รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา - บทที่ 4 Holy Church and the Secrets of the Former Angel โดย supernatural @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี

รายละเอียด

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา โดย supernatural @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม

ผู้แต่ง

supernatural

เรื่องย่อ

เมื่อบุตรแห่งพระเจ้าได้เลือกเส้นทางที่คิดว่าตัวเองทำถูกต้อง กลับถูกสวรรค์ถอดทิ้งเนรเทศสาปส่งสู่นรกเบื้องล่าง หัวใจที่บอกช้ำกอดเก็บความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ ปกปิดความรู้สึกภายใต้ใบหน้าเย็นชา หวังว่าจะมีใครสักคนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ที่ไม่ใช่เพียงจอมปีศาจที่ผู้คนหวาดกลัว


หนึ่งทูตสวรรค์ที่ได้เรียนรู้ถึงสิ่งอันมีค่า จากการได้สูญเสียมันไป ทำให้ตระหนักถึงความจริงที่ว่าเขารักในตัวของอีกฝ่ายเพียงใด จากนี้ไปเขาจะทำทุกทางเพื่อความรักนี้ ต่อให้ต้องหันหลังให้กับพระเจ้า ต่อให้ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศก็ตาม เขาจะไม่มีวันปล่อยมือคู่นั้นอีก

สารบัญ

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทนำ 1 Meet at the Garden of Eden,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทนำ 2 The Last Watcher of the Fallen,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 1 The Present is the Beginning of Everything,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 2 Prisoner escapes from hell,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 3 The Devil’s First Clues,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 4 Holy Church and the Secrets of the Former Angel,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 5 Demon Wolf Lord of Hell,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 6 Angel’s Sin of Love,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 7 A farewell that is difficult to escape

เนื้อหา

บทที่ 4 Holy Church and the Secrets of the Former Angel

“ถ้าลูกอยากมาสารภาพบาป พ่อคงต้องแนะนำให้ลูกมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ เพราะโบสถ์ปิดแล้ว” บาทหลวงหนุ่มคนนั้นพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พยายามจะก้าวถอยหลังหนีออกจากห้องโถง เมื่อรู้สึกได้ว่าชายชุดแดงผู้นี้ดูน่ากลัวและอันตราย 

“ไม่เอาน่า คุณพ่อ ท่านคงไม่ใจร้ายไล่ผมกลับจริง ๆ ใช่ไหม ในเมื่อผมอุตส่าห์มาตามหาท่านตั้งไกล บันยิป”

จอมปิศาจวกะลุกขึ้นยืนแล้วเอามือเรียวปัดเศษฝุ่นออกจากเสื้อสูทสีแดงสวยหรู ที่เป็นตามความชอบของเจ้าตัว หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับบาทหลวง ไม่สิ…ปิศาจนรก อาซาเซลซ่อนมือซ้ายตัวเองไว้ได้หลัง โดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็นของเหลวสีน้ำเงินแวววาว ที่กำลังค่อย ๆ หยดลงพื้นคืบคลานไปหาปิศาจนรกบันยิปอย่างเชื่องช้าโดยที่มันไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด

“ลูกพูดอะไร พ่อไม่เข้าใจ” ปิศาจตนนั้นยังคงทำตัวไขสือ ไม่ยอมรับในสิ่งที่ชายหนุ่มชุดแดงตรงหน้ากล่าว ทั้งที่ใจสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว

“เจ้ายังไม่เลิกเล่นอีกหรือ บันยิป ข้าเริ่มเบื่อที่แกล้งเล่นละครกับเจ้าแล้ว” ดวงตาสีทับทิมของผู้เป็นเสมือนมือขวาจ้าวนรกแข็งกร้าวถอนหายใจ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มแสนเบื่อหน่าย

บันยิปเมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะหลีกหนีได้ ทันใดนั้นเองใบหน้าเยาว์วัยของบาทหลวงพลันซีดเผือดคล้ายซากศพ ดวงตาสีฟ้ากลายเป็นสีดำทั้งดวง ไร้ตาขาว ไร้รูม่านตา จากนั้นมันยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะฉีกดึงหนังมนุษย์ออกจนเผยให้เห็นสภาพที่แท้จริงภายใน ปิศาจบันยิปมีลักษณะคล้ายหนูตัวใหญ่สีดำ มีปากเป็นนกและหางเป็นจระเข้ อาซาเซลมองซากหนังมนุษย์ของบาทหลวงที่กองอยู่ที่พื้นในสภาพยับยู่ยี่ดูไม่ได้ด้วยแววตาสังเวช

“สภาพเจ้าดูไม่ค่อยได้เลย แต่ข้าต้องขอชมเชยไม่คิดว่าหนูผีอย่างเจ้าจะฉลาดเลือกร่างที่ใช้” อดีตทูตสวรรค์ผู้ต้องสาปรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยบาทหลวงคนนี้ ทีแรกนึกว่าแค่สิงร่าง แบบนั้นเขาคงจะทำอะไรได้บ้าง แต่ที่ไหนได้มันกินร่างเนื้อและวิญญาณของบาทหลวงคนนั้น เหลือแค่ซากผิวหนังมนุษย์ที่มันเอามาสวมใส่ได้

ปิศาจหนูร้องคำรามใส่อาซาเซลหวังจะพุ่งเข้าไปโจมตี เพื่อจะหาโอกาสหนีเอาตัวรอด แต่ร่างกายท่อนล่างของมันกลับขยับไม่ได้เหมือนถูกอะไรบางอย่างตรึงเอาไว้ เมื่อมันก้มลงมองถึงได้เห็นของเหลวสีเงินจำนวนมากไหลขึ้นมาที่ขาเรื่อย ๆ แม้แต่หางจระเข้มันก็จมอยู่ในของเหลวนั้นไปแล้ว

