รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ห้องพักในแฟลตสุดหรูย่าน ‘Canary Wharf’ ที่มาซื้อในราคาที่แพงลิบลิ่ว และด้วยตัวห้องที่อยู่สูงทำให้เห็นวิวระเบียงนอกกระจกงดงามไปด้วยทิวทัศน์ของแม่น้ำเทมส์ โดยรวมแล้วที่นี่ถือว่าเพอร์เฟกต์ อีกอย่างที่อาซาเซลเลือกซื้อห้องของแฟลตแห่งนี้ด้วยความที่มันอยู่ไม่ไกลจากแซคเคอัส
ร่างสูงโปร่งในชุดนอนสีดำลุกขึ้นจากเตียงคิงไซส์ในห้องนอนของเขา ที่ตกแต่งสไตล์วิคตอเรียแบบร่วมสมัย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีเครื่องเรือนอะไรมากนัก พอมีโต๊ะสีเข้มไว้สำหรับวางของ
ตามปกติแล้วจอมปิศาจอย่างเขาไม่จำเป็นต้องนอน เพื่อพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายแบบมนุษย์ แต่การที่ได้สัมผัสที่นอนนุ่มฟูก็ทำให้รู้สึกดีไม่น้อยหลังจากเจอเรื่องวุ่นวายมาทั้งวัน
เรื่องการอาบน้ำชำระล้างนั่นก็ด้วย ถึงสามารถเสกเวทมนตร์ให้ร่างกายสะอาดหมดจดได้ตลอดเวลา หากแต่การได้อาบน้ำแบบมนุษย์มันก็เพลิดเพลินไม่น้อย
การทานอาหารก็เช่นกัน พวกสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติไม่จำเป็นต้องทานอะไรเพื่อให้อยู่รอด ยิ่งกับพวกทูตสวรรค์แล้วรสชาติอาหารมันคือกิเลส ถึงไม่เคยแตะต้องมันเลยเพราะกลัวจะทำให้ร่างกายอันสูงส่งนั้นต้องแปดเปื้อน
ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับเหล่าปิศาจที่หลงมัวเมาในรสชาติ รสสัมผัส เพราะแบบนี้ชีวิตในนรกถึงได้มีสีสันอยู่บ้าง ไม่จืดชืดอย่างบนสวรรค์
หลังจากที่ได้อาบน้ำแต่งตัวแล้ว ตอนนี้ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีแดงหรูหราด้วยท่าทางทรงสง่ายืนอยู่เคาน์เตอร์แผ่นหินอ่อนสวยหรู ซึ่งมีอุปกรณ์ทำอาหารและสารพัดขวดเครื่องปรุงที่จัดเป็นสัดส่วนอย่างเรียบร้อย นอกนั้นยังมีเตาอบ ไมโครเวฟ ตู้เย็นขนาดใหญ่ อาซาเซลกำลังคิดว่าจะทำอะไรเป็นมื้อเช้าให้ทูตสวรรค์ที่ตัวเขาแสนจะห่วงหา
เท่าที่รู้ผู้ที่เป็นเจ้าของดวงตาสีไพลินส่องประกายระยิบระยับนั้น เป็นทูตสวรรค์ตนเดียวที่ยอมทานอาหารของมนุษย์ถึงขั้นชอบเป็นชีวิตจิตใจ เพราะแบบนั้นเวลาที่ต้องไปไหนปิศาจวกะจะจำอาหารจากสถานที่เหล่านั้นมาฝากแซคเคอัส
ถ้างั้นมื้อเช้านี้เมนูบีฟเวลลิงตันน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี ครั้งก่อนที่พวกเขาไปทานอาหารที่ร้านประจำ บีฟเวลลิงตันเป็นเมนูที่เจ้าของร้านภาพวาดสั่ง แต่กลับทานไม่หมด เพราะมันไม่อร่อยเหมือนเคย มาทราบทีหลังว่าเชฟที่ทำเมนูนี้ได้ลาออกไปสักพัก
เมื่อตัดสินใจได้แล้วจอมปิศาจเลยนำเนื้อที่อยู่ได้มาหมักเครื่องเทศ พร้อมปรุงรสในแบบที่แซคเคอัสต้องชอบมันแน่ อาซาเซลใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์กับทูตสวรรค์มานับเป็นพัน ๆ ปีแล้ว ถึงจะมีช่วงที่ต้องห่างกันบ้างตามแต่งานของเขาทั้งคู่ แต่เขารู้ดีว่ารสชาติแบบไหนหรือต้องทำอะไรให้แซคเคอัสถึงจะมีความสุข
จากนั้นนำเนื้ออบในอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการทำเมนูนี้ เอาเห็ดมาหั่นเป็นชิ้น ๆ ลงเครื่องปั่น แล้วถึงเทลงกระทะเพื่อผัดให้แห้ง ก่อนนำพาร์มาแฮมเรียงทับกันเล็กน้อย โดยเอาเห็ดเกลี่ยให้ทั่วพาร์มาแฮม ตามด้วยเนื้อที่อบไว้ม้วนให้พาร์มาแฮมปิดก้อนเนื้อจนมิด เก็บหัวท้ายให้เป็นก้อนสวยงามและแช่ตู้เย็นสักพัก
แล้วถึงค่อยนำเนื้อมาห่อด้วยแผ่นแป้งพัฟเพสทรี เอาเข้าเตาอบสักยี่สิบนาทีก็ถือเป็นอันเสร็จ ตัวซอสทำจากไวน์แดงผัดกับเนยและเครื่องปรุงอื่น ๆ
