รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ทูตสวรรค์ผมสีน้ำตาลทองยาวหยักศก ใบหน้างดงามหล่อเหล่าเกินกว่ามาตรฐานที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างไว้ เขาสวมชุดคลุมสีขาวยาวจนถึงข้อเท้า มีผ้าสีน้ำเงินปักลายขนนกด้วยด้ายสีทองคาดตั้งแต่สะโพกไปยังบ่าข้างซ้าย บ่งบอกถึงตำแหน่งทูตสวรรค์ชั้นเครูบ และมีเชือกสีทองผูกไว้ที่เอว ปีกสองคู่สีขาวผ่องเป็นประกายมุกทุกครั้งยามเขาสยายปีก นามเรียกขานเขาคือ อาซาเซล เป็นหนึ่งในผู้นำกองทัพสวรรค์ และผู้สร้างสรรค์อาวุธ
ขณะที่เขากำลังสยายปีกบินเพื่อไปหาราฟาเอลทูตสวรรค์เซราฟีมผู้เป็นพี่ชายและเพื่อนสนิทในเวลาเดียวกัน เขาได้ยินเสียงทูตสวรรค์ชั้นผู้น้อยสองตนกำลังคุยกันอยู่ ทีแรกเขากะว่าจะไม่สนใจแล้วบินผ่านไป แต่กลับได้ยินชื่อของใครบางตนที่ตัวเขารู้จักเป็นอย่างดี
" เจ้าได้ยินข่าวหรือไม่ ว่าลูซิเฟอร์หลอกล่อให้อีฟกับอดัมมนุษย์คู่แรกของพระผู้เป็นเจ้าให้กินแอปเปิ้ลที่เป็นผลไม้ต้องห้ามของพระองค์ ตอนนี้พระผู้เป็นเจ้าโกรธมากเลยสาปพวกเขาและขับไล่ออกจากสวนอีเดน! "
" จริงหรือ! นั้นมันแย่มาก ลูซิเฟอร์ช่างชั่วช้า! น่าเสียดายยิ่งนักที่แต่ก่อนข้านับถือเขาไม่น้อย แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะหยิ่งผยองในตนเองจนถึงขั้นก่อกบฏต่อพระผู้เป็นเจ้า ข้าอยากจะสาปส่งเขา เขาไม่ควรแค่ตกนรกด้วยซ้ำ เขาควรจะไปอยู่ใน Dudael ให้อสูรกายที่อยู่ในนั้นกัดกินซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปจนชั่วนิรันดร์ "
พอได้ยินสิ่งที่ทูตสวรรค์สองตนนั้นพูดออกมา ดวงตาสีน้ำตาลทองอันอ่อนโยนผันเย็นชาขึ้น มือขวาเรียวสวยกำแน่นด้วยความโกธร อาซาเซลทนฟังต่อไม่ได้เลยเปิดเผยตนออกมาให้พวกปากไม่มีหูรูดได้เห็น แล้วเมื่อพวกมันได้เห็นผู้นำกองทัพสวรรค์ถึงกลับรีบคุกเข่าทำความเคารพอาซาเซลทันทีซ้ำยังก้มหลบหน้าหลบตาแบบผู้ที่กระทำความผิดแล้วถูกจับได้
จริงอยู่ที่ลูซิเฟอร์ตกสวรรค์ไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าใครหน้าไหนจะสิทธิ์พูดถึงพี่ชายของเขาเช่นนี้
" ข้าพึ่งรู้ว่าทูตสวรรค์ชั้นผู้น้อยอย่างพวกเจ้าจะช่างนินทาได้ถึงเพียงนี้ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าจะไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญใดเลยทั้งสิ้น อีกทั้งคำพูดของพวกเจ้ามิได้เหมาะสมกับการเป็นทูตสวรรค์เลยซะนิด "
ดวงตาสีน้ำตาลทองหรี่ลง เมื่อมองผู้ที่คุกเข่าอยู่แทบเท้า อาซาเซลเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวานเย็นชาตำหนิอย่างเห็นได้ชัด ทูตสวรรค์สองตนนั้นลุกลี้ลุกลนด้วยความกลัว พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งทูตสวรรค์เครูบรู้ว่ามันจะต้องเป็นเพียงข้ออ้างที่ไม่น่าฟัง และเขาไม่อยากเสียเวลาที่จะฟังมันด้วย
" ไม่!! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าไม่อยากได้ยินเสียงพวกเจ้าอีก ช่วยเชิญตัวเองกลับไปทำหน้าที่อันน้อยนิดของตนให้ดีเถอะ ก่อนที่ข้าจะเป็นฝ่ายหมดความอดทน แล้วลงโทษพวกเจ้าสถานหนัก " ไม่ต้องรอให้ทูตวรรค์ชั้นอาวุโสพูดซ้ำอีกครั้งพวกนั้นรีบลุกขึ้นแล้วบินหนีหายจากตรงนี้ไปในทันที
อาซาเซลถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ถึงพวกน่ารังเกียจจะไสหัวไปให้พ้นหน้าแล้วแต่ความขุ่นเคืองนั้นยังไม่หายจากดวงตาสีน้ำตาลทองคู่สวย ท่านพี่ลูซิเฟอร์ไม่ได้ตกต่ำ ถึงขนาดที่ให้ทูตสวรรค์ที่ไม่มีแม้กระทั้งสังกัดมากล่าววาจาดูถูกดูแคลนได้
