รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จอมปิศาจยืนตัวตรงท่าทางองอาจหลับตาลง ยกมือข้างหนึ่งแตะที่อัญมณีทับทิมจี้ห้อยคอ ก่อนกล่าวเป็นภาษานรก และเมื่อเขาได้ลืมตาขึ้น อาซาเซลเห็นพื้นทรายสีดำสนิท บรรยากาศน่าหดหู่ที่มีวิญญาณมากมายผอมแห้ง มีแต่หนังที่หุ้มกระดูกคลานอยู่บนพื้นทรายร้องครวญครางน่าเวทนา
มีวิญญาณตนหนึ่งพยายามจะเอื้อมมือจับเท้าของอดีตทูตสวรรค์ เขาก้มมองใบหน้าผอมตอบ ดวงตาลึกโบ๋สีดำไร้รูม่านตา ผิวหนังแห้งแตกเป็นสีเขียวเข้มจนเกือบดำ ด้วยแววตาสีทับทิมไร้อารมณ์ความรู้สึกกับสิ่งที่เห็นไม่คิดจะสงสาร มีเพียงแต่ความเย็นชาที่เยือกเย็นประดุจนรกน้ำแข็งของอีกฝั่งหนึ่ง เท้าของจอมปิศาจวกะเดินข้ามตัวพวกวิญญาณไปโดยไม่แยแสสักนิด และแล้วก็มีฝูงอีกาขนาดใหญ่ต่างบินลงมาจิกกระชากวิญญาณเหล่านั้น เสียงเนื้อถูกฉีกกระชากดังมาถึงเขา พร้อมเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน
ขณะที่อดีตทูตสวรรค์แห่งการสรรค์สร้างกำลังเดินตรงไปยังคฤหาสน์สไตล์ยุโรปสมัยยุคกลาง ที่เป็นที่พักสำหรับลูซิเฟอร์กับกริกอริบางตน เขาได้ยินเสียงคำรามของปิศาจดังอยู่ไม่ไกล อาซาเซลหยุดฝีเท้าแล้วยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเห็นร่างของปิศาจสีขาวตัวใหญ่ มันมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์วิ่งสี่เท้าตรงเข้ามาด้วยแขนและขา เขาแพะสีดำบนหัว ไม่มีลูกตา ฟันคมแหลมเรียงรายเต็มปาก ที่ริมฝีปากซ้ำยังฉีกกว้างจนถึงใบหู มันส่งเสียงขู่คำรามน่าเกลียด เมื่อมันสัมผัสว่ามีบางสิ่งกำลังขวางทางมันอยู่
ในมือของจอมปิศาจแห่งนรกปรากฏแร่เหล็กสีเลือด รูปทรงดาวแปดแฉกมีขนาดเท่าเม็ดถั่ว ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ขยายตัวออกพร้อมเปลี่ยนรูปร่างไปด้วย จนมันกลายเป็นวัตถุสีดำที่มีลักษณะคล้ายหอกขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือมือข้างซ้ายของเขา
และเมื่อปิศาจตนนั้นเข้ามาใกล้ เขาดีดนิ้วหอกเหล็กที่ลอยอยู่นั้นก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ตัดผ่านหัวปิศาจร่างใหญ่จนขาดกระเด็นโดยที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ตอบโต้ เทวทูตผู้ตกสวรรค์เดินเข้าใกล้ซากศพของปิศาจ ดวงตาสีทับทิมเลือกสำรวจไปทั่วซากนั้น ก่อนจะพบรอยสักนักโทษที่ข้อเท้าของมัน
“ทำไมมันถึงได้มาอยู่ที่นี่” เขาพึมพำเสียงเบาอย่างสงสัย ว่าปิศาจที่ควรอยู่ในคุกนรกมันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ทันใดนั้นเองจอมปิศาจสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง ที่อยู่ใต้พื้นดินและกำลังใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อย ๆ เพียงเสี้ยววินาทีมันก็ได้ทะลุผ่านพื้นทรายสีดำขึ้นมาจนเศษทรายกระจัดกระจายไปทั่ว มันคือปิศาจวัวกระทิงสีดำร่างคน รูปร่างกำยำสูงใหญ่น่ากลัวง้างขวานในมือฟาดลงมาที่อาซาเซล
หอกเหล็กที่ลอยอยู่ไม่ไกลเปลี่ยนสภาพมันให้กลายเป็นโล่อันใหญ่ ปกป้องร่างกายผู้เป็นเจ้าของมันจากขวานเล่มใหญ่นั้น ด้วยแรงปะทะมหาศาลทำเอาปิศาจกระทิงบ้าเลือดต้องกระเด็นถอยหลังออกไป และเมื่อดวงตาสีแดงสดไร้รูม่านตาได้เห็นโล่เหล็กนั้น ร่างสูงใหญ่ของปิศาจวัวกระทิงถึงกลับสั่นเทาอย่างหวาดกลัวพร้อมกับเสียงทุ้มใหญ่สั่นเครือ เมื่อเอ่ยนามของคนตรงหน้า
“นายท่านอาซาเซล…”
“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้เป็นเจ้าเบเธมอธ ไม่เจอกันเสียนานเลย หากจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่เจอเจ้า คือในคุกมิใช่หรือ แล้วทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะ” เสียงทุ้มเย็นชาเหี้ยมเกรียมแฝงอยู่ในทุกถ้อยคำ ในขณะที่โล่เหล็กนั้นเปลี่ยนรูปร่างของมันอีกครั้ง ให้กลายเป็นโซ่สีดำยาวลอยอยู่เหนือหัวอาซาเซลในลักษณะการเคลื่อนไหวคล้ายงูที่กำลังเลื้อยไปมา
เบเธมอธปิศาจวัวกระทิงเลือกที่จะวิ่งหนีแทนที่จะสู้กับอดีตทูตสวรรค์ เพราะรู้แก่ใจว่าตัวมันไม่สามารถที่จะต่อสู้กับอาซาเซลได้ จอมปิศาจวกะถอนหายใจยาวด้วยความเบื่อหน่าย ทำไมพวกปิศาจดั้งเดิมถึงได้ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก แค่อยู่เฉย ๆ ให้จับก็พอ โซ่เหล็กที่ลอยอยู่พุ่งตรงเข้าใส่มัดร่างของปิศาจไว้ เสียงร้องของมันไม่ต่างจากวัวที่ถูกส่งเข้าโรงเชือดไม่มีผิด
อาซาเซลใช้มือปัดเศษทรายออกจากชุดสูทสีเลือดราคาแพงด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะได้ยินเสียงของผู้ชายตะโกนเรียกชื่อเขาจากบนฟ้า ที่ไร้ดวงตะวันมีเพียงความมืดมิดชั่วนิรันดร์
“ท่านพี่อาซาเซล!”
