รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อาซาเซลพาแซคเคอัสนั่งรถ Rolls - Royce Phantom สุดที่รักสีดำเป็นเงางาม บ่งบอกถึงการที่เจ้าของดูแลมันเป็นอย่างดี ขับมายังสวนสาธารณะวิคตอเรียสถานที่พบศพหญิงสาว ในบริเวณนั้นมีเจ้าหน้าที่บางส่วนยังคงปฏิบัติงานอยู่
“คุณจะรอให้พวกเขากลับไปก่อนไหม” แซคเคอัสถามขึ้นเพราะคิดว่าคนเหล่านี้คงไม่ให้พวกเขาเข้าไปยุ่มย่ามในสถานที่เกิดเหตุ
“ไม่” เสียงทุ้มของอดีตทูตสวรรค์เอ่ยอย่างเฉียบขาด ยกมือขึ้นดีดนิ้วทุกอย่างในที่แห่งนี้ก็พลันหยุดนิ่งลง ไม่ว่าจะเป็นฝูงนกที่บิน ใบไม้ที่พัดปลิว สุนัขที่กำลังกระโดดเพื่อคาบจานร่อนที่ลอยอยู่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เหล่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานต่างไม่ขยับเขยื้อนเหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้กับที่ ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีแดงเข้มเดินผ่านทุกสิ่งเหล่านั้น คล้ายไม่ได้มีตัวตนอยู่ในสายตาเขา ก่อนจะมาหยุดยืนตรงร่องรอยของศพ
เขานั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เอามือเรียววางทาบลงบนพื้นก่อนหลับตาใช้พลังจิตเพ่งดูเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้น จากนั้นในหัวจอมปิศาจวกะปรากฏภาพผู้หญิงสวมชุดออกกำลังกายวิ่งอยู่ภายในสวนยามค่ำคืน โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่ามีบางสิ่งจ้องมองอยู่ภายใต้เงามืดเพื่อรอโอกาส
เพียงชั่วอึดใจหมาป่าตัวใหญ่สีดำที่ยืนสองขาแบบมนุษย์ มีเขี้ยวอันแหลมคมบวกกับลมหายใจที่เหม็นกลิ่นซากศพ ดวงตาสีแดงก่ำกระโจนออกจากพุ่มไม้ใส่เธอ หญิงสาวคนนั้นกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งพยายามวิ่งหนีอสุรกาย แต่น่าเสียดายที่โชคชะตาไม่เข้าข้างเธอ และภาพสุดท้ายที่อาซาเซลเห็นคือเลือดสีแดงสดกระฉูดออกจากลำคอทันทีที่ถูกฝังเขี้ยวซ้ำ มันยังกระชากจนหัวเกือบหลุดออกจากลำตัว
“ได้อะไรไหมครับ อาเซล” แซคเคอัสที่เดินมาอย่างเงียบเฉียบ เพราะกลัวตัวเองจะทำลายสมาธิของอีกฝ่าย กล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เบา เมื่อเห็นปิศาจได้ลืมตาแล้ว
“อย่างที่คิด เป็นวาเลฟอร์” อาซาเซลเอ่ยพร้อมปัดเศษฝุ่นเศษดินออกจากมือแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “มันยังดูหิวอยู่ คืนนี้มันคงจะออกล่าอีก”
“ถ้าอย่างนั้น มันจะออกล่าที่เดิมเหรอครับ”
เป็นไปได้ เจ้าตัวนี้แรงดีแต่ไร้สมอง ที่นี่ตอนกลางคืนมีคนมาออกกำลังกายค่อนข้างเยอะ มีเหยื่อมากขนาดนี้ มันคงไม่ไปไหน เพราะงั้นระหว่างรอพระอาทิตย์ตกดิน เราไปหาอะไรทานกันดีไหม” จอมปิศาจร่างสูงโปร่งดูสง่าราศีแบบผู้ดีเก่าหันมาส่งยิ้มมุมปากให้คนที่มาด้วยกัน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง เพียงเท่านี้ก็มากพอให้ใครต่อใครหลงเสน่ห์เขาได้ไม่ยาก