แล้วด้วยความคิดที่ว่า ถ้าหากเขาลงไปยังโลกมนุษย์ในตอนนี้อาจจะได้พบกับลูซิเฟอร์ก็เป็นได้ รวมถึงเขายังไม่เคยเห็นมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้น เนื่องจากตำแหน่งหน้าที่ของเขามันไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นที่ต้องลงเป็นยังโลกมนุษย์เลยสักครั้ง
ถ้างั้นถือเสียว่าครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่จะลงดูไปสักหน่อย เป้าหมายการเดินทางเขาเลยเปลี่ยนไปจากที่ว่าจะไปหาพี่ชายสุดสวยราฟาเอล เป็นบินลงไปยังดาวเคราะห์ที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างขึ้นไม่นานมานี้แทน
เมื่อเขามาถึงก็ได้เห็นสวนอีเดนอันสวยสดงดงามที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่เขียวขจีออกผลผลิตจนเต็มต้น สายน้ำใสสะอาดไหลผ่านที่ปลาเล็กใหญ่แหวกว่ายอยู่ มีสัตว์นานาชนิดใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งอย่างสงบสุข ช่างเป็นสวนในอุดมคติที่พระเจ้าสร้างขึ้นโดยแท้
ขณะที่บินอยู่เหนือสวนอีเดนพยายามมองหามนุษย์คู่แรกแต่กลับไม่เจอ เขาเลยตัดสินใจบินไปทางประตูตะวันออก ที่เป็นประตูเพียงบานเดียวของที่นี้ เขามองหาหน้าผาที่อยู่ใกล้ๆนั้น มากกว่าที่จะไปอยู่ที่ประตูโดยตรงเพราะไม่อยากให้ทูตสวรรค์ตนอื่นมาเห็นเขาเข้า
และเมื่อเท้าอันเปลือยเปล่าได้สัมผัสกับพื้นดินเป็นครั้งแรกก่อเกิดความประหลาดใจจนใบหน้างดงามนั้นปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด พื้นดินมันเป็นเช่นนี้เอง...
ระหว่างที่เขากำลังสนใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่พบเจอ ร่างสูงโปร่งของทูตสวรรค์ได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกล
อาซาเซลเดินไปที่ขอบหน้าฟ้าเพื่อที่จะได้มองเห็นเบื้องล่าง ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นหญิงสาวที่สวยงามคล้ายทูตสวรรค์ในร่างผู้หญิง นางมีผมสีดำขลับยาวสลวย ผิวขาวกระจ่างถูกใบไม้สีเขียวปกคลุมที่ทรวงอกและตรงกลางลำตัวเพื่อปกปิดร่างกายอันเปลือยเปล่า นางคุกเข่าลงกับพื้นกำลังร้องไห้อ้อนวอนเหมือนใจจะขาด
โดยมีคนอีกผู้หนึ่งกอดปลอบนางไว้ เป็นผู้ชายที่รูปร่างหน้างดงามไม่แพ้กัน ทั้งคู่คงจะเป็นอีฟกับอดัม แล้วตรงหน้าของมนุษย์ทั้งสอง คือทูตสวรรค์ที่มีรัศมีบารมีชั้นเดียวกันกับอาซาเซลยืนขวางอยู่หน้าประตูสวนอีเดน
ใบหน้าของทูตสวรรค์ตนนั้นงดงามจนไม่อาจคาดเดาเพศทางกายภาพของอีกฝ่ายได้ บนดวงหน้ามีเพียงความเย็นชากระด้างไร้ความรู้สึกในแบบที่ทูตสวรรค์เซราฟีมกับเครูบส่วนใหญ่มักจะเป็นกัน ในมือถือดาบเปลวเพลิงสวรรค์ที่ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา คล้ายกำลังบอกพวกมนุษย์ว่าถ้าอาจหาญกล้าเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายยินดีที่จะใช้ดาบอย่างไม่ปราณี
ผู้นำกองทัพสวรรค์ได้แต่นึกสงสาร หากแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะมันอยู่นอกเหนือขอบเขตหน้าที่ของตน เลยทำได้แค่ดูมนุษย์สองคนนั้นค่อยๆเดินห่างจากสวนอีเดนไป
" ไม่คิดเลย ข้าว่าจะได้พบเจอเจ้าที่นี้ อาซาเซล "
อาซาเซลตกใจเล็กน้อยรีบหันซ้ายหันขวาเพื่อหาต้นตอของเสียง หากในบริเวณนี้ไม่มีใครนอกจากเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับจำน้ำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะไม่ได้ยินมานานแล้วก็ตาม
