มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน

แสงดาว ไอดิน อินเดีย - บทที่ 5 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 5 โดย ชอนตะวัน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ผู้ใหญ่,ชอนตะวัน,แสงดาวไอดินอินเดีย,แสงดาว,ไอดิน,อินเดีย,รัก,ผู้ใหญ่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แสงดาว ไอดิน อินเดีย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชอนตะวัน,แสงดาวไอดินอินเดีย,แสงดาว,ไอดิน,อินเดีย,รัก,ผู้ใหญ่

รายละเอียด

แสงดาว ไอดิน อินเดีย โดย ชอนตะวัน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน

ผู้แต่ง

ชอนตะวัน

เรื่องย่อ

มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน กลิ่นอายความรักท่ามกลางความแตกต่าง ทั้งเรื่องฐานะ อายุ สถานภาพทางสังคม ที่อบอวลไปด้วยความดีงามภายในจิตใจของคนสองคน ก่อเกิดบนเส้นทางแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย 'ปฐวี' วิศวกร วัย 22 ปี รอเรียกเข้าทำงาน เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อช่วยน้าสาวทำหน้าที่ลีดเดอร์ทัวร์ หัวใจของเขาต้องมาหวั่นไหว เมื่อได้พบดาราสาว เจ้าบทบาท 'ดวงรัศม์' ผู้ร่วมทริปครั้งนี้ แม้ทั้งสองคน พยายามปฏิเสธความต้องการของหัวใจ เพราะรับรู้ถึงความแตกต่าง และปัญหาที่จะตามมา แต่สุดท้าย ความรักที่เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความเลื่อมใสศรัทธา กลับกลายเป็นความเข้าอกเข้าใจกันและกัน จนยากลืมเลือน....

 'ชอนตะวัน'  อีกหนึ่งนามปากกา ของ 'จุฬามณี' ผู้เขียน ชิงชัง กรงกรรม สุดแค้นแสนรัก ทุ่งเสน่า และ วาสนารัก

 

สารบัญ

แสงดาว ไอดิน อินเดีย-คำนำ จากนักเขียน,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 0 สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 1 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 1,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 2 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 2,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 3 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 3,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 4 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 4,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 5 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 5,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 6 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 6,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 7 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 7,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 8 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 8,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 9 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 9,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 10 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 10,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 11 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 11,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 12 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 12,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 13 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 13,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 14 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 14,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 15 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 15,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 16 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 16,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 17 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 17,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 18 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 18,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 19 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 19,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 20 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 20,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 21 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 21,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 22 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 22,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 23 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 23,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 24 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 24,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 25 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 25,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 26 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 26,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 27 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 27,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 28 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 28,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 29 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 29,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 30 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 30,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 31 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 31,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 32 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 32,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 33 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 33,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 34 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 34,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 35 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 35,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 36 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 36,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 37 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 37,แสงดาว ไอดิน อินเดีย-บทที่ 38 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 38

เนื้อหา

บทที่ 5 แสงดาว ไอดิน อินเดีย - 5

 

‘ฝนวันนี้วีขึ้นเขาอีกแล้ว เหนื่อยโคตรๆ ...วันนี้วียังอยู่ที่วัดไทยสิริราชคฤห์ เหมือนเดิมนะ...ตอนที่เขียนบันทึกนี้ดึกมากๆ เพราะว่าดันมีโปรแกรมพิเศษเข้ามา 

แอบคุณน้าไปนะฝน อยากรู้ใช่ไหมว่าวีไปไหนมา...

วีไปอาบน้ำร้อนที่ตโปธารามมานะซิ หลวงพี่แอ        ท่านรู้จักกับพระที่วัดนี้ ท่านบอกว่าท่านเคยมาที่นี่เมื่อตอนเป็นเณร พอพวกเรากลับมาจากนาลันทา ดื่มน้ำปานะทอดผ้าป่าถวายปัจจัยให้วัดกันเรียบร้อยแล้วต่างคนก็ต่างเข้าห้องพัก...

น้ามาศเองก็เข้าห้องหลับแต่หัวค่ำ วีนั่งอ่านหนังสือพุทธประวัติที่ยืมลูกทัวร์มาอยู่นอกห้อง หลวงพี่ท่านก็เลยชวนไปด้วย นั่งรถแท็กซี่ไปกัน วีไม่ได้ช่วยออกค่ารถหรอก หลวงพี่ที่ประจำอยู่ที่วัดนี้ท่านเลี้ยงหลวงพี่แอ(เลี้ยงค่ารถน่ะ)

...วีขึ้นไปอาบที่ชั้นบนสุดเลยนะ เขาว่าเป็นของวรรณะกษัตริย์ ชนชั้นปกครองหรือนักรบ

...ดึกๆ แบบนั้นมีวัยรุ่นอินเดียมาอาบกันเยอะเหมือนกัน แต่พอเห็นพระกับคนไทยมาด้วย(อ้าว พระก็คนไทย) พวกเขาก็หลบให้ พวกเราเข้าไปอาบน้ำที่ไหลมาตามท่อ...วีเอาผ้าขาวม้าไปด้วยก็เลยไม่โป๊...น้ำอุ่นกำลังดี อาบแล้วรู้สึกผ่อนคลาย พออาบเสร็จ เรา(วีกับหลวงพี่อีกสองรูป และคนขับรถ) ก็มาหาน้ำปานะดื่มกันที่ตลาดหน้าตโปธาราม

รู้สึกว่าแถวนี้จะมีที่พักแบบเกสเฮ้าส์และร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ(ที่ไม่ใช่คนไทย) ด้วยนะ แต่บรรยากาศ น่ากลัวกว่าตลาดหน้าพุทธคยาเยอะเลย...

