มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน
รัก,ผู้ใหญ่,ชอนตะวัน,แสงดาวไอดินอินเดีย,แสงดาว,ไอดิน,อินเดีย,รัก,ผู้ใหญ่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แสงดาว ไอดิน อินเดียมากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน
มากกว่าความรักของคนหนุ่มสาว คือแรงศรัทธาที่เพิ่มพูน กลิ่นอายความรักท่ามกลางความแตกต่าง ทั้งเรื่องฐานะ อายุ สถานภาพทางสังคม ที่อบอวลไปด้วยความดีงามภายในจิตใจของคนสองคน ก่อเกิดบนเส้นทางแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย 'ปฐวี' วิศวกร วัย 22 ปี รอเรียกเข้าทำงาน เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อช่วยน้าสาวทำหน้าที่ลีดเดอร์ทัวร์ หัวใจของเขาต้องมาหวั่นไหว เมื่อได้พบดาราสาว เจ้าบทบาท 'ดวงรัศม์' ผู้ร่วมทริปครั้งนี้ แม้ทั้งสองคน พยายามปฏิเสธความต้องการของหัวใจ เพราะรับรู้ถึงความแตกต่าง และปัญหาที่จะตามมา แต่สุดท้าย ความรักที่เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความเลื่อมใสศรัทธา กลับกลายเป็นความเข้าอกเข้าใจกันและกัน จนยากลืมเลือน....
'ชอนตะวัน' อีกหนึ่งนามปากกา ของ 'จุฬามณี' ผู้เขียน ชิงชัง กรงกรรม สุดแค้นแสนรัก ทุ่งเสน่า และ วาสนารัก
“ดวงออกไปเดินเล่นกับป้าไหม”
“ไม่ค่ะ...ดวงอยากพัก...เหนื่อย เมื่อยและเบื่อมากๆ อยากกลับบ้าน อยากกินสเต๊ก อยากเข้าร้านสระผม อยากนวดหน้า อยากไปสปา...อยากเข้าฟิตเนส” หญิงสาวกอดหมอนคว่ำหน้าบึ้งตึงอยู่บนเตียงเดี่ยวของห้องพักในวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์
“คงอนุญาตได้แค่ให้พัก งั้นก็นอน...นอนให้หลับล่ะอย่าได้ออกไปเพ่นพ่านตรงไหน”
“ดวงสงสัยว่ามันได้บุญหรือคะ” คำถามนั้นห้วนสะบัด ป้าแววชะงักมือจากประตูไม้บานหนาหนัก...
“แล้วทำไมดวงคิดว่าไม่ได้บุญละ”
“อารมณ์เสียทั้งวัน จะได้บุญอย่างไร”
ถนนที่รถวิ่งจากเมืองราชคฤห์สุดแสนจะนำความทุกข์ทรมานมาให้ มันกระแทกกระทั้น จนไส้ในสะเทือนและยิ่งจุดหมายปลายทางคือเมืองกุสินาราอยู่ในเวลาพระอาทิตย์ใกล้อัสดง หมายถึงต้องทนกับแอร์คอนดิชั่นที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อกับกลิ่นหวานคาวของอาหารยาวนานเป็นสิบชั่วโมง
หมดโอกาสกลั้นปัสสาวะเพื่อเข้าห้องน้ำพอมีความสะอาดอย่างเมื่อวาน หมดสิทธิ์กับอาหารกลางวันบนยอดเขาที่ปราศจากฝุ่นละออง มื้ออาหารคาบนั้น ถูกคุณภานุมาศสั่งให้แจกจ่ายในขณะที่รถวิ่ง...ข้าวผัดรสชาติห่วยๆ กระเด็นไปทาง ปากที่รออาหารไปอีกทาง
...จนกระทั่งคุณลุงประพนธ์กับ คุณลุงวิชัยโวยวายว่าให้จอดรถกินข้าวเถอะ...
หน้าคุณภานุมาศไม่ชื่นที่ถูกชี้แนะในทางที่น่าจะคิดได้เอง...