" ท่านพี่ลูซิเฟอร์? นั้นท่านหรือ "
น้ำเสียงซุกซนเจ้าเล่ห์นั้นหัวเราะขึ้นก่อนที่ประโยคต่อมาจะดังมาจากข้างหลังของอาซาเซล " นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ใครเรียกข้าเช่นนี้ "
ทูตสวรรค์ผู้มีผมน้ำตาลทองยาวหยักศกหันตัวไปยังต้นเสียง ณ เบื้องหลังเขามีกลุ่มควันสีดำเข้มก่อตัวขึ้นก่อนที่มันจะจางหายไปจนเห็นคนที่อยู่ภายในควันเหล่านั้น
" สบายดีหรือไม่ น้องชาย "
ลูซิเฟอร์ในชุดคลุมยาวสีขาวคล้ายของอาซาเซลต่างกันที่มีผ้าสีดำคลุมทับอีกชั้น คนเป็นน้องชายค่อยๆใช้สายตาสำรวจไปทั่วร่างอีกฝ่าย ใบหน้าที่พระผู้เป็นเจ้าบรรจงสร้างขึ้นด้วยความปราณีต ผมสีทองยาวสลวยส่องสว่างคล้ายแสงตะวัน ดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสบ่งบอกถึงนิสัยขี้เล่นของพี่ชายได้อย่างดี ริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับสวย
" ข้าสบายดี ปีกของท่านล่ะ? " ผู้เป็นน้องชายเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาเมื่อไม่เห็นปีกของพี่ชาย
" เชื่อเถอะ ว่าเจ้าไม่อยากเห็นมันหรอก " อดีตผู้นำแห่งแสงฉีกรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด ทั้งยังขยิบตาเจ้าชู้ให้น้องชาย ทำเอาอาซาเซลถึงกับกรอกตามองบนโดยท่าทีระอา ที่ถูกพี่ชายตัวแสบหว่านเสน่ห์ใส่ไม่ถูกที่ถูกเวลา
ลูซิเฟอร์เดินเข้ามาหาอาซาเซลด้วยท่าทีสบายขณะที่ในมือโยนลูกแอปเปิ้ลขึ้นมาเล่น ก่อนจะใช้ปากกัดมาหนึ่งคำ ดวงตาสีน้ำตาลทองของทูตสวรรค์มองอีกฝ่ายดูไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรยังกลับว่าตัวเองไม่ได้สร้างเรื่องเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่น
" ท่านไปหลอกให้มนุษย์ผู้หญิงนั้น กินผลแอปเปิ้ลจริงหรือ "
ลูซิเฟอร์กลืนผลไม้ที่อยู่ปากลงคอก่อนจะยักไหล่แล้วเอ่ยคำแก้ตัว " ข้าเปล่า ที่จริงมันใช้คำว่าหลอกไม่ได้นะ ตอนนั้นข้าเบื่อเลยแปลงร่างเป็นงูขึ้นมาเลื้อยเล่นในสวน ข้าเห็นนางยืนอยู่ใกล้ต้นแอปเปิ้ล ข้าเลยถามนางว่า ไม่กินแอปเปิ้ลหรือ นางก็พูดกับข้าว่าพระเจ้าไม่ให้กินมัน ข้าเลยพูดว่าออหรอ แล้วข้าก็กินมันเข้าไป จากนั้นพอข้าพูดว่าอร่อย นางก็เด็ดมันไปกินเอง เห็นไหมว่าข้าไม่ได้ทำอะไรเลย นางเลือกเองที่จะกินมัน "
อาซาเซลที่ได้ยินคำแก้ตัวของอีกฝ่ายถึงกลับพูดไม่ออก พี่ชายตัวแสบที่เห็นท่าทางของน้องชายคนดี กลับหัวเราะชอบใจแล้วเอื่อมมือไปปัดเศษทรายออกจะชายแขนเสื้ออาซาเซล
" รู้ไหมว่าท่านทำมนุษย์สองคนนั้นต้องลำบาก "
" ฮื้ม ยังไงหรือ "
ทูตสวรรค์ถึงกับต้องถอนหายใจที่จ้าวแห่งนรกแกล้งทำเหมือนไม่เข้าใจทั้งที่ตัวเองรู้ดีกว่าใคร " พวกเขาถูกสาป! อีกทั้งยังถูกไล่ออกจากสวนอีเดนและห้ามกลับเข้ามาอีก "
" อ๋อ แล้วมันไม่ดีตรงไหน ได้ออกไปสู่โลกภายนอก" น้ำเสียงของลูซิเฟอร์ยังขี้เล่นไม่เปลี่ยนขณะที่เลิกคิ้วเล็กน้อยเอ่ยถามอย่างสงสัย
" ท่านพี่! " นี้พี่ชายเขารู้ตัวหรือไม่ว่าทำสิ่งใดลงไป
" เอาล่ะๆ ใจเย็นน้องพี่ อืมมอ่าา เริ่มจากตรงไหนดีนะ อ๋อ ใช่ ในตอนนั้นพระบิดาสร้างโลกขึ้นมา รวมถึงพืชพันธุ์และสัตว์มากมาย " เขายกแขนโบกไปมารอบๆ "จากนั้นก็ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา เจ้านึกภาพตามทันใช่ไหม "