หลังจากเดินดูสินค้าจำพวกสร้อยหิน เทวรูป ฯลฯ(ที่วีไม่คิดซื้อ) ดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อเดียวกับที่เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว เราก็พากันกลับที่พัก...วีเอาผ้าขาวม้าไปตากที่ราวตากผ้าหน้าห้องน้ำรวมเหมือนเคย...แล้วก็ย่องเข้าห้องไปเอาสมุดบันทึก

น้ามาศตาปรือถามวีว่าหายไปไหนมาวีก็เลยต้องบอกไปตามตรง ผลปรากฏว่าถูกตำหนิ

ทำอะไรโดยพลการ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา คุณน้าจะซวยเอา...น้ามาศบอกว่าถ้ามาทัวร์แบบนี้แล้วไม่เชื่อผู้นำทัวร์ คนนำทัวร์ก็เหนื่อยหน่ายใจ เพราะว่าเขาต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นๆ ตลอดทริป 

วีเข้าใจน้าแล้วละฝน แต่วีก็ยังไม่ค่อยชอบวิธีการพูดของน้ามาศอยู่ดี...และวีก็คิดว่าถ้าวีขออนุญาตก่อนไป วีก็คงไม่ได้ไปแน่ๆ ...แต่วีมาคิดอีกที เป็นเพราะวีเป็นวัยรุ่นด้วยมั้ง   วีก็เลยไม่คิดถึงอันตราย ใดๆ วีคิดว่ามันท้าทายและน่าลองทำดู...อีกอย่างวีก็มั่นใจในความปลอดภัย เพราะว่ามีหลวงพี่ที่จำวัดอยู่ที่นี่ท่านไปด้วย...

จะบอกว่าง่วงนอนก็คงน่าเกลียด เอาเป็นว่าไม่อยากปล่อยวันเวลาให้ผ่านไป แล้วทิ้งเรื่องที่ต้องทำไว้เป็นดินพอกหางหมู แต่มานั่งคิดอีกที ชีวิตของวีก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว วีโตมากับการเรียน การบ้าน แต่ถ้าวีไม่ขยันไม่ทุ่มเทมุ่งมั่นวีก็คงเรียนไม่จบในคณะที่ยากแสนเข็ญ(วีไม่ใช่คนปราดเปรื่องนักฝนก็รู้)

แต่นึกย้อนกลับไปวีก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะ ฝนบอกเอง  นี่ว่าวี ดีกว่าเพื่อนตรงที่ไม่นิยมดื่มและไม่ขี้หลี...วีว่าเป็นเพราะพ่อกับแม่มากกว่า พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่า หากวีจะเป็นไปตามเพื่อนในคณะ แต่วีว่าวีคงเข้าหน้าพ่อกับแม่ไม่ติด หากมีกลิ่นเหล้ากลับเข้าบ้านปล่อยๆ และที่วีไม่ชอบเรื่องเจ้าชู้ไก่แจ้เปลี่ยนคู่ควงบ่อยๆ ก็เพราะว่าพ่อของวีคงเป็นตัวอย่างในเรื่องการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีมาตลอด

ไม่อยากจะบอกหรอกว่า ฝนเลือกเป็นแฟนกับวีนะดีแล้ว... (วีเคยบอกฝนไปหรือยังนะ)

เขินรึเปล่า...วีเขียนไปก็เขินนะเนี่ย 

...ลมเย็นๆ กลางท้องนาโล่งที่สามารถมองเห็นท้องฟ้าเห็นหมู่ดาวเต็มท้องฟ้า วีนึกถึงเพลงปลายฟ้า...ปลายฟ้าแค่หลับตาลงคงพบกัน...คิดถึงเพียงฝนคนเดียวนะครับ...วีได้งานทำเมื่อไหร่คงตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินเตรียมตัวจัดงานสำคัญของเรา...(วีเพ้ออีกแล้ว)

เล่าเรื่องที่ฝนอยากรู้ผ่านสายตาของวีต่อดีกว่านะ...