อาซาเซลหั่นบีฟเวลลิงตันเป็นชิ้นหนาหกชิ้น ใส่กล่องพลาสติก ส่วนซอสนำมาใส่ขวดแก้วปิดฝาให้แน่น เอาทั้งสองอย่างลงถุงกระดาษสีน้ำตาล ก่อนจะหยิบกุญแจรถ Rolls - Royce Phantom สุดหวงออกจากห้องไป
จอมปิศาจวกะใช้เวลาขับรถไม่นาน ก็มาถึงร้านภาพวาด Art Angel ของแซคเคอัส อาซาเซลเปิดประตูเข้าไปโดยที่ไม่จำเป็นต้องเคาะเรียกอีกฝ่ายมาเปิดประตูให้ ตามหลักแล้วปิศาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ส่วนบุคคลนอกจากจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
ร้านของทูตสวรรค์ผู้มีพลังการรักษาตกแต่งร้านคนละสไตล์กันกับเขา ปิศาจหนุ่มผมดำยาวสลวยชอบความหรูหราแบบผสมผสานระหว่างยุควิคตอเรียกับสมัยใหม่ แต่ของแซคเคอัสจะเป็น…ถ้าจำไม่ผิดมนุษย์น่าจะเรียกว่า มินิมอลเอิร์ธโทนฟ้า ที่ไม่ว่าจะมองตรงไหนก็ชวนให้สบายตา อาซาเซลเดินดูภาพวาดที่มีอยู่เต็มร้านไม่ว่าจะแขวนอยู่บนผนังหรือตั้งไว้ที่พื้น
ก่อนจะเห็นภาพหนึ่งที่ถูกผ้าสีขาวคลุมไว้ เขาเอื้อมมือเรียวค่อย ๆ ดึงผ้าออกอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะทำภาพวาดเสียหาย แล้วเมื่อจอมปิศาจวกะได้เห็นตัวภาพตรงหน้า ซึ่งเขาจดจำสถานที่นี้ได้เป็นอย่างดี
“ภาพวาดหาดบิเดโรซา โอเอซิส ครับ” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มนวลฟังรื่นหูดุจดั่งสายน้ำของแซคเคอัสดังมาจากด้านหลังของอาซาเซล
“อรุณสวัสดิ์ครับ อาเซล” ทูตสวรรค์กล่าวทักทายยามเช้า
“เช่นกัน นายวาดมันออกมาได้สวยงามมาก” อาซาเซลพูดขณะที่ยังจ้องมองภาพนั้นไม่วางตา คล้ายกำลังคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นอยู่
“ขอบคุณครับ ผมวาดมันจากความทรงจำ นี่ก็ตั้งหลายปีแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยวที่นั่นอีก ไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากไหม หากผมจำไม่ผิดตอนนั้นคุณกำลังนั่งมองทะเลจากตรงนี้” เขาชี้ไปที่ก้อนหินก้อนหนึ่งในภาพ เพื่อเป็นการยืนยันความทรงจำตัวเอง ว่าถึงจะผ่านมานานเป็นพันปีเขาก็ยังสามารถจดจำช่วงเวลาที่ได้ใช้กับปิศาจตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
“ใช่ ตอนนั้นกำลังเบื่อกับงาน…ของปิศาจ แล้วทะเลมันช่วยให้ผมลืมเรื่องราวไม่น่าจดจำได้ชั่วขณะ” มีอยู่หลายครั้งที่พวกมนุษย์อ้อนวอนขอในสิ่งที่ต้องการจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วไม่ได้ตามที่หวัง คนเหล่านั้นจะหันมาหาปิศาจแทน
ซึ่งความปรารถนาของมนุษย์มักจะมีแต่เรื่องเดิม ๆ อำนาจ ชื่อเสียง ร่ำรวยเงินทอง แม้กระทั่งขอความเป็นอมตะ ที่ปิศาจเช่นเขาไม่เข้าใจเลยว่าจะอยากได้ชีวิตที่ว่างเปล่าแบบนี้ไปทำไมกัน ในเมื่อมันมีแต่ความเดียวดายที่รออยู่
“อื้ม คุณอยากได้ภาพนี้ไหม” ทูตสวรรค์ผู้เป็นเจ้าของภาพถามขึ้น เมื่อเห็นท่าทางอาซาเซลจะดูชอบเป็นพิเศษ
“นายจะยกมันให้ผม?” จอมปิศาจวกะละสายตาจากภาพวาด หยุดคิดถึงอดีตแล้วหันไปมองใบหน้าอันสดใสของอีกฝ่าย
“แน่นอนสิ ทำไมจะไม่ได้ ผมวาดแบบนี้ได้อีกเป็นร้อยรูป ถ้าคุณชอบเอามันไปเถอะ” ถ้าเป็นของที่อาซาเซลอยากได้ต่อให้ต้องวาดจนนิ้วแตก เขาก็พร้อมจะทำให้
“ขอบคุณ ไว้สักวันเราไปด้วยกันไหม ผมกับนายปิกนิกกันที่หาดนี้” เสียงทุ้มนุ่มของจอมปิศาจเอ่ยเสียงเบาในตอนท้ายด้วยความไม่แน่ใจ เนื่องจากไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากจะไปด้วยกันกับเขาไหม
“เยี่ยมเลย! แบบนั้นต้องเป็นวันที่ดีมากแน่ ๆ” เสียงทุ้มนุ่มนวลสดใสกล่าวพร้อมรอยยิ้มร่าเริงเมื่อได้รับคำชวนที่ไม่คาดฝัน
“อืม ต้องเป็นวันที่ดีแน่ แล้วนี่ผมทำมื้อเช้ามาให้นายด้วย อยากทานไหม” อาซาเซลพูดพลางยกแขนชูถุงกระดาษในมือให้ทูตสวรรค์ได้เห็น
