รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ในบรรยากาศร้านบาร์สไตล์อังกฤษ ชื่อ To the Devil’s Love ถูกตกแต่งด้วยซุ้มโลหะโค้งสีดำทอง ที่มีให้เห็นบริเวณรอบตัวร้าน บาร์และโต๊ะที่ทำจากหินอ่อนไวท์คาราร่า โคมไฟระย้าที่ระยิบระยับไปด้วยเม็ดคริสตัลสีแดงจำนวนมากถูกแขวนเอาไว้ตรงกลาง มอบความหรูหราที่เข้ากันได้ดีกับเหล่าเบาะที่นั่งกำมะหยี่สีแดง และโซฟาหนังสีดำเงาที่ดูดีมีระดับ แต่ละโต๊ะจะมีช่อกุหลาบประดับไว้อยู่ ที่ร้านมีพนักงานสวมชุดบาร์เทนเดอร์สีเทาสี่คน กำลังขะมักเขม้นกับการเตรียมของเพราะใกล้ถึงเวลาเปิดร้านแล้ว
ตรงที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์มีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมตรงยาวสีดำมัดรวบไว้ครึ่งหัว ดวงตาสีทับทิมสวยจนใครหลายคนคิดว่าเขาใส่คอนแทคเลนส์อยู่ตลอดเวลา ใบหน้าเรียวงดงามหล่อเหลาเกินกว่าที่จะเป็นคนธรรมดา เขาสวมชุดสูทสีแดงไวน์เสื้อกั๊กสีเดียวกัน ตัดด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำ ใส่สร้อยคอจี้ทับทิมสีแดงเข้มแทนการผูกเนคไท นั่งไขว่ห้างแบบผู้วางอำนาจอยู่
ในมือเรียวยาวกำลังถือแก้ววิสกี้อันว่างเปล่า ที่เพิ่งดื่มเอาของเหลวสีน้ำตาลเข้มที่มีแอลกอฮอล์สูงลิบลิ่วหมดไปเมื่อครู่ พนักงานสาวเพียงคนเดียวในร้านเดินฉีกยิ้มเข้ามากอดคอชายหนุ่มจากข้างหลัง พูดด้วยน้ำเสียงหวานร่าเริงติดขี้เล่นเล็กน้อย
“ถูกใจไหมคะคุณทวด North of Scotland 50 Years Old”
หนุ่มเจ้าของร้านไม่พูดอะไร แค่ขยับตัวออกจากอ้อมแขนของหญิงสาว ใช้นิ้วเรียวสวยดีดเข้าที่หน้าผากพนักงานสาวสุดแสบอย่างแรง จนเกิดเป็นรอยแดงทำเอาเธอร้องเสียงหลง ยกมือขึ้นลูบบริเวณที่ถูกดีดพร้อมส่งเสียงอู้อี้ไม่พอใจ
“มันเจ็บนะคะ! คุณทวด” ดีดมาแบบไม่ออมแรงสักนิด นี่ถ้าหัวหลุดไปจะทำยังไง
“แล้วฉันสั่งเธอว่าอย่างไร เรเชล เวลาอยู่ในร้านให้เรียกฉันว่ายังไง” คำเรียกขานเขาของเธอแทบอยากจะดีดหน้าผากนั้นซ้ำอีกสักที ทำไมเด็กคนนี้ยิ่งโตยิ่งน่าตีกันนะ
“แหม รู้แล้วค่าาา คุณเฮย์เดน เอส. อาซาเซล แล้วตกลงชอบมันไหมคะ” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มพูดอย่างประชดประชันแล้วถึงใช้นิ้วชี้ไปยังวิสกี้ที่อยู่ในมือญาติผู้ใหญ่
“มันก็ดี แต่ฉันอยากได้ Lagavulin 16 มากกว่า เธอช่วยไปหยิบมันมาให้ฉันทีได้ไหม” ร่างสูงโปร่งในชุดสีเข้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบ ที่แฝงความเบื่อหน่ายเพราะใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับการดื่มวิสกี้