“แดเนียล?” หนึ่งแกนนำผู้เฝ้าดู น้องชายอีกตนของอาซาเซล เขามองแดเนียลที่กำลังบินลงในชุดคลุมสีดำตัวยาวแบบพวกนักบวชชอบใส่กัน ซึ่งมันก็ดูดีนะเหมาะกับแดเนียลไม่น้อย แต่จะแปลกแค่คนใส่ดันเป็นเทวทูตตกสวรรค์
“ท่านพี่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” นักบุญในร่างปิศาจที่มักจะเรียบร้อย รักษากิริยา กลับตะโกนเสียงดังอย่างรีบร้อน
“มันเกิดอะไรขึ้น” เขาอดคิดไม่ได้ แทนที่แต่ละคนจะบอกว่ามันเกิดเรื่องใหญ่ สู้บอกมาเลยดีกว่าว่ามันมีเรื่องอะไร
“มุนดุสกับพรรคพวกหนีขึ้นไปบนโลกมนุษย์ แล้วยังแอบปล่อยพวกนักโทษออกมา ตอนนี้นรกวุ่นวายกันไปใหญ่ และเหมือนมุนดุสจะขโมยของบางอย่างไป” อดีตทูตสวรรค์ที่มีอายุน้อยกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เข้าใจแล้ว พวกท่านพี่ลูซิเฟอร์เป็นอย่างไรบ้าง” จอมปิศาจพอจะจับต้นชนปลายได้แล้ว เรื่องของมุนดุสที่พยายามหนีขึ้นมาบนโลก ไม่ถือว่าแปลกใหม่นัก เพราะทำมาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา แต่ไม่นึกว่าครั้งนี้จะทำสำเร็จได้จริง ๆ
“ไม่เป็นไรครับ มีแค่แมมม่อนที่ได้รับบาดเจ็บนิดเดียว” แดเนียลไม่ชอบในตัวหลานชายคนนี้เท่าไร เลยไม่เคยสนใจ จนตอนนี้ตัวเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กคนนี้ จะมีฝีมือขนาดที่ทำให้มหาบาปแห่งความละโมบบาดเจ็บได้
“งั้นข้าฝากจัดการทางนี้ด้วย ข้าจะบินตรงไปที่คฤหาสน์เลย” เมื่อได้ยินว่าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในนรกได้รับบาดเจ็บ ทันทีที่สั่งการธุระให้น้องชายจัดการต่อก็สยายปีกสีดำใหญ่ ที่มักจะเก็บซ่อนไว้ตลอดเวลาบินขึ้นฟ้า ส่วนแดเนียลได้รับคำสั่งจากพี่ชายพยักหน้ารับพร้อมเสกโซ่ขึ้นมาล่ามเบเธมอธไว้อีกชั้น เพื่อที่จะได้นำไปขังคุกตามเดิม
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที อาซาเซลมาหยุดอยู่หน้าคฤหาสน์ของลูซิเฟอร์ จอมปิศาจเก็บปีกตัวเองลงรีบเดินผ่านประตูเหล็กบานใหญ่ ตรงไปยังห้องส่วนตัวเจ้าของคฤหาสน์ เขาหยุดอยู่ที่ประตูไม้บานพับถูกแกะสลักเป็นรูปงูสองตัวพันกันไปมา คล้ายลักษณะกำลังสืบพันธุ์ ปิศาจหนุ่มผมดำยาวเปิดประตูเข้าไปโดยไม่สนใจที่จะเคาะประตูเพื่อเป็นมารยาท
“ตกลงมุนดุสมันขโมยอะไรไป”
“อาซาเซล! น้องพี่ ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ลงมาเสียแล้ว” ซัมยาซาพี่ชายอีกคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายอาซาเซลอยู่หลายส่วน ต่างกันที่คนพี่จะมีใบหน้าคมเข้มกว่าและร่างกายที่กำยำ มีผมสั้นสีแดง เขาเอ่ยร้องทักอาซาเซลด้วยความดีใจ เพราะมิได้พบน้องชายมานานหลายสิบปี
“ท่านเรียกข้า มีหรือที่ข้าจะไม่มา เสื้อผ้าดูเข้ากับท่านนะ” คนเป็นน้องชายสำรวจเสื้อผ้าสไตล์พังก์ของซัมยาซา ซึ่งเป็นผู้ปกครองนรกคนที่สามของฐานอำนาจ
“ขอบใจ เดี๋ยวรอลูซิเฟอร์มาก่อน เราจะได้คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น” อดีตทูตสวรรค์แกนนำใหญ่ของผู้เฝ้าดู เอ่ยด้วยรอยยิ้มอบอุ่นแบบพี่ชายคนโตผู้แสนใจดี พลางรินไวน์ใส่แก้วแล้วส่งให้อาซาเซล
“แล้วท่านพี่ไปไหน” จอมปิศาจวกะมือขวาของจ้าวนรกผู้นำสูงสุดดมกลิ่นของเหลวสีเข้มในแก้ว ก่อนยกมันขึ้นดื่มแล้วทำหน้าเหยเกเมื่อได้รับรู้รสชาติที่ไม่ได้เรื่อง “ไว้ครั้งหน้า ข้าจะนำไวน์ชั้นดีที่ร้านมาฝากท่าน เชื่อเถอะ พอได้ลองแล้ว ท่านจะได้เลิกดื่มของห่วย ๆ นี้ไปเลย” จากนั้นเขาวางแก้วลงบนโต๊ะโดยที่ไม่สนใจมันอีกเลย
“มันก็ช่วยไม่ได้ ในนรกก็หาดีสุดได้เท่านี้” ผู้ปกครองนรกวางแก้วไวน์ลงไม่ดื่มเป็นเพื่อนน้องชาย ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำจริงจัง “แมมม่อนประมาทเกินไป ตอนขวางไม่ให้มุนดุสหนีเลยได้แผลนิดหน่อย แต่นั่นก็มากพอจะทำให้เจ้านั่นหัวเสียไม่น้อย จนเกือบอาละวาดจะขึ้นไปบนโลกมนุษย์ให้ได้ ตอนนี้ลูซิเฟอร์เลยเข้าไปคุยเผื่อว่าจะใจเย็นขึ้นมาบ้าง”
“ดูท่าหลานข้าคนนี้ฝีมือดีขึ้นมาก” เสียงทุ้มเย็นชาเอ่ย ถึงแม้คำพูดเหมือนชมเชยหลานตัวดี หากแต่ฟังดูดี ๆ คำชมนั้นถือเป็นการดูถูกที่มีปัญญาทำได้แค่นี้
“อาซาเซลเจ้ามาแล้วเหรอ” จ้าวแห่งนรกผู้นำอันสูงสุดเดินออกมาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง ผู้นำแห่งแสงสว่างท่านนี้ ต่อให้ตกสวรรค์แล้วยังคงสวมชุดสีขาวเช่นเดิม แค่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