“เป็นไง ปรอทมันสีสวยใช่ไหม แต่เห็นสวยแบบนี้มันอันตรายมากเลยนะ ไม่เชื่อเจ้าจะลองดูก็ได้” ร่างสูงโปร่งอันทรงสง่าของจอมปิศาจเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ยกมือข้างซ้ายขึ้นพลิกไปมาโดยมีปรอทไหลไปทั่วมือ และเมื่อเขากำมือของเหลวสีเงินนั้นก็หายไป

บันยิปกู่ร้องเสียงดังด้วยความกลัว พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แต่ยิ่งดิ้นเท่าไรของเหลวพวกนี้กลับยิ่งไหลขึ้นมาบนร่างกาย ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังกลืนกินเหยื่อของมัน จนตอนนี้ปรอทได้ปกคลุมไปทั่วร่างเหลือเพียงแค่ส่วนหัวปิศาจหนูเท่านั้น

ดวงตาสีดำสั่นระริกจ้องมาที่อาซาเซลอย่างขลาดกลัว เมื่อผู้เป็นรองแค่จ้าวนรกทั้งสามก้าวเดินมาหามันอย่างเชื่องช้า หากแต่มั่นคงทุกย่างก้าวมาพร้อมกับรอยยิ้มอันเยือกเย็น ที่เพียงแค่มองหัวใจของมันก็เหมือนตกไปอยู่ในกำมือท่านผู้นี้

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก ที่จริงก็อยากจะออกแรงสู้กับเจ้าให้มันมากกว่านี้ แต่…เจ้าดันเลือกสถานที่ไม่ดีเท่าไรเลย”

จอมปิศาจวกะที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านักโทษจากนรก เอ่ยเสียงทุ้มแบบผู้มีอำนาจเหนือกว่าวางมือบนศีรษะของบันยิป “เพราะถ้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เกิดเสียหายขึ้นมา คนที่ข้าใส่ใจคงจะไม่ชอบเท่าไร”

ทันทีที่จบประโยคของอดีตทูตสวรรค์ผู้แข็งแกร่ง ปิศาจบันยิปส่งเสียงร้องดังแสบแก้วหูอย่างเจ็บปวด เมื่อร่างกายของมันถูกเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันสีดำค่อย ๆ โดนดูดเข้าที่กลางฝ่ามืออาซาเซล และเมื่อเสียงกรีดร้องได้สิ้นสุดลงเบื้องหน้าน้องชายจ้าวแห่งนรกพลันว่างเปล่า คล้ายกับไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ตรงนั้นมาก่อน เขาโบกมือออกปรากฏให้เห็นคริสตัลทรงกลมสีดำสนิทเก็บมันมาใส่กระเป๋าเสื้อสูท

อาซาเซลถอนหายใจด้วยความระอาปนหงุดหงิดพึมพำกับตัวเอง “ทำไมปิศาจดั้งเดิมถึงได้ชอบเสียงดังขี้โวยวายกันนัก”

และเมื่อเสร็จธุระแล้ว จอมปิศาจวกะกลับไปยังแฟลตของตน ทันทีที่เขาได้ก้าวเข้ามาในห้องพัก อาซาเซลถอดเสื้อผ้าจนเหลือแค่กางเกงขาสั้น สำรวจผิวหนังภายใต้ร่มผ้าที่มันควรจะเป็นขาวซีดปกติ ตอนนี้มันกลับแดงก่ำเหมือนถูกน้ำเดือดสาดใส่

ดวงตาสีทับทิมมองรอยแดงเหล่านี้อย่างเย็นชา ส่งเสียงขำขึ้นจมูกเล็ดลอดผ่านทางลำคออย่างนึกชิงชังในคำสาปของตน ร่างกายที่ไม่ว่าจะนรกหรือสวรรค์ต่างไม่ยอมรับ เป็นแค่พันทางน่ารังเกียจเท่านั้น 

“สภาพเจ้าดูไม่ได้เลยนะ ไม่ต่างจากกุ้งที่ถูกน้ำร้อนลวก” เสียงแหบห้าวดังมาจากด้านหลัง

อาซาเซลถึงกับเบิกตามองบนอย่างเอือมระอา เมื่อมีคนเข้าห้องเขามาโดยไม่บอก ก่อนดีดนิ้วเสกชุดคลุมให้ตัวเอง เขาผูกเชือกรัดเอวให้เรียบร้อยถึงหันไปมองแมมม่อนปิศาจผมสีแดงยาว หล่อคมเข้มแบบหนุ่มนักกีฬาที่…สวมเสื้อเชิ้ตสมัยยุคกลางใส่สร้อยคอทองคำสี่ห้าเส้น บนนิ้วทั้งสิบสวมแหวนอัญมณีจนครบทุกนิ้ว กางเกงสีดำ รองเท้าบูทหนังเป็นเงา

“ถามจริง ยังแต่งตัวแบบนี้อีกเหรอ ยังกะหลุดมาจากหนังโจรสลัด นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว แมมม่อน”

“ก็ข้าชอบแบบนี้ แล้วนี่เป็นอย่างไรบ้าง” แมมม่อนเสกไปป์ยาสูบขึ้นมาหวังจะจุดสูบ หากแต่ต้องหยุดความคิดนั้น เมื่อเห็นดวงตาสีทับทิมของอาซาเซลจ้องเขม็งอย่างไม่พอใจนัก เกือบลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายไม่ชอบกลิ่นพวกนี้

อาซาเซลส่งคริสตัลสีดำเม็ดเล็กนั้น ให้จอมปิศาจตัวแทนบาปแห่งความโลภ อดีตทูตสวรรค์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ตอบแบบขอไปที “ก็ไม่มีอะไร แค่บังเอิญเจอ จับตัว แล้วนำมาส่ง”