เริ่มจากตอนเช้า...ขึ้นเขาเวภาระบรรพตที่อยู่ทาง       ทิศตะวันออกของวัด ทางขึ้นเป็นขั้นบันไดสูงชันกว่าเขาคิชฌกูฏเมื่อวานนี้อีก ทางขึ้นเขาอยู่ด้านหลังตโปธาราม คดเคี้ยวเลาะไปเรื่อยๆ แดดเริ่มจากอุ่นจนร้อนจัด ลูกทัวร์สูงวัยลมแทบจับ       วีเองก็เมื่อยขามากๆ แต่เมื่อคนที่มีอายุมากกว่าเราไหว แล้วทำไมเราจะไม่ไหว 

แต่เมื่อไปถึงหน้าถ้ำ บอกไว้เลยว่าวิวสวยมาก เห็น      วัดไทยสิริราชคฤห์ชัดเจน วันนี้มีสวดมนต์นั่งสมาธิกันที่หน้าถ้ำด้วยนะ วีรู้สึกว่าวีสงบขึ้นนะ นิ่งๆ วิ้งๆ ในความรู้สึก แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น... แต่เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย วันนี้วีสวดมนต์บทพุทธคุณโดยไม่ต้องดูเนื้อแล้วนะ...พรุ่งนี้จะเพิ่มบทธรรมคุณให้ได้อีกบท วันถัดไปก็เอาอีกบท...กลับไปวีว่าพ่อกับแม่คงดีใจมากๆ เลย 

เอ้อ...ลืมบอกไปเลยว่าถ้ำเวภาระบรรพตนั้น               มีความสำคัญคือเป็นที่สังคายนาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า จัดหมวดหมู่คำสั่งสอน คำว่าพระไตรปิฎกจึงเกิดขึ้น...ณ ที่นี่

...วีดีใจนะที่ได้ขึ้นไปถึงข้างบน มันรู้สึกถึงการไปหา      ต้นแหล่งความเจริญทางจิตใจที่เคลื่อนย้ายไปอยู่ที่เมืองไทยในปัจจุบัน 

และวันนี้ในภาคบ่าย ความรู้สึกอีกแบบหนึ่งก็เข้ามา... ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา(ในอดีต) ซากอิฐสีแดงกองมหึมา       บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต ท่านพระครูอ้วนเล่าอะไรเยอะแยะในระหว่างที่เที่ยวชม ที่จับใจความมานั้น ก็คือเป็นมหาวิทยาลัยพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถูกทำลายลงเพราะพวกมุสลิมที่เข้ามารุกรานในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ซากมหาวิทยาลัย จมอยู่ใต้ดินอีก 700 ปี กว่าที่เซอร์คันนิ่งแฮมนักโบราณคดีชาวอังกฤษจะเดินทางมาค้นพบเมื่อปี 2504 

เจ็บแปลบในหัวอกชอบกล และที่สำคัญสิ่งที่ท่านพระครูอ้วนชี้ให้เห็นลงไปอีกนิด คือความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง...วีว่าเป็นคำสั่งสอนที่สุดยอดจริงๆ 

...วีเริ่มสลดและสังเวชใจอย่างที่หัวกระดาษกำหนดการบอกแล้วซิ...

ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่สามารถบังคับบัญชาได้

...ความรู้สึกหนักๆ เบาๆ มันแล่นเข้ามาในหัวอก

...อย่าหาว่าวีบรรลุธรรมอะไรละ วีไม่รู้อะไรเลย ยังงงๆ โง่กว่าคนอื่นๆ เหมือนเคย’

 

เสียงล้อจักรยานบดถนนเข้ามา ปฐวีชะงักปากกา เงยหน้าขึ้น ร่างแบบบาง ใบหน้ายิ้มแย้มตาเป็นประกาย เส้นผมสีดำสยายคลุมแผ่นหลัง เมื่อลงจากรถแล้วเดินมาหา กลิ่นของเจ้าหล่อนกระจายไปทั่วบริเวณ 

“ทำอะไรอยู่” คนเข้ามาเป็นฝ่ายถาม ปฐวีพับสมุดบันทึกแต่ไม่ยัดเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเมื่อวาน...ร่างระหงมานั่งตรงกันข้าม ส่งซองเนสวีต้ามาให้สองซอง

“ถ้าเราคิดว่าไม่ผิด มันก็ไม่ผิด...คุณน้าของวีเขาศรัทธา    วัดป่าสายธรรมยุต ส่วนคุณป้าแววของดวง นับถือพระสายมหานิกาย...ไม่ผิดจ๊ะ ชงเลย”

ปฐวีลุกขึ้น หันหลัง ง่วนฉีกซองเติมน้ำร้อน...พอหันกลับมา

“เอ๊ย” เขารีบวางแก้วแล้วดึงสมุดสีชมพูในมือหญิงสาวกลับมา

“ผมคิดถึงฝนมาก” ดวงรัศม์ทำเสียงผู้ชายล้อเลียน ปฐวีหน้าแดง อารมณ์ฉิวแล่นเข้ามา แต่เมื่อมันเป็นความจริงเขาจะต้องโกรธทำไม

“กินก่อนเลย...ยุ่งชะมัด” เขาดุคืนให้ ดวงรัศม์รับแก้วเนสวีต้ามาพร้อมกับยักไหล่ เมื่อจิบไปได้ครึ่งแก้วเธอละแก้ววางลง...