“ต้องอยากอยู่แล้ว! ผมคิดไว้อยู่ว่าวันนี้คุณต้องมาหาผมแต่เช้า ผมเลยออกไปซื้อขนมมา เป็นสโคนชาเขียวกับช็อกโกแลต คุณคิดว่าไง” แซคเคอัสเอื้อมมือไปรับถุงนั้นพลางถามความเห็นจากอาซาเซล พร้อมกลับเดินเข้ามาในครัวที่มีขนาดเล็ก มีเครื่องครัวไม่กี่ชิ้น บ่งบอกถึงเจ้าของที่ไม่ค่อยทำอาหารกับมีโต๊ะตัวเล็กที่นั่งได้แค่สองคน
“เอาสิ ผมขอเป็นชาเขียวนะ นายจะดื่มชาด้วยไหม เดี๋ยวผมชงให้” ชายหนุ่มในชุดสูทสีแดงที่เดินตามมาด้วย เปิดตู้เก็บของ หยิบแก้วน้ำชากับแก้วกาแฟออกมาอย่างละใบ
“ไม่ต้องครับ ๆ คุณไม่ต้องทำอะไรเลย” เจ้าของร้านดึงแก้วออกจากมือเพื่อนสนิท พร้อมดันหลังอาซาเซลให้มานั่งที่เก้าอี้
“เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณนั่งรอเถอะ” ก็ชอบหรอกนะที่อีกฝ่ายมักจะคอยดูแลทูตสวรรค์อย่างเขาอยู่เสมอ แต่นานทีให้เขาเป็นฝ่ายที่ดูแลบ้างมันก็รู้สึกดีไม่น้อยเลย
“แน่ใจนะ ว่าไม่อยากให้ผมช่วย” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มก้องกังวานถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นแซคเคอัสกำลังจะชงกาแฟให้เขาพร้อมกับจัดอาหารใส่จานไปด้วย หวังว่าจะไม่ถูกน้ำร้อนลวกมือหรอกนะ
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เองสบายมาก ได้แล้วครับกาแฟดำน้ำตาลสองช้อน” แซคเคอัสส่งแก้วที่มีของเหลวสีดำเข้มรสชาติขมให้ เอาเข้าจริงเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจอมปิศาจถึงได้ชอบดื่มมันนัก มันขมกว่าชาที่เขาดื่มตั้งหลายเท่า
อาซาเซลยกยิ้มมุมปากก่อนรับแก้วกาแฟมาดื่ม ในขณะที่ทูตสวรรค์เอาจานที่ใส่บีฟเวลลิงตันที่อีกฝ่ายหั่นแบ่งมาเรียบร้อยแล้ว
“คุณทำบีฟเวลลิงตันได้น่าทานมากเลย” ไม่รอช้าชายหนุ่มเจ้าของร้านนี้รีบหั่นอาหารให้เป็นขนาดชิ้นพอดีคำ จิ้มซอสไวน์แดงเอามันเข้าปาก เริ่มลิ้มลองรสชาติแสนอร่อย ก่อนที่ดวงตาสีไพลินจะส่องประกายด้วยความตื่นเต้น
“มันอร่อยมากเลยครับ! อร่อยกว่าร้านที่เราไปทานด้วยกันซะอีก” เสียงของทูตสวรรค์ร่าเริงเป็นพิเศษ พูดจบเขาก็รีบหั่นอีกชิ้นทาน แซคเคอัสรู้ว่าจอมปิศาจวกะเอาใจเขาอยู่ เวลาที่ไปทานอาหารร้านไหนแล้วมันไม่ได้อร่อยอย่างที่หวัง คนปากแข็งจะกลับมาทำเมนูนั้นซ้ำในแบบที่เขาชอบ
“อร่อยก็ดีแล้ว” อาซาเซลเริ่มลงมือทานอาหารบ้าง หลังจากที่มองแซคเคอัสทานอาหารที่เขาเป็นคนทำอย่างเอร็ดอร่อยได้สักพัก แค่ได้เห็นดวงตาสีน้ำเงินส่องประกายด้วยความสุข เพียงแค่นี้ปิศาจหนุ่มรูปงามก็พอใจแล้ว “แล้วนี่นายดื่มชาอะไร กลิ่นหอมมันดี” อดีตทูตสวรรค์ผมสีดำชี้ไปที่แก้วชาของอีกฝ่าย
“English Breakfast ครับ แต่ผมใส่ดอกจัสมินลงไปนิดหน่อย กลิ่นมันเลยหอมกว่าปกติ คุณลองดื่มดูไหม” ไม่พูดเปล่าเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินสดใสส่งแก้วชาให้กับอีกฝ่ายอย่างไม่คิดอะไร ทำเอาอาซาเซลนิ่งไปครู่ แต่ก็รับมาดื่มโดยไม่พูดอะไรทั้งที่หัวใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมา แบบนี้มันจะไม่ใช่จูบทางอ้อมเอาเหรอ
“ใช่ มันหอมมาก”
“ดีใจที่คุณชอบ แล้วก็ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ คุณนี่ทำอาหารเก่งขึ้นทุกวันเลย จริงสิ คุณจะทานขนมเลยไหมเดี๋ยวผมจะไปเอามาให้” อาซาเซลที่ฟังแซคเคอัสถามอยู่เงียบ ๆ เพียงพยักหน้ารับขณะที่ดื่มกาแฟแก้เขินเรื่องเมื่อครู่
“แล้ววันนี้นายต้องออกไปไหนไหม” จอมปิศาจวกะถามขึ้น เพราะเมื่อหลายวันก่อนทูตสวรรค์เล่าให้ฟังว่าต้องไปรายงานตัวกับเซราฟิมตนหนึ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร
“ตอนแรกวันนี้ผมต้องไปรายงานตัวกับท่านกาเบรียล แต่ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายถึงบอกว่าไม่ต้องไปแล้ว” แซคเคอัสก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทูตสวรรค์เซราฟิมกาเบรียลถึงได้ส่งข้อความให้เขาไปรายงานตัวกับเจ้าตัวแทนท่านราฟาเอลที่เขาสังกัดอยู่
อดีตทูตสวรรค์ผู้ถูกสาปที่ได้ยินชื่อนี้เข้า สีหน้าเขาพลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ดวงตาสีทับทิมพลางเข้มจัดบอกได้ถึงอารมณ์ขุ่นเคืองที่อาซาเซลมีต่อกาเบรียลเป็นอย่างดี จนแซคเคอัสสัมผัสได้ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เลยทำเพียงแค่เอื้อมมือจับไหล่ที่ตึงขึ้นเล็กน้อยของอาซาเซล
“ไม่เป็นไร เรื่องมันก็นานมากแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจอีกแล้ว มันก็แค่รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้” ความรู้สึกที่เขามีให้ต่อพี่ชายน่ารังเกียจผู้นี้ แค่คำว่าหงุดหงิดยังน้อยไปด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะกาเบรียลเป็นพี่ชายที่เกิดในรุ่นเดียวกันคงถูกเขาฆ่าตายไปนานแล้ว
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ พวกคุณไม่ถูกกันตั้งแต่บนนั้นแล้ว เจอหน้ากันทีไรแทบจะทะเลาะกันทุกที” แซคเคอัสหัวเราะขณะที่คิดเรื่องราวในอดีต สองคนนี้ไม่ใช่แค่ไม่ถูกกันธรรมดา ถึงขั้นที่เรียกว่าเกลียดขี้หน้าจนไม่อาจยืนอยู่ใกล้กันได้เลย
“ถ้างั้นเราออกไปข้างนอกกันไหม นายเอาอุปกรณ์วาดภาพไปด้วย” จอมปิศาจวกะสลัดอารมณ์ไม่ดีออก เอ่ยชวนทูตสวรรค์ไปเปลี่ยนบรรยากาศวาดภาพบ้าง อีกทั้งพวกเขาไม่ได้นั่งเล่นข้างนอกด้วยกันนานแล้ว
“แล้วเราไม่ต้องรีบตามหาตัวพวกที่หนีออกมาเหรอ” ตอนได้ยินประโยคแรก ชายหนุ่มผมบลอนด์เงินคิดว่าอีกฝ่ายจะชวนออกไปตามล่าพวกปิศาจที่หนีไปเสียอีก
อาซาเซลยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไร ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาอ้อมข้างหลังแซคเคอัสจับไหล่กว้างที่ดูผอมกว่าปิศาจไม่เท่าไร จากนั้นโน้มตัวลงจนริมฝีปากใกล้กับใบหูของทูตสวรรค์พลางกระซิบเสียงทุ้มแผ่วเบา “ขอผมอยู่สบาย ๆ อีกสักวันนะครับ คุณนางฟ้า แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยออกไปหาพวกนั้นกัน”
ไม่ใช่แค่การกระซิบหูเพียงอย่างเดียว ที่ทำให้แซคเคอัสหัวใจเต้นจนเกือบเสียอาการ หากเป็น ‘ครับ’ คำสุภาพที่อีกฝ่ายไม่เคยใช้กับเขามาก่อน ทั้งสุ้มเสียงทุ้มที่คล้ายกำลังอ้อนเขาอยู่
“ได้ครับ ถ้าคุณยืนยันแบบนั้น แล้วเราจะไปไหนกันดีครับ” เสียงทุ้มนุ่มนวลของทูตสวรรค์แอบซ่อนความหวั่นไหว ที่ถูกจอมปิศาจสร้างขึ้น เขารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความเขินอายเบี่ยงตัวหลบไม่ให้อาซาเซลเห็นใบหน้าที่แดงจนเป็นลูกมะเขือเทศของเขา เดินไปยังโต๊ะทำงานเตรียมอุปกรณ์วาดภาพที่จะเอาไปใช้ข้างนอกใส่ลงกระเป๋าสะพาย
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าของร้านมัวแต่หันหลังก้มหน้าเก็บอุปกรณ์อยู่ คงจะได้เห็นรอยยิ้มกว้างขี้เล่นของอดีตทูตสวรรค์ที่เจ้าตัวปรารถนาอยากจะได้เห็นมันอยู่บ่อยครั้ง
“สวนป่าแฮมป์สตีดฮีธ นายคิดว่าไง” เสียงที่อาซาเซลใช้กับทูตสวรรค์นั้นอ่อนโยนละมุน โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะท่าทางของแซคเคอัสทำให้หวนคิดถึงวันเก่า ๆ ที่อีกฝ่ายมักจะขี้อายแล้วชอบไปหลบอยู่ด้านหลังท่านพี่ราฟาเอลทุกครั้งที่เขาไปหา