“แน่ใจหรือว่านั่นคือคำอธิบาย”

“ทำไม ในนรกอยากให้ข้าทำรูปเล่มรายงานส่งแบบละเอียดยิบรึไง” เจ้าของดวงตาสีทับทิมแสดงท่าทีเบื่อหน่ายไม่สบอารมณ์เท่าไร ก่อนจะเดินไปเปิดประตูตู้เย็นหยิบกระป๋องเบียร์เย็นเฉียบออกมาสองกระป๋อง

“เปล่า ใครมันอยากจะนั่งอ่านเอกสารพวกนั้น แค่คิดข้าก็รู้สึกเสียดายเวลาแล้ว” แมมม่อนทำท่าเหมือนขนลุกปนขยะแขยง เมื่อคิดถึงกองเอกสารที่ถูกลูซิเฟอร์สั่งให้ทำเกี่ยวกับมนุษย์ที่ตกลงในบาปของความโลภ

“ข้าไม่คิดจะถามเจ้าเรื่องนี้ ในนรกไม่มีใครกล้าถามว่า เจ้าทำงานสำเร็จหรือไม่ และถึงให้มีไอ้โง่แบบนั้นจริง คงถูกเจ้าเผาเป็นขี้เถ้าที่หาญกล้าดูถูกเจ้า แต่ที่ข้าหมายถึงคือเรื่องเจ้าสามารถเข้าไปในโบสถ์ได้ ทั้งยังได้รับบาดแผลมาแค่นี้” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างราบเรียบแฝงความจริงจัง

“เจ้าหมายความว่าไง” เจ้าของใบหน้าเรียวงามถึงกลับขมวดคิ้วแสร้งเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ พลางเปิดกระป๋องเบียร์ส่งให้จอมปิศาจผมสีแดงเพลิง

“เพื่อนยาก อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นสิ่งที่เจ้าทำ และในฐานะเพื่อน ข้าหวังอย่างยิ่งว่าเจ้าจะเล่าให้ฟัง” ตัวแทนบาปความโลภรับเบียร์มาดื่ม รู้สึกตะลึงในรสชาติจนต้องยอมรับว่ายิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไป อะไรหลายอย่างมักจะดีขึ้น 

เจ้าของห้องนิ่งเงียบมองกระป๋องเบียร์ในมือ ราวกับว่ามันน่าสนใจกว่าที่จะคุย แต่ถึงอย่างนั้นแขกผู้มาเยือนไม่ได้ยอมแพ้ยังคงเอ่ยเปิดประเด็นต่อไป

“เจ้าก็รู้มิใช่หรือ อาซาเซล ปิศาจดั้งเดิมถ้าฝ่าฝืนเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ร่างกายจะถูกเผารวมถึงวิญญาณก็จะแตกสลายแล้วดับสูญไป นอกเสียจากจะสิงสู่ร่างผู้อื่น ซึ่งจะต่างจากเทวทูตตกสวรรค์อย่างข้ากับเจ้า ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ถึงในตอนนี้จะกลายเป็นปิศาจแล้วก็ตาม” ร่างของชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าเหมือนหลุดมาจากยุคกลาง พยายามเอ่ยถึงลักษณะที่แตกต่างกัน

“แมมม่อน หากเจ้าจะพูดอะไรก็พูดมา ไม่ต้องมาย้อนความให้มันมากนัก” อาซาเซลจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด สูดลมหายใจลึกมองเพื่อนสนิทด้วยความไม่พอใจนัก อยากจะพูดอะไรก็พูดมา ไม่เห็นต้องมากความให้ยุ่งยาก

“แหม จะใจร้อนไปไย ข้ากำลังจะเข้าเรื่องอยู่นี่ไง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าโบสถ์หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี จริงอยู่ที่อดีตเทวทูตอย่างพวกเราจะไม่ดับสูญสลายหายไป แต่มันจะไม่มีทางเกิดแผลเล็กน้อยแบบเจ้าแน่” แมมม่อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มอารมณ์ไม่ดีเลยเดินเข้าไปใกล้ เอาแขนคล้องคอเรียวสวยเขย่าเบา ๆ หวังให้เพื่อนรักลดความขุ่นเคืองลง

ถึงจอมปิศาจอาซาเซลจะเป็นพวกใจเย็น ทำอะไรรอบคอบไม่ชอบใช้อารมณ์ แต่ว่าโกรธขึ้นมากลับน่ากลัวกว่าลูซิเฟอร์เสียอีก

“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องรู้ให้ได้ ข้าจะบอก และไม่ต้องห่วงข้าไม่พูดโกหกอยู่แล้ว” เจ้าของร้านถอนหายใจอย่างปลงตก จับท่อนแขนผิวแทนมีกล้ามแน่นออกจากคอแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาหนังสีดำตัวยาว ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ปิดบังไปอาจจะเกิดผลเสียมากกว่า

แมมม่อนมีนิสัยเสียอยู่อย่างที่เขาไม่ค่อยชอบเท่าไรเลย คือความอยากรู้อยากเห็นจนเกินเหตุของอีกฝ่าย ถ้าเขาไม่พูดเองเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในนรกจะต้องหาทางรู้ให้ได้อยู่ดี

“นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ข้าอยากรู้” จอมปิศาจแห่งบาปละโมบฉีกยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ในที่สุดความหน้าด้านของเขาก็เป็นฝ่ายชนะ ก่อนรีบเดินไปนั่งโซฟาตรงข้ามของอาซาเซล เพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าพร้อมจะรับฟัง

“…ข้าไม่ได้ตกสวรรค์ในแบบที่ผู้อื่นเป็น ข้าไม่ได้ร่วงหล่นลงบ่อกำมะถัน และข้าไม่ได้ถูกช่วงชิงความเป็นทูตสวรรค์ไป ข้าถูกสาปให้เป็นครึ่งทูตสวรรค์ครึ่งปิศาจ” บนใบหน้างดงามตามแบบฉบับอดีตทูตสวรรค์มีความไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด

ดวงตาสีทับทิมหรี่ลง แม้กระทั่งริมฝีปากเรียวบางเม้มคลายอยู่หลายครั้ง ชั่งใจว่าควรจะเล่าให้ฟังอย่างไรดี แต่สุดท้ายเสียงทุ้มนุ่มของจอมปิศาจวกะเอ่ยออกมา

“อะไรนะ!” ดวงตาสีน้ำตาลของแมมม่อนเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก เสียงทุ้มร้องดังกับสิ่งที่ได้ยิน แม้กระทั่งกระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือยังเผลอบีบมันแตกจนของเหลวสีเหลืองใสไหลเต็มมือ

“ต้องโทษเมตาตรอน มันรังเกียจข้าจนนึกสนุก คิดว่าการสาปให้ข้าเป็นเช่นนี้ คงทรมานข้ามากกว่า ให้ตัวข้าไร้ซึ่งที่พึ่งพิง ต้องอยู่กับความหวาดระแวงไปชั่วนิรันดร์ แต่น่าเสียดายที่เฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นคิดผิด”

ดวงตาสีทับทิมฉายแววความเกลียดชังโดยไม่คิดปกปิด แม้แต่น้ำเสียงที่ใช้ยังดุดันเปี่ยมไปด้วยความโกรธ ราวกับถ้าทูตสวรรค์ที่ว่านั่นอยู่ตรงหน้า คงไม่รอดพ้นจากความตายที่จอมปิศาจยินดีจะมอบให้

“เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่มากนะ หากมีปิศาจดั้งเดิมรู้เข้า เจ้าไม่มีทางได้ใช้ชีวิตในนรกอย่างสงบสุขแน่ ไหนยังพวกเทวทูตตกสวรรค์ขี้อิจฉาริษยาเหล่านั้นอีก เจ้าปิดบังมาได้อย่างไรตั้งหลายพันปี แล้วนี่ลูซิเฟอร์รู้หรือไม่” จากสิ่งที่ได้ยินจอมปิศาจแห่งละโมบไม่สามารถทำให้จิตใจตัวเองสงบลงได้เลย ถึงขั้นลุกจากโซฟาเดินไปเดินมาอย่างหนูที่ถูกกับดัก

บ้าเอ๊ย! เขาแค่นึกว่าเพื่อนสนิทได้ครอบครองพลังบางอย่าง ที่สามารถทำให้เข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ เลยคิดว่าให้ช่วยสอนกันบ้าง แต่ทำไมเรื่องมันถึงได้กลายเป็นเช่นนี้

“ถ้าท่านพี่ไม่รู้ ก่อนหน้ามีหรือที่ข้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้ เพราะแบบนี้ท่านพี่ถึงให้ข้าฝึกฝนตัวเองให้พร้อมรบตลอดเวลา รวมถึงการควบคุมเปลวเพลิงแห่งความมืดนั่นด้วย”

เสียงทุ้มนุ่มไร้อารมณ์ของจอมปิศาจวกะเอ่ย หากแต่ดวงตาสีเข้มนั้นดูเศร้าหมองปนความเจ็บปวด กว่าอดีตทูตสวรรค์จะเป็นได้อย่างทุกวันนี้ กว่าจะมีถึงในจุดที่ไม่มีใครกล้าเอื้อมถึง จะมีใครรู้บ้างว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง

“เจ้านี่มัน อย่างงี้เอง เจ้าถึงได้เก่งกว่าใครจนที่ไม่มีผู้ใดสามารถกล้าแตะต้องเจ้าง่าย ๆ ถ้างั้นเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ เจ้าถึงมาใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์” ร่างกำยำล่ำสันของผู้มาเยือน เมื่อได้เห็นแววตาของเพื่อนความตื่นตระหนกตกใจแทบสลายไปในทันที เปลี่ยนเป็นความสงสารเห็นใจแทน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา อาซาเซลต้องโดดเดี่ยวถึงเพียงไหนกัน แบบนี้เองจ้าวแห่งนรกเลยส่งให้เพื่อนผู้น่าสงสารของเขามาอยู่บนโลกมนุษย์ เพราะมันคงจะปลอดภัยกว่า

“มันก็ไม่ทั้งหมด การอยู่ในนรกทำให้ข้าไม่สบายตัวก็จริง แต่การที่ข้ามาอยู่บนโลกมัน…มีเหตุผลมากกว่านั้น” ความเป็นทูตสวรรค์ที่ยังเหลืออยู่ในตัว ทำให้อยู่ในนรกจะรู้สึกไม่ดีและไม่สบายตัวเอามาก แต่เหตุผลจริงที่เขามาอยู่บนโลกมนุษย์คือ…

“เพราะทูตสวรรค์ตนนั้นใช่ไหม” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา ถึงอาซาเซลจะไม่ได้เล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังมากนัก หากแต่เขารู้มาตั้งแต่ก่อนตกจากสวรรค์แล้วว่าเพื่อนเขาหลงรักใครอยู่

อาซาเซลผู้เป็นเจ้าของห้องพักนี้นิ่งเงียบอีกครั้ง รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก เหตุผลนับร้อยก็สู้เหตุผลเดียวไม่ได้ ทั่วทั้งสวรรค์ทั้งนรก แม้กระทั่งในโลกมนุษย์คนที่มองเขาเป็นเพียงแค่อาซาเซล ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นทูตสวรรค์หรือปิศาจ