“วันนี้กินให้หมดนะ ผมไม่กินหรอก”

“เคร่ง”

“เปล่า อิ่ม”

“แอบกินอะไรมา...แล้วเมื่อหัวค่ำหายไปไหนมา ไม่เห็นชวนกันเลย”

ปฐวีไหวไหล่ทำนองให้รู้ว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องชวน ดวงรัศม์ยิงฟันขาวสะอาดให้ ปฐวีหัวเราะ ไม่อยากจะบอกเจ้าหล่อนหรอกว่า ที่เหนือ ริมฝีปากของเจ้าหล่อนมีคราบนมติดอยู่...แต่เมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายดวงรัศม์จึงใช้หลังมือเช็ดเสีย ก่อนจะปล่อยให้ขายหน้ายิ่งไปกว่านั้น

“เออ จำไว้เลยนะ มีอะไรดีๆ ไม่บอกกล่าวกันบ้างเลย”

“ถึงชวน คุณก็ไปไม่ได้อยู่แล้ว”

“รู้ได้ไงว่าไปไม่ได้ โด่ โลกกว้างๆ นี่ดวงรัศม์ย่ำมาหมดแล้ว” หล่อนเคยย่ำจริงๆ แต่ไปกับทัวร์หรูหรือไม่ก็เพื่อนที่คุ้นเคยกับสถานที่นั้น จนรู้สึกว่ากำลังเดินอยู่ในเมืองไทย

“อินเดียนะนายจ๋า ไม่ใช่ปารีส...อันตรายมีอยู่รอบด้าน” ปฐวีหยิบคำของพระครูอ้วนมาเตือนสติ...

“ขนาดพระที่เคยอยู่อินเดียมาสิบปียังเหลือแต่...            ตัวล่อนจ้อนเลย”ปฐวีย้ำอีกครั้ง... 

“ถึงพาราณสีดวงจะไปย่ำราตรีให้ดู” เพราะปรึกษากับ   คุณป้ามาแล้ว...เธอบ่นเบื่ออยากเที่ยวอะไรที่ไม่ใช่ซากความเจริญรุ่งเรือง ไม่ใช่ภูเขา และประวัติศาสตร์แบบนี้บ้าง คุณป้าสัญญาว่าจะพาเธอไปช็อปปิ้งที่พาราณสีในเวลากลางคืน...

“ไปด้วยนะ” ปฐวีอ้อนรอเวลาไว้ ดวงรัศม์ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้...

“ตกลง ไปไหนกันมา”

“ตโป แก้ผ้าอาบน้ำร้อน ไปได้ไหมล่ะ ดึกสงัด มีแต่วัยรุ่นทั้งนั้นเลย ถ้าไปผมว่ามีปัญหาอย่างแน่นอนถึงไม่ชวน”

“ขอบคุณ”

“ขอบใจถึงจะถูก”

“รู้น่าว่าเด็กกว่านะ แต่อย่าย้ำ ไม่ชอบรู้ไหม” ดวงรัศม์แกล้งเอ็ดคืนให้...

“ยังไม่ได้ขอโทษผมเลย”

“ทีคุยกับคนอื่นทำไมใช้คำว่าวี ดวงยังดวงกับวีเลยทำไมไม่วีกับดวงบ้าง” ดวงรัศม์ถามหาเหตุ

“ก็...ความสนิทไม่เท่ากันมั้ง”

“งั้นสนิทกันแล้วก็วีกับดวงนะ...เข้าใจ”

“เพื่ออะไร” ปฐวีถามคืน...แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าเริ่มคุ้นกับดวงรัศม์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่าเขาคุ้นและรู้สึกสบายๆ เมื่ออยู่ใกล้ๆ ผิดกับครั้งแรกที่ได้เจอในอาคารขาออกของสนามบินดอนเมือง

“เพื่อให้สนิทยิ่งๆ ขึ้น”

“เพื่ออะไร กลับไปก็ต่างคนต่างไปวีก็ยังเป็นดินอยู่เหมือนเคย ส่วนคุณดวงเป็นดาวอยู่บนฟ้า”

“คิดว่าง่ายนักเหรอ ที่ดาวอยากสนิทกับดินน่ะ...เห็นว่ามันมีเหตุ ดีๆ ก็เลยอยากเก็บเพื่อนผู้ชายดีๆ สักคนไว้หรอกน่า” ดวงรัศม์ไม่มีเพื่อนผู้ชาย หล่อนจบมาจากโรงเรียนสตรีล้วน ถึงมาเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมปลาย แต่ใช่ว่าคุณป้าจะเปิดโอกาสและผู้ชายที่ผ่านเข้ามาใช่ว่าต้องการมาแบบเพื่อน..ผลประโยชน์และคุณประโยชน์ทั้งนั้น...ต้องระวังตัว ต้องคิดตลอดเวลาว่าคุ้มกันไหม กับการไปด้วยกันแล้วให้มีภาพเป็นข่าว

