพุทธประวัติเมื่อคืนจนจบเล่ม
...หรือเป็นบุญที่เธอได้เดินมาทางทีนี้จึงได้เห็นกับตาว่า ไม่ง่ายเลยกว่าพระพุทธศาสนา จะเดินทางไปถึงชนหมู่มาก
หมู่พระสงฆ์จำนวน 14 รูป ที่เดินนำขึ้นเขามาก่อนแล้วแยกย้ายกันไปสำรวจจุดต่างๆ ของภูเขาต่างทยอยเดินเข้ามาที่บริเวณชุมนุม คณะศรัทธาทั้งหมดดึงผ้ายางที่คุณภานุมาศแจกจ่ายให้ตั้งแต่วันนัดปฐมนิเทศมาปูติดๆ กัน ต่างก็เลือกที่นั่งที่คิดว่าสบาย และโชคดีที่ถ้ำนี้อยู่ใต้เงื้อมเขาทางทิศตะวันตกจึงทำให้ในเวลาก่อนเที่ยง แสงแดดไม่ทอแสงจ้าลงมาทำให้ร้อนรุ่ม
บางคนเมื่อได้ที่นั่งแล้วก็ปรี่เข้าไปในถ้ำนั่งยองๆ พนมมือ หลับตาอธิษฐานกราบไหว้ บ้างก็ใช้แผ่นทองคำเปลวติดที่ผนังถ้ำลูบๆ คลำๆ ด้วยดวงหน้าอิ่มเอม...
ดวงรัศม์ไม่รู้หรอกว่า อากัปกิริยาเหล่านั้นคืออะไร
...มีอะไรอีกตั้งมากมายที่ดวงรัศม์ไม่รู้...แต่ดวงรัศม์จะต้องรู้และเข้าใจมันให้ได้...บทละครที่ยากเย็น อารมณ์ตัวละครที่ลึกซึ้งหล่อนยังทำความเข้าใจกับมันจนได้...อารมณ์ลึกๆ เหล่านี้หล่อนต้องเข้าให้ถึงดวงรัศม์เริ่มครุ่นคิด สิ่งที่หล่อนมีน้อยกว่าคนอื่นในคณะ คือ ‘ศรัทธา’ ความเชื่อ
เชื่ออะไรล่ะ
หล่อนเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง แต่ว่า...ก็หายไปนานแล้ว...เลือนราง
คำว่า ‘บูชา’ ทำเพื่ออะไร ก็พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ- ปรินิพพานไปนานแล้วเช่นกัน...มาทำไม มีอะไร ไม่เห็นมีอะไรที่เจริญหูเจริญตา
‘มาทำไม’ ดวงรัศม์เฝ้าคิดวนเวียน
จนกระทั่งพระครูอ้วนกับพระมหาสามารถรวมถึง พระอาจารย์บุญช่วยผู้นำหมู่คณะเข้าประจำอาสนะของตน...
กิจกรรมหน้าถ้ำเวภาระบรรพตจึงเกิดขึ้น...นั่งสงบนิ่งสำรวจใจตน สวดมนต์บทสั้นๆ ดวงรัศม์สวดมนต์ภาษาบาลีไม่เป็น หล่อนอยู่โรงเรียนคริสต์มาตลอด คุณป้าเองก็วุ่นวายกับการงานจนไม่มีเวลาสอน พอจะสอนหล่อนก็ไม่ว่างเรียนรู้...
ดวงรัศม์หันไปหานายปฐวี เขากางหนังสือออก มือพนมหนีบหนังสือไว้ สวดเสียงดังฟังชัดไปพร้อมกับคนอื่นๆ ...ดวงรัศม์ชะแง้ไปยังหนังสือของพี่คนที่นั่งข้างๆ กัน หล่อนไม่เคยใส่ใจหรอกว่าใครชื่ออะไรบ้าง...