“ถ้างั้นเขาก็เป็นคนรักเจ้าสินะ เจ้านี่มีแต่เรื่องให้น่าตกใจ” การที่ปิศาจคบหากับทูตสวรรค์ในแง่ของความรัก สำหรับนรกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็ขึ้นชื่อว่าปิศาจย่อมต้องเห็นแก่ตัวตามใจตนเอง แต่บนสวรรค์มันเป็นบาปที่ไม่น่าให้อภัย

“เปล่า เราไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเพื่อน” ถึงจะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่นั่นคือความจริง ถึงเขากับแซคเคอัสจะรักกันมาก แต่ยังไม่เคยเป็นมากกว่าเพื่อนกัน

“ไหนว่าเจ้าจะไม่โกหก” รักกันอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายพันปี จะบอกว่าแค่เพื่อนฟังยังไงก็ไม่ขึ้น

“ข้าไม่ได้โกหก เราไม่ได้เป็นคนรักกัน เป็นข้าที่ไม่อาจข้ามเส้นนั้นได้ ข้าไม่สมควรจะได้รับความสุขถึงเพียงนั้น ที่จริงข้าไม่ควรแม้แต่จะมีมันด้วยซ้ำ”

ปมเพียงอย่างเดียวในใจเขา ทำให้เขาไม่กล้าจะรับความรู้สึกของอีกฝ่าย มันเป็นปมที่กัดกินหัวใจเขามาแสนนานจนไม่รู้ว่าเมื่อไร จอมปิศาจวกะถึงจะสามารถให้อภัยตัวเองได้

“เจ้าหมายความว่ายังไง ยังมีอะไรอีกที่เจ้าไม่บอกข้า” เท่าที่ฟังมันต้องมีอะไรมากกว่านี้อีกแน่ ความลับเยอะจริงเลยนะพ่อคุณ 

“ถึงเจ้าจะโกหกไม่ได้ แต่ใช่ว่าข้าต้องตอบทุกคำถาม แล้ววันนี้เจ้ารู้เรื่องมากเกินพอแล้ว ช่วยเห็นแก่ความเป็นเพื่อน เจ้ากลับไปได้แล้ว” จอมปิศาจผู้เป็นเจ้าของห้องยกขานั่งไขว่ห้าง ใช้แขนเรียวทั้งสองข้างกอดอกจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายอย่างเย็นชา พร้อมเสียงทุ้มนุ่มที่ฟังดูหงุดหงิดเต็มที เขาเก็บความลับไว้กับตัวมาตั้งนาน เรื่องอะไรต้องบอกให้รู้

“ได้ ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น แต่เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าพร้อมรับฟังเจ้าเสมอ อย่าอยู่คนเดียวในวันที่เจ้าต้องการใครมากที่สุด อาซาเซล” แมมม่อนยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ พลางถอนหายใจช่วยไม่ได้ เขารู้นิสัยของเพื่อนตัวเองดี ถ้าไม่อยากพูดต่อให้เอาดาบมาจ่อคอก็ไม่มีทางพูดเด็ดขาด

“ขอบคุณ”

……….  

สามวันต่อมา

ทูตสวรรค์เฝ้าดูนาฬิกามาสักพักใหญ่แล้วในช่วงหลายวันนี้ อาซาเซลไม่ได้มาหาเขาเลยจนเขาเริ่มกังวลว่าอีกฝ่ายจะออกไปตามหาปิศาจพวกนั้นตามลำพังแล้วเกิดบาดเจ็บขึ้นมา แต่นั่นมันเป็นไปได้ยาก

วันนี้เขาเลยตัดสินใจว่าจะลองไปหาที่ร้านดู เขาไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือความบังเอิญที่ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านหรือที่พัก อดีตทูตสวรรค์มักจะเลือกที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเขาเสมอ

ดวงตาสีไพลินมองป้ายชื่อร้านบาร์ To the Devil’s Love ที่ยังปิดไฟอยู่ เสียงของกระดิ่งที่แขวนตรงประตูดังขึ้น เมื่อเขาเปิดมันเข้ามา

“แซค ไม่เจอคุณตั้งหลายวันแล้วนี่ คุณทวดละคะ” เรเชลที่เพิ่งกลับมาจากเรียนคาบเช้า กำลังทำอาหารเที่ยงอยู่ได้ยินเสียงกระดิ่งดังเลยนึกว่าเป็นคุณทวดวัยหนุ่มของเธอเข้าร้านมา แต่ที่ไหนได้กลับเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อของคุณทวดนี่เอง

“ที่ผมมาที่นี่ เพราะจะถามเรื่องนี้แหละ เขาได้มาที่ร้านบ้างไหม”

“ไม่เลยค่ะ คุณทวดไม่ได้มาร้านสามวันแล้ว หนูก็นึกว่าอยู่กับคุณซะอีก หนูกำลังทำมื้อเที่ยงเลย จะทานด้วยกันไหมคะ หรือเอาเป็นชาดีคะ” เหลนสาวคนสวยของอาซาเซลฉีกยิ้มกว้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง

“แค่ชาก็พอครับ ขอบคุณครับ” แซคเคอัสมองหญิงสาวที่กำลังตักไข่ข้นใส่จาน ก่อนที่มันจะไหม้ถึงได้เอื้อมมือไปหยิบแก้วชาสีฟ้ามาชงชาให้เขา

“ช่วงนี้เรียนเป็นไงบ้างครับ”

“ไม่เท่าไรค่ะ ยิ่งวิชาประวัติศาสตร์ยิ่งสบายเลย ไม่รู้เรื่องตรงไหนถามคุณทวดได้หมด บอกเลยวิชานี้หนูได้เอแน่นอน นี่ชาค่ะ นมหนึ่งช้อน น้ำตาลสามช้อน ถูกไหมคะ” เรเชลส่งแก้วชาให้พร้อมทวนคำที่อาซาเซลบอกเธอเสมอว่าต้องชงชาให้แซคเคอัสแบบไหนถึงอีกฝ่ายจะชอบ