ลูซิเฟอร์พูดพลางใช้นิ้วชี้ไปยังมนุษย์ที่เดินอยู่ไม่ไกล " ทั้งทีสร้างโลกอันกว้างใหญ่ แต่ให้มนุษย์สองคนนั้นอยู่เพียงในสวนอีเดนเล็กๆนี้ ข้าไม่รู้หรอกว่า พระบิดาทรงมีแผนยังไง สำหรับข้าแล้วมันไม่ต่างจากขังสัตว์เลี้ยงไว้ในกรง โดยมีทูตสวรรค์คอยเอาอาหารมาให้ คอยมาดูแล ข้าว่าถ้าจะให้ใช้ชีวิตแบบนั้น เป็นข้าคงยินดีออกไปผจญโลกที่ไม่เคยเห็นยังจะดีกว่า "
ผู้เป็นน้องชายยืนนิ่งเงียบทันทีหลังจากที่ฟังสิ่งที่พี่ชายพูดมา ใช้สมองประมวลผลความคิดของตัวเองให้ถี่ถ้วน แล้วค้นพบว่าเขาก็มีส่วนที่เห็นด้วยกับอีกฝ่ายอยู่บ้าง
" พูดสิ น้องชายว่าลึกๆในใจแล้วเจ้าไม่ได้คิดแบบเดียวกับข้า " ลูซิเฟอร์พูดพร้อมยักคิ้วเหมือนคล้ายอ่านใจน้องชายตัวเองออก
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลทองถอนหายใจไม่รู้ครั้งที่เท่าไรแล้วของวันนี้แล้วพยักหน้ายอมรับคำพูดของอดีตทูตสวรรค์เซราฟีม" แต่ข้าไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีของท่านนะ เพราะท่านพูดเองว่า พระเจ้าอาจมีแผนสำหรับสองคนนั้น ยิ่งนอกพวกเขาไม่ทักษะที่จะเอาชีวิตรอดจากโลกภายนอกสวนอีเดน"
เพราะสิ่งที่พี่ชายได้ทำลงไปโดยพลการ มันสร้างผลเสียมากกว่าผลดี มนุษย์ที่ดูเลี้ยงอย่างดีจะไปใช้ชีวิตได้อย่างไรตามลำพัง
ลูซิเฟอร์ทำหน้ายู่ไม่พอใจพูดเสียงแข็ง " แผน?! แผนที่ไม่เคยคิดที่จะพูดออกมาตรงๆ แต่กลับให้เราต้องทำตาม ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แล้วทำมันถูกต้องรึเปล่า ไม่ล่ะ น้องชาย ข้าทนชีวิตแบบนั้นไม่ได้ ในเมื่อนี้เป็น ชีวิต ของ ข้า ข้าขอเป็นคนตัดสินเองว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร "
" อีกอย่างมันจริงอยู่ที่เจ้าว่า พวกนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างลำบากและคงเป็นเรื่องยากที่จะอยู่รอดกันตามลำพัง แต่ทุกอย่างย่อมต้องมีครั้งแรกเสมอ ชีวิตมันคือการเรียนรู้ไม่ใช่หรอ " น้ำเสียงของลูซิเฟอร์จอมเจ้าเล่ห์กลับจริงจังจนผิดนิสัย
ผู้นำกองทัพสวรรค์มองเข้าไปในดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสคล้ายกับท้องฟ้าที่ไร้จุดสิ้นสุด พี่ชายเขาเป็นเช่นนี้เสมอ ถึงใครจะว่าอดีตผู้นำแห่งแสงหยิ่งผยองในความคิดของตัวเอง ถือตนว่าเป็นใหญ่ แต่ที่จริงแล้วมันคือความกล้า กล้าที่เลือกอิสระให้ตนเอง ในแบบที่ไม่ใครกล้าทำแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ด้วย
" พอได้ยินท่านพูดแบบนี้แล้ว ข้าอดนึกอิจฉาท่านไม่ได้ "
" ทูตสวรรค์ผู้สูงส่งอิจฉาใครไม่เป็นหรอกนะ น้องพี่ " เสียงทุ้มนั้นเจือความดูถูกอยู่เล็กน้อย
รูปสูงโปร่งที่อยู่ในชุดคลุมสีขาวส่งเสียงหึในลำคอเมื่อนึกถึงทูตสวรรค์ชั้นล่างสองตนที่เขาเจอ แต่ก่อนตอนที่ลูซิเฟอร์ยังเป็นทูตสวรรค์ ต่อหน้าในความเคารพสรรเสริญลูซิเฟอร์ หากลับหลังกลับเปิดเผยความอิจฉาริษยาที่ลูซิเฟอร์เป็นคนโปรดของพระผู้เป็นเจ้า แล้วพอลูซิเฟอร์ตกสวรรค์กลับด่าทอว่าร้ายชั่วช้า เลวทราม
" ทูตสวรรค์ผู้สูงส่ง? งั้นหรือนี่แหละตัวดีของความอิจฉา เพียงแค่ไม่ยอมรับมัน เพราะคิดว่าตัวเองสูงส่ง ล้ำค่า ไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้" แม้กระทั้งตัวเขาเองก็มีเรื่องที่ริษยาผู้อื่นอยู่ไม่น้อย แค่ซ่อนมันไว้ภายใต้ใบหน้างดงามที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอ " ท่านพี่ ครั้งนั้นที่ท่านตกสวรรค์ แล้วมันเกิดสงครามขึ้น ข้านึกเสียใจมาตลอด "
" เจ้าจะเสียใจเรื่องอะไรกัน เรื่องที่ข้ากลายเป็นปีศาจล่ะหรือ " จ้าวแห่งนรกถามด้วยรอยยิ้มที่แฝงความสงสัย