พนักงานสาวที่มัดผมไว้เป็นทรงหางม้า ยกยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมแววตามีเลศนัย เดินเข้ามายังที่หลังเคาน์เตอร์บาร์หยิบขวดวิสกี้ ที่ญาติผู้ใหญ่ของเธอต้องการ ถึงไม่บอกก็รู้ว่าคุณทวดกำลังคิดถึงใครอยู่ Lagavulin 16 กลิ่นผลไม้แห้ง คาราเมล และเครื่องเทศ เป็นวิสกี้เพียงยี่ห้อเดียวของคนที่คุณทวดแสนจะย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นแค่เพื่อนกัน ชอบเป็นพิเศษ แต่เมื่อเวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ต่อให้มองจากนอกโลกยังคิดเลยว่าเป็นคู่รักกันมากกว่า
อาซาเซลอ่านแววตาของเหลนสาวตัวดีออก ว่ากำลังคิดถึงคนที่เขาเฝ้ารอคอยอยู่ ถึงปากเขาจะพูดว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หากแต่การกระทำนั้นไปไกลเกินกว่านั้นมาก การที่มีความรู้สึกดีต่อกัน แต่ไม่สามารถยอมรับออกมาตรง ๆ มันเป็นอะไรที่ออกจะพูดได้ยาก
“วันนี้ไม่ไปหาเขาเหรอคะ” เรเชลถามขึ้นขณะที่รินวิสกี้ใส่แก้วให้เจ้าของร้าน เพราะปกติคุณทวดเธอจะแวะมาร้านครู่หนึ่ง ถึงค่อยไปหาเพื่อน
“เขาบอกว่าจะมาที่นี่เอง เพราะต้องเอาภาพไปส่งให้ลูกค้าก่อน” เอ่ยจบเขายกแก้ววิสกี้ขึ้นมาดื่มทีเดียวหมดในปาก รับรู้ถึงควันไม้หวานและกลิ่นคาราเมลเฉพาะตัว
“เอาอีกแก้วไหมคะ” สาวผมน้ำตาลเข้มท่าทางทะมัดทะแมง ถามชายหนุ่มเผื่อว่าจะต้องการเพิ่ม
อดีตทูตสวรรค์ผู้ถูกสาปส่ายหน้าไม่พูดอะไร ใช้นิ้วลูบปากแก้วเล่นอย่างเบื่อหน่าย ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ Rolex Submariner ที่ได้รับมาเป็นของขวัญ เฝ้ารอเวลาให้ใครบางคนมาพบเขาที่นี่ เมื่อเสียงกระดิ่งที่ประตูร้านดังขึ้น ดวงตาสีทับทิมส่องประกายด้วยความดีใจ ก่อนจะดับลงเมื่อคนที่เข้ามาไม่ใช่คนที่เขาเฝ้ารอคอย
“ยินดีต้อนรับ มอแกน” อาซาเซลลุกขึ้นยืนติดกระดุมเสื้อสูทให้เรียบร้อย และเดินเข้าไปหาลูกค้าสาวสวยขาประจำร้าน ยกยิ้มมุมปากพอเป็นพิธีแค่นั้น ถือว่ามีเสน่ห์น่าหลงใหลมากแล้ว
หญิงสาวผมบลอนด์ที่เดินเข้ามา เธอยืนไม่ค่อยมั่นคงจนอาซาเซลต้องเข้าไปประคองแขนพาไปนั่งที่โซฟา ร่างกายเธอผอมทรุดโทรมดูอ่อนเพลียแววตาอิดโรย อาการของเธอทำให้เขานึกสงสัย หนุ่มเจ้าของร้านดึงแขนเสื้อของเธอขึ้นจนถึงข้อพับแขน ถึงเห็นร่องรอยของการใช้เข็มฉีดยา ดูท่าลูกค้าสาวขาประจำจะเล่นสารเสพติด
“โถ่ มอแกนคุณทำอะไรเนี่ย” ในน้ำเสียงเรียบเย็นชาของเขาแฝงความเหนื่อยใจจนปัญญา
“มันมีปิศาจในหัวฉัน เฮย์เดน มันอยู่ในนี้” สาวมอแกนพูดด้วยน้ำเสียงที่เหม่อลอย พลางชี้ไปที่ศีรษะของเธอ
“มันสั่งให้ฉันทำ จากนั้นฉันก็รู้สึกดี” เธอหัวเราะเสียงแหบแห้งอย่างคนที่มีอาการเมายาอยู่ ถือว่ายังโชคดีที่เธอสามารถพาตัวเองในสภาพนี้มาถึงสถานที่แห่งนี้ได้