รถหยุดที่ข้างทางหาใช่ร้านค้าที่คนขับรถบรรทุกนิยมกินแล้วนอนเอนพุง อย่างที่พระครูอ้วนเคยชี้ให้ดู
...เมื่อรถบัส 39 ที่นั่งหยุดนิ่ง...โยมผู้ชายนิมนต์พระสงฆ์ให้ลงไปนั่งฉันมื้อเพลที่ร่มไม้ข้างล่าง โดยใช้ผ้ายางปูรอง ส่วนผู้หญิงจะตามลงไปร่มไม้คับแคบแถมฝุ่นตลบอบอวล ตามพื้นดินก็มีขี้วัวและเศษถุงพลาสติกระจัดกระจาย จึงทนนั่งกินข้าว ผลทับทิม กับขนม ‘ขาชา’ ที่ซื้อไว้ตั้งแต่เมือง นาลันทา และกล้วยหอมที่ซื้อตอนรถวิ่งผ่านเมืองปัตตานะ
และที่สำคัญเมื่อรถวิ่งออกมาได้หน่อยหนึ่ง เธอรู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วน ปวดหนักจนต้องให้คุณป้าเดินไปบอกท่านพระครูอ้วนที่นั่งอยู่ด้านหน้า...รถบัสหาปั๊มน้ำมันไม่ได้ แต่ก็หยุดที่สี่แยกหนึ่งซึ่งมีร้านค้าร้านอาหารตั้งเรียงราย ด้วยอั้นไว้ไม่ไหว เธอจึงกลั้นใจปล่อยของเสียในส้วมที่สภาพดูไม่ได้...
และเมื่อเธอเดินขึ้นรถ ก็ได้ยินเสียงยายปากปลาร้าวรรณดีเอ่ยออกมาว่า...
“รักษาศีลแปดไม่ดีก็อย่างงี้แหละ”
อยากจะซัดซักเปรี้ยง ก็เมื่อวานตอนบ่ายด้วยเห็นส้มที่ซื้อจากหน้ามหาวิทยาลัยนาลันทามันน่ากินเธอก็เลยลองชิมดู...ชิมไปชิมมาระหว่างที่นั่งรถกลับวัดไทยสิริราชคฤห์ เห็นว่ารสชาติมันดีเธอก็เลยซัดไปเสียสามผล ส่วนเรื่องศีล 8 อะไรที่เขารักษากันเธอไม่สนหรอก...แม้มื้อเย็นจะไม่ค่อยได้กินแต่เธอก็ไม่ปรารถนาอดอยากปากแห้งแบบนี้ อดแล้วได้อะไร นอกจากความหงุดหงิด แถมนอนไม่หลับอีกต่างหาก...
“หงุดหงิดเรื่องอะไรแน่” ป้าแววกลับมานั่งลงที่ข้างเตียง“เพื่อนของเพื่อนคุณป้านั่นก็ปากดีจัง คนท้องเสียก็เอาเรื่อง
ศีลมาอ้าง...ดวงยังเห็นแม่ชีทองดีเคี้ยวบิสกิตตอนเย็นมาสามวันแล้ว”
“นั่นเขาต้องกินยา มันก็ต้องมีอาหารรองท้อง”
“ดวงก็กินยาก็ได้...เดี๋ยววันนี้ดวงจะออกไปหาบิสกิตมากินบ้าง แล้วดวงก็กินยาแก้แพ้อากาศสักสองเม็ด...ฝุ่นทั้งนั้น แบบนี้ทำได้ไหมคะ”
“ใจเย็นๆ ...อย่าพาลซิ”
“ไม่ได้พาล และพรุ่งนี้มีกิจกรรมอะไรที่ไหนตรงไหน ดวงไม่ไปนะคะ วัดนี้สะอาดห้องพักดี ไม่มีกลิ่นสาบติดผ้า...ดวงอยากพักอยากหลับเอาแรง”
“ไม่ไปไม่ได้นะดวง สถานที่ปรินิพพานเลยนะสำคัญมากๆ”
ดวงรัศม์ถอนหายใจออกมาแล้วซบหน้าลงกับหมอน... ไม่อยากฟังคำเกลี้ยกล่อมแกมบังคับ
“ทำใจให้สบายๆ เรามาเอาบุญนะ เราได้หรือไม่ได้บุญ เราย่อมรู้ตัวเราเองดี” ป้าแววรู้ใจ เพราะเลี้ยงมา มันต้องปะเหลาะแบบนี้
ป้าแววออกไปแล้ว ดวงรัศม์รู้สึกว่าใจเย็นขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อใจเย็นแล้วเธอจึงลุกจากเตียงสำรวจด้านหลังห้องพัก...ห้องน้ำที่วัดนี้สะอาดสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องน้ำพร้อมสรรพเลย มีทั้งน้ำร้อนน้ำเย็น มีห้องขับถ่ายแยกจากห้องอาบน้ำ มีเคาน์เตอร์กระจกก็กว้างขวาง แถมน้ำที่อ่างล้างมือก็ยังมีสองระบบ มีราวตากผ้าให้อีกต่างหาก
เมื่ออาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีขาวสะอาดตาเรียบร้อย ดวงรัศม์ออกจากห้องพักมาที่ระเบียงด้านหน้าห้อง ไฟจากหลอดตะเกียบส่องเป็นทางยาวทำให้รู้สึกสงบขึ้นมามากขึ้น
...ใจของหล่อนหวิวๆ ความสำนึกผิดเกิดขึ้นมา หล่อนพูดไปได้อย่างไรว่าจะไม่ไปที่ปรินิพพาน