“ดีเลยครับ ช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิพอดี ดอกไม้คงกำลังบานสวย” ทูตสวรรค์ที่ยังคงจัดของเอ่ยตอบเสียงใส พลางคิดถึงทุ่งดอกไม้ที่ตนเคยวาดไว้เมื่อวาน
“อืม ใช่มันคงจะสวยดี” แต่มันคงสวยไม่เท่ากับใบหน้าเปื้อนยิ้มของแซคเคอัส ที่ไม่ว่าเขาจะมองอีกกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเลย
“นายจะไปซื้ออะไรไว้ทานเล่นหน่อยไหม เพราะกว่าเราจะกลับคงเย็น” แทบทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกด้วยกัน ไม่เคยจะกลับเร็วเลย หากไม่ดึกจนถึงเที่ยงคืน บางทีก็นั่งเล่นอยู่ในสวนสาธารณะกันจนถึงเช้า
“เป็นความคิดที่ดี! งั้นคุณจะไปร้านเบเกอรี่ด้วยกันไหม” เจ้าของร้านเดินกลับมาหาอาซาเซลพร้อมกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาล ที่เข้ากับเสื้อผ้าสีฟ้าโทนอ่อนของทูตสวรรค์ เอ่ยปากชวนจอมปิศาจร่างสูงโปร่งมีสง่าไปร้านเบเกอรี่ตรงหัวมุมถนนด้วยกัน
“ไม่ละ นายอยากทานอะไรก็ซื้อมาเถอะ เดี๋ยวผมรอที่รถ”
แซคเคอัสนึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่อาซาเซลไม่ไปด้วย เขาอยู่กับอีกฝ่ายมานานเลยรู้ดีว่าอดีตทูตสวรรค์ไม่ชอบขนมที่มีรสหวาน ถึงจะเป็นแบบนั้นอาซาเซลกลับรู้จักเมนูขนมที่มีรสหวาน ๆ แบบที่เขาชอบหรือรู้ว่าร้านไหนทำขนมอร่อยทั้งยังดีที่สุด และจะพาเขาไปทุกครั้งตามที่ต้องการ
ทูตสวรรค์สังกัดของเทวทูตราฟาเอลพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ไม่คิดจะบังคับให้อีกฝ่ายไปกับเขา ดวงตาสีทับทิมเลือดมองตามหลังของคนที่เขาหวงแหนไปจนสุดมุมถนนอย่างอ่อนโยน จากนั้นพลอยที่เป็นจี้ห้อยคอส่องแสงสีแดงเข้มขึ้น ทันใดนั้นเองสีหน้าอันเรียบเฉยของจอมปิศาจวกะในร่างมนุษย์พลันเยือกเย็นจนน่ากลัว
เมื่อมาถึงสวนป่าแฮมป์สตีดฮีทพวกเขาทั้งคู่ตัดสินใจเลือกสถานที่วาดภาพใกล้กับสนามเด็กเล่น เพราะมีคนหนึ่งในพวกเขาชอบเด็ก ๆ มาก แต่ไม่ยอมรับเลย แซคเคอัสขณะที่กำลังวาดภาพทิวทัศน์ของดอกไม้ ยกยิ้มมุมปากแอบลอบมองปิศาจที่นั่งข้างกัน หากแต่หันหน้าไปทางสนามเด็กเล่นเฝ้าดูเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
“คุณนี่ชอบพวกเด็กจริง ๆ เลยนะ”
“เปล่า ปิศาจที่ไหนจะชอบเด็กกัน” ที่จริงมันก็มีอยู่นะ แต่มันเป็นความชอบในคนละความหมาย
“คุณโกหก” แซคเคอัสวางพู่กันระบายสีลงกล่าวเสียงทุ้มละมุนด้วยรอยยิ้มกว้าง
อาซาเซลหันมามองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนผ้าปูเอามือทั้งสองข้างประสานกันไว้ที่ท้ายทอย เอ่ยเสียงทุ้มนุ่มไร้อารมณ์ “นั่นสิ สำหรับปิศาจการโกหกเป็นเรื่องปกติ ธรรมชาติโดยสันดาน แต่นายก็รู้นี่ ว่าผมไม่พูดโกหก”
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตัวของอดีตทูตสวรรค์นั้นมีบางอย่างที่แตกต่างจากปิศาจตนอื่น ทำให้พูดได้แต่ความจริง นอกจากคำยกย่องสรรเสริญว่าเขาเป็นจอมปิศาจที่เก่งกาจที่สุดในนรก มันมีอยู่คำหนึ่งที่ได้ยินบ่อยไม่แพ้กันก็คือ ‘ไอ้ปิศาจนอกคอกน่ารังเกียจ’
“ทุกครั้งที่ผมเห็นพวกเด็ก ๆ มันเลยอดที่จะคิดถึงพวกหลานชายหลานสาวไม่ได้” ภาพของเด็กที่หัวเราะกันอย่างสนุกสนานปลุกจิตใต้สำนึกให้อาซาเซลคิดถึงความทรงจำในอดีต ลูกชายของท่านพี่ซัมยาซามักจะมาขอให้เขาพาบินไปบนท้องฟ้า ลูกสาวของแดเนียลจะขอให้เขาทำเครื่องประดับอยู่เสมอ และลูกชายของโคคาเบียลจะชอบมานั่งตักเขาให้เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง พอดูไปแล้วช่วงเวลาเหล่านั้นจอมปิศาจวกะก็มีความสุขมาก…