“ขอบคุณครับ” ปฐวีก้มศีรษะให้ ดวงรัศม์ยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเจ้าหล่อนพิมพ์เข้าไปในหัวใจของปฐวีทีเดียว...เขากำลังจะได้เป็นเพื่อนกับดาราใหญ่อย่างนั้นหรือ หลักฐานความสัมพันธ์คือรูปถ่ายประดามีในกล้องของเขาและคนอื่นๆ ยิ่งในกล้องของหลวงพี่มหาสามารถ มีภาพใกล้ชิดกับดวงรัศม์หลายภาพทีเดียว ถ่ายรูปหมู่ครั้งใด หล่อนก็จะวิ่งมาเกาะอยู่กับเขาเสมอ...แต่ว่าฝนทิพย์จะชอบภาพเหล่านี้ไหม ที่เขาไม่กล้าเขียนบันทึกไปว่ามีดาราชื่อ ดวงรัศม์ ดารารัตน์ มาด้วย ก็เพราะว่า ฝนทิพย์เกลียดดาราคนนี้เป็นอย่างมาก

‘สตรอว์เบอร์รี่ชีสเค้ก’ เขาไม่รู้ศัพท์เฉพาะกลุ่มแบบนั้นหรอกว่าแปลว่าอะไร แต่อะไรที่มีคำว่า ‘ตอ’ เข้ามาเกี่ยวข้องมันน่าจะหมายถึงคำว่า ‘ตอแหล’ แน่ๆ แต่ ไอ้ชีสเค้กนี่ซิ เขาก็ยังงงๆ เขาไม่ใคร่ได้สนใจ แวดวงบันเทิงมากนัก ชีวิตของเขานอกจากห้องเรียน บ้านที่เป็นร้านขายข้าวมันไก่แล้วก็มีฝนทิพย์อีกคนเท่านั้น...แต่เมื่อเรียนจบ เมื่อได้ฝึกงาน เมื่อมาอินเดีย เขารู้สึกว่าชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไป ความรับผิดชอบ ใหม่ๆ ความเป็นผู้ใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น...

บางทีเขาอาจจะก้าวไปไม่ถึงฝั่งที่ฝันไว้ก็ได้...

บ้านหลังใหญ่ งานที่มั่นคง ครอบครัวอบอุ่น...

แต่ความฝันแบบนี้มันใหญ่สำหรับผู้หญิงคนนี้หรือเปล่านะ... เธออายุเท่านี้แต่เธอ ‘มี’ ใช่น้อย...เพราะท่านพระครูอ้วนเปรยๆ มาว่า 

‘คนบางคนทำบุญมาดีจึงมีรูปเป็นทรัพย์’ แค่รูปอย่างเดียวหรือ ปฐวีรู้สึกดวงรัศม์มีปัญญาและความสามารถพอตัว...หญิงสาวมีวิธีเอาชนะใจคน มีวิธีกำจัดอารมณ์ขุ่น ปั้นหน้าให้กับคนแม้หล่อนไม่ใคร่ชอบหน้าอย่างน้าภานุมาศของเขา...

เรื่องผลทับทิมเมื่อภาคบ่ายนั่นปะไร...

เมื่อน้ามาศเอ่ยออกมาอย่างนั้น เธอก็ยกมือขึ้นแล้วกล่าวคำ

ว่า ‘ขอโทษค่ะ.’ ได้ใจคนอื่นขึ้นมาเป็นกองทันที และตอนที่ออกมาจากรั้วซากมหาวิทยาลัยนาลันทา เธอขอจ่ายค่าน้ำอัดลมที่ถวายพระ รวมถึงผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆ ...ทีนี้ใครๆ ก็ ‘อนุโมทนาบุญ’ กับเธอ 

และที่ได้ใจคนทั้งหมด เห็นจะเป็นตอนที่บริจาคเงินช่วยซื้อที่ดินของวัดไทยสิริราชคฤห์ที่มีราคาตาราวาละ 3,000 บาท เธอควักเงินออกมาเรือนหมื่น วางไว้บนพานสีทองด้วยสีหน้าและดวงจิตที่มุ่งมั่น มันไม่ใช่เป็นการทำเอาหน้าอย่างที่ใครบางคนพูดที่หน้าซากมหาวิทยาลัยพุทธนาลันทา แต่เธอทำเพราะเต็มใจ...

ดูอยากทำ...ท่านเจ้าอาวาสก็เลยสัมโมทนียกถา พูดยกใจว่า

‘เคยทำไว้ดี ก็เลยมาได้ดี ยิ่งทำไว้ดีอีก ก็จะกลับไปในที่ดีๆ เขาเรียกว่า มาสว่างไปสว่าง’

ลูกตากลมแป๋วจ้องมองเขา ตาสบตา ปฐวีเลี่ยงหลบ...

“ดึกแล้วนะครับ” ปฐวีเตือนสติหญิงสาว ยิ่งดึกก็ยิ่งเงียบ คุยกันเบาๆ แต่รู้สึกว่ามันก้องไปทั่วบริเวณ 

“เอารูปแฟนมาหรือเปล่าอยากเห็นจังเลย”

ปฐวีถอนหายใจออกมา เขารู้สึกอึดอัดใจอย่างไรก็ไม่รู้     แต่เพื่อความบริสุทธิ์ใจในการคบหาหญิงสาวเขาจำต้องควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงขายาวสีขาว

กระเป๋าเงินถูกยื่นไปตรงหน้า ดวงรัศม์ไม่ได้สนใจที่รูป    เธอเปิดกระเป๋าเห็นมีเงินแบงก์พันแบงก์ร้อยไทยอยู่ไม่กี่ใบ นอกนั้นเป็นเงินรูปีอินเดียที่น่าจะมีไม่ถึงสองพัน...

“ผมยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลยครับ...ยังไม่รวยง่ายๆ หรอก”

“อยากรวยง่ายๆ ไหมล่ะ” ดวงรัศม์เงยหน้าขึ้นมาคุยแทนการสนใจค้นหารูปคนสำคัญของปฐวีต่อ 

“ทำไงหรือครับ”

“พาเข้าวงการเอาไหม”

“ผมนี่หรือ...หน้าตาแบบผม” ปฐวีตกใจ

“หน้าอย่างวีนี่เข้าวงการได้นะ ตัวตลกขาดแคลน” ดวงรัศม์พูดติดตลกก่อนจะก้มหน้าพลิกอีกช่องของกระเป๋าสตางค์

“ใช้ยี่ห้อที่มันดูดีกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ”

“ยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่นี่ครับ ใบละเกือบพันนี่ก็มากแล้วสำหรับผม” 

“สวยดีนะ...ทำไมไม่เอารูปคู่มาใส่กระเป๋าล่ะ”

“รูปเดี่ยวนะดีแล้ว เวลาเลิกกันจะได้ไม่ต้องฉีกแบ่งครึ่ง” นั่นคือเหตุผลที่ฝนทิพย์บอกไว้กับเขา...

“มีแบบนี้ด้วย” ดวงรัศม์ส่งกระเป๋าคืนให้ชายหนุ่ม พร้อมกับเลื่อนแก้วที่ดื่มน้ำข้างในหมดแล้วไปหา

 “ล้างให้ด้วยนะ ขอบคุณ” หล่อนลุกขึ้น ปฐวีคว้าแก้วน้ำไปวางไว้ในกระป๋องแก้วที่ใช้แล้ว ดวงรัศม์เดินไปที่จักรยาน...

“ไปส่งบ้างซิ ดึกๆ อันตราย”

ระยะทางไม่ไกลแต่ถ้าเหตุจะเกิดมันก็น่าจะเกิดได้ ปฐวีเดินไปหา ดวงรัศม์ตีเบาะนั่ง ปฐวีมองหน้า 

“วีขี่ให้ดวงซ้อนหน่อยซิ”

 ปฐวีรับจักรยานมาขึ้นคร่อม ดวงรัศม์นั่งไพล่ มือเล็กโอบไปที่เอวหนา

 

ปฐวีเดินกลับมานั่งมองสมุดบันทึกด้วยความอารมณ์ยากสรุป...ดวงรัศม์...เพื่อนใหม่...ผู้หญิงคนที่สองที่เขามีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนม เขามีแต่เพื่อนผู้ชาย...ไม่ประสีประสาอารมณ์ใดๆ       ของผู้หญิง เพื่อนบางคนก็ว่าเขาหัวอ่อน ระวังจะถูกผู้หญิงปั่นหัวหลอกใช้เอาได้ 

เมื่อคบหากับฝนทิพย์ใหม่ๆ เจ้าหล่อนก็ไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาที่เห็นกันกลาดเกลื่อนในรั้วมหาวิทยาลัย หล่อนมีรถเก๋งขับ โก้หรูกว่ามอเตอร์ไซค์ของเขา...แต่เพื่อนของหญิงสาวที่เป็นแฟนกับเพื่อนของเขาบอกว่า ฝนทิพย์สนใจเขา...เขาก็สนใจหล่อน อยากมีแฟนกับเขาบ้างเช่นกัน กิจกรรม สานความสัมพันธ์หลากรูปแบบจึง

เกิดขึ้น...งานวันเกิดเพื่อนที่มีแทบทุกสัปดาห์ ช่วงนั้นแม่เป็นห่วงกลัวว่าเขาจะเสียคน แต่เมื่อไม่มีกลิ่นเหล้ากลับบ้านแม่จึงเบาใจ...

จนกระทั่งทริปกางเต็นท์นอนที่ทุ่งแสลงหลวง เขาจึงกล้าเอ่ยปากสารภาพรักขอคบแบบแฟน

เขามีความสุขตลอดมา มีข้อความหวานๆ ส่งถึงกันให้หลับ ฝันหวานทุกคืน...ฝนทิพย์รักและหวงเขามาก...เมื่อเป็นแฟนกัน เขาไม่สามารถชายตาแลใครได้อีกเลย แม้แต่รูปดาราสวยๆ บนปกนิตยสาร...

‘ให้ใจของวี มีแต่ฝนคนเดียว’

‘วีก็มีแต่ฝนคนเดียวเท่านั้น’

‘กลัวว่าเมื่อไกลกันวีจะเป็นอื่น’

‘ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ใจวี’ ฝนทิพย์ไม่เคยยอมให้เขามากกว่ากอดจูบ...