“แมมม่อนเป็นอย่างไรบ้าง” อาซาเซลถามถึงเพื่อนสนิททันที ถึงจะรู้จากพี่ชายอีกคนแล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก เขาก็อยากจะรู้ให้แน่ชัดอยู่ดี
“ไม่เป็นไร แค่แขนซ้ายขาดไปข้าง แต่ข้าต่อให้เรียบร้อยแล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว” น้ำเสียงของลูซิเฟอร์เคร่งเครียดกว่าปกติ ทั้งที่ส่วนใหญ่แล้วทุกครั้งที่เจอกัน อีกฝ่ายมักจะเอ่ยวาจาขี้เล่นไม่จริงจังนัก แสดงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นร้ายแรงพอสมควร
“ตกลงเจ้าตัวแสบมันขโมยอะไรไป” จากท่าทางของทุกคนแล้ว สิ่งที่มุนดุสขโมยไปจะต้องเป็นของสำคัญแน่นอน
“แก่นเปลวเพลิงแห่งความมืด” ถ้อยคำที่ออกมาจากปากของจ้าวแห่งนรกนั้นชัดเจนและหนักแน่น
“อะไรนะ!?” อาซาเซลถามกลับอย่างตกใจปนความรู้สึกไม่น่าเชื่อ เปลวเพลิงแห่งความมืดมันทรงอานุภาพมากให้เข้าใกล้ยังทำไม่ได้ และการที่ครอบครองควบคุมมันยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้
“อืม อย่างที่เจ้าว่า หากข้าไม่คิดว่าเจ้าลูกชายตัวดีของข้าจะควบคุมมันได้ ข้าเห็นตอนมุนดุสเอามันไปดูเต็มกลืนไม่น้อย คงอีกหลายพันปีกว่าเขาจะควบคุมเปลวเพลิงได้ นอกจาก…เขาจะได้ครอบครองพลังของผู้ที่สามารถควบคุมเปลวเพลิงแห่งความมืด และผู้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้นอกจากข้าก็มีแค่…” ลูซิเฟอร์เงียบลงแล้วใช้ดวงตาสีฟ้าใสที่เต็มไปด้วยความกังวล มองตรงมาทางอดีตทูตสวรรค์ผู้ถูกสาปเป็นคำตอบแทนคำพูด
“ข้า…ข้ารู้ผู้ที่สามารถควบคุมมันได้ดั่งใจ มีแค่ข้ากับท่าน” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของอาซาเซลดูเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที “และสิ่งที่ท่านกำลังพยายามจะบอกข้าก็คือ มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกชายท่านจะมาหาข้า”
“ข้าคิดว่าเขาน่าจะไปฆ่าเจ้ามากกว่า” ซัมยาซาแก้คำพูดให้ถูก ก่อนพูดประโยคต่อมา “ข้าไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาหาเจ้าง่าย ๆ แล้วพูดว่า ‘สวัสดีท่านอา ข้าขอพลังท่านได้ไหม พอดีข้าอยากเอาไปทำลายโลก’ ”
“เหรอ ก็ให้มันมาลองดู ข้าคืออาซาเซล พลังของพระเจ้า ผู้สร้างเปลวเพลิงแห่งนรก จอมปิศาจที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นจ้าวแห่งสงคราม” ดวงตาหมาป่าสีแดงเลือดฉายความดุดัน เสียงที่ลอดผ่านตามไรฟันไม่ต่างจากสัตว์ร้าย ที่กำลังขู่สิ่งที่กล้าลองดีกับมัน “หากหลานชายอยากได้รับบทเรียนจากอาคนนี้ ข้าก็ยินดีที่จะสั่งสอนอย่างไม่ออมมือ”
“ข้าเชื่อในฝีมือและความสามารถของเจ้า น้องพี่ แต่มันจะดีกว่าถ้าเจ้าไม่ประมาท และอีกเรื่อง ข้าอยากให้เจ้าไปจับพวกที่หนีออกไปด้วย” น้ำเสียงทุ้มรื่นหูของลูซิเฟอร์ถึงฟังดูคลายกังวลลงบ้าง หากแต่ยังคงจริงจังไม่เปลี่ยนขยับมือเสกม้วนกระดาษขึ้นมา แล้วนำไปให้กับอาซาเซล
อาซาเซลคลี่ม้วนกระดาษออกมา ภายในมีรายชื่อจำนวนหนึ่ง จากนั้นตัวเขาแข็งทื่อไปครู่ ถึงได้เงยหน้ามองลูซิเฟอร์ “นี่มันเป็นร้อยเลยนะ” ถ้าให้บอกตามตรงสีหน้าของอดีตทูตสวรรค์แสดงถึงอารมณ์ที่เรียกได้ว่าเซ็งเป็นที่สุด “และทำไมต้องเป็นข้า”
“เพราะเจ้าอยู่บนโลกมนุษย์นานกว่าใคร รู้จักที่ทางเป็นอย่างดี แต่ไม่ต้องห่วงข้าไม่ได้ให้เจ้าทำคนเดียว ข้าได้แจกจ่ายม้วนรายชื่อเหล่านี้ให้กับเทวทูตตกสวรรค์และปิศาจดั้งเดิม” อดีตผู้นำแห่งแสงสว่างใช้นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังรายชื่อที่ถูกขีดฆ่าออก “ถ้ามันถูกจับได้หรือมันตายลงไป รายชื่อในนี้มันจะขีดฆ่าออกเอง จะได้รู้ด้วยว่าเหลืออีกกี่ตัว”
“ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าไม่มีอะไรอีก งั้นข้าขอตัวก่อน” เขาม้วนกระดาษเก็บมาถือไว้ จู่ ๆ กระดาษนั้นก็อันตรธานหายไป ก่อนหันหลังและเดินจากไปโดยมีเสียงของลูซิเฟอร์ไล่ตามหลังมาว่า ‘ระวังตัวด้วย’ เขาไม่ได้หันกลับไปมองหรือขานรับเพียงแค่โบกมือลาแบบขอไปที