“ไม่ใช่เลยคุณผู้หญิง ไม่มีปิศาจตนใดสั่งให้คุณเล่นยา คือผมตรวจดูแล้ว ซึ่งมันไม่มีจริง ๆ คุณแค่เชื่อว่าไอ้ของพวกนี้มันช่วยให้คุณสร้างสรรค์ผลงานได้” ร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่ข้างเธอเอื้อมมือเรียวสวยไปจับแก้มของลูกค้าสาว เธอมีท่าทีจะร้องไห้ เมื่อได้ฟังคำพูดของชายหนุ่มผู้มีดวงตาคล้ายสีเลือด
“ฟังผมนะ มอแกน คุณเป็นคนเก่งมีความสามารถ อย่าเอาชีวิตไปทิ้งกับยาพวกนี้เชื่อผม นรกไม่เหมาะกับคุณหรอก” เขาเน้นเสียงเข้มเมื่อเอ่ยถึงนรก
อดีตทูตสวรรค์รู้จักมนุษย์ผู้หญิงคนนี้มาได้ห้าปีแล้ว มอแกนเธอเป็นจิตรกรหน้าใหม่ของวงการงานศิลปะ ด้วยทักษะและพรสวรรค์ของเธอในอนาคตอันใกล้ จะต้องมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน เพราะงั้นอาซาเซลไม่อยากให้ชีวิตของหญิงสาวที่กำลังจะไปได้ดีต้องจบลงในสถานที่น่าหดหู่อย่างนรก
“ฉันไม่รู้ เฮย์เดน ฉันไม่รู้ว่าฉันจะเลิกมันได้ไหม” มอแกนเริ่มร้องไห้ส่งเสียงสะอื้นจนต้องเอามือปิดหน้า ตอนแรกเธอแค่คิดจะใช้มันเอาสนุก เพราะมันช่วยให้เธอวาดภาพออกมาได้ดีมาก แต่ยิ่งใช้มันก็ยิ่งต้องการมันในปริมาณที่มากขึ้นด้วย จนตอนนี้แทบจะขาดมันไม่ได้เลย
“มอแกน มองตาผม” เสียงของชายหนุ่มทุ้มหนักแน่นจริงจัง จนเธอต้องยอมเอามือลงเงยหน้าขึ้นมองตามที่เขาบอก ดวงตาสีแดงเข้มของอดีตทูตสวรรค์ผู้งดงามมันสว่างขึ้นเป็นประกายวาววับคล้ายดวงตาของหมาป่า ทั้งน่ากลัวและน่าหลงใหลในเวลาเดียวกัน
“สัญญากับผม ว่าคุณจะเลิกยุ่งกับมัน ใช้ชีวิตของคุณให้ดี แล้วคุณจะได้ประสบความสำเร็จแบบที่คุณต้องการ เพราะผมจะรอดูผลงานของคุณ ไม่งั้นคุณคงเจอผมอีกครั้งในนรก ซึ่งผมจะไม่ใจดีแบบนี้แน่” จอมปิศาจวกะ* เอ่ยชัดทุกถ้อยคำด้วยน้ำเสียงเย็นชาอันทรงพลัง แต่แฝงความอบอุ่นเล็กน้อย
“ฉันสัญญา” จากนั้นดวงตาสีดำของเธอปรากฏแสงสีแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่มันจะดับหายไปพร้อมอาการเมายาของเธอ
“พึ่งรู้นะครับ ว่าเดี๋ยวนี้ปิศาจรู้จักทำความดีด้วย”
อดีตทูตสวรรค์ผู้ถูกสาปละสายตาจากมนุษย์ผู้หญิงแทบจะทันที เมื่อได้ยินเสียงของใครบางคน ชายหนุ่มหน้าตาหล่อคมที่พระเจ้าเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมา ดวงตาสีน้ำเงินสวยเป็นประกายคล้ายอัญมณี ผมสีบลอนด์เงินทรง Mullet ที่เข้ากับเจ้าตัวมาก สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนทับโดยเสื้อโค้ทสีเข้มตัดกับกางเกงสีครีม ยืนพิงประตูส่งรอยยิ้มสดใสให้กับเขา
“เท่าที่รู้นะ สวรรค์ไม่ได้นับพันธสัญญาปิศาจว่าเป็นความดีหรอกนะ คุณนางฟ้า” อาซาเซลรีบลุกขึ้นเดินตรงไปหาร่างสูงโปร่งที่ตัวเล็กกว่าเขาไม่มาก ก่อนจะตะโกนเรียกพนักงานในร้านอีกคน “โจชัว พาคุณผู้หญิงคนนี้ขึ้นแท็กซี่ที เอาเงินค่ารถให้เธอด้วย”
“ครับ!”