‘แค่นี้ถ้าแม่รู้ ตีฝนตายเลยนะเนี่ย’

เมื่อเรียนจบในปลายเดือนมีนาคม ฝนทิพย์กลับนครสวรรค์รับงานฝ่ายธุรการในโรงเรียน 

ส่วนเขาเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่กับเพื่อนชายที่มาอยู่กรุงเทพฯ ก่อนหน้า...พร้อมหางานทำ พอดีช่วงนั้น พ่อของเขาผ่าตัดไส้ติ่ง เขาจึงต้องกลับมาอยู่พิษณุโลก จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม  คุณน้ามาศขึ้นมาเยี่ยมพี่เขย เห็นว่าเขาขมีขมันทำอาหารคล่องมือ จึงได้เอ่ยปากชวนเขามาช่วยงานในทริป 4 สังเวชนียสถาน ณ ประเทศอินเดีย เห็นว่าไปฟรีและงานก็ยังไม่น่าจะได้ เขาจึงงดส่งรีซูมเม่ไปยังบริษัทต่างๆ 

แม่ก็ว่าไปไหว้พระก่อน เผื่อชีวิตจะเปลี่ยนไปจนคาดไม่ถึง...

อะไรคือความคาดไม่ถึง...ปฐวีครุ่นคิด...ดวงรัศม์อย่างนั้นหรือ...ปฐวีถอนหายใจออกมา ไล่ใบหน้าหมดจดนั้นออกไป... สมุดบันทึกถูกกางอีกรอบ...เขาไล่อ่านมันเพราะต้องการส่งความรู้สึกถึงฝนทิพย์ คนที่อยู่อีกฟากของฟ้า...

เธอเป็นลูกสาวเจ้าของโรงเรียนมีกิจการใหญ่โต พ่อแม่หญิง

สาว มีความปรารถนาให้เธอเป็นผู้บริหารโรงเรียนต่อไป ในขณะที่ฝนทิพย์อยากเป็นนักประชาสัมพันธ์ อยากเป็นผู้ประกาศ หญิงสาวสมัครสอบใบผู้ประกาศครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเคยฝึกงานในสถานีโทรทัศน์ แต่ว่าไม่เป็นผล เมื่อหล่อนทุรนทุรายหางานที่ถูกใจทำไม่ได้ ฝนทิพย์จึงต้องยอมจำนนอยู่ในโรงเรียนที่แวดล้อมไปด้วยเด็กๆ ซึ่งมีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าว

เขาเคยนั่งรถลงจากพิษณุโลกไปหาอยู่สองครั้ง...พักโรงแรมราคาประหยัด ฝนทิพย์ขับรถมาหาเขาพากันไปนั่งทานในอาหารร้านหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา...ความแตกว่าฝนทิพย์มีแฟน เมื่อพ่อกับแม่ของหญิงสาวบังเอิญมาพบ...เขาถูกพ่อแม่ของฝนทิพย์ซักไซ้ถึงอาชีพ...

อนาคตวิศวกร มีเงินเดือนสูง แต่หาใช่สเป็คที่พ่อแม่ของ  ฝนทิพย์ต้องการ...ลูกเขยบ้านนั้นต้องเป็นเจ้าของกิจการมากกว่าลูกจ้าง...ลูกเขามีอนาคตที่ดีกว่าคำว่าลูกจ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป...ฝนทิพย์มีโครงการเรียนต่อที่เมืองนอกหลังจากที่ต้องศึกษางานในครอบครัวสักปี...มันเป็นเรื่องกดดันในชีวิตของเขาครั้งแรก...พิสูจน์ว่าเขาพร้อมเป็นหัวหน้าครอบครัวโดยไม่ได้คิดถึงสมบัติของอีกฝ่าย...

ปากกาในมือปฐวีกดปลายแช่นิ่งอยู่อย่างนั้น ตัวอักษรที่เขียนไปแล้ว ไล่ผ่านสายตาแทนความคิดฟุ้งซ่าน...บันทึกนี้จะเป็นสายใยรักที่ช่วย ถักทอเขากับฝนทิพย์ไว้อีกนาน...เขาจะต้องบันทึกไว้ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร...ทำวันนี้ให้ดีที่สุด...

ปฐวีสูดลมหายใจเข้าปอดจนลึก นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาในวันนี้อีกครั้ง

 

‘และไม่เล่าไม่ได้เลยก็คือ หลวงพ่อองค์ดำ พระพุทธรูป ปางมารวิชัย องค์สีดำสนิทแกะสลักจากหินก้อนใหญ่ องค์พระมีรอยบิ่นที่ปลายจมูกและนิ้ว ท่านถูกฝังอยู่ในดินมานาน ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในศาลาด้านหลังบริเวณมหาวิทยาลัยนาลันทาทางเดินไปต้องผ่านทุ่งนา มีเด็กโขยงใหญ่เดินตามขอ ‘มันนี่’ เหมือนเคย...และเท่าที่พระครูอ้วนเล่าให้ฟังระหว่างรถวิ่ง หลวงพ่อองค์ดำนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก ถ้าเป็นบ้านวีก็คงเหมือนหลวงพ่อ     พุทธชินราชนั่นเอง ใครมากราบไหว้ขอพรอะไรก็จะ สมความปรารถนา ท่านเด่นดังทางด้านโรคภัยไข้เจ็บ