เมื่ออาซาเซลใช้พลังเวทกลับขึ้นมาบนโลกมนุษย์ สถานที่เขาเลือกจะปรากฏตัวคือร้านวาดภาพ Art Angel ของแซคเคอัส แทนที่จะเป็นแฟลตหรือที่ร้านบาร์ของตัวเอง ขณะที่เขากำลังเอื้อมมือจะไปเปิดประตู เขาได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน เจ้าของดวงตาสีทับทิมมองเข้าด้านในผ่านกระจกบานประตู ทำให้เห็นผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวดูดีมีฐานะยืนอยู่ข้างแซคเคอัส พยายามจะจับไหล่ทูตสวรรค์เพื่อนของเขา
‘ปัง!’ เสียงเปิดประตูค่อนข้างรุนแรงที่เกิดจากการหึงหวงของจอมปิศาจวกะ มันเรียกให้คนที่อยู่ในร้านหันหน้ามามองที่อาซาเซลเป็นตาเดียวกัน
“อาเซล!? คุณหายไปตั้งสองวัน เป็นอย่างไรบ้างครับ” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนร้องทักด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนที่เดินเข้ามาในร้าน เสียงสดใสที่ดูดีใจมากเป็นพิเศษ ทำให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างกันไม่พอใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของร้านภาพวาดที่เขาแอบชอบสนใจคนที่เข้ามาใหม่มากกว่า
“ไม่ดี ไม่แย่” อาซาเซลมองมนุษย์ผู้ชายคนนั้นด้วยอารมณ์บางอย่าง ที่กำลังลุกโชนในใจของเขาเหมือนเมื่อครั้งกาลิกุลา* แนโร* รวมศิลปินคนอื่น ที่พยายามจะเข้ามาใกล้ตัวทูตสวรรค์ของเขา
เขาอยากจะตะโกนไล่ให้ผู้ชายคนนี้ไสหัวออกไปซะ แต่ถ้าทำแบบนั้นแซคเคอัสคงจะไม่ชอบใจที่เขาทำตัวเสียมารยาท อีกทั้งเขาจะเอาฐานะอะไรไปทำแบบนั้น ในเมื่อเขาเลือกเองที่จะให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกัน
“คุณเอสเตอร์ ไม่ทราบว่านี่ใครเหรอครับ” ชายหนุ่มคนนั้นเรียกชื่อที่แซคเคอัสใช้บนโลกมนุษย์ ‘เอสเตอร์ แซคเคอัส’ ชายหนุ่มที่เป็นมนุษย์คนเดียวในร้านรู้สึกได้ว่าสองคนนี้ น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาจากน้ำเสียงที่แซคเคอัสใช้กับอีกฝ่าย และสายตาของคนแปลกหน้าที่มองมาเหมือนจะจับเขาฉีกเป็นชิ้น ๆ นั่นอีก
“ผมเสียมารยาทจังเลย ที่ลืมแนะนำ นี่เพื่อนผม เฮย์เดน เอส. อาซาเซล ส่วนนี่คุณวอลเทอร์ ลูกค้าผม” เจ้าของดวงตาสีไพลินยกยิ้มกว้างอย่างไร้เดียงสา เอ่ยแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน คล้ายไม่สังเกตว่าบรรยากาศมาคุกำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
“สวัสดีครับ คุณอาซาเซล” เป็นคนที่ชื่อวอลเทอร์ยื่นมือเข้ามาหวังจับมือทักทายกัน จอมปิศาจวกะมองด้วยดวงตาสีแดงเข้มที่สะท้อนความเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มราบเรียบไร้อารมณ์
“เช่นกัน แต่เรียกผมว่าเฮย์เดนเถอะครับ” อดีตทูตสวรรค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ที่ไม่สนิทด้วยมาเรียกชื่อจริง รวมถึงเขาจะไม่จับมือกับผู้ชายหน้าไหนก็ตามที่ทำท่าจะเข้ามาจีบทูตสวรรค์ของเขา อาซาเซลเดินเข้าไปหาแซคเคอัสด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์เอื้อมมือโอบแผ่นหลังแซคเคอัสไว้ ดึงให้มาแนบชิดร่างสูงโปร่งของตัวเอง
“ขอโทษที่หายไปตั้งสองวัน นางฟ้า พอดีติดปัญหาใหญ่นิดหน่อย นายอยากจะฟังเรื่องของผมไหม หรือยังติดธุระบางอย่างอยู่” น้ำเสียงที่จอมปิศาจวกะใช้มันอ่อนโยนมากจนคนฟังถึงกับเบิกดวงตาสีน้ำเงินขึ้นกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ ไหนยังนัยน์ตาสีเข้มที่มองอย่างอ้อนวอนให้เลือกอดีตทูตสวรรค์อย่างน่าสงสาร แล้วไล่แขกที่ไม่ต้องการให้ออกไป
และแน่นอน ทูตสวรรค์ไม่เคยปฏิเสธคำขอของจอมปิศาจ
“ผมต้องอยากรู้สิครับ มีเรื่องไหนเกี่ยวกับคุณที่ผมไม่อยากรู้บ้าง” เจ้าของมือเรียวขาวผ่องเคลื่อนไปแตะที่แก้มเนียนของอดีตทูตสวรรค์ โดยที่เจ้าตัวเอียงหน้ารับสัมผัสให้มากขึ้นโดยไม่สนใจมนุษย์ผู้นั้นแม้แต่น้อย
“ขอโทษนะครับ คุณวอลเทอร์ ผมคงต้องรบกวนคุณกลับไปก่อน ส่วนเรื่องภาพคุณไม่ต้องห่วง ผมจะทำให้ดีที่สุด” แซคเคอัสหันมาเอ่ยกับลูกค้าของตัวเองอย่างรู้สึกผิด โดยที่อาซาเซลเชื่อว่าทูตสวรรค์ที่รักไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ
“ให้ผมเดินไปส่งนะ” รอยยิ้มของอาซาเซลเหมือนคนที่ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เขายอมปล่อยร่างสูงโปร่งหากแต่ตัวเล็กกว่าเขานิดหน่อยออกจากอ้อมแขน ลากผู้ชายที่เขาไม่พึงประสงค์จะเห็นหน้าออกจากร้าน ทั้งยังปิดประตูใส่อีกด้วย