...ในหนังสือพุทธประวัติให้ความสำคัญกับสถานที่ตรงนั้นเป็นอย่างมาก
...พระพุทธองค์ถึงกับตรัสกับพระอานนท์ว่า
‘อานนท์ สังเวชนียสถาน ทั้ง 4 แห่งคือ ที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และที่พระตถาคตปรินิพพาน สถานที่ทั้ง 4 แห่งนี้ ควรที่พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสในตถาคตควรจะดูควรจะเห็น และควรให้เกิดความสังเวช เพราะว่าผู้ที่ไปดูสังเวชนียสถานเหล่านี้ด้วยความเลื่อมใสแล้ว ครั้นตายไปย่อมเข้าถึงสุคติในโลกสวรรค์’
ถึงหล่อนไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่หล่อนก็ไม่อยากตกนรก และแค่ไปเห็น ไปดู ยังได้ไปสวรรค์
หล่อนลำบากลำบน เสียงาน เสียเงินมาจนเห็นสวรรค์รำไร... ไม่ไปก็โง่เกินคน
ขณะที่นั่งทบทวนถึงศรัทธาที่อ่อนล้าไม่เท่าคนอื่นๆ กับศีลที่พร่องไปของตน ความไม่สบายใจก็เกิดขึ้น...คนอื่นๆ เขามาเอาบุญกัน...มาอย่างยากลำบากด้วยซิ ที่ได้ยินมา บางคนยังทำงานมีบำเหน็จบำนาญ บ้างก็เป็นเจ้าของธุรกิจ บ้างก็มีลูกเต้าส่งเสียเลี้ยงดูอย่างดี มีสมบัติพัสถาน
แต่แม่ชีพัชรีกับแม่ชีเกสรนี่ซิ บวชเพราะเหตุแห่งทุกข์ใจ อย่างแรงตั้งแต่อายุยังน้อยเมื่อมาบวชอยู่วัดนานๆ เงินทองที่มีจึงร่อยหรอไป...แต่ความศรัทธาความอยากหาได้ลดลง...
แม่ชีทั้งคู่เล่าว่าถึงขนาดอธิษฐานจิตว่า
‘ชาตินี้ขอให้มีโอกาสเดินตามรอยบาทพระศาสดา ให้เป็นอัศจรรย์ด้วยเถิด’
ความอัศจรรย์เกิดขึ้น เพราะทั้งสองคนมาโดยมีเจ้าภาพให้การสนับสนุน...มีคนช่วยจ่ายเงินให้เพื่อให้มาเอาบุญติดตัว
อย่างแม่ชีทองดี ป้ากาญจนาและอีกหลายๆ คน สังขารนั้น ร่วงโรย จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอยก็ยังมา...
สำมะหาอะไรกับหล่อนที่พร้อมทั้งร่างกาย เงินทองขาดแต่จิตที่มีศรัทธาเท่านั้น...
ดวงรัศม์กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ค้นกระเป๋าหยิบหนังสือ พุทธประวัติเล่มกะทัดรัดของสำนักพิมพ์เลี่ยงเชียงออกมา... ตามโปรแกรมแล้วยังเหลืออีกตั้ง 8 วัน 7 คืน และที่สำคัญๆ อีกสองที่ นั่นก็คือ สถานที่ประสูติ และแสดงปฐมเทศนา อย่างไรเสีย หล่อนจะต้องมีศรัทธากราบทุกจุดด้วยหัวใจที่พองโตด้วยศรัทธาให้ได้...
เมื่อคิดได้แล้วดวงรัศม์จึงลุกจากจุดที่ตนนั่งอยู่ไปยังจุดที่วางรองเท้าของตนไว้...แน่นอนว่าตอนนั้นเธอแทบไม่ได้จัดเรียงรองเท้าให้เป็นระเบียบ แต่เมื่อจะหยิบมาสวมจึงได้เห็นว่า รองเท้าที่วางอยู่ตรงนี้วางได้มุมได้องศาอยู่บนชั้น...ความสำนึกผิดจึงเกิดขึ้นมาอีก...เธอแย่กว่าคนอื่นๆ ถึงขนาดนี้เลยหรือ...
...ตั้งมั่นใหม่เป็นครั้งที่ 2 ดวงรัศม์สวมรองเท้าและเดินไปยัง พระมหาเจดีย์ที่มีการประดับประดาไฟจนสวยงาม...มีคนอื่นๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิ และบางคนก็จุดธูปเทียนทำการสักการะ...ท่ามกลางอากาศที่เย็นฉ่ำ
ดวงรัศม์ยกมือพนมจรดหน้าผากแล้วระลึกว่า ‘ขอให้สมความปรารถนาทุกประการ’
ถูกต้องหรือ...แบบนี้คือสิ่งที่คนอื่นๆ คิดกันหรือเปล่า แต่เวลาทำบุญเธอก็พูดในใจง่ายๆ แค่นี้ บทอธิษฐานจิตแบบยืดยาวที่ป้าแววให้มา ก็ขี้เกียจอ่านขี้เกียจจำ...