“ถูกครับ ขอบคุณ ผมหวังว่าอาเซลจะไม่ได้ใช้พวกคุณทำงานหนักจนเกินไปนะ” ทูตสวรรค์ยกแก้วชาขึ้นดื่ม แต่ก็เพียงแค่อึกเดียว ทั้งที่ทุกอย่างเหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้ต่างจากที่อาซาเซลชงให้เสมอมากันนะ

“หนักอะไรกันคะ แทบจะสบายมาก ๆ เลย อีกนิดนี่ยืนแบมือขอเงินคุณทวดใช้อย่างเดียวแล้ว เล่นให้เปิดร้านสี่โมงเย็นปิดสี่ทุ่ม เพราะคุณทวดไม่อยากให้พวกเราต้องนอนดึกเดี๋ยวจะไปเรียนกันไม่ไหว และอีกสองอาทิตย์หน้าก็จะปิดร้านยาวห้าวัน เพราะโจชัวกับโคลบี้มีสอบ ส่วนออสการ์เห็นว่ามีรายงานพรีเซนต์ที่ต้องส่งอาจารย์ คุณทวดเลยให้หยุด” หญิงสาวผมหางม้าเอ่ยขึ้นพลางใช้ส้อมจิ้มไข่ข้นขึ้นมาทาน

“เขาช่างใจดีไม่เปลี่ยน” ขนาดกลายเป็นปิศาจแล้วนิสัยบางอย่างไม่เปลี่ยนไปจากตอนเป็นทูตสวรรค์เลย

“ถ้าคุณทวดได้ยินเขาคงจะพูดว่า ‘ใครเขาชมปิศาจว่าใจดีกัน’ ” เหลนสาวตัวยุ่งของอาซาเซลพยายามเลียนแบบท่าทางกับน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของคุณทวด

“นึกภาพออกเลย แล้วก่อนที่เขาหายไปมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” ใบหน้าหล่อเหลาเม้มปากแน่น ไม่ให้ตัวเองหัวเราะเมื่อได้เห็นเรเชลล้อเลียนท่าทางของผู้ที่เขากำลังคิดถึง ก่อนเสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยถามถึงสิ่งที่อยากรู้

หญิงสาวเพียงคนเดียวในร้านพลางทำหน้านึกถึงว่าเมื่อสามวันก่อนคุยอะไรกับคุณทวดเอาไว้ จากนั้นเธอเบิกตาโตทิ้งส้อมลงบนจาน ดูท่าจะนึกอะไรออกแล้ว รีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ใช้นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอเหมือนหาอะไรบางอย่าง

“ก่อนหน้านี้มีข่าวเด็กหายตัวไปหลายคนในวันเดียว พอหนูเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคุณทวด วันต่อมาพวกตำรวจพบพวกเด็ก ๆ ที่โบสถ์เซนต์คามาเรีย แต่บาทหลวงที่ดูแลกลับหายตัวไปแทน” เหลนสาวเจ้าของร้านส่งโทรศัพท์ให้แซคเคอัสดูข่าวที่โพสต์ไว้ ทูตสวรรค์อ่านข่าวนั้นอย่างตั้งใจ ทำให้นึกขึ้นได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนพวกเด็ก ๆ ที่เขาเจอได้รับลูกอมจากบาทหลวง ซึ่งอาซาเซลยืนยันว่าเป็นปิศาจแน่นอน

“หนูยังคิดอยู่เลยว่าต้องเป็นคุณทวดแน่ ที่ช่วยเด็ก ๆ พวกนี้”

แซคเคอัสพยักหน้ารับขณะที่เลื่อนหน้าจอดูข่าวใหม่ของวันนี้ ‘เมื่อเช้าตอน 06:30 น. ได้มีคนพบเจอศพหญิงสาวในสวนสาธารณะวิคตอเรีย ถูกสัตว์บางอย่างขย้ำกัดบริเวณลำคอและหน้าท้อง อวัยวะภายในถูกฉีกกระชาก…’ ทูตสวรรค์อ่านจนถึงแค่นั้นแล้วส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก จนเรเชลอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

“ข่าวนี้…มันเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ ๆ จะมีสัตว์ร้ายที่ไหนโผล่มาทำร้ายคนจนตาย นอกจากเป็นฝีมือของปิศาจ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจ คงจะต้องให้อาเซลตรวจสอบดู”

และด้วยเหตุนี้เขาเลยมาหยุดอยู่หน้าแฟลตของอาซาเซล ต้องบอกตามตรงว่าเขาตื่นเต้นไม่น้อยเลย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่พักอีกฝ่าย ส่วนใหญ่เจอกันที่ร้านมากกว่า เขามองคีย์การ์ดในมือที่เรเชลเป็นคนให้มา ถึงจะไม่แน่ใจว่าอดีตทูตสวรรค์อยู่ที่นี่รึเปล่า แต่ลองดูสักหน่อยคงไม่เป็นไร ชายหนุ่มร่างเพรียวสูงพยายามที่จะสูดลมหายใจลึกแบบที่พวกมนุษย์แนะนำ ให้ทำตอนรู้สึกประหม่าหรือเวลาโกรธ ซึ่งมันดูตลกไปหน่อยสำหรับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติแบบเขา แต่มันช่วยได้เยอะจริงนะ

แซคเคอัสใช้คีย์การ์ดเพื่อเข้ามาในตัวตึกและใช้มันขึ้นลิฟต์ นิ้วเรียวสวยของเขากดไปเลขที่ยี่สิบห้าซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ใช้เวลาไม่นานลิฟต์หยุดอยู่ชั้นที่ต้องการ

ร่างสูงโปร่งก้าวออกมาจากห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า ใช้เพียงผ้าขนหนูเช็ดคราบน้ำที่เหลือบนร่างกายพร้อมกับสำรวจผิวหนังที่ยังแดงอยู่ถึงจะไม่มากเท่าวันแรก ดูเหมือนมันจะหายเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้