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นที่นรกเหรอครับ”
“ทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นเข้าถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้”
สองคำถามมาจากหนึ่งทูตสวรรค์กับหนึ่งปิศาจ โดยที่คำถามไม่ได้มาจากเรื่องเดียวกัน ทำให้ทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากันและกันในความเงียบนั้น
“ก็แค่ลูกค้าแหละครับ เขามาสั่งภาพวาดจากผม” แซคเคอัสพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มแผ่วเบา เขารู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เลยรู้ว่าท่าทางและคำพูดของจอมปิศาจวกะมันคือการหึงหวง นั่นทำให้หัวใจดวงน้อยของทูตสวรรค์เต้นแรงขึ้นด้วยความดีใจ
“แล้วนายไม่เห็นสายตาที่หมอนั่นมองนายรึไง” อดีตทูตสวรรค์เอ่ยวาจาอารมณ์หงุดหงิด จนแทบจะเรียกได้ว่าโมโหเพราะมันเป็นสายตาแบบเดียวกันกับที่เขาใช้มองแซคเคอัสมาตลอดหลายพันปี ไม่สิ…หากนับตั้งแต่เขายังไม่ตกสวรรค์คงเป็นหมื่นปีไปแล้ว
แต่ที่เขากำลังโมโหอยู่จริง ๆ กลับไม่ใช่ทูตสวรรค์ที่รักหรือเจ้ามนุษย์ผู้ชายคนนั้น แต่กลับเป็นตัวเขาเอง ตั้งแต่กลายเป็นปิศาจไอ้ความรู้สึกรัก หึงหวง ตัณหา มันกลับทวีคูณความรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าตอนเขาเป็นทูตสวรรค์ ขนาดที่เรียกได้ว่าแทบไม่ติดเลย
และมันควบคุมได้ยากจนเขาถึงกลับต้องตีสีหน้าเย็นชา และพยายามจะไม่ถูกตัวแซคเคอัสให้มาก เพราะกลัวตัวเองจะเผลอใจต่อกิเลสตัณหาทำตามความต้องการของตัวเอง คือการได้ครอบครองทุกพื้นที่ร่างกายอันศักดิ์สิทธิ์ของทูตสวรรค์ ให้เสียงทุ้มหวานนั้นร้องครางเรียกหาแต่ชื่อเขา
“ผมไม่ได้สนใจเขานิครับ ในเมื่อคุณก็รู้ว่าหัวใจผมอยู่ที่ใคร” น้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนแฝงความจริงจัง และหมายมั่นอย่างที่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่รู้แบบที่เคยผ่านมา
คำพูดของแซคเคอัสทำให้จอมปิศาจวกะถึงกลับเลียริมฝีปากตัวเอง กำมือแน่นอดกลั้นไม่คว้าร่างตรงหน้ามาจูบเพื่อตอบสนองความต้องการ ใช่เขารู้ รู้ดีกว่าใครเลย
“หากเป็นเรื่องของหัวใจ ทางผมก็คงไม่ต่างกัน” หัวใจของอดีตทูตสวรรค์ผู้ต้องสาปก็เป็นของอีกฝ่ายมานานมากแล้วเหมือนกัน เพียงแค่มันเลยเวลาที่เหมาะสมจะพูดมันออกมาให้ชัดเจน
“ถ้างั้นคุณจะให้ผมรอถึงเมื่อไหร่” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาระคนความหวังอันริบหรี่
“นายเหนื่อยที่จะรอแล้วเหรอ” เจ้าของดวงตาสีเข้มที่กำลังสั่นไหวถามกลับด้วยน้ำเสียงแฝงความรวดร้าวเอาไว้ ในใจเกิดกลัวคำตอบที่จะได้รับ เพราะถ้าอีกฝ่ายเหนื่อยจนไม่อยากเจอเขาอีก เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรได้เลยเมื่อเป็นคนเลือกเอง
“เปล่าครับ แค่อยากจะบอกว่าต่อให้อะไรจะเกิดขึ้น ผมพร้อมจะรอคุณเสมอ” ใบหน้าอันหล่อเหลาตามมาตรฐานของสวรรค์ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปกอดร่างสูงโปร่งของปิศาจที่รัก แล้วซบลงบนไหล่เอ่ยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนที่มีความหนักแน่น
อาซาเซลใช้เรียวแขนแกร่งทั้งสองโอบเอวคอดของทูตสวรรค์ให้ร่างกายทั้งสองแนบชิดกัน ปล่อยความรักที่ไม่อาจเปิดเผยต่อสรวงสวรรค์ไหลเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา
“ผมกำลังทำความสะอาดของสะสม สนใจมาดูด้วยกันไหมครับ” หลังจากที่เงียบอยู่สักพักแซคเคอัสเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อนผลักตัวเองออกจากอ้อมกอดนั้นช้า ๆ อย่างเสียดาย
จอมปิศาจวกะพยักหน้าตอบรับคำชวนของคนตรงหน้า แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือไปที่โต๊ะตัวหนึ่งที่มีข้าวของมากมายวางอยู่จนเต็ม พร้อมมีผ้าทำความสะอาดอยู่ข้างกัน
“คุณจำสิ่งนี้ได้ไหม?” แซคเคอัสหยิบสร้อยคอโบราณที่ถูกร้อยด้วยเปลือกหอยและลูกปัด เป็นที่นิยมมากในสมัยกรีกโบราณ อาซาเซลรับมันมาดูก่อนจะส่งคืน เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายยังเก็บไว้อยู่
“ที่ผมซื้อจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนเราเดินเล่นกันที่หาดบิเดโรซา โอเอซิส?”