ร่างแบบบางพลิกหนังสือในมือไปยังหน้าที่เพิ่งอ่านผ่านไป...
สักการะมีสองแบบ...
อามิสบูชา ดอกไม้ของหอม...
ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม
ดวงรัศม์มองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกอิ่มเอมขึ้นมา ความสงบความอบอุ่นเหมือนปลิวมากับอากาศแล้วห่อหุ้มจนรู้สึกอบอุ่น
...สวรรค์ สบายใจแบบนี้คือสวรรค์หรือเปล่า...
ดวงรัศม์ครุ่นคิด...เริ่มมองเห็นความแตกต่างของความรู้สึกเวลานี้กับเวลาที่อยู่หน้ากล้อง เวลาที่เดินอยู่บนเวที เวลาที่ให้สัมภาษณ์ไม่ตรงกับความเป็นจริง...แล้วหญิงสาวก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเข้าข้างตนเอง ก็มันเป็นงานนี่...ไม่ได้ลักขโมยปล้นฆ่าใครเขา...
แล้วสายตาของดวงรัศม์ก็เห็นร่างของชายหนุ่มที่เธอเริ่มคุ้นเคยโผล่มาจากมุมของพระมหาเจดีย์ที่มียอดแหลมหลายสิบยอด และเขาก็มองเห็นหล่อนที่ยืนอยู่เช่นกัน...
...ดวงรัศม์ยิ้มให้ขณะชายหนุ่มเดินมาหา ในมือของเขามีกล้องดิจิตอลขนาดบางเบารุ่นยอดนิยมเพราะพกพาสะดวก...
“ทำอะไร” ถ้าอยู่เมืองไทยคงไม่มีทางที่เธอจะทักทายเขาก่อนเป็นแน่
“ถ่ายรูปครับ คุณ”
“ดวง...กับวี” ดวงรัศม์เอ่ยชื่อที่เธอต้องการให้เขาเรียก
“ครับ ดวงจะไปไหน ทานน้ำปานะหรือครับ”
“วันนี้ ไม่กินหรอก ตื้อๆ อย่างไรก็ไม่รู้...ไม่ได้เอามาออกมาจากห้องด้วย อยากกินหรือไง”
“เปล่า...ผม...เอ๊ย วีกินแล้วครับ วัดนี้มีจุดบริการน้ำปานะที่สะดวกกว่าวัดที่ผ่านมา...มีน้ำมะตูม มีโอวัลตินให้ชงด้วย ก็เลยซัดไปเสียสองแก้ว...ไม่หิวแน่นะครับ”
ดวงรัศม์ส่ายหัว...พลางจ้องหน้าของเขา...
“อากาศเย็นกำลังดี” ปฐวีชวนคุยเรื่องอื่นพลางส่งสายตาไปยังท้องฟ้าเบื้องบน...
“ดวงรัศม์แปลว่าอะไรหรือครับ” ปฐวีถามหันกลับมามองหน้าหญิงสาวที่ดูอ่อนล้าผิดกับวันก่อนๆ
“แปลว่าดวงดาวที่มีแสงสว่าง ดาวฤกษ์มั้ง ดวงรัศมี...ดวงดาวที่มีแสง จะแปลว่าพระอาทิตย์ก็ได้...แล้วแต่...คุณพ่อว่าอย่างนั้น”
“ดวงมีพี่น้องกี่คน”
“ไม่เคยอ่านสัมภาษณ์ดวงเลยหรือ”
ปฐวีส่ายหน้าปฏิเสธด้วยใบหน้าแหยๆ จะบอกอย่างไรดีละว่าเขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเธอนอกจาก ฉายาพากันเรียกในหมู่เพื่อนๆ เมื่อเห็นดาราสาวๆ เปิดอกวับๆ แวมๆ ว่า
‘………’
แต่หากเอ่ยออกไปตามความเป็นจริงคงถูกตบแน่ๆ ...
“ดวงมีน้องชายสองคน คงรุ่นๆ เดียวกับวีแหละ...ชื่อ ดาวเหนือ กับแสงใต้ ดาวเหนือเกิดที่เชียงราย แสงใต้เกิดที่ปัตตานี”
“แล้วดวงเกิดที่ไหน” ปฐวีเก็บกล้องไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วเลื่อนมือมากอดอก มองหญิงสาวซึ่งมีดวงหน้าลอยเด่นอยู่เกือบระดับสายตาของเขา ไม่ต้องก้มลงเหมือนเวลาที่คุยกับฝนทิพย์...