ไม่จำเป็นต้องรู้จักคนหน้าบ้านๆ เสียงเหน่อๆ คนที่เกษียณอายุจากงานเหล่านี้เหมือนทรัพยากรมนุษย์ที่หมดค่า...(ยกเว้นป้าของเธอ)
หนังสือสวดมนต์เล่มนั้นถูกเบี่ยงหน้ามาให้ ด้วยใช้ คอนแทกต์เลนส์ ทำให้ดวงรัศม์ต้องหยีตาปรับสายตาเพราะหนังสือนั้นอยู่ห่างไกล...มือที่กำลังพนมอยู่ลดลงมาเพื่อหยิบหนังสือส่งให้กับมือหญิงสาว ดวงรัศม์ยิ้มให้รู้สึกซึ้งใจขึ้นมาเสียเอง...น้ำใจจากคนที่หล่อนไม่คิดคบหา น้ำใจที่อยากให้หล่อนทำได้เหมือนกับคนอื่นๆ ...อยากให้ป้าเห็นว่าเธอพัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่นแล้วนะ
ดวงรัศม์หันไปหา ป้าแววหลับตาสวดมนต์...หนังสือส่วนของตนนอนอยู่ใต้กระเป๋าราคาแพงเก็บไว้ในห้อง พรุ่งนี้หล่อนจะเอาติดตัวมาด้วย
มื้อกลางวัน คุณน้าภานุมาศขอโอกาสให้บุรุษเพศมาช่วยกันดูแลเรื่องอาหารของคณะพระสงฆ์ แทนสตรีที่เข้ามาวุ่นวายกับกองเสบียง คุณน้ามาศพูดเสียงดังๆ ว่า
‘ขอโอกาสผู้ชายดีกว่า’ เป็นอันว่าผู้หญิงที่มีศรัทธาปฏิบัติพระสงฆ์ต้องถอยออกไปพร้อมกับเสียงบ่นว่า
‘ตอนอยู่เมืองไทยยังประเคนพระได้เลย’
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ปฐวีรู้สึกว่า น้ามาศของเขาชอบทำเรื่องเล็กๆ ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ น้ามาศมักใช้คำพูดแรงๆ เพื่อหยุดพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของลูกทัวร์...เช่นเวลาที่ลูกทัวร์ปรี่ไปหา ผ้าหลากสีสัน น้ามาศก็จะรีบตะโกนตามไปว่า...
‘อย่าเพิ่งนะคะ ยังไม่ใช่ที่ซื้อของค่ะ’ และถ้ายังมีคนที่รั้งไว้ไม่อยู่ น้ามาศก็จะเสียงแข็งอีกนิด
‘ยังซื้อไม่ได้ค่ะ ขอร้องนะคะ เดี๋ยวเราไปไม่ครบทุกที่’
และที่สำคัญ เสียงที่หวานๆ ของน้ามาศมันขึงขังและดูบังคับจิตใจกัน บางครั้งปฐวีก็นึกรำคาญอยู่เหมือนกัน เพราะแม่ของเขาจะไม่เคยพูดกับเขาลักษณะนี้เลย...อย่างถ้าแม่จะใช้ แม่ก็จะบอกว่า ‘วีว่างทำนี่ให้แม่ไหม’ พอหมดที่เขาว่างทำให้แม่ ส่วนอื่นๆ ที่แม่ทำอยู่ แม่ก็จะเงียบไป ไม่ใช้ต่อ
แต่เขาจะเป็นคนขอช่วยทำเอง
แต่น้ามาศ จะใช้ทุกอย่าง ถึงแม้น้ามาศทำได้น้ามาศก็จะใช้
‘วีหยิบนั่นให้น้าหน่อย...วีหยิบนี่ให้น้าหน่อย’ เพียงขยับตัวน้ามาศก็จะได้ของ แต่ว่าน้ามาศไม่อยากเห็นเขาว่างหรือกลัวใช้เขาไม่คุ้มเงินค่าตั๋วที่พามา...
และที่ทำให้อารมณ์โกรธแล่นฉิวขึ้นมาก็คือ ตอนที่น้ามาศนั่งอยู่ที่ด้านหน้า แต่ว่าของที่น้ามาศต้องการอยู่ข้างหลังรถ และของนั้น เขาไม่มีทางรู้หรอกว่ามันอยู่ในถุงพลาสติกใบไหนแน่ น้ามาศก็จะเรียกเขาให้เข้าไปหา แล้วก็บอกให้หยิบของชิ้นนั้นมาให้ เขาก็จะกลับมาค้นหาจนมือหงิกเปิดหาถุงแล้วถุงเล่า ในขณะที่รถแล่นกระแทกกระทั้นไปด้วย... เมื่อเขาหาไม่เจอ เขาก็จะต้องกลับไปรายงานว่า หาไม่เจอ...น้ามาศจะชักสีหน้าหงุดหงิดใส่เขาทันที แล้วก็ทำท่านึกออกมาว่ามันอยู่ที่ตรงไหนแน่ มันอยู่ในกล่องใกล้ๆ ตัวน้ามาศนั่นเอง
ปฐวีเคี้ยวข้าว ไข่ต้ม ผัดผักใส่พริกเผ็ด ลงคอได้อย่างสบายๆ เขาคิดว่าข้าวกล่องนี้พอดีท้อง แต่ว่าเขาก็ยังได้รับน้ำใจแบ่งปันทั้งข้าวและกับพิเศษที่แต่ละคนเตรียมมาจากเมืองไทย...