“ใช่ ผมพยายามเก็บรักษามันอย่างดี” น้ำเสียงของแซคเคอัสดูสดใสร่าเริงขึ้นจากเมื่อครู่มาก
“ผมไม่นึกว่านายจะเก็บมันไว้ แค่สามสิบดรัชมา ก็สามเหรียญเงินเอง ไม่ใช่ของที่มีมูลค่าอะไร” สำหรับปิศาจอย่างเขาแล้วมันก็แค่เศษเงิน ในเมื่อเขาสามารถบันดาลทรัพย์สินเงินทองให้ตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องทำงานแบบพวกมนุษย์
“ครับ แต่เท่าที่ผมจำได้สร้อยเปลือกหอยนี้ มีราคาไม่ถึงสองดรัชมา และผมรู้ว่าคุณไม่ได้ซื้อมันเพียงเพราะผมชอบ แต่คุณทำให้เด็กคนนั้นได้อิ่มท้องไปอีกหลายมื้อจากเงินที่คุณให้เธอ ความใจดีของคุณเนี่ยไม่ว่าผ่านไปกี่สมัยก็ไม่เปลี่ยนไปเลย” คงไม่มีคำไหนที่จะเหมาะกับจอมปิศาจตรงหน้าได้ดีไปกว่าคำว่าใจดีและมีเมตตา ในแบบที่ทูตสวรรค์หลายคนยังไม่มี
“เงียบไปเลย” ใบหน้าอัดงดงามถึงกลับเมินหน้าหนีไม่กล้าสบตากับเจ้าของดวงตาสีไพลินสดใส ที่มีความชื่นชมอยู่ในนั้น คือตัวเขาเป็นถึงจอมปิศาจที่ใครหลายคนหวาดกลัว กลับถูกชมว่าใจดีแบบนี้มันดูไม่เข้าท่าเสียเลย
แซคเคอัสหัวเราะในท่าทางของจอมปิศาจที่ไม่ยอมรับคำชมจากเขาง่าย ๆ จากนั้นทูตสวรรค์ก็หยิบผ้าคลุมหน้าสีขาวนวลขึ้นมา “แล้วผ้าผืนนี้ล่ะ คุณจำได้ไหม?”
อดีตทูตสวรรค์พยักหน้ารับ เขาจำได้ว่าผ้าคลุมหน้านี้เป็นตัวเขาเองที่คลุมให้อีกฝ่ายกับมือ ตอนนั้นแนโรจักรพรรดิโรมันเห็นแซคเคอัสในฝูงชน นึกเกิดชอบขึ้นจนให้คนมาจับเพื่อเอาไปเป็น…ตอนนั้นทูตสวรรค์ตัวดีก็เดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย โดยไม่ระวังตัวเลยสักนิด
ส่วนเขาตอนนั้นต้องไปปลุกระดมความขัดแย้งให้คนลุกขึ้นมาต่อต้านแนโร หลังเหตุการณ์ที่ไฟไหม้กรุงโรมนานถึงเจ็ดวัน ที่ฆ่าชีวิตผู้คนไปมากซ้ำยังใส่ร้ายคนคริสต์ว่าไม่เป็นธรรม ทั้งยังจับผู้บริสุทธิ์มาทรมานอีก การกระทำของแนโนมันน่ารังเกียจขนาดปิศาจอย่างพวกเขายังรับไม่ได้
พอตกนรกเลยถูกซามูเอลจับทรมานอย่างหนัก ให้สมกับสิ่งที่ได้ทำชั่วลงไป
ขณะที่เห็นแซคเคอัสถูกพาตัวไป เขาเลยเดินตามไปดูเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นแล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด แนโรหลงในรูปโฉมของทูตสวรรค์ จอมปิศาจแทบอยากจะฆ่าเจ้าคนวิปริตนั่นกับมือโดยไม่สนแผนอะไรก็ตามที่วางไว้ เมื่อเห็นเจ้านั่นเอามือสกปรกมาจับใบหน้าบริสุทธิ์ที่แม้แต่เขาในยามนั้นยังฝืนทนไม่กล้าแตะต้อง
“นายก็ซื่อบื้อที่ไปเดินในฝูงชนโดยไม่ใช้พลังปกคลุมร่างกายตัวเอง”
“ตอนนั้นผมสนใจอย่างอื่น จนลืมไปเลย” ตอนนั้นเขาเห็นคนที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายอาซาเซล เลยพยายามจะเดินไปหาเพื่อให้แน่ใจ แต่กลับถูกพวกทหารพาตัวไป “แล้วคุณก็เอาผ้าคลุมให้ผม พาผมออกจากที่นั่น”
“ก็ใบหน้านายมันอย่างเด่น”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ ผมสู้คุณไม่ได้หรอก”
อาซาเซลหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะหยิบแก้วไม้ขึ้นมาดู พยายามนึกว่าตนเคยให้อีกฝ่ายตอนไหน “แก้วนี้ล่ะ?”