“ดวงเกิดกรุงเทพฯ เกิดวันอาทิตย์ ก็เลยร้อนแรงตลอด...แล้ว วีล่ะมีพี่น้องกี่คน”
ปฐวีคลายมือมาชูนิ้วกลางให้ดวงรัศม์ได้เห็น หญิงสาวมองตาของเขาแล้วถลึงตาใส่...
“ทะลึ่ง”
“ดวงคิดไปเองนะ วีกำลังจะบอกว่า ลูกชายคนเดียว...ต่างหาก”
คนทั้งคู่หัวเราะให้กัน...
“ไปคุยกันตรงอื่นดีกว่า รบกวนใครหรือเปล่าก็ไม่รู้” ทั้งคู่เดินหน้าไปที่ลับตาคน คืออีกประมาณยี่สิบก้าว...
“วันนี้วีไม่เขียนบันทึกอะไรหรือ”
“ยังเลยครับ”
“รักกันมานานหรือยัง” ถามเขาไป...แล้วรู้สึกโหวงเหวงใน หัวอกอย่างประหลาด...บอกไปใครจะเชื่อว่าผู้หญิงสวยสง่าอย่างดวงรัศม์นั้นไม่มีแฟนที่คบหาดูใจให้ความอบอุ่นกันจริงๆ ...
“รักกันมา” ปฐวีทำตาลอยๆ มีสีหน้าครุ่นคิด
“แสดงว่ารักกันไม่จริง ถ้ารักกันจริงจะต้องจำได้นะว่ากี่ปี กี่เดือน และก็กี่วันแล้ว”
“ผมก็กำลังคำนวณอยู่ไง”
“แหวะ” ดวงรัศม์ทำหน้าเลี่ยน
“สรุป 2 ปี 9 เดือน 11 วัน นับตั้งแต่เราเจอกัน”
“จำได้จริงๆ ...เล่าดิ๊เล่า” ดวงรัศม์ทำหน้าไม่เชื่อ
“อย่าเลยครับ...วีอยากเก็บไว้ในใจของวีมากกว่า แล้วดวงล่ะไม่เห็นเล่าอะไรให้ผมฟังบ้าง”
“ตามหน้าหนังสือนิตยสารไง ใครๆ ก็รู้เรื่องของดวงทั้งประเทศ”
“ไม่ใช่วีแน่ๆ วีไม่ได้ใส่ใจพวกดาราเลยจริงๆ นะ ชีวิตวีมีแต่เรียน บ้าน สนใจมากขึ้นมาอีกนิดก็กล้อง งาน ประวัติสงครามโลก ฟุตบอล ฟังเพลงร็อค แค่นั้นเองครับ เรื่องดาราอะไรนี่ไม่เคยอ่าน ไม่เคยรู้อะไรนอกจาก” เขารีบเอามืออุดปาก
“หมายความว่าไง” ดวงรัศม์แกล้งต่อยที่หน้าอกของเขา...
“ปะเปล่าครับ” คนทั้งคู่มองตากันจนปฐวีเห็นว่าหญิงสาวไม่หนีสายตาเขาแน่ เขาจึงต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาพราวเสน่ห์ของหล่อนเสียก่อน...เขารู้สึกว่าดวงรัศม์เข้ามาหาเขาด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ... กลัวว่าเธอจงใจมาโปรยเสน่ห์ให้หลงใหล...แล้วก็ต่างคนต่างไป...โดยที่เขาคิดไปเองฝ่ายเดียว...
“สี่วันสี่คืนแล้ววีได้อะไรบ้าง”
“วีว่าวีได้นะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าได้อะไร” ปฐวีเอียงคอทำ สีหน้าครุ่นคิด “วีว่าวีโชคดีมากๆ ที่ไม่ได้เกิดที่นี่ และวีก็ว่าเมืองไทยน่าอยู่มากๆ วีนึกถึงลูกชิ้นปิ้งที่หน้าบ้าน วีนึกถึงไก่ย่างที่แสนอร่อย นึกถึงขนมจีนน้ำยา ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู ข้าวมันไก่ที่ร้าน”
“พอๆ เลย น้ำลายไหล อย่าพูด เอาอะไรที่มันเป็นงานเป็นการหน่อยซิ”
“วีว่าวีอยากลองบวชดูบ้าง...รู้สึกอยากลอง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้”
“มีแฟนแล้วจะบวชได้อย่างไร แฟนร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“ก็อยากบวชสักพรรษา อยากอยู่วัดนานๆ หน่อย ตอนที่นั่งสมาธิ บางทีก็รู้สึกสงบ บางทีก็เบื่อๆ แต่บางครั้งก็สุขอย่างบอกไม่ถูก...เป็นบ้างไหม”
ดวงรัศม์พยักหน้า...