แซคเคอัสที่เห็นในดวงตาของอาซาเซลดูเศร้าปนสุข ซึ่งเขาเองก็เข้าใจความรู้สึกนั้น มีอยู่บ่อยครั้งที่หวนคิดถึงช่วงเวลาที่เคยใช้กับอีกฝ่ายบนสวรรค์ และมันทำให้แซคเคอัสทั้งทุกข์และสุขในเวลาเดียวกัน เรื่องบางอย่างเมื่อผ่านไปแล้วก็ยากที่จะได้กลับคืนมา ทูตสวรรค์วางมือไว้ที่อกของปิศาจหนุ่มด้วยความรัก
“ถึงผมจะไม่ได้รู้จักหลาน ๆ ของคุณ แต่คิดว่าพวกเขาต้องเป็นเด็กที่น่ารักมากแน่”
อาซาเซลจับมือที่วางอยู่บนอกเขาก่อนลุกขึ้นนั่งแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน ส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยคำขอบคุณ ให้กับทูตสวรรค์รูปงามที่แสนดีเสมอในใจเขา “ใช่ พวกเขาน่ารักมาก”
“แล้วพวกเขาน่ารักสู้เรเชลได้รึเปล่าครับ”
“ถ้ายัยนั่นได้ยินผมชมเด็กคนอื่นว่าน่ารัก มีหวังงอนผมตายเลย” เสียงทุ้มนุ่มของอาซาเซลที่ฟังดูไร้อารมณ์ตอนแรกพลันร่าเริงขี้เล่นขึ้นคล้ายกับยามปิศาจตนนี้ยังเป็นทูตสวรรค์ ทำให้แซคเคอัสอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มกว้างอย่างพอใจ ที่คำพูดของตนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นได้
“พวกพี่ชายมาวาดรูปกันเหรอคะ”
ทั้งสองหันหน้าไปตามเสียงนั้น เมื่อพบว่าไม่ได้อยู่ตามลำพังอย่างที่คิด และเสียงนั้นมาจากเด็กสาวผมทองมัดแกะสองข้าง สวมชุดสีชมพูน่ารักคนหนึ่ง อายุน่าจะหกถึงเจ็ดขวบเดินมาหยุดที่พวกเขา เธอมองไปที่ภาพวาดของแซคเคอัสด้วยความสนใจ
“ใช่แล้วสาวน้อย หนูอยากมาดูใกล้ ๆ ไหมครับ” ทูตสวรรค์เอ่ยเสียงนุ่มนวลพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใสที่คล้ายฤดูใบไม้ผลิ เด็กสาวคนนั้นรีบพยักหน้าเดินเข้าไปหา ชายร่างสูงในชุดสีแดงทั้งตัวเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยเมื่อเด็กสาวจะนั่งตักของแซคเคอัส
“คุณวาดรูปสวยจัง สเตลล่าก็อยากวาดบ้าง” เสียงเล็ก ๆ น่ารักของหนูน้อยสเตลล่าเอ่ยเสียดายที่ไม่ได้เอาสมุดวาดรูปของเธอติดมายังสนามเด็กเล่นด้วย
“ถ้าอยากวาดก็เอาสิ ดูเหมือนพี่ชายคนนั้นจะเอาดินสอสีมาด้วย” อาซาเซลพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าของแซคเคอัสแล้วหยิบกล่องสีกับสมุดวาดรูปเล่มเล็กออกมา ทำให้ทูตสวรรค์อมยิ้มเล็กน้อยในความใจดีของปิศาจ ซึ่งจำได้ว่าเขาไม่ได้ใส่ของพวกนี้ลงกระเป๋ามาด้วย
เด็กสาวทำสีหน้าดีใจมาก เมื่อได้รับกล่องดินสอสีกับสมุดวาดรูปที่อยากได้ “ขอบคุณนะคะ พี่ชาย” แซคเคอัสยิ้มกว้างยกมือขึ้นลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู ส่วนอาซาเซลก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำขอบคุณของหนูน้อย ทั้งยังมองไปทางอื่น
“สเตลล่า เธอไม่ไปเล่นชิงช้าแล้วเหรอ” จากนั้นก็มีเด็กผู้ชายอายุมากกว่าหนูน้อยวิ่งมาทางพวกเขาอีกคน เอ่ยถามกับน้องสาวที่นั่งอยู่บนตักของพี่ชายแปลกหน้าที่ดูใจดีมาก จนเด็กชายไม่รู้สึกว่าจะเป็นอันตรายต่อตัวเขาและน้องสาว ถึงพี่ชายชุดแดงอีกคนจะดูน่ากลัวนิดหน่อย แต่ก็ไม่น่าใช่คนไม่ดี
“ไม่แล้วค่ะ พี่อีริค สเตลล่าจะวาดรูปกับพี่ชายคนนี้” เด็กสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มร่าเริง ใช้นิ้วชี้อวบเล็กไปยังพี่ชายใจดีที่เธอนั่งตักอยู่
“อื้ม เข้าใจ งั้นพี่ชายคนนี้มาเล่นด้วยกันไหมครับ” จู่ ๆ เด็กชายที่ชื่ออีริคก็เข้ามาจับมือที่เรียวขาวซีดของอาซาเซล พร้อมออกแรงคล้ายกำลังขอให้ชายหนุ่มผมดำยาวตอบตกลง
“ฉัน?” จอมปิศาจวกะทำหน้าตาสับสนขึ้นทันที ไม่คิดว่าจะถูกเด็กน้อยชวนกันดื้อ ๆ แบบนี้ ทั้งพี่ชายทั้งน้องสาวไม่รู้จักระวังตัวกับคนแปลกหน้าบ้างเลยเหรอ เขาที่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงเลยหันไปมองทูตสวรรค์ผมบลอนด์เงินทรง Mullet เพื่อขอความเห็น ซึ่งเจ้าตัวพยักหน้าเหมือนให้เขาตอบตกลงไปเล่นกับพวกเด็ก ๆ