...แน่นอนว่า หลายๆ คนในคณะดูตั้งใจเต็มที่...อย่าง  ลุง สุขสันต์ พี่สมรักษ์ ซึ่งเคยมาอินเดียหลายหนแล้วบอกว่า ตั้งใจมางวดนี้ก็เพื่อมาแก้บน...บนไว้ว่าถ้าทำธุรกิจเจริญรุ่งเรืองจะกลับมากราบท่านบ่อยๆ ส่วนคนที่ปวดเมื่อยบ่อยๆ อย่าง   แม่ชีทองดี ป้ากาญจนา ก็บอกว่าขอให้สุขภาพแข็งแรง อย่าง  ป้ากาญจนานี่เมื่อเห็นองค์ท่านที่ตั้งอยู่ในศาลาสังกะสีแล้วถึงกับหลั่งน้ำตาร้องไห้โฮๆ วีตกใจ... ไม่เข้าใจ แต่เมื่อนึกหวนถึงอดีตที่เจริญรุ่งเรืองขององค์พระ นึกถึงที่ที่ท่านต้องเคยประดิษฐานก็อดสลดหดหู่ใจไม่ได้...

หลวงพ่อบอกว่าชาวบ้านหวงองค์ท่านกันมากเลยนะ ไม่ให้ทางการเคลื่อนย้ายไปไหน เป็นประหนึ่งเทพเจ้าที่คอยคุ้มครองปกปักรักษา

อยากรู้ไหมว่าวีอธิษฐานขออะไร...นอกจากขอให้ได้แต่งงานกับฝนแล้ว วีก็ขอให้มีงานทำที่ได้เงินเยอะๆ สบายๆ (จะเป็นไปได้ไหมนะ) ขอให้สุขภาพของวีกับพ่อแม่แข็งแรง   ขอแค่นั้นเอง ฝนว่ามากไปไหม...พรุ่งนี้ต้องเปลี่ยนที่นอนอีกแล้ว เมืองกุสินารา คืนนี้ดึกเต็มที วีนอนก่อนนะ คนดีฝันดี...วี คิดถึงนะ...’

 

ดวงรัศม์ค่อยๆ ไขกุญแจแล้วผลักประตูเข้าไป...คุณป้าแววเปิดไฟสว่างทันที...หน้าตาของคุณป้าบึ้งตึง...ดวงรัศม์รู้ว่ามันหมายถึงอะไร

“ก็ดวงเหงาอยากมีเพื่อนคุย”

“เบื่อป้างั้นซิ”

“อยากคุยกับคนรุ่นเดียวกันก็เท่านั้น” ดวงรัศม์เลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ หยิบแปรงมาสีฟัน หันซ้ายหันขวาดูกระจก สามวันแล้วที่ใบหน้าของหล่อนถูกแสงแดดแผดเผา...รู้สึกได้เลยว่ามันหมองคล้ำไปเยอะ แต่ไม่เป็นไร กลับไปค่อยๆ เข้าคอร์สฟื้นฟู...

ออกมาจากห้องน้ำคิดว่าคุณป้าหลับไปแล้ว...แต่คนแก่หลับยากตื่นง่าย ข้อนี้ดวงรัศม์รู้ดี...ตั้งแต่เกษียณอายุราชการออกมา   คุณป้าแววเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของหล่อนมากขึ้นตามไปกองถ่ายก็บ่อยครั้ง... จนช่วง หลังๆ เข้ามาวุ่นวายกับเสื้อผ้าและบทบาทที่ล่อแหลม...ผู้จัดละครเริ่มบ่นที่หล่อนไม่สามารถเก็บผู้คุ้มกฎไว้ที่บ้านได้...บอกป้าแววเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่า ‘แค่งาน’ แต่ป้านั้นหาคลายห่วงใย...

‘ป้าห่วงถึงชาติหน้าด้วย’ ป้าแววเคยบอกอย่างนั้น...

‘ทำให้คนมีกิเลสหนาพอกพูน มันบาปเหมือนกัน...ออกจากวงการได้ก็ออกมาเถอะ...ได้แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว...หรือถ้าอยากอยู่ต้องให้เบากว่านี้หน่อย ป้าพอรับได้’

ตลกสิ้นดี สัญญายังอยู่อีก 5 ปี ถึงเธอไม่ทำคนอื่นก็ทำ   เธอผิดอะไร เธอไม่ได้แก้ผ้าเล่นหนังโป๊ แค่เป็นนางเอกแกนนำของช่องในเรื่องเอ็กส์ อึ๋มมั่นใจกว่าเมื่อก่อนเท่านั้นเอง...

และอีกอย่างเธอยังขายได้ตลาดยังต้องการ แล้วทำไมไม่รีบโกยไว้...และถ้าให้อยู่อย่างธรรมดา เธอก็ไม่คิดจะอยู่ เพราะภาพของคือ สาวมั่น หาใช่นางเอกแบบนางชี...

“เล่นกับเด็ก ถ้าเด็กมันคิดมากขึ้นมา...ก็ถือว่าบาปนะ”

ดวงรัศม์หัวเราะคิกๆ ...ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้าแล้วตะแคงข้างหันหลังให้...