“น้องวีกินเยอะๆ จะได้มีแรงทำงาน”
งานที่เขามาช่วยน้ามาศทำมีคนเห็น ข้าวและกับจำพวกอาหารกระป๋องคือรางวัลของคนทำงาน...ปฐวีรับมา...เคี้ยวสบายอารมณ์ ในขณะที่ดวงรัศม์มีสีหน้าหงิกงอ (อีกแล้ว)
“ทานเข้าไปเถอะ...จะได้มีแรง” คุณป้าแววของหญิงสาวคะยั้นคะยอ
“ไม่น่ากินเลย” เขาได้ยินหญิงสาวโอดครวญ...
“เอาหมูทอดไหมล่ะ” คุณวรรณดีที่นั่งใกล้ๆ กับคุณป้าของ หญิงสาวหยิบยื่นโอกาสดีๆ มาให้...ดวงรัศม์ยังหน้างอ
“คุณป้าเขาให้ของ รับซิ” ป้าแววกระทุ้งสีข้างหลานสาว ดวงรัศม์ถอนหายใจออกมา...
“ขอบคุณค่ะ แต่ว่าดวงไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องกินนะน้องดวง เดี๋ยวเจ็บป่วยขึ้นมา ที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยนะ” พี่เรณูเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“กินเถอะ จะได้มีแรง” พี่นิตยาช่วยพูดอีกคน...
ดวงรัศม์หยิบชิ้นหมูทอดของคนชื่อวรรณดีมาเข้าปาก...รสชาติคงถูกใจหญิงสาว สีหน้าที่ปฐวีได้เห็นจึงดีขึ้น...
“อร่อยไหมน้องดวง พี่ทำมาจากเมืองไทยเลยนะ” คนที่เป็นเพื่อนของเพื่อนคุณป้าของดวงรัศม์ เรียกแทนตัวเองว่าพี่อย่างกลัวแก่เหมือนกัน
“อร่อยค่ะ อร่อยมากๆ เลย” ดวงรัศม์ดูมีความสุขขึ้น ปฐวีชายตาไปมอง...ดวงรัศม์สบตา...
“วีชิมไหม” เธอยื่นมาให้เขา ที่นั่งอยู่ห่างออกไปสักห้าเมตร เขาจำต้องลุกขึ้นส่งกล่องข้าวไปหาหมูในมือหญิงสาว
“เอาอีกซิ” ดวงรัศม์หันกลับมาหากล่องหมูของคุณวรรณดี
“ให้น้องดวงแค่ห้าชิ้นนะ” คุณวรรณดีแสดงความงกออกมา
ดวงรัศม์หัวเราะหึๆ ปฐวีหดกล่องข้าวกลับมา...ดวงรัศม์ยื่นหมูให้เขาอีกชิ้น เขาสะบัดหน้าปฏิเสธ กลัวว่าหญิงสาวจะไม่อิ่มข้าว แต่เธอพยักหน้าเรียกเขาด้วยความจริงใจ เขาจึงต้องลุกออกไปรับอีกรอบ ลองชิมดู มันอร่อยจริงๆ และด้วยมันมีน้อย เขาจึงค่อยๆ ฉีกให้เป็นฝอยแล้วค่อยๆ เคี้ยวเพื่อดึงรสอาหารให้กระจายทั่วลิ้น...
มื้อกลางวันจบลงท่ามกลางสายตาของเด็กนักศึกษาชายหญิงและคุณครูอีกสามสี่คนที่มาทัศนศึกษาหาความรู้กัน...