“ดวงก็ว่าดีนะที่ได้มา ถึงแม้ว่าถนนมันจะเน่าไปหน่อย”
“แค่ถนนเหรอ” ปฐวีย้อนถาม
“ถ้าพูดไปคนอินเดียมาได้ยินจะได้ตบปากให้นะซิ...เฮ้ย...วันนี้ดวงได้คิดนะว่าดวงยังมีโอกาสแก้ตัว” ดวงรัศม์ชูหนังสือพุทธประวัติในมือให้ปฐวีได้ดู
“ยังอ่านไม่จบอีกเหรอ เล่มบางนิดเดียว”
“จะว่าจบก็จบ จะว่าไม่จบก็ไม่จบ อ่านทีละนิด ข้ามไปข้ามมาด้วย พอจะมากุสินาราก็ข้ามมาอ่านตอนปรินิพพานก่อน...นี่กะว่าพอจะกลับไปพุทธคยาก็จะย้อนกลับไปอ่านตอนตรัสรู้...วีอ่านหรือยัง อ่านมาบ้างหรือเปล่า”
ปฐวีส่ายหัว...
“ยืมไหมอ่านหนังสือเร็วไหม อ่านไหม ดวงว่าดีนะ”
ปฐวีรับหนังสือเล่มสีเขียวมาถือไว้ จ้องมองหน้าปกท่ามกลางแสงไฟจากไฟสนามที่แสงบางเบา “พุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี” คนละเล่มกับที่เขายืมพี่นิตยามาอ่าน
“คุณป้าหามาให้ บอกว่า อ่านง่ายๆ สบายๆ สำหรับ พระบวชใหม่พรรษาแรก ในห้องยังมีเล่มอื่นๆ อีกสองเล่ม เกี่ยวกับ สี่สังเวชนี่แหละ วีเอานี่ไปอ่านก่อนแล้วกัน ดวงจะลองหยิบเล่มอื่นมาอ่านดูบ้าง”
“ขอบคุณนะครับ”
“เขาเรียกว่าอะไรนะ บุญๆ”
“อนุโมทนาบุญครับ”
“ถ้าวีบวชไม่สึก ดวงก็ได้บุญด้วยใช่ปะ”
ปฐวีแกล้งไอแคกๆ
“คงไม่ถึงอย่างนั้นหรอกครับ...แค่อยากบวชสักพรรษาเท่านั้นเอง”
“เผื่ออกหักไง”
“ไม่มีทางหรอกครับ”
“มั่นใจ”
“ไม่มั่นใจ...แต่ว่า ถ้าบวชนานๆ ก็คงไม่ใช่เพราะอกหัก”
แน่นอนว่าทุกวันนี้เขาทำใจเรื่องนั้นไว้เยอะพอควร หากเขากับฝนทิพย์ไม่สมหวังเพราะเรื่องของผู้ใหญ่ เขาก็คงไม่เสียใจอะไร ถ้าเขาจะเสียใจ ก็คือเรื่องที่ฝนทิพย์หักอกของเขา...แต่เขาก็ยังไม่เคยอกหักจึงไม่รู้ว่ารสของความเจ็บช้ำเป็นอย่างไร...
ขณะที่ทั้งสองคนยังยืนคุยกันอยู่ที่ริมถนนหน้าพระมหาเจดีย์ ร่างสตรีในชุดขาวก็ค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นทางทิศตะวันตก...
“ดวง”
“ไหนว่าปวดหัวนอนพักไง” คุณวรรณดีที่เดินมากับคุณ ป้าแววเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยาะๆ นั่นก็หมายความว่า ‘เธอตอแหลกับคุณป้าแล้วออกมาหาชายหนุ่ม’ อารมณ์กรุ่นเกิดขึ้นในใจของดวงรัศม์ทันที
“พอดีจะไปที่โรงน้ำปานะแต่เจอวีตรงนี้ก็เลยคุยกันค่ะ คุณป้า” ดวงรัศม์เน้นคำว่าป้า ด้วยอยากให้คุณวรรดีรู้ว่าหล่อนไม่อยากเจรจาด้วย...