พนักงานเด็กหนุ่มผมทองทรง Bro Flow ที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ขานรับแล้วทิ้งงานตรงหน้า รีบเดินเข้ามาพยุงร่างหญิงสาวให้ลุกขึ้นขณะที่เธอยังมีอาการมึนงงเล็กน้อย พาออกนอกร้านยืนรอรถเป็นเพื่อนเธอ
“คุณอาแซค! คิดถึงคุณจังเลยค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งเดือนแล้ว” เหลนสาวแสนสวยของเจ้าของร้าน เมื่อเห็นเพื่อนสนิทคุณทวดมาที่ร้านก็วิ่งเข้าไปกอดด้วยความดีใจ ท่าทางที่เป็นเด็กน้อยของเธอเรียกเสียงหัวเราะได้ดีจากคนที่ถูกกอด
“ผมก็คิดถึงเรเชล ไม่เจอกันแป๊บเดียวดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะครับ” ทูตสวรรค์ยกมือขึ้นลูบหัวของเด็กสาวด้วยความเอ็นดู
“ใครว่า ยังเป็นม้าดีดกะโหลกเหมือนเดิม” อาซาเซลรู้สึกไม่พอใจ ที่เรเชลยังกอดเพื่อนเขาไม่ยอมปล่อย เลยจับไปที่คอเสื้อด้านหลังแล้วดึงตัวเธอให้ออกจากแซคเคอัส
“มันเจ็บนะคุณทวด หนูไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ จะมาหิ้วคอหนูแบบนี้ไม่ได้นะ อีกอย่างหนูจะกอดคุณอา แล้วเพื่อนอย่างคุณทวดจะหวงอะไรกันคะ” คำว่าเพื่อนเป็นคำพูดที่แทงใจดำสุด ๆ ทำเอาคิ้วโค้งมนสวยกระตุกอย่างเจ็บใจ
“เงียบไปเลย” ชายเจ้าของร้านปล่อยมือจากคอเสื้อของพนักงานสาวจอมจุ้น เขาดุเธอเสียงเข้ม “ถึงเธอจะเป็นเหลนฉัน แต่ไม่ได้แปลว่าเธอจะสามารถอู้งานได้ กลับไปทำงานไป”
เรเชลทำหน้ายู่ไม่พอใจ แลบลิ้นใส่อาซาเซลแล้วรีบวิ่งหนีไป ก่อนที่คุณทวดยังหนุ่มจะหยิกใบหูเธอได้
“เหลนคุณร่าเริงไม่เปลี่ยนเลย อดทำให้คิดถึงปู่กับพ่อของเธอไม่ได้เลย แล้วนี่คุณได้ติดต่อกับพวกเขาบ้างไหมครับ” เจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนเอ่ยถามถึงลูกชายบุญธรรม ที่อาซาเซลรับเลี้ยงเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อน
“ก็ยังเหมือนเดิม โทรคุยกันอาทิตย์ละสองครั้ง” ส่วนตัวเขาไม่มีโทรศัพท์มือถือ เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น เลยติดต่อกับคนอื่นผ่านโทรศัพท์บ้านและของทางร้านแทน
“วันนี้คุณทำอะไรให้ผมทานครับ อาเซล” เจ้าของร้านภาพวาดถามขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใสอย่างเช่นเคย
“นายอยากทานอะไรล่ะ แซค” ถึงใบหน้าอันงดงามจะเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ แต่ดวงตาสีทับทิมและน้ำเสียงที่ใช้กับอีกฝ่ายนั้น กลับดูอ่อนโยนแฝงไปด้วยความรู้สึก
“มิกซ์เบอร์รี่เฟรนช์โทสต์” เสียงถ้อยคำนี้ร่าเริงเป็นที่สุด
อดีตทูตสวรรค์ยกยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดู ก่อนเดินนำแซคเคอัสไปครัวด้านหลังร้าน ในนั้นนอกจากอุปกรณ์ทำครัวแล้ว ยังมีโต๊ะไม้ทรงกลมสีขาวอยู่หนึ่งตัว และเก้าอี้สองตัว ซึ่งโต๊ะตัวนี้ไม่เคยมีใครนั่งหรือไปยุ่งวุ่นวาย เพราะมันเป็นของสงวนสิทธิ์ไว้ให้แก่เจ้าของร้านกับเพื่อนสนิทเขาเท่านั้น
“นายนั่งรอก่อน เดี๋ยวผมจะทำขนมให้ทาน แต่ผมมีเมนูใหม่อยากให้นายลองก่อน นายจะยินดีไหม” อาซาเซลพูดพลางถอดเสื้อสูทออกมาแขวนไว้บนไม้แขวนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้