“ได้ ไปสิไป” อาซาเซลถอนหายใจตอบตกลง ถ้าหากเจ้าของดวงตาสีไพลินสวยคู่นี้อยากให้เขาไปเล่นกับเด็กกลุ่มนี้ ปิศาจเช่นเขาก็ไม่ขัดใจทูตสวรรค์หนุ่มอยู่แล้ว พลางลุกขึ้นเต็มความสูงแอบเสกโบผูกผมโดยไม่ให้ใครเห็น รวบผมสีดำยาวขึ้นเป็นหางม้า เพื่อเวลาเล่นมันจะได้ไม่เกะกะจนเกินไป เดินตามเด็กชายอีริคไปหาเด็กน้อยที่เหลืออยู่ตรงสนาม
ซึ่งทุกอย่างมันดูสงบสุขจนน่าเหลือเชื่อ ถ้าหากมีพวกปิศาจในนรกได้เห็นอาซาเซลในภาพลักษณ์จอมปิศาจที่น่ากลัวและเคร่งขรึม กำลังสนุกสนานกับการเล่นวิ่งไล่จับกับพวกเด็ก ๆ คงยืนอึ้งเป็นแถว ส่วนแซคเคอัสก็กำลังหัวเราะที่ถูกหนูน้อยแสนน่ารักแกล้งเอาสีมาป้ายหน้าของเขา ใช่! และอย่างที่บอกมันสงบสุขจนทั้งคู่ไม่ได้สังเกตถึงดวงตาสีเทาเข้ม ที่กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างมีเลศนัยไม่น่าไว้ใจแอบอยู่ไม่ไกล
แล้วเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก สเตลล่าเด็กสาวคนนั้นก็วิ่งมาหาอาซาเซลพร้อมกับแซคเคอัส เธอชูแขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้างขึ้นเพื่อให้พี่ชายชุดแดงได้เห็นรูปวาดของเธอ ภาพที่เด็กคนนี้วาดเป็นรูปผู้ชายสองคนยืนอยู่ข้างกัน โดยที่คนหนึ่งถูกระบายด้วยสีฟ้าอ่อน ส่วนอีกคนระบายเป็นสีแดงเข้ม
“มันสวยมาก” อาซาเซลกล่าวชมเชยอย่างจริงใจ ถึงแม้แขนขาเขาในภาพจะไม่เท่ากันเลยก็ตาม หากแต่เขากลับชอบมันมาก
“ขอบคุณค่ะ หนูมีอะไรจะให้ด้วย” หนูน้อยน่ารักล้วงเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงสีชมพูหวานหยิบลูกอมยื่นส่งให้เขา อาซาเซลยิ้มแข็งขึ้นมาเมื่อได้เห็นลูกอม เขารีบหยิบมาก่อนเอ่ยถามเสียงทุ้มแผ่วเบาเพราะไม่อยากให้เด็กสาวตกใจ
“แม่หนูน้อย เธอไปเอาลูกอมนี้มาจากไหนเหรอ แล้วมีมันอีกหรือเปล่า”
“ก่อนหน้าที่พวกพี่จะมา มีคุณบาทหลวงเข้ามาคุยเล่นกับพวกเราแล้วก็ให้ลูกอมกันคนละเม็ด พี่ชายอยากได้อีกเหรอคะ สเตลล่ามีเม็ดเดียวซะด้วย”
และแล้วเด็กหนุ่มที่เป็นพี่ชายของสเตลล่ายื่นมือที่มีลูกอมอยู่สี่เม็ดมาให้เขา พร้อมพูดว่าพวกเขายังไม่มีใครได้ทานลูกอมไป ถ้าพี่ชายอยากได้ก็เอาไปได้เลย ถือว่าเป็นการขอบคุณที่เล่นเป็นเพื่อนพวกเขา
อาซาเซลอมยิ้มบาง ๆ คุกเข่าลงข้างหนึ่งรับลูกอมพวกนั้นแล้วลูบหัวเด็กผู้ชายด้วยความเอ็นดู เด็กกลุ่มนี้มีจิตใจที่บริสุทธิ์มาก ดีที่เขาเจอก่อนไม่งั้นอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเด็กพวกนี้ได้ “ขอบใจนะ ถือว่าเป็นการตอบแทน ฉันจะให้เพื่อนของฉันให้พรกับพวกเธอดีไหม”
แซคเคอัสมองหน้าอาซาเซลด้วยความสับสน แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนของปิศาจหนุ่มเลยพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทูตสวรรค์เกือบลืมไปว่าพวกปิศาจไม่สามารถเสกพรให้ได้ ตามกฎของนรกที่จะต้องทำพันธสัญญาวิญญาณเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน อาซาเซลจอมปิศาจที่เป็นดั่งมือขวาของจ้าวแห่งนรก คงจะเอ็นดูเด็กกลุ่มนี้มาก
“งั้นผมจะให้พรพวกเธอ ขอให้พวกเธอมีร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บ ไม่ไข้ มีมิตรสหายที่ดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข” สุ้มเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของแซคเคอัสเอ่ยขึ้นแล้วก้มลงจูบที่หน้าผากของพวกเด็ก ๆ ทีละคน และเด็กที่ได้รับจุมพิตพรแห่งทูตสวรรค์จะมีแสงสีทองละอองปกคลุมรอบตัวก่อนจะจางหายไป