“แล้วกินหรือยังละ รีบไปซิเขาจะเก็บแล้ว”
“งั้นดวงไปก่อนนะคะ” ดวงรัศม์หันไปหาปฐวี
“ไปเป็นเพื่อนดวงหน่อยซิวี...ไม่รู้วัดนี้มีหมาเหมือนวัดในเมืองไทยหรือเปล่า”
เมื่อเดินพ้นจากกลุ่มคุณป้าและกลุ่มเพื่อนร่วมทริป ปฐวีก็เอ่ยออกมาว่า “ดวงไปว่าเขาทำไม”
“ปากอย่างนั้น เก็บไว้ทำไม...นี่แหละ ทุกวันนี้เบื่ออยู่อย่างเดียว คนมันพร้อมที่จะตีความในทางแย่ๆ ไปเสียหมดแล้ว ดวงขยับทำอะไร มันจะมีข่าวเป็นอีกแบบตลอด”
“ยังไม่ชินหรือครับ”
“ไม่รู้ที่อินเดีย หรือที่มากับเรามีใครเป็นพวกปาปารัชซี่หรือเปล่า...ดวงรัศม์ควงเด็กหน้าใสย่ำอินเดีย ดวงรัศม์หนีบหนุ่มรุ่นน้องไหว้พระ ดวงรัศม์เปลี่ยนไปเข้าวัด...เป็นเพราะอะไรหรือเพราะใคร?...ถ้ามีข่าวแบบนี้ดวงจะกรี๊ดใส่วีเลยนะคอยดูซิ”
“เราคบกันแบบเพื่อน เราบริสุทธิ์ใจนี่ครับ” ปฐวีรู้สึกว่า ดวงรัศม์เดินเร็วกว่าฝนทิพย์ เขาสาวเท้ายาวๆ คู่ไปกับหญิงสาวที่มีขายาวเหมือนนกกระยาง หรือเป็นเพราะว่าหล่อนกำลังอารมณ์ไม่ดีจึงเดินตามอารมณ์
“ใครว่าดวงบริสุทธิ์ใจ”
“อ้าว” ปฐวีทำเสียงตกใจ
“ล้อเล่นน่า...ก็วีมีแฟนอยู่แล้วนี่”
“ไม่ใช่ว่าวี มีแฟนอยู่แล้วหรอกครับ วีว่าเป็นเพราะวีมันต่ำต้อยต่างหาก ผู้หญิงสูงส่งที่ไหนจะลดตัวลงมา” อยู่ๆ ปฐวีก็นึกถึงมุมนี้ขึ้นมา...มันเป็นอารมณ์ที่บั่นทอนคุณค่าในตัวเองของเขาได้ทีเดียว
ดวงรัศม์หยุดชะงักฝีเท้า...ปฐวีเดินเลยไปแล้วก็หยุดก้าวพร้อมกับหันมามองหน้าหญิงสาว
“ทำไมคิดว่าตัวเองต่ำต้อย ดวงไม่เคยคิดว่าวีต่ำต้อยกว่าดวงเลยนะ” ดวงรัศม์เสียงดังขึ้นกว่าเดิมเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด คนอื่นๆ ไม่เข้าใจเธอ แต่เธอไม่คิดว่าหมอนี่จะไม่เข้าใจเธออีกคน
“ดวงรัศม์เป็นดาราอยู่บนฟ้าสูง ส่วนปฐวีเป็นแค่ดิน เป็นฝุ่นด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้...แค่ชื่อมันก็แตกต่างกันเห็นๆ ”
“ที่ดวงคุยกับวีไม่ใช่เพราะวีรวยหรือจน แต่ดวงชอบอัธยาศัยของวีต่างหาก วีเป็นเด็กที่น่ารัก รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ รู้จักวางตัวและไม่ฉวยโอกาส ไม่มองดวงอย่างที่ผู้ชายทั่วๆ ไปมันชอบมอง”
“ถ้าวีคิดกับดวงเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ด้วยล่ะดวงจะคบกับวีไหม”
“ถ้าดวงคบกับวีเพราะว่าวีใช้ทำอะไรได้ง่ายและต่ำต้อยกว่าละ วีจะคบกับดวงต่อไปไหม”
คนทั้งคู่จ้องตากัน...แล้วต่างคนก็ต่างเป็นฝ่ายเบือนหน้าไปอีกทางเสียก่อน
“เราคุยเรื่องอะไรกันเนี่ย” ว่าแล้วดวงรัศม์ก็แค่นหัวเราะ
ออกมา ปฐวีก็ถอนหายใจออกมาแล้วก็ยิ้มๆ ก่อนจะพาดวงรัศม์ไป
ยังโรงน้ำปานะ...
“กรี๊ดดดด ดวงรัศม์จริงๆ ด้วย” คนในคณะอื่นที่กำลังนั่งดื่มน้ำโอวัลตินอยู่สองสามคนลุกขึ้นแล้วปรี่เข้ามาหา หญิงสาวที่ยืนตกตะลึงอยู่หน้าโรงน้ำปานะ...