“แน่นอนครับ อาเซล คุณทำอะไรผมก็ทานได้หมดแหละ” ชายหนุ่มผมบลอนด์เงินพูดด้วยรอยยิ้ม ถอดเสื้อโค้ทออกแล้วแขวนไว้เช่นเดียวกัน ถึงค่อยเดินไปนั่งที่ประจำของตัวเอง
ชายหนุ่มเจ้าของร้านพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเพื่อที่จะได้ทำอาหารสะดวก เตรียมหยิบวัตถุดิบออกจากตู้เย็น เขานำพอร์คชอปที่หมักด้วยน้ำส้มใบไทม์ เกลือทะเล และพริกไทยดำเข้าด้วยกันมาย่างไฟอ่อน ระหว่างที่รอมันสุกเขาหันไปทำซอสส้มจากน้ำที่ใช้หมักพอร์คชอป เมื่อมันสุกได้ที่แล้วเขาก็ทำการจัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟตกแต่งด้วยเลมอนเป็นกลีบ ๆ โรยด้วยใบสะระแหน่ซอยปิดท้ายเป็นอันเสร็จ
“ลองทานนี่ดู มันเป็นเมนูใหม่ล่าสุดของทางร้าน พอร์คชอปซอสส้ม และนายเป็นคนแรกที่ได้ลองชิม” ดวงตาสีทับทิมเข้มเป็นประกาย รอยยิ้มของเขาคล้ายกับเด็กที่ทำอะไรได้แล้วอยากอวดให้คนอื่นได้รู้
ทูตสวรรค์พลันหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ซึ่งไม่บ่อยนักที่จอมปิศาจวกะจะลืมตัวเผลอยิ้มออกมาแบบนี้ เมื่อก่อนตอนชายตรงหน้ายังเป็นทูตสวรรค์ มักจะมีรอยยิ้มขี้เล่นอยู่เสมอ แต่หลังจาก…เหตุการณ์ครั้งนั้น อาซาเซลแทบจะไม่ยิ้มออกมาอีกเลย
นักชิมจำเป็นหยิบมีดกับส้อมขึ้นมาหั่นพอร์คชอปในจานให้เป็นชิ้นพอดีคำ ก่อนจะใส่ปากค่อย ๆ เคี้ยวลิ้มรสชาติความเข้มข้นของเนื้อ และรสเปรี้ยวอมหวาน ซึ่งมันเข้ากันได้ดีมาก
“นี่มันอร่อยมากเลย! อาเซล มันยอดเยี่ยมมาก แล้วคุณไม่ทานด้วยกันเหรอครับ” เขาหั่นมันขึ้นมาทานอีกชิ้นอย่างเอร็ดอร่อย
หนุ่มเจ้าของร้านที่แวบออกไปด้านนอก เอาขนมปังที่จะใช้ทำมิกซ์เบอร์รี่เฟรนช์โทสต์มา ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อถูกถาม “ผมยังไม่หิว”
“อาเซล ผมและคุณต่างหิวไม่เป็นทั้งคู่ ในเมื่อเราเป็นทูตสวรรค์กับ…ปิศาจ” ในเมื่อสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติอย่างพวกเรา ไม่จำเป็นต้องทานอะไรเพื่อให้มีชีวิตรอด แต่สำหรับพวกเขาทั้งสอง การได้ลิ้มรสอาหารถือเป็นกิจกรรมที่แสนจะเพลิดเพลิน
“ใช่ นางฟ้าที่รัก แต่มันคงจะน่าเบื่อ ถ้าหากต้องอยู่บนโลกโดยไม่ได้รับรสชาติพวกนี้ ไม่งั้นความสุนทรีย์คงหมดไปอีกอย่าง” ชายผมยาวพูดโดยไม่หันมามองคนที่กำลังทานอาหารที่เขาทำ ถึงไม่มองก็รู้ได้ว่าแซคเคอัสมีความสุขกับการได้ทานของอร่อยมากแค่ไหน
ชายหนุ่มที่มีฝีมือระดับเชฟหยิบไข่ขึ้นมาตอก ใส่นม น้ำตาล และผงอบเชยตีผสมเข้าด้วยกัน นำขนมปังมาสามแผ่น กดให้แบนแล้วทาครีมชีสใส่ผลไม้สดม้วนให้เหมือนโรลเค้ก ขนมปังที่ม้วนไว้ชุบกับส่วนผสมไข่ จากนั้นก็นำมาทอดบนกระทะจนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ ใส่จานราดด้วยน้ำผึ้งกับสตรอว์เบอร์รีเล็กน้อย แต่แค่นี้มันยังไม่พร้อมเอาไปเสิร์ฟ
อาซาเซลพลางครุ่นคิดว่าควรจะทำเครื่องดื่มด้วย จึงตัดสินใจทำเอ็กน็อกที่เป็นของโปรดทูตสวรรค์เพื่อนสนิท โดยการเอานม น้ำเชื่อมกลิ่นวานิลลา บรั่นดี และไข่แดง ใส่กระบอกเชคเกอร์เขย่าแห้งโดยไม่ใส่น้ำแข็งแล้วเทใส่แก้วค็อกเทล เขาโรยผงอบเชยกับลูกจันทร์ ก่อนนำไปเสิร์ฟให้แซคเคอัสที่เพิ่งทานพอร์คชอปหมดไป