“เอาสิครับ ผมเห็นมีร้านพิซซ่าอยู่ใกล้ ๆ เราไปที่นั่นกัน” ถ้าไม่ใช่เพราะทูตสวรรค์อยู่กับจอมปิศาจที่แสนทรงเสน่ห์ผู้นี้มานาน เขาคงอยากจะมุดดินหนีด้วยความเขินอายไปแล้ว
“พิซซ่า? ได้ ไม่เลว งั้นไปกันเลย” อาซาเซลโอบหลังของทูตสวรรค์ร่างสูงที่ผอมกว่าเขานิดหน่อย พาเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วยกมือขึ้นดีดนิ้วอีกครั้ง ทุกอย่างพลันกลับสู่สภาพเดิมเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
พวกเขาเดินตัดสวนสาธารณะกันไปสักพักก็ถึงร้าน Lord Morpeth เจ้าของดวงตาสีทับทิมพาคนที่เขาพร้อมจะเลี้ยงอาหารตลอดทั้งชีวิตมานั่งโต๊ะด้านในที่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว จากนั้นพนักงานสาวประจำร้านเดินตรงมาที่โต๊ะเพื่อรับออเดอร์พร้อมเสิร์ฟน้ำเปล่าให้ทั้งคู่
“ยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบจะรับเมนูอะไรดีคะ”
อาซาเซลเปิดสมุดเมนูให้แซคเคอัสเป็นฝ่ายเลือกก่อน “นายอยากทานอะไรสั่งได้เลย มื้อนี้ผมเลี้ยง”
“มีมื้อไหนบ้างครับที่คุณไม่เลี้ยงผม ทั้งที่ผมบอกว่าจะออกเองแท้ ๆ” แซคเคอัสเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส
“เอาน่า ผมมีปัญญาเลี้ยงนายอยู่แล้ว แค่เนี๊ยะไม่ทำให้ผมหมดตัวหรอก” เขาอยู่บนโลกนี้มาตั้งหลายพันปี ถ้าไม่มีฐานอำนาจเงินตราเลยมันออกจะน่าเสียดายเวลาไปเปล่า ๆ แถมตัวเขายังเสกเงินทองได้ตามใจชอบด้วย
“ถ้างั้นเมื่อคุณเป็นคนเลี้ยง คุณสั่งเมนูที่คิดว่าผมชอบดูไหม ผมอยากจะรู้ว่าคุณรู้ใจผมแค่ไหน” ไม่รู้อะไรดลใจให้ทูตสวรรค์ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนึกอยากท้าทายอีกฝ่ายที่อยู่ข้างกันมาตั้งนาน จะรู้ใจเขาได้มากแค่ไหน
จอมปิศาจวกะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อถูกท้าทาย เขาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปสั่งเมนูกับพนักงานสาว “ขนมปังกระเทียมกับมอสซาเรลลาหนึ่ง พิซซ่าปาแลร์โมถาดกลางหนึ่ง น้ำแอปเปิลสอง ทีรามิสุหนึ่ง เชอร์เบทเลม่อนหนึ่ง ทั้งหมดแค่นี้ครับ”
“ได้ค่ะ” เธอจดออเดอร์ลงกระดาษ ก่อนจะถามสิ่งที่คิดเอาไว้ “ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ พวกคุณ…เป็นคนรักกันเหรอคะ” พนักงานสาวที่ยืนอยู่มองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มพลางคิดว่าเป็นคู่รักที่น่ารักดี
ชายหนุ่มทั้งสองพลันสบตากัน ทั้งตกใจและเขินอายในเวลาเดียวกันรีบกล่าวปฏิเสธ “ไม่ใช่ / เราไม่ได้คบกัน”
“งั้นต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉันเห็นสายตาที่พวกคุณมองกันมันเต็มไปด้วยความรัก จนฉันนึกว่าเป็นคู่รักกันมานานแล้ว และพวกคุณดูเหมาะสมกันมาก เดี๋ยวเมนูอาหารรอสักครู่นะคะ จะรีบนำมาเสิร์ฟให้” พนักงานสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะเดินจากโต๊