" เสียใจที่ตอนนั้นข้าไม่ได้ทำอะไรเพื่อท่าน พี่ชาย ข้ายังยึดติดกับการเป็นทูตสวรรค์และเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะทิ้งมันไป ยามเห็นท่านกับพี่น้องตนอื่นๆร่วงหล่นสู่นรก ข้า...ปวดใจ " อาซาเซลพูดออกมาด้วยความยากลำบาก นึกละอายใจที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างลูซิเฟอร์ยามที่พี่ต้องการ " ข้าเชื่อว่าในนรกนั้น คงไม่ใช่สถานทีที่ดีเท่าไรนัก "
ดวงตาสีฟ้าใสของลูซิเฟอร์มองอาซาเซลอย่างอ่อนโยนมุมปากยกยิ้มกว้าง ใจนึกยินดีที่น้องชายคนนี้ไม่คิดรังเกียจตัวเขาที่กลายเป็นปีศาจ ซ้ำยังเห็นอกเห็นใจด้วย หากเป็นทูตสวรรค์พี่น้องตนอื่นเป็นฝ่ายที่มาพบเขาแทนคงจะมองเขาด้วยสายตารังเกียจและคงจบลงโดยเกิดการต่อสู้กันเป็นแน่
" มันก็จริง ที่ว่ามันไม่น่าอยู่เลยสักนิด แต่เพราะมันไกลจากอำนาจของพระบิดามากที่สุด ซึ่งนั่นทำให้ข้าพอใจไม่น้อยเลย " แล้วอดีตผู้นำแสงสว่างหยิบแอปเปิ้ลอีกลูกที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อโยนมันให้กับทูตสวรรค์ผู้น้อง
" รู้ไหม ทำไมข้าถึงได้ชอบเจ้ามากที่สุดในบรรดาครอบครัวเรา เพราะเจ้ายอมรับว่าตัวเองไม่ได้ดีพร้อม และไม่ได้ปฎิเสธหน้าด้านๆแบบทูตสวรรค์ตนอื่นทำหรือแสร้งทำตัวสูงส่งตลอดเวลา เจ้าดีในแบบที่เป็นเจ้า "
คำพูดของลูซิเฟอร์อาจไม่ใช่คำปลอบโยนที่ดีนัก หากมันทำให้อาซาเซลรู้สึกดีขึ้นได้อย่างน่าประหลาด " ขอบคุณ "
" ไม่ต้องหรอก " อดีตผู้นำแห่งแสงสว่างเผยรอยยิ้มที่เห็นเขี้ยวเล็กๆนั้น ยิ่งทำให้เขาดูเป็นหนุ่มหล่อจอมเจ้าเสน่ห์
" แล้วนี้ท่านแอบเด็ดมันมากี่ลูกเนี่ย " ทูตสวรรค์ถามขึ้นพลางพิจารณาลูกแอปเปิ้ลสีแดงสดในมือ
" ไม่กี่ลูกนะ ก็แค่พอเอากลับไปฝากเบลเซบับกับแมมม่อนได้ก็เท่านั้นเอง "
" หากท่านเอาไปฝากสองตนนั้นจริงอย่างที่ว่า เช่นนั้นท่านคงเด็ดมันไปจนหมดต้นแล้ว "
ทั้งสองพี่น้อง หนึ่งปีศาจ หนึ่งทูตสวรรค์พากันหัวเราะขำขันชอบใจเมื่อนึกถึงความละโมบตะกละของทั้งสองตนนั้นที่กำลังพูดถึงอยู่
" ข้าคงต้องไปแล้ว ถ้ามีทูตสวรรค์ตนอื่นมาเห็นเจ้าสนทนาอยู่กับข้า เจ้าจะเกิดเรื่องได้ ไว้มีโอกาสเราคงได้พบกันอีก " เมื่อจ้าวนรกพูดจบควันสีดำที่อาซาเซลเห็นในตอนแรกก่อตัวขึ้นปกคลุมรอบร่างลูซิเฟอร์อีกครั้งก่อนที่ตรงนั้นจะพันว่างเปล่าไร้ร่องรอยใดๆ
ทูตสวรรค์ชั้นอาวุโสโยนลูกแอปเปิ้ลในมือเล่นแบบเดียวกันกับที่พี่ชายทำ เพราะไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับมันดีถ้าจะให้กินมันเขาก็ไม่กล้า แต่จะให้ทิ้งมันก็เสียน้ำใจของลูซิเฟอร์ ถ้าในเมื่อยังตัดสินใจไม่ได้ งั้นเก็บมันไว้ก่อนคงไม่เสียหายอะไร
เขาเก็บมันเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วหันหน้าไปมองอดัมกับอีฟที่เดินอยู่ในทะเลทรายรกร้างว่างเปล่าไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตใดเลย จริงอย่างที่ลูซิเฟอร์มนุษย์สองคนนี้ขาดทักษะการใช้ชีวิต จากนี้พวกมนุษย์คงยังมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกมาก
อาซาเซลคิดที่จะบินลงไปหามนุษย์สองคนนั้น หวังว่าของที่ตัวเองนำติดมาด้วยอาจมีประโยชน์ต่อทั้งสอง แต่กลับมีทูตสวรรค์ชั้นขัตติยเทพตนหนึ่งที่เขารู้จักถึงขั้นใส่ใจเป็นพิเศษปรากฎตัวต่อหน้าอดัมกับอีฟ ด้วยความสงสัยเขาเลยใช้พลังเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังที่แห่งนั้นโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว ว่าเขากำลังแอบฟังอยู่