“ขอบคุณนะคะ / ครับ” เด็กกลุ่มนี้ถึงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่การที่พี่ชายเสื้อสีฟ้าอ่อนจูบพวกเขาที่หน้าผากมันรู้สึกดีมากเลย
“เอาล่ะ นี่ก็เย็นแล้ว พวกเธอควรกลับกันได้แล้ว และครั้งหน้าอย่าเข้าไปหาคนแปลกหน้าอีกละ ไม่ใช่ทุกคนจะใจดีกับพวกเธอหรอกนะ” ถึงเสียงของอาซาเซลจะดูเรียบจนแทบจะเย็นชา แต่ที่จริงแล้วมันอบอุ่นมาก จากนั้นพวกเด็ก ๆ พากันโบกมือบ๊ายบายลาพี่ชายทั้งสองด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
“แล้วลูกอมนี้มีปัญหาอะไรรึเปล่า” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจ้องเขม็งที่ลูกอมสีเขียวในมือจอมปิศาจ พลางถามขึ้นเมื่อเห็นเด็ก ๆ จากไปกันหมดแล้ว แซคเคอัสรู้สึกผิดสังเกตตั้งแต่อาซาเซลขอลูกอมจากเด็กเหล่านั้นแล้ว
“ผมก็ไม่แน่ใจ แค่ได้กลิ่นปิศาจลอยออกมาจากลูกอมพวกนี้” อาซาเซลออกแรงกำลูกอมพวกนั้นเพียงนิดเดียว มันแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแทบจะกลายเป็นผุยผง
“งั้นพวกเราจะเอายังไงต่อ”
“พวกเรากลับกันก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน” อาซาเซลดีดนิ้วหนึ่งครั้ง อุปกรณ์วาดภาพและผ้าปูที่ใช้อันตรธานหายไปอยู่ในรถของเขา
หลังจากวันนั้นผ่านมาสองวันในที่สุด อาซาเซลรู้ถึงที่อยู่ของปิศาจบันยิป* ที่ชอบหลอกล่อพวกเด็ก ๆ มาจับกิน ตอนแรกเขาไม่แน่ใจเท่าไรว่าเป็นมัน จนเมื่อเช้าก่อนที่เรเชลจะไปเรียนได้คุยกับเขาว่าช่วงนี้มีเด็กหายตัวไปหลายคนในวันเดียวกัน อีกทั้งพลอยทับทิมยังมีปฏิกิริยาส่องแสงออกมาเป็นพัก ๆ และที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้นคือไม่คิดว่ามันจะกล้าสิงสู่อยู่ในตัวของบาทหลวงแถมยังอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้
โบสถ์สีขาวบริสุทธิ์ ห้องโถงใหญ่บนเพดานถูกวาดภาพเป็นสรวงสวรรค์ตกแต่งด้วยกระจกสีใสเป็นประกาย มีรูปปั้นบรอนซ์ทูตสวรรค์ทั้งด้านซ้ายด้านขวา เก้าอี้โบสถ์ไม้ตัวยาวเป็นเงาสลักลวดลายคลาสสิก และที่ขาดไม่ได้เลยคือพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนที่อยู่ตรงกลางเบื้องหน้าเก้าอี้ไม้พวกนี้
อาซาเซลเดินตรงไปยังหน้ารูปปั้นพระเยซู จอมปิศาจดีดนิ้วเทียนนับสิบที่ดับไปกลับมีไฟลุกขึ้น จากนั้นคุกเข่าลงกุมมือทั้งสองไว้ที่อก เขาหลับตาอยู่ในท่าที่คล้ายกำลังภาวนาต่อพระเจ้า
“นั่น! ใครอยู่ตรงนั้น”
เสียงที่ได้ยินดังมาจากด้านหลังอาซาเซล เป็นบาทหลวงอายุไม่มากสวมชุดนักบุญสีดำที่คล้ายกับของแดเนียล บาทหลวงคนนี้ที่เดินออกมาข้างนอกห้องพักแล้วเห็นประตูโบสถ์ถูกเปิดอยู่ เขาเลยมาดูถึงได้เห็นว่ามีคนอยู่ด้านใน
ด้วยบรรยากาศมืดทึบของเวลายามราตรีกาล มีเพียงแค่แสงจากเปลวเทียนที่อยู่ตรงหน้าผู้ชายคนนั้น ที่กำลังนั่งสวดภาวนาพอทำให้เขาเห็นรูปร่างของอีกฝ่ายได้บ้าง
อาซาเซลลืมตาขึ้นเพื่อให้เห็นดวงตาสีแดง ที่สะท้อนแสงของเปลวเทียน รูม่านตาสีดำขยายกว้างแบบหมาป่าที่กำลังออกล่าเหยื่อ เขาเอียงหน้าพร้อมแสยะรอยยิ้ม
“ผมมาสารภาพบาปครับ คุณพ่อ เพราะผมกำลังจะทำบาปในสถานที่แห่งนี้”
เกร็ดความรู้เล็กๆ
*บันยิป หรือ เคียนปราตี (อังกฤษ: Bunyip, Kianpraty) เป็นชื่อเรียกสัตว์ประหลาดในตำนานพื้นบ้านของชาวอะบอริจินี ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย บันยิปถูกอธิบายถึงรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันมากมาย เช่น หน้าแบนเหมือนสุนัขพันธุ์บูลด็อกและหางเหมือนปลา หรือคอยาวและมีจะงอยปากเหมือนนกอีมูและมีขนแผงคอที่ห้อยย้อยลงมาเหมือนงูทะเล หรือแม้แต่กระทั่งเหมือนมนุษย์ โดยความเชื่อเรื่องบันยิปนี้มีกระจายไปทั่วออสเตรเลีย