“มีอยู่ครั้งที่คุณบอกผมว่า คุณไปอาณาจักรมายา แล้วคนที่นั่นคิดเครื่องดื่มขึ้นมาใหม่ คุณเอามาฝากผมด้วย”
“โกโก้?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามให้แน่ใจถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ใช่แล้ว ตอนนั้นรสชาติมันยังไม่อร่อยเท่าเดี๋ยวนี้เลย” นอกจากไม่หวานแล้ว ยังทั้งขมทั้งเผ็ดด้วย จนทูตสวรรค์อดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่นั่นดื่มมันไปได้อย่างไร
“ก็อันนั้นมันใส่โรยพริกไทยและพริกป่น แต่สมัยนี้รสชาติดีขึ้นมาก ผมเองก็ชอบถึงจะไม่ได้ดื่มบ่อย ๆ” เพราะเขาชอบรสชาติขมฝาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า ดวงตาสีทับทิมเลือดกวาดมองไปยังของสิ่งอื่นที่วางบนโต๊ะ “ของที่ผมให้นายมีไม่มาก ที่เหลือคงมาจากของคนที่พวกเราเจอช่วงระยะเวลาหนึ่งสินะ”
“ครับ ก็ส่วนใหญ่ที่คุณให้ผมมีแต่ของกินนี่ครับ” เสียงหัวเราะของแซคเคอัสร่าเริงและสดใสมาก เมื่อนึกถึงสิ่งที่อาซาเซลมักจะให้เขาตอนเจอกัน ซึ่งต้องเป็นอาหารเกือบทุกครั้งไป เพราะแบบนี้ถึงได้มีของเหลือมาถึงสมัยนี้ไม่มาก ในเมื่อส่วนใหญ่มันอยู่ในท้องเขาไปหมดแล้ว
“แต่ผมมีของสิ่งหนึ่งที่คุณต้องจำได้แน่ ๆ เป็นของชิ้นแรกที่คุณให้ผม ตอนที่คุณตกสวรรค์” ร่างสูงโปร่งของชายผมบลอนด์เงินพูดพลางรีบเดินไปยังตู้ไม้โบราณ เขาดึงลิ้นชักตู้ออกมาหยิบของที่อยู่ข้างใน และเมื่ออาซาเซลได้เห็นถุงหนังที่อยู่ในมือแซคเคอัส เขาถึงกลับยืนนิ่งแข็งทื่อของที่ถือไว้ในมือร่วงหล่นลงพื้น คล้ายคนไม่มีแรง
“นั่นมัน…”
“ถุงหนังที่คุณให้ผมก่อนลงไปยัง…นรก” น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นพูดก่อน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ทำให้อดที่จะเศร้าใจไม่ได้ น้ำท่วมโลกในครั้งนั้น สร้างบาดแผลทางใจให้เขาไม่น้อย
อาซาเซลยื่นมือออกไปรับถุงหนังด้วยความสั่นเทา เปิดถุงนั้นแล้วเห็นว่าภายในมันว่างเปล่า เขาฉีกยิ้มอย่างตื้นตันใจ ดวงตาทับทิมร้อนผ่าวก่อนจะมีน้ำสีเลือดไหลออกจากดวงตาคู่สวยนั้น เขารีบวางถุง ยกมือเรียวขึ้นปิดใบหน้าของตน เขาเกลียดที่ทุกครั้งยามเขาร้องไห้น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสีเลือด ซึ่งมันออกจะน่ากลัวและน่าขยะแขยงสำหรับผู้มาพบเห็น
แซคเคอัสหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อ เดินเข้าไปหาอาซาเซลเอื้อมมือขาวผ่องของตัวเองจับไปที่มือเรียวสวยที่กำลังปิดใบหน้างดงามที่สุดในหัวใจเขา ด้วยความอ่อนโยนไม่ต่างจากเสียงที่เขากำลังใช้อยู่
“ไม่เป็นไร อาเซล มันไม่น่าเกลียดสักนิด มานี่สิ ให้ผมเช็ดน้ำตาให้คุณนะ”
เสียงที่อาซาเซลได้ยินนั้นมันอ่อนโยนมาก มันมากจนทลายกำแพงที่เขาสร้างภายในใจ เขายอมลดมือลงและปล่อยให้แซคเคอัสบรรจงค่อย ๆ เช็ดน้ำตา
“ขอบคุณ ขอบคุณที่ฟังคำขอสุดท้ายนั้น” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของอาซาเซลมีความตื้นตันข้างในที่ปิดไม่มิด
“ผมทำตามที่คุณบอก พอรอน้ำแห้งผมลองเปิดถุงออกดู เห็นข้างในเป็นตุ๊กตาไม้แกะสลักขนาดเท่าข้อนิ้วจำนวนหนึ่ง ตอนนั้นผมก็สงสัยนะว่ามันคืออะไร แต่ผมจำได้ว่าคุณสั่งโยนลงพื้น ผมเลยทำตาม จากนั้นตุ๊กตาเหล่านั้นก็กลายเป็นเด็ก มนุษย์กับเหล่าสัตว์มากมาย” แซคเคอัสค่อย ๆ ดึงอาซาเซลมาโอบกอดโดยที่ปิศาจหนุ่มไม่ขัดขืน ทั้งยังเอาหน้าซบบนไหล่ของทูตสวรรค์ คล้ายคนที่เหนื่อยล้าหมดแรงและต้องการที่พักพิงใจ
“ที่ลูซิเฟอร์ทักคุณในตอนนั้น ว่าทำไมถึงได้มีพลังเหลือน้อยนัก เพราะเรื่องนี้สินะครับ”
“ผมปล่อยให้เด็กที่ไม่รู้เรื่องกับสัตว์ที่บริสุทธิ์ตายไปอย่างน่าสงสารไม่ได้” ไม่น่าเชื่อเลยน้ำเสียงทุ้มที่เจือไปด้วยความเจ็บปวดเห็นอกเห็นใจ จะมาจากจอมปิศาจที่ในนรกกล่าวหาว่าเป็นผู้โหดเหี้ยม
“ถ้าคุณสงสัยจนแบกรับมานานขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ถามผมตั้งแต่แรก” ทูตสวรรค์เอ่ยถามขึ้นพลางลูบไล้เส้นผมสีดำนุ่มสลวย มีกลิ่นหอมอ่อนจนเขาอดที่จะแอบสูดดมไม่ได้
“ถ้าผมถามนายออกไปก็เหมือนผมไม่ไว้ใจนาย ทำแบบนั้นจะเป็นการดูถูกน้ำใจของนายได้” อาซาเซลเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของผู้มีอายุน้อยกว่า ยกมือขึ้นลูบใบหน้าให้แน่ใจว่าไม่มีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ เขาจูงมืออันขาวผ่องสะอาดของทูตสวรรค์พาไปนั่งยังโซฟาตัวยาว