" หยุด! ต่อให้เจ้าคุกเข่าขอร้องข้า ข้าก็ไม่สามารถช่วยให้พวกเจ้ากลับไปยังสวนอีเดนได้ สิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้มีเพียงเท่านี้ เจ้าทั้งสองรับมันไปเถอะ "
ทูตสวรรค์ผมสีบลอนด์เงินยาวถักเปียข้าง รูปร่างที่สูงโปร่งหากแต่ผายผอมกว่าอาซาเซล ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคล้ายอัญมณีไพลินแต่สดใสเปล่งประกายระยิบระยับ ริมฝีปากเป็นรูปกระจับโค้งมนร้องห้ามเมื่อมนุษย์ทั้งสองทำท่าจะคุกเข่าให้เขา แล้วทูตสวรรค์ที่ดูท่าทางใจดีตนนั้นเสกสิ่งของขึ้นมาสองชิ้นให้อดัมกับอีฟ มันคือคบเพลิงที่มีไฟติดอยู่ตลอดเวลากับผ้าคลุมขนสัตว์สีขาว
" รีบรับมันไปก่อนที่จะมีใครมาเห็น และ จงเดินไปยังทิศทางนั้น ที่แห่งนั่นพอมีสถานที่ให้พวกเจ้าพักอาศัยค้างแรม ข้าช่วยพวกเจ้าได้เท่านี้" เขาทูตสวรรค์นิ้วเรียวสวยไปทิศทางด้านหลังของเขา
มนุษย์ทั้งสองกล่าวขอบคุณแล้วเดินไปตามทางที่ทูตสวรรค์องค์นี้บอก แซคเคอัสยืนดูพวกเขาอยู่ครู่ก่อนจะถอนหายใจที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไร
" สวัสดี แซคเคอัส " อาซาเซลปรากฏตัวขึ้นข้างหลังทูตสวรรค์ที่ตัวเล็กกว่าเขาประมานนึง
"ท่านอาซาเซล!" เขาตกใจเป็นอย่างมากที่อยู่ๆทูตสวรรค์ชั้นอาวุโสกว่าปรากฎตัวที่นี้ จนเขาเผลอถอยหลังในจังหวะที่ไม่ดีนัก จนเกือบจะล้มลงถ้าไม่ได้แขนแกร่งโอบแผ่นหลังเอาไว้
" ตกใจอะไรขนาดนั้น ไม่ต้องห่วงข้าไม่คิดจะตำหนิเจ้าหรอก เพราะหากไม่ใช่เจ้าที่ทำ มันก็คงเป็นข้า ที่ทำเสียเอง " ผู้นำกองทัพสวรรค์จับร่างของอีกฝ่ายยืนมั่นคงก่อนจะเสกกริชที่มีด้านจับเป็นไม้แกะสลักมีลวดลายให้ทูตสวรรค์แซคเคอัสดู เพราะทีแรกเขาคิดว่าจะให้สิ่งนี้กับมนุษย์เอาไว้ป้องกันตัว
" ขอบคุณขอรับ " แซคเคอัสรับกริชนั้นขึ้นมาดูอย่างสนใจ เนื่องจากที่เขาเป็นเทวทูตแห่งการรักษาเลยมีโอกาสไม่บ่อยนัก จะได้จับสิ่งที่เรียกว่าอาวุธ
" เจ้าชอบมันหรือ " ทูตสวรรค์เครูบถามขึ้นเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายดูชอบใจ
" ขอรับ อาวุธที่ท่านทำมันช่างแข็งแรงและสวยงาม " เมื่อเจ้าตัวเหมือนดูจนพอใจแล้วเลยส่งคืนให้กับเจ้าของ แต่กับถูกส่ายหน้าปฎิเสธไม่รับคืนเสียนี่
" ถ้าเจ้าชอบ ก็เก็บมันไว้เถอะ แล้วไม่ต้องมาเกรงใจ เจ้ารู้ดีนิว่าข้าคือผู้สร้างอาวุธของสรวงสวรรค์ แค่กริชเล่มเดียว ดีดนิ้วเพียงครั้งข้าก็ทำเสร็จแล้ว " ต่อให้อีกฝ่ายอยากได้ของที่ดีกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะทำให้โดยไม่เกี่ยง
" เช่นนั้นขอบคุณขอรับ " เจ้าของใบหน้าสดใสยกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แล้วเสกเก็บกริชนั้นไป ก่อนที่สายตาสีไพลินจะไปหยุดอยู่ตรงโบผูกผมของอาซาเซลที่ใกล้จะหลุดออกเต็มทีแล้ว " ท่านอาซาเซล โบผูกผมท่านมันใกล้หลุดแล้ว "
เจ้าของผมสีน้ำตาลทองยาวสลวยเอื้อมมือไปจับโบผูกผมยังไม่ทันจะได้ออกแรงมันก็หลุดติดมือมาทำให้ผมที่มัดไว้สยายออกจนไม่เป็นทรง " สงสัยโบว์มันจะคลายออกตอนข้าบินลงมา "
" ให้ข้า..ผูกผม ให้ท่านใหม่ดีหรือไม่ " ทูตสวรรค์ผมบลอนด์เงินเสมอตัวเข้าช่วยเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามจะรวบผมตัวเองให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม
อาซาเซลจ้องเข้าในไปในดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายวิบวับที่กำลังรอคอยคำตอบเขาอย่างใจจดใจจ่อ แววตาอันซื่อตรงที่ทำเขาหวั่นไหวได้เสมอ
" เอาสิ งั้นเราไปนั่งตรงก้อนหินตรงนั้นกันเถอะ " ผู้นำกองทัพสวรรค์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในแบบที่ทูตสวรรค์ตนอื่นน้อยนักจะเคยได้ยินมัน
และสิ่งที่เขาได้เป็นการตอบกลับคือรอยยิ้มเต็มเปี่ยมด้วยความสุขบนใบหน้าของทูตสวรรค์ที่เขามีใจให้ ซึ่งมันทำให้ใบหูของเขารู้สึกร้อนขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มขึ้นสีจนเขาต้องหันหน้าหนีรีบเดินไปยังก้อนหินที่ว่านั้น
เทวทูตขัตติยเทพเห็นท่าทางของทูตสวรรค์ที่บารมีสูงกว่าถึงสองชั้น มีท่าทีแปลกไปจนอยากจะเอ่ยถามแต่ก็ไม่กล้า เลยทำเพียงเดินตามอีกฝ่ายไป อาซาเซลนั่งลงที่ก้อนหินอันเล็กประมาณหนึ่งแล้วถึงหันหลังให้แซคเคอัส
ทูตสวรรค์ดวงตาสีน้ำเงินมองผมสีน้ำตาลทองยาวสลวยยามเมื่อชิดใกล้จะได้กลิ่นหอมจางๆ จนแซคเคอัสอดไม่ได้หยิบปอยผมนั้นขึ้นมาจรดจมูกสูดดมกลิ่นเจ้าของผมนี้คล้ายกำลังโดนมนต์สะกด
ทุกกระทำของแซคเคอัสทำให้หัวใจอาซาเซลกระตุกรุนแรงสร้างความหวั่นไหวให้มากไปกว่าเดิม รับรู้ได้ถึงปลายนิ้วที่สางผมเขาอยู่อย่างอ่อนโยน
" ท่านอาซาเซล แล้วตกลงท่านมาทำอะไรที่นี้หรือ " แซคเคอัสเอ่ยถาม
" อ๋อ ทีแรกข้ากำลังจะไปหาราฟาเอลกับเจ้า แต่ได้ยินทูตสวรรค์ตนอื่นกำลังพูดถึงมนุษย์เข้า ข้าเลยอยากลงมาดูเสียหน่อย " เขาเอ่ยทั้งทีหลับตาซึมซับสัมผัสที่อีกฝ่ายมีให้
" อย่างนี้เอง แล้วท่านมีเรื่องอันใด หรืออยากให้ข้าช่วยงานอะไรให้ท่าน "
ร่างสูงที่นั่งอยู่เม้มปากเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา " ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่จะแวะไปดูเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง ยังมีทูตสวรรค์ตนไหนเอ่ยวาจาไม่ให้เกียรติเจ้าอีกหรือไม่ "
เขาจำครั้งแรกที่เจอทูตสวรรค์ตัวน้อยได้ ตอนนั้นเจ้าตัวถูกพวกอาวุโสนิสัยเสียพูดจาดูถูกดูแคลนที่เป็นเพียงทูตสวรรค์ไร้สังกัด ผู้นำกองทัพสวรรค์อย่างเขาอดดูไม่ได้เลยเข้าไปช่วย และเหตุการณ์นั้นทำให้หัวใจที่ไร้มลทินของเขาได้รู้จักคำว่าตกหลุมรักเป็นครั้งแรก
" โทษพวกเขาไม่ได้หรอก หากไม่ใช่เพราะข้าได้รับความเมตตาจากท่านและท่านราฟาเอล มีหรือที่ทูตสวรรค์ต้อยต่ำเช่นข้าจะได้เลื่อนชั้นมาถึงดอมมะเนชั่น " น้ำเสียงแซคเคอัสให้ความรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง แต่กลับทำเหมือนว่าเรื่องที่คุยกันอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องของตน เพราะกลัวจะทำให้ผู้สูงส่งเบื้องหน้าเขารู้สึกไม่ดี ขณะที่ตัวเองยังคงตั้งใจสางผมให้กับทูตสวรรค์ที่เขาหลงใหลได้ปลื้มมาแสนนาน
" แซคเคอัส เจ้ามาถึงระดับนี้ได้เพราะตัวเจ้าเอง ข้ากับราฟาเอลไม่ได้ทำอะไรเลย เจ้ามีความสามารถกว่าที่เจ้าคิด อย่าได้ให้คำพูดของพวกไม่จริงใจเหล่านั้น มีผลต่อหัวใจเจ้าเลย " น้ำเสียงของอาซาเซลจริงจังมากขึ้นแฝงอารมณ์ไม่พอใจที่มีทูตสวรรค์งี่เง่าบางตนทำให้คนที่กำลังทำผมเขาอยู่ดูถูกตัวเองได้ถึงเพียงนี้
แซคเคอัสยิ้มไม่ได้พูดอะไรต่อ รู้ดีว่ายังไงเขาไม่มีทางเถียงอีกฝ่ายชนะ เขาถักเปียเส้นเล็กสองข้างมัดรวมกันไว้ด้วยโบว์ส่วนผมที่เหลือปล่อยให้สลวย " เสร็จแล้วขอรับ ผมของท่านมันช่างสวยงามมาก "
อาซาเซลเอี้ยวตัวเงยหน้ามองอีกฝ่ายเอื้อมมือไปจับผมเปียสีบรอนด์เงินที่ถักไว้อย่างงดงาม " แต่ข้าชอบผมของเจ้ามากกว่า มันงดงามมากยามเจ้าอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว "
ทูตสวรรค์ชั้นผู้น้อยเห็นสายตาสีน้ำตาลทองเป็นประกายของอาซาเซลที่มองมาสื่อถึงความหมายบางอย่างทำเอาเขาหน้าแดงจนเอามือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าพร้อมพูดด้วยเสียงอู้อี้
" ข้าว่าเราควรกลับได้แล้ว เดี๋ยวจะมีการประชุมเรื่องการแบ่งหน้าที่กัน ถ้าเราไปช้ามีหวังได้โดนตำหนิทั้งคู่แน่ "
ผู้นำกองทัพสวรรค์ยิ้มกว้างเอ็นดูในท่าทางไร้เดียงสาของแซคเคอัสก่อนจะสยายกางปีกทั้งสี่ออกมา แซคเคอัสที่เห็นแบบนั้นเลยสยายปีกออกมาด้วย " งั้นให้ข้าพาเจ้าบินดีไหม ปีกข้าแข็งแรงและมันบินเร็วมากนะ "
ไม่พูดเปล่าเขายื่นมือส่งให้หวังว่าอีกฝ่ายจะบินไปด้วยกัน แซคเคอัสอยากจะตอบตกลงและจับมือนั้นไว้ แต่เขาไม่กล้าบนสวรรค์นั้น อาซาเซลจัดว่าเป็นที่น่าชื่นชอบไม่น้อยกว่าทูตสวรรค์เซราฟีม ครั้งที่แล้วที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังถูกทูตสวรรค์ตนอื่นพบเห็นเข้า...
เขายังจำได้ถึงคำพูดเหล่านั้นว่าเขาไม่คู่ควรกับท่านอาซาเซล รวมถึงเรื่องที่เขาเป็นทูตสวรรค์ภายใต้สังกัดท่านราฟาเอลได้นั้น ถ้าไม่ใช่เพราะท่านราฟาเอลเกรงใจท่านอาซาเซลมีหรือจะเห็นเขาในสายตา
" ไม่เป็นไร ท่านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะบินตามไปเอง "
อาซาเซลที่รู้ถึงความคิดของทูตสวรรค์ตรงหน้าออกเลยเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับไว้เอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มจริงจัง
" เจ้าอย่าได้ใส่ใจคำพูดของพวกนั้นให้มากนัก ข้าขอยืนยันคำเดิม ที่เจ้ามีวันนี้ได้เพราะตัวเจ้าเอง ไม่ใช่ข้าหรือราฟาเอล เจ้ามีดีกว่าพวกนั้นมาก "
สำหรับแซคเคอัสแล้วคำพูดนี้ไม่ต่างจากน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจเขาไว้ เขายกยิ้มกว้างสดใสเป็นประกาย พูดด้วยเสียงนุ่มนวลน่าฟัง " ขอบคุณ "
ทูตสวรรค์เครูบเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั้น เขาอดที่จะพลอยยิ้มตามอย่างอารมณ์ดีด้วยไม่ได้ เขากุมมือของแซคเคอัสไว้แน่น แล้วสยายกระพือปีกบินขึ้น ปีกสีขาวใหญ่สองคู่นำพาพวกเขาทั้งคู่กลับสู่สวรรค์
เกร็ดความรู้เล็กๆ
*ทูตสวรรค์ชั้นเครูบ คือ มีหน้าที่ดูแลและสนับสนุนบัลลังก์แห่งพระเจ้า หรือท าหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองดูแล ปรากฏใน
หนังสือเอเสเคียล (The Book of Ezekiel) ว่าเป็นผู้ค ้าจุนบัลลังก์แห่งพระเจ้า และ กองทหารรถศึกของพระเจ้า
*ทูตสวรรค์ชั้นเซราฟิ ม คือ ทูตสวรรค์ในพันธสัญญาเดิม รากศัพท์มาจากค าว่า (seraph) อันแปลว่าลุกไหม้ ที่ได้ชื่อ
นี ้เพราะมีแสงสว่างอันเจิดจ้า ราวกับก าลังจะลุกไหม้ มีร่างกายสูงใหญ่ มี 6 ปีก 1 คู่ส าหรับบิน 1 คู่ส าหรับปกป้องดวงตาจากการ
มองพระเป็นเจ้าโดยตรง และอีก 1 คู่ส าหรับปกคลุมเท้า เซราฟิมมักจะอยู่รายล้อมรอบบัลลังก์แห่งพระเจ้า
*Dudael (อ่านว่า ดูดาเอล) เป็นคุกของเหล่าทูตสวรรค์ ที่ตกสู่บาปโดยเฉพาะผู้เฝ้ามองความชั่วร้าย ซึ่งมีทางเข้าอยู่
ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม
*ทูตสวรรค์ชั้นขัตติยเทพ คือ ทูตสวรรค์คณะนี ้มีหน้าที่คอยจัดสรรและมอบหมายหน้าที่การท างานให้แก่บรรดา
เทวดาต่าง ๆ ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า สัญลักษณ์แห่งอ านาจของพวกเขาคือ คทาและลูกโลก