เมื่อเห็นว่ามีคณะแสวงบุญจากเมืองไทย ใช้สถานที่ด้านหน้าถ้ำ ทานอาหารกลางวัน ทั้งสาวน้อยในชุดแต่งกายประจำชาติกับเด็กหนุ่มน้อยในชุดกางเกงยีนเสื้อยืด ต่างยืนมองหมู่คณะอากัปกิริยานั้นคือ
ยืนนิ่งๆ ตาแป๋ว กระซิบกระซาบกันแบบเห็นเรื่องประหลาดใจ ครูพูดอะไรก็ไม่รู้...เด็กๆ ก็ยังยืนอยู่อย่างนั้น จนคนที่นั่งกินข้าวกันอยู่นึกเขิน...
จนกระทั่งพระอาจารย์อ้วนส่งเสียง...มาโนชที่อยู่ใกล้ๆ กับคุณครูก็พูดต่อ...อึดใจทั้งคณะก็ลงจากเขาไปโดยไม่ได้เข้าถ้ำ...
ปฐวีนึกขำขึ้นมา ทัศนศึกษาภูเขาหัวโล้นกับถ้ำริมหน้าผา มันน่าสนใจอย่างนั้นหรือ...
...เมื่ออิ่มข้าวและถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกเรียบร้อย ทั้งคณะต่างก็ทยอยกันเดินลงจากภูเขา จุดมุ่งหมายของแต่ละคนนั้น นอกจากอยากไปดูสถานที่อาบน้ำร้อนตามชนชั้นวรรณะแล้ว คงหนีไม่พ้นร้านรวงที่ตั้งเรียงรายอยู่บริเวณทางขึ้น
ดวงรัศม์ก็เช่นกัน หล่อนสนใจน้ำร้อนที่มีความเชื่อกันว่าไหลผ่านโลหกุมภีนรกมายังโลกมนุษย์ และตามใบเอกสารกำหนดการได้บอกไว้ว่า นักวิทยาศาสตร์ได้นำน้ำจากที่นี่ไปวิจัยพบแร่กำมะถัน เหล็ก ทองแดง และเรเดียมปนอยู่จึงเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่าง
เคยอาบน้ำแร่ที่ญี่ปุ่น เคยใช้บริการน้ำวนจากอ่างจากุชชี่ในโรงแรมหรู แล้วทำไมหล่อนจะไม่อยากเห็นล่ะว่า ที่นี่เป็นอย่างไร
ดวงรัศม์ดึงคุณป้าแวว คุณวิมลรัตน์และคุณวรรณดีไปด้วย...เมื่อไปชะโงกหน้าดูสถานที่คนมาอาบน้ำ เธอก็รีบดึงคุณป้าและเพื่อนอีกสองคนหนีจากภาพอุจาดตา...ผู้ชายนุ่งผ้าเตี่ยว บางคนก็เหลือแต่กางเกงในน่าดูชมนักหรือ
ปฐวีไปชะโงกหน้ามองดูบ้าง...น้ามาศที่เดินตามมาส่งขวดน้ำเปล่าให้ปฐวีสองขวด...
“ลงไปเอาน้ำมาให้น้าหน่อย”...ปฐวีทำหน้าฉงน...
“เอาไปทำมวลสาร น้ำศักดิ์สิทธิ์” คนเป็นน้าบอกเหตุผล ปฐวีลุยคนบ้านเขาเข้าไป พี่ธนกิจกับพี่มงคล เดินตามมาด้วย เมื่อเห็นว่าคนไทยหน้าตาแตกต่างเข้ามาในหมู่พวกตน ชาวอินเดียก็เริ่มทำหน้าที่ต้อนรับ แม้พูดภาษาปากกันไม่รู้เรื่อง แต่ภาษามือที่สื่อออกมานั้น บอกให้รู้ว่า ยินดีที่ได้เห็นว่ามีคนหลงเข้ามา...
ขันน้ำถูกตักมายื่นให้ ไม่มีใครรับเพราะท่านพระครูอ้วนบอกไว้แล้วว่าอย่าไปยุ่ง ไม่งั้นเงินไหล คือเรียกเงินพิเศษหรือไม่ก็ของที่ระลึกนั่นเอง...