กริ๊ง ๆ ๆ

เสียงกดกริ่งดังขึ้นหน้าประตูทำเอาเขาประหลาดใจและสงสัยว่าคนที่อยู่นอกห้องเขาคือใคร เพราะถ้าเป็นเรเชลหรือคนอื่นคงโทรมาหาเขาก่อน และต้องไม่ใช่พี่น้องเขาแน่นอน พวกนี้ไม่รู้จักคำว่ามารยาท เขาหยิบชุดคลุมอาบน้ำสีแดงมาสวมแล้วเดินไปเปิดประตู ทันใดที่สองสายตาประสานทั้งคู่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง

ดวงตาสีน้ำเงินของทูตสวรรค์เบิกกว้างอย่างตกใจ เมื่อเห็นอาซาเซลในชุดคลุมอาบน้ำที่แหวกจนเห็นแผ่นอกขาวเนียน ทำเอาเขาถึงกับต้องหันหน้าที่แดงขึ้นหนีอย่างเขินอาย

“คุณนางฟ้าที่รัก นายมาที่นี่ได้ไง” เจ้าของห้องเบี่ยงตัวหลบจากประตูเพื่อให้แขกที่ไม่คาดฝันเดินเข้ามา โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดมีเพียงใบหูที่ขึ้นสีจาง ๆ

“เออ…คือ…คุณ” แซคเคอัสอยู่ในอาการที่พูดไม่ออก เพราะยังเขินจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ก่อนที่ทูตสวรรค์จะได้เห็นรอยแดงที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุม “นั่นมันรอยอะไรกันครับ”

คราวนี้เป็นอาซาเซลที่เป็นฝ่ายอ้ำอึ้งพูดไม่ออกแทน แต่ถูกสายตาสีไพลินสวยจ้องเขม็งอย่างคาดคั้นทำให้เขาต้องบอกไปตามความจริง

“ผมเข้าไปในโบสถ์ นายก็รู้นิพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นอันตรายแค่ไหนสำหรับปิศาจ” หากเป็นปิศาจหรืออดีตทูตสวรรค์ตนอื่นที่ไม่ใช่เขา ถ้าไม่บาดเจ็บหนักก็คงจะตายไปแล้ว

“คุณช่วยไปนั่งที่เก้าอี้หน่อย ผมอยากดูแผลคุณ”

ทูตสวรรค์มองรอยแดงเหล่านั้นอย่างสงสัย ถึงเขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับปิศาจมากนัก แต่ได้ยินทูตสวรรค์ที่มีอำนาจเหนือกว่าคุยกันอยู่ว่า ถ้าพวกปิศาจเข้ามาในเขตศักดิ์สิทธิ์ร่างกายจะถูกเผา มันจะเป็นไปได้ไหมว่าก่อนหน้านี้บาดแผลพวกนี้จะสาหัสกว่าที่เห็น

“ไม่ต้องหรอก แค่นี้อีกสองสามวันก็หายแล้ว”

“ไปนั่งครับ” ปกติเสียงที่ทุ้มนุ่มอ่อนโยนตลอดเวลา ตอนนี้แข็งกร้าวจนคิดไม่ถึงว่าจะมาจากทูตสวรรค์ ที่แต่ก่อนจะก้มหน้าก้มตาไม่สบตาใคร ซึ่งยังปล่อยให้ถูกรังแกอีก
จอมปิศาจเจ้าของห้องถอนหายใจอย่างจำใจยอมไปนั่งที่โซฟาสีดำตัวยาว จากนั้นแซคเคอัสนั่งคุกเข่าตรงหน้าใช้มือจับเท้าอีกฝ่ายขึ้นมาดูรอยแดงเหมือนโดนน้ำร้อนลวก มันดูน่าสงสารจนขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ “ไหนว่าเราจะช่วยกันไงครับ ทำไมไปไม่บอกผม”

“ที่นั่นมันโบสถ์นิ ผมไม่อยากให้นายมีปัญหากับข้างบนทีหลัง”

“ช่างสิครับ จะมีก็ให้มันมีไป ถึงผมจะต่อสู้ไม่เก่ง ไม่ได้มีพลังเท่าคุณ แต่ผมไม่ยอมให้คุณต้องเจ็บเพื่อผม ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ให้ผมได้ปกป้องคุณบ้าง” ทูตสวรรค์เอ่ยจบ เขาก้มหน้าลงจุมพิตที่เท้าของอาซาเซลทันใดนั้นเองรอยแดงทั้งหมดหายไปในพริบตา

หัวใจของจอมปิศาจวกะเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกจากอกด้วยความตื้นตันใจที่ถาโถมเข้ามา ตั้งแต่ยามที่เขาเป็นผู้นำกองทัพสวรรค์ ทูตสวรรค์แห่งการสรรค์สร้างจนมาเป็นจอมปิศาจที่ไร้เทียมทานในตอนนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่มีใครบอกว่าจะปกป้องเขา

ปกติมันมีแค่คนมาขอให้เขาช่วย ขอให้เขาคอยปกป้องอยู่ตลอด อาซาเซลเอื้อมมือไปสัมผัสผมของคนที่ยังจุมพิตที่เท้าของเขาถึงจะแผ่วเบา แต่หนักแน่นในความรู้สึก

“ขอบคุณนะ”

แซคเคอัสจับมืออาซาเซลที่สัมผัสผมบลอนด์เงินของเขา มาแตะที่แก้มกุมมันไว้ด้วยหัวใจที่สั่นไหวกลัวเหตุการณ์ที่สูญเสียอีกฝ่ายจะเกิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมส่งสายตาวิงวอนต่อปิศาจที่ทูตสวรรค์เช่นเขาไม่ควรทำ