“ว้าว! อาเซลมันน่าทานมาก มีเอ็กน็อกของชอบผมด้วย คุณใส่อะไร รัมหรือบรั่นดี” ดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยเป็นประกายวิบวับดุจดวงดาว เมื่อได้เห็นของโปรดและขนมที่อยากทาน เขาหยิบแก้วค็อกเทลขึ้นมาสูดดมกลิ่นแล้วยกดื่ม
“บรั่นดี / บรั่นดี” เสียงทุ้มสดใสกับเสียงทุ้มเย็นชากล่าวพร้อมกันเรียกรอยยิ้มบาง ๆ ให้แก่พวกเขาทั้งคู่
“เมื่อกี้คุณใจดีมาก เรื่องผู้หญิงคนนั้น” เสียงทุ้มนุ่มฟังรื่นหูพูดพลางหั่นเฟรนช์โทสต์ขึ้นมาทาน
อดีตทูตสวรรค์ผู้ถูกสาปเลิกคิ้วขึ้นถอนหายใจหงุดหงิดอย่างไม่จริงจัง “การชมปิศาจว่าใจดี มันออกจะไม่เข้าท่าไปหน่อยนะ”
แซคเคอัสยิ้มกลั้นหัวเราะในลำคอด้วยความอารมณ์ดี เมื่อจอมปิศาจวกะไม่ยอมรับคำชม ท่าทีแสร้งทำหงุดหงิดนั้น ซึ่งเขารู้ดีว่าเป็นการกลบเกลื่อนอาการเขินของอีกฝ่าย “คุณคิดว่าจะได้วิญญาณเธอไหม”
“ไม่รู้สิ มันขึ้นอยู่ที่ผู้หญิงคนนั้น เพราะเงื่อนไขที่ผมสร้างตอนทำสัญญาคือถ้าเธอกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี โดยที่ไม่กลับไปเล่นยา นอกจากผมจะไม่ได้วิญญาณของเธอแล้ว ยามเธอมีชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกัน…” อาซาเซลหยุดพูดไปเสียดื้อ ๆ คล้ายไม่อยากนึกถึงมันอีก
“ถ้าเธอยังเล่นยาต่อไป ทำชีวิตตัวเองตกต่ำ คุณจะได้วิญญาณเธอ และเธอต้องตกนรก” ชายผู้มีดวงตาสีไพลินเอ่ยประโยคต่อให้จบแทน ก่อนจะทานมิกซ์เบอร์รี่เฟรนช์โทสต์คำสุดท้ายหมด
“ใช่” เสียงขานรับของจอมปิศาจนั้นค่อนข้างแผ่วเบา
“ผมถึงบอกว่าคุณใจดี สิ่งที่คุณให้เธอคือทางเลือก ขนาดทาง…ฝ่ายผมยังไม่เคยให้ทางเลือกมนุษย์เลย มีแต่ทำตามประสงค์ นั่นคือความดี” เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่าพระเจ้าหรือสวรรค์
“ทูตสวรรค์อย่างพวกนาย ชอบมองทุกอย่างเป็นแค่ดำกับขาว ดีกับชั่วแค่นั้น ไม่สนใจจะมองอะไรให้ลึกลงไปกว่านั้น ทั้งที่บางอย่างมันยากจะตัดสินได้ว่ามันยังไงกันแน่”
ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีเข้มยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างเอนหลังกว้างพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาสีทับทิมบนใบหน้าที่พระเจ้าทรงบรรจงสร้างพลันว่างเปล่าจนน่าใจหาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเรียบเฉยที่คาดเดาอารมณ์ได้ยาก
“แซค ผมคิดว่ามนุษย์ก็ไม่ต่างจากทูตสวรรค์พวกนั้น ที่ว่าเวลาเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหรือตอนที่กระทำความผิด มักจะโยนมาที่พวกผม โทษว่าสิ่งที่กระทำลงไปเพราะถูกปิศาจยั่วยุ ทั้งที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพวกเขาทำตัวเองกันทั้งนั้น” ไม่ว่าจะเป็นพวกสูงส่งบนสวรรค์หรือมนุษย์บนดินที่ไร้พลัง ต่างก็มองพวกเขาเป็นแค่แพะรับบาป
“นั่นเป็นเพราะพวกคุณเป็นปิศาจ คือตัวแทนของความชั่วร้าย” ทูตสวรรค์ผมบลอนด์เงินผู้มีดวงตาสีไพลินตอบเสียงแผ่วเบาอย่างเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย
“ใช่ นั่นเพราะพระเจ้าสอนเช่นนั้น ทำตามคำสั่งของพระองค์คือความดี แต่ถ้าไม่มันก็คือความชั่ว น่าเสียดายที่พระองค์ไม่เคยสอนว่าอะไรคือความยุติธรรม เพราะงั้นพวกผมเลยไม่ได้รับมัน” คำพูดนั้นอาจฟังดูกำกวม หากแต่ชัดเจนในความรู้สึกว่าปิศาจอย่างพวกเขาไม่ได้รับความยุติธรรมในทางที่ตัดสินใจเลือกเอง