สิบปากว่าไม่เท่ามือคลำ...สามหนุ่มใช้มือรองน้ำที่ไหลออกมาจากปากเทวรูปหัวคล้ายปลา ร้อนอุ่นไม่ใช่ร้อนจัด...พระครูอ้วนบอกว่ากินได้...พี่มงคลทดลองก่อน...เมื่อรู้ว่ารสชาติไม่เฝื่อนหรือมีกลิ่นกำมะถันอย่างน้ำพุร้อนที่เคยสัมผัส พี่ธนกิจจึงลองชิมด้วยอีกคน เมื่อสองคนกล้าลองทำไมปฐวีจะไม่กล้าเล่า...แต่เมื่อชิมกันแล้วนึกได้ว่า น้ำร้อนของ ตโปธารามนี้จะไหลจากวรรณะสูง สู่วรรณะต่ำ คำถามเกิดขึ้นที่สีหน้าชายหนุ่มทั้งสามคนทันที...
ท่อนี้ของวรรณะกษัตริย์หรือเปล่า?
“พระครูบอกว่ามีวรรณะศูทร (ชนช้ำต่ำ ทาส กรรมกร) วรรณเดียวที่ใช้น้ำที่ไหลมาจากชำระล้างคนวรรณะอื่นๆ มาแล้ว” พี่ธนกิจสร้างความมั่นใจ...
เมื่อได้น้ำสองขวด ปฐวีก็เดินลงจากตโปธารามมาพร้อมกับพี่ชายที่มีใจฝักใฝ่พระพุทธศาสนาทั้งสองคน เท่าที่ได้ยินมา พี่ธนกิจมีชีวิตมุ่งตรงกับพระพุทธศาสนาดำรงตัวเป็นโสด เข้าวัดปฏิบัติธรรม เป็นลูกศิษย์ที่ดีของพระอาจารย์บุญช่วย ส่วนพี่มงคลมีลูก มีเมียแล้ว แต่ก็เป็นผู้ชายครองเรือนที่ใช้ได้ทีเดียว...
ทั้งสามคนเดินผ่านเด็กขอทานที่เริ่มมาร้องขอ ด้วยใจที่เข้มแข็ง
พระครูอ้วนบอกว่าให้เมื่อไหร่ ถูกรุมเมื่อนั้น แต่พระภิกษุสงฆ์ที่มาด้วยกันก็ยังแอบให้ลูกอมที่น้ามาศให้ปฐวีเดินแจกจ่าย
ระหว่างเดินทาง กับคนที่ตื๊อสุดๆ
ตื๊อขนาดนี้และคนไทยก็ใจดี๊ดี มีหรือจะไม่ใจอ่อน...เพราะ คนไทยที่มาใจอ่อน คนอินเดียตามสถานที่ที่คนไทยไปเที่ยวก็เลยได้ใจ...เสียงของพระครูอ้วนที่บรรยายระหว่างทางหาได้ไร้ประโยชน์
ทั้งสามคนมาหยุดที่ร้านขายเทวรูป และสร้อยหิน หยุดพิจารณาถามไถ่ราคาและเริ่มหัดฝึกภาษาอังกฤษแบบใช้มือประกอบต่อรอง อีกคณะที่ตามลงมาแวะมาสมทบ บางคนก็อยากได้จนเนื้อตัวเต้น ดีแต่ว่าน้ามาศให้มาโนชวิ่งมาตาม การวางสินค้าไว้ จึงถูกพ่อค้าชาวอินเดียมองตาโปนแล้วส่ายหน้าให้...
หมายความว่าอย่างไร...
คำถามนี้ถูกนำไปถามท่านพระครูเมื่อรถออกจาก ตโปธารามมุ่งตรงสู่ เมืองนาลันทา
“แขกส่ายหน้าคือตกลงเห็นด้วย...ถ้าไม่ตกลงก็คือพยักหัวขึ้นลง จำไว้ให้ดีนะ”
ปฐวีลองขยับคอดูแบบนั้นบ้าง...พี่เรณูกับพี่นิตยาหัวเราะยกใหญ่ แล้วสักอึดใจ เขาก็ได้ทับทิมลูกใหญ่จากดาราที่ชื่อดวงรัศม์เหมือนคนอื่นๆ
“ขอบคุณครับ” เขาส่งเสียงขอบคุณกลับไปเหมือนกับที่ พี่ธนกิจกับพี่มงคลหันกลับมาขอบคุณดาราสาว...
“พี่กินไม่ลงเลยน้องดวงอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกจริงๆ” เสียงดังแถมเหน่อๆ ของพี่ธนกิจเรียกรอยยิ้มให้คนทั้งคันรถ ยกเว้นคุณน้ามาศของปฐวีร่างท้วมเดินตรงดิ่งมาหา
“ศีล 8 นะคะ...รักษากติกากันด้วยค่ะ”