“เมื่อกี้เขาพูดกันก็ในโรงครัวก็ไม่เชื่อ นี่ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเองไม่เชื่อเด็ดขาด...ถ่ายรูป ถ่ายรูป” หญิงวัยกลางคนสามคนรีบส่งกล้องให้คนที่นั่งอยู่ในโต๊ะซึ่งมีท่าทีสนใจหล่อนน้อยกว่า แล้วก็ยืนล้อมเกาะข้างๆ กันด้วยท่าทีเบิกบาน ปฐวีเลี่ยงไปที่จุดบริการน้ำปานะก่อน...ดวงรัศม์มองตามร่างสมส่วนที่ดูนุ่มนวลไป...
“มองกล้องครับหนูดวง...แหมสวยจริงๆ เลย...1-2-3”
แสงแฟลชทำงาน กล้องแล้วกล้องเล่า...คนแล้วคนเล่า...
“ตาย มัวแต่รบกวนเวลาหนูดวงเขา แต่บุญของเราจริงๆ นะเนี่ยที่ได้เจอหนูดวงที่อินเดีย...ปล่อยให้หนูไปกินอะไรกับแฟนเขาก่อนเถอะ...แฟนใช่ไหม...คนนอกวงการนี่”
ดวงรัศม์อยากจะปฏิเสธ แต่คิดแล้วก็ไม่มีประโยชน์...จะเป็นปฐวีหรือเป็นใครๆ ที่ผ่านเข้ามาสักสิบยี่สิบคน มันก็แค่เป็นข่าวเก่ากับข่าวใหม่
หลังจากคนทั้งคณะ เลิกสนใจหล่อน ดวงรัศม์ก็สอดสายตามองหาคนที่มากับตัวเอง ปฐวีนั่งอ่านหนังสือพุทธประวัติอยู่ในมุมลับตาคนมุมหนึ่ง...เมื่อเธอเดินไปถึง เขาวางหนังสือแล้วจับแก้วโอวัลตินยื่นให้ “ขอบใจนะ” ดวงรัศม์รับแก้วมาแล้วหมุนตัวไปนั่งหันหลังให้ชายหนุ่มที่โต๊ะตัวยาว เมื่อจิบน้ำโอวัลตินไปได้อึกหนึ่ง เธอก็หันมาหาชายหนุ่มที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
“วีจะกลับห้องก่อนก็ได้นะ ดวงกลับห้องเองได้”
“ไม่เป็นไรครับ รอได้”
“ต้องเขียนบันทึกไม่ใช่หรือ ไปเถอะ ดวงกลับเองได้”
ยังไม่ทันที่ปฐวีจะปฏิเสธ พอดีกับที่ป้าแววของดวงรัศม์เดิน
กลับเข้ามาพร้อมกับน้าภานุมาศของเขา
ดีนะที่เขากับดวงรัศม์ไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันเหมือนวันก่อน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ดูคุณป้าแววของหญิงสาวคลายความกังวลลงได้บ้าง แต่น้าภานุมาศของเขานี่ซิ...แม้ยังไม่เอ่ยอะไรออกมาเขาก็รู้ว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว “วีเดี๋ยวกลับห้องไปช่วยน้าทำงานหน่อย”
เมื่อเห็นว่าดวงรัศม์นั่งอยู่กับป้าแววของหล่อน ปฐวีจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาลุกออกจากโรงน้ำปานะตามคุณน้าไปเฉยๆ เมื่อเดินตามกันมา ระหว่างทางคุณน้าก็เอ่ยมาว่า...
“คุณแววไปบอกน้าว่าให้เตือนเธอให้หน่อย ว่าอย่าใกล้ชิดกับหลานเขามากนัก”
“ฮะ”
“เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงความรู้สึกของเธอน่ะ เขากลัวเธอจะไปตกหลุมรักหลานสาวเขาเข้า เขากลัวเธออกหัก...น้าเองก็เพิ่งคิดได้ ก็เลยอยากเตือนสติเธอไว้ ก็เลยต้องบอกตามตรง...ยังไม่ได้คิดอะไรกับเขาใช่ไหม”
“ฮะ ผมมีแฟนอยู่ครับ”
“จริงหรือ ไม่เห็นบอกน้า...แต่ถ้ามีแล้วจริงๆ แบบนี้น้าก็เบาใจลงหน่อย...เฮ้ย เรื่องยังไม่ทันเป็นเรื่องแท้ๆ ทำเป็นกระต่ายตื่นตูมไปได้...แต่นึกไปก็ขำนะ กลัวผู้ชายเสียใจ...ก็อย่างว่าแหละหลานตัวเองนะฉายาคาสโนวี่เสียด้วย...แต่ถ้าวีจะลองเล่นดู น้าก็ไม่ได้ ว่าอะไรนะ”
ปฐวีอยากจะหัวเราะขำคุณน้ามาศแต่อีกใจเขารู้สึกแย่ๆ ขึ้นมาเสียแล้วซิ...