แซคเคอัสที่อยู่กับอีกฝ่ายมานานเลยรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ ว่าอดีตทูตสวรรค์ตรงหน้ากำลังอารมณ์ไม่ดี แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนไปเลยก็ตาม ดวงตาสีไพลินมองไปที่มือเรียวสวยที่วางอยู่บนหน้าขา เขาคิดว่าตัวเองควรทำอะไรสักอย่างให้เพื่อชายหนุ่มผมดำรู้สึกดีขึ้น
เขาเอื้อมมือไปกุมมือเรียวที่ติดขาวซีดเล็กน้อย หวังว่าความรู้สึกของตัวเองจะส่งไปถึงอดีตทูตสวรรค์ที่หัวใจเขายังรักไม่เสื่อมคลาย ดวงตาสีทับทิมว่างเปล่ากระตุกวูบหนึ่ง เมื่อได้สัมผัสที่ไม่ทันตั้งตัว หันกลับไปมองทูตสวรรค์ที่ส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้เขาเหมือนเป็นการบอกว่าจอมปิศาจไม่ได้ตัวคนเดียว
“ฉันเคยบอกนายไหม ว่ามือนายสวยมาก” อาซาเซลพลิกข้อมือขึ้นมากุมมือขาวสะอาดกลับ พร้อมนิ้วโป้งลูบไล้ไปตามข้อต่อนิ้วมือ ความรู้สึกที่ส่งต่อมาให้เขารับรู้ถึงมันแล้ว…
“เคยครั้งหนึ่งครับ เมื่อปี 1888” อะไรที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย ไม่มีเรื่องไหนเลยที่คิดจะลืมเลือน ทุกคำพูด ทุกการกระทำของอาซาเซลล้วนตราตรึงอยู่ในใจเสมอ
“ตอนที่เรากำลังตามจับวิญญาณร้ายนั่นสินะ” สุ้มเสียงทุ้มเอ่ยเบา ๆ เมื่อคิดถึงอดีตในเวลานั้นตัวเขาถูกพี่ชายไหว้วานขอให้ไปจับวิญญาณที่หนีรอดมาจากอาซราเซลทูตสวรรค์แห่งความตาย ขณะที่กำลังนำวิญญาณของคนที่มีบาปมาส่งนรก
จากนั้นทั้งคู่ก็ตกอยู่ในความเงียบ คิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ยาวนานจนมาถึงเดี๋ยวนี้ ความรู้สึกที่มีให้ต่อกัน ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่ารักกันมากแค่ไหน แต่เป็นตัวของอาซาเซลมากกว่าที่ไม่กล้าจะเดินหน้าความสัมพันธ์ให้ไปไกลกว่าคำว่าเพื่อน
ตามหลักการแล้วพวกเขาไม่ควรเลยที่จะมานั่งทานอาหารด้วยกัน ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อน ยามแซคเคอัสหาแรงบันดาลใจในการวาดภาพ หรือแม้ตอนที่พวกเขานั่งอยู่ข้างกันเป็นวันโดยไม่พูดอะไรในขณะที่ทูตสวรรค์วาดภาพ ส่วนเขาก็นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ใช่ มันไม่ควรเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำ เพียงอยากจะทำตามหัวใจ ในความสัมพันธ์ที่แสนจะเปราะบางนี้ดำเนินต่อไปให้นานที่สุด
“แล้ววันนี้ไปส่งภาพที่ไหนมาเหรอ” เสียงของจอมปิศาจวกะอ่อนลง พยายามจะชวนคุยในเรื่องอื่น เพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป
“ที่โรงพยาบาลครับ ลูกค้าคราวนี้เป็นหมอ เขาอยากให้ของขวัญภรรยาในวันครบรอบแต่งงาน เลยขอให้วาดภาพสถานที่ที่พวกเขาไปฮันนีมูนกัน” ดวงตาสีไพลินเป็นประกายสดใสขึ้นเมื่อคิดถึงท่าทางของลูกค้าที่มีต่อภรรยาที่รัก การที่เขาเป็นทูตสวรรค์ เมื่อสัมผัสได้ถึงความรักมันจะทำให้เขารู้สึกดีมาก
“อ๋อ งั้นเหรอ ดีนิ เอ่อ...อยากดื่มไวน์ไหม” อาซาเซลไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แต่จะให้นั่งเงียบเฉย ๆ ก็ดูไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยลองชวนอีกฝ่ายดื่มแทน