“เอาล่ะ พวกเรานอกเรื่องมามาก ที่นรกเกิดเรื่องขึ้นเป็นเพราะมุนดุส” จอมปิศาจวกะสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติแล้วเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟัง
“ลูกของลูซิเฟอร์กับลิลิธเหรอครับ” เขาไม่แน่ใจว่าความจำของตัวเองถูกต้องไหม ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาของอดีตผู้นำแห่งแสงสว่างที่ถูกพระผู้เป็นเจ้าบรรจงสร้างอย่างประณีต ทำให้ตัวจ้าวนรกในเวลานี้มี…คู่ขาหลายคน ลูก ๆ ก็เลยมีไม่น้อยเหมือนกัน
“อืม เจ้าหลานชายงี่เง่าแอบปล่อยพวกปิศาจที่อยู่ในคุกออกมา ส่วนตัวมันก็หนีขึ้นมาบนโลกมนุษย์ พร้อมกับ…แก่นเปลวเพลิงแห่งความมืด”
“อะไรนะ!!” แซคเคอัสร้องอุทานอย่างตกใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นไม่นึกว่าจะวุ่นวายถึงเพียงนี้ เปลวเพลิงแห่งความมืดศักติ* มันมีพลังมหาศาลเทียบเท่ากับวริลเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์* ที่พระเจ้าเคยใช้สร้างดาบเปลวเพลิงสวรรค์
“และมีความเป็นไปได้สูงที่มุนดุสจะมาตามล่าผม เพราะอยากได้พลังของผมที่สามารถควบคุมไฟนั้นได้”
“เขาจะฆ่าคุณ…” น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนของแซคเคอัสแข็งกร้าวเล็กน้อย ถ้าไม่ฟังดี ๆ คงแยกไม่ออก แต่มือเขากลับกำมือจนแน่นคล้ายพยายามกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้
“ใช่ มันไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร แต่ไม่เป็นไร ผมไม่ใช่อะไรที่จะจัดการง่ายอยู่แล้ว และพี่ผมอยากให้ไปตามจับตัวอื่นที่หนีออกมากลับนรกเหมือนเดิม” ใบหน้างดงามของชายผู้มีผมสีดำเรียบเฉย คล้ายไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่มีคนจะมาฆ่าเขา ยังกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ
“งั้นให้ผมช่วยคุณนะ”
“จะดีเหรอ พวกนี้ไม่ใช่แค่วิญญาณร้ายที่นายช่วยผมจับสมัยก่อนหรอกนะ” วิญญาณต่อให้แข็งแกร่งยังไงมันก็ไม่มีทางสู้ทูตสวรรค์ได้อยู่แล้ว แต่นี่เป็นพวกปิศาจมีพลังและความสามารถในระดับหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์แห่งการรักษาอย่างแซคเคอัสจะรับมือได้เหรอ
แซคเคอัสจับมือของอาซาเซลลูบไล้นิ้วเรียวสวยที่เขาชอบมาก ก่อนจะปล่อยแล้วถอนหายใจมองไปที่ใบหน้าของอดีตทูตสวรรค์ ริมฝีปากเม้มคลายสลับกันไปมาด้วยความชั่งใจ
“คุณเคยพูดไว้นี่ครับ ว่าเราเป็นเพื่อนกัน เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนกันสิ” นี่มันเป็นคำพูดของจอมปิศาจวกะเคยพูดกับเขาไว้ ตอนช่วยแม่ชีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเขาอยู่ด้วย เพราะงานของพระเจ้าที่มอบหมายให้เขาไปช่วยเหลือโบสถ์แม่ชีแห่งหนึ่ง
“ใช่…หมายถึง ได้ ถ้านายต้องการ”
เกร็ดความรู้เล็กๆ
*กาลิกุลา เป็นชื่อเล่นยอดนิยมที่ใช้เรียก กาอิอุส ยูลิอุส ไกซาร์ เอากุสตุส แกร์มานิกุส ( 31 สิงหาคม ค.ศ. 12 – 24 มกราคม ค.ศ. 41) ผู้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิโรมันระหว่างปี ค.ศ. 37 – 41
*แนโร หรือ แนโร เกลาดิอุส ไกซาร์ เอากุสตุส แกร์มานิกุส หรือ เนโร เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันองค์ที่ 5 เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 37 ที่เมืองอันติอูง จักรวรรดิโรมัน มีพระนามเต็มตอนประสูติว่า ลูกิอุส ดอมิติอุส อาเอนอบาร์บุส
*เปลวเพลิงแห่งความมืดศักติ คือ Shakti หรือที่รู้จักกันในชื่อเปลวไฟสีดำเป็นพลังงานจักรวาลดึกดำบรรพ์ที่เทียบเท่าและตรงข้ามกับเปลวไฟของพระเจ้า Vril
*วริลเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ คือ Vril หรือที่รู้จักกันในชื่อ Flamma Reconditus , The Secret Fire หรือ Flame Imperishable คือพลังของพระเจ้าเอง เป็นเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ในยุคดึกดำบรรพ์ที่พระเจ้าทรงใช้สร้างโครงสร้างแห่งการสร้างสรรค์เช่นเดียวกับที่ใช้หล่อโคลนจากโคลน เหมือนอดัม ลิลิธและเอวา