“ครั้งหน้าไม่เอานะครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เราต้องเผชิญมันด้วยกัน เพราะผมคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ”

“แซค…” อาซาเซลทำตัวไม่ถูก เมื่อเห็นนัยน์ตาแซคมีน้ำตาคลอ

“ได้โปรดรับปากผม ผมเคยเสียคุณมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมเสียคุณไปอีกไม่ได้” ความรู้สึกที่เหมือนถูกมีดกรีดแทงซ้ำ ๆ ที่หัวใจดวงน้อยของเขา เป็นสิ่งที่ไม่อยากจะพบเจออีกเลย

“แซค ได้…ได้ครับ…ผมรับปาก ผมรักษาสัญญาเสมอตราบเท่าที่ผมยังมีชีวิตอยู่มันจะไม่มีวันเปลี่ยน งั้นอย่าร้องไห้เลย…นะ ลุกขึ้นมานั่งข้างผมมา” ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมอาบน้ำ ที่นั่งอยู่บนโซฟาเอื้อมมือไปดึงตัวร่างเพรียวสูงให้ลุกขึ้นมานั่งด้วยกัน ตอนแรกแซคเคอัสเหมือนจะไม่ยอมลุกขึ้นโดยดี จนจอมปิศาจต้องออกแรงดึงอีกครั้ง เจ้าตัวถึงยอมลุกมานั่งข้าง ๆ

“ผมรู้มาตลอดว่าคุณพยายามให้ความสัมพันธ์ของเรามันหยุดแค่นี้ ที่คุณทำแบบนั้นเพื่อผม แต่มีอยู่อย่างที่ผมอยากให้คุณรู้ ผมรักคุณอาเซล ต่อให้อีกเป็นพันเป็นหมื่นปีมันไม่มีวันเปลี่ยน”

อาซาเซลแทบอยากจะดึงตัวแซคเคอัสเข้ามากอด อยากจะพูดความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดที่มีต่ออีกฝ่าย เขาทำได้แต่ห้ามใจเอาไว้ ตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับหัวใจตัวเอง

เพื่อหนีจากความจริงชั่วคราวเจ้าของห้องเลยลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในครัว ท่ามกลางสายตาสงสัยไม่เข้าใจของแซคเคอัส แล้วเดินกลับมากับแก้วกาแฟสีแดง อาซาเซลวางแก้วไว้ด้านหน้าของทูตสวรรค์

“ชาของนาย น้ำตาลสาม นมหนึ่ง แล้วขอโทษด้วยผมยังไม่พร้อมที่จะคุยกันเรื่องนี้” ขอเวลาอีกหน่อย ขอเวลาให้หัวใจเขาพร้อม…พร้อมที่จะให้อภัยตัวเองแล้วสามารถก้าวเดินไปอยู่ข้างกายทูตสวรรค์ที่รักได้

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ขอบคุณสำหรับชา” ถึงสีหน้าจะดูไม่ดีนัก ถึงอย่างงั้นเขายังรับน้ำชานั้นมาดื่ม ไม่รู้ทำไมทั้งที่มันก็เหมือนกันกับที่เรเชลชงให้เขา แต่ที่อาซาเซลชงให้มันถึงได้อร่อยมากกว่า

“แล้วนี่ตกลงนายมาหาผมด้วยเรื่องอะไร” สุ้มเสียงทุ้มเอ่ยถามถึงความตั้งใจของอีกฝ่ายที่มาที่นี่

“อ๋อใช่ อย่างแรกผมเป็นห่วงคุณ คุณไม่มาหาผมหลายวัน ที่บาร์คุณก็ไม่ไป”

“นายเลยมาหาผมที่นี่แทน”

“ครับ แล้วก็อีกเรื่อง ผมเห็นข่าวพบศพผู้หญิงถูกฆ่าด้วยสัตว์ พวกมนุษย์สันนิษฐานว่าเป็นหมาป่า ซึ่งจากสภาพศพและรอยฟันผมว่ามันน่าจะเป็นปิศาจมากกว่าที่จะเป็นอย่างอื่นได้” ทูตสวรรค์ผู้มีดวงตาสีไพลินเล่าถึงสิ่งที่เขาได้อ่านในโทรศัพท์ของเรเชล

เจ้าของดวงตาสีทับทิมเข้มดีดนิ้วเรียกม้วนกระดาษที่ลูซิเฟอร์ให้เขาออกมา คลี่กระดาษเพื่อไล่ดูรายชื่อในนั้น เหมือนพี่น้องเขาจะทำงานได้ว่องไวพอสมควร เพราะมีรายชื่อของปิศาจหลายตัวที่ถูกขีดฆ่าออก

“ไอ้ตัวที่นายพูดถึงน่าจะเป็นวาเลฟอร์* แต่ถ้าจะเอาให้แน่ชัด ผมต้องไปที่พบศพผู้หญิงคนนั้น เดี๋ยวเราไปกันเลย”

แล้วจอมปิศาจวกะก็ใช้เวทมนตร์เสกให้ชุดคลุมกลายเป็นชุดสูทหรูหราสีดำ เนคไทสีแดง “ไหนเราจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว เสร็จธุระเราหาร้านนั่งทานข้าวกันเป็นไง”

“เอาสิครับ ผมหิวแล้วด้วย”




เกร็ดความรู้เล็กๆ
*วาเลฟอร์ ( Valafar, Valefor ) หรือ มาลาฟอร์ ( Malaphar, Malrphar ) เป็นปิศาจตนที่หกในแดนนรก ครองตำแหน่งดยุคแห่งแดนตะวันตก มี 10 พยุหเสนาภายใต้บังคับบัญชา วาเลฟอร์จะปรากฏตัวในรูปของคนครึ่งราชสีห์ หรือ ลาครึ่งราชสีห์