แซคเคอัสยกยิ้มขึ้นพร้อมพยักหน้ารับเป็นการตกลงว่าจะดื่มด้วยกัน ปิศาจหนุ่มรูปงามยกมือขึ้นดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ขวดไวน์และแก้วสองใบก็ปรากฏบนโต๊ะอาหารของพวกเขา
“MASSETO?” ทูตสวรรค์อ่านชื่อยี่ห้อของไวน์ขวดนี้ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นไวน์ตัวดังจากอิตาลี รู้สึกรสชาติมันจะเข้มข้นเกินไปสำหรับเขา
“ไม่ชอบเหรอ งั้นเอาอันนี้ดีไหม” อาซาเซลอ่านแววตาของอีกฝ่ายออก ว่าน่าจะไม่ชอบไวน์ที่มีรสเข้ม เขาดีดนิ้วอีกครั้ง ไวน์อีกขวดก็มาอยู่บนโต๊ะข้างขวดไวน์เมื่อครู่
“Chateau Pichon Baron เป็นยังไง ผมจำได้เมื่อครั้งก่อนที่เราไปทานอาหารที่ฝรั่งเศส ร้าน Bistrot Instinct นายดูชอบมันมาก” ชายเจ้าของร้าน To the Devil’s Love ก็อยากให้แซคเคอัสรู้ว่าตัวเขาจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ไม่แพ้กัน
“นี่คุณกำลังเอาใจผมอยู่เหรอครับ” รอยยิ้มอ่อนโยนพลันขี้เล่นขึ้น เมื่ออยากจะกระเซ้าเย้าแหย่คนปากแข็ง
“แล้วแต่นายจะคิด” อาซาเซลแกล้งบ่ายเบี่ยงไม่พูดออกมาแล้วก็รินไวน์ให้แซคเคอัส และก่อนที่พวกเขาจะได้คุยกันต่อ จอมปิศาจวกะรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง นัยน์ตาสีทับทิมเบิกกว้างรูม่านตาสีดำหดเล็กลงพร้อมฉายแววความดุร้าย กัดฟันส่งเสียงขู่คำรามของหมาป่า
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ” เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินเข้มร้องถามด้วยความตกใจ เมื่อได้เห็นท่าทีของจอมปิศาจวกะที่ดูเหมือนพร้อมจะกลายร่างได้ทุกเมื่อ
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนนรกจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เสียงอาซาเซลทุ้มแหบดุดันขึ้นมาก จากนั้นพลอยทับทิมสีแดงเข้มที่สร้อยคอเกิดกะพริบแสงสีทองขึ้นมา ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อเขา
“อาซาเซล ได้ยินพี่ไหม”
“ท่านพี่ซัมยาซา?”
“ขอโทษที่ข้าต้องรบกวนเวลาของเจ้า อาซาเซลน้องพี่ แต่นรกเกิดเรื่องแล้ว ข้าอยากให้เจ้ากลับนรกเดี๋ยวนี้!”
สิ้นคำพูดของซัมยาซาที่ดูรีบร้อนผิดวิสัยจากปกติ สัญญาณก็ถูกตัดขาดหายไป อาซาเซลร้อนรนขึ้นมา มันต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ที่นรกนั่น เขาเดินไปหยิบเสื้อสูทมาสวมพร้อมพูดกับแซคเคอัส
“ผมคงต้องไปแล้ว นายขับรถผมกลับที่พักนายได้นะ เพราะถ้าทิ้งไว้นี่ เดี๋ยวยัยตัวแสบจะแอบเอาไปขับเล่นอีก ถึงแม้ผมจะมีปัญญาจ่ายค่าปรับก็เถอะ แต่คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร” เขาไม่อยากโดนวิลเลียมหลานชายบ่นว่าที่ชอบตามใจเหลนสาวจนเกินไป
“ได้ คุณกลับไปที่นั่น ก็ระวังตัวด้วยนะครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลของแซคเคอัสดูเป็นห่วงอาซาเซลอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรให้ต้องระวังด้วย ที่นั่นก็บ้านผมเหมือนกัน ในแบบที่ยังพอเรียกว่าบ้านได้นะ และเดี๋ยวผมกลับมาจะเล่าให้นายฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น”
เกร็ดความรู้เล็กๆ
*วกะ ในภาษาสันสกฤตแปลว่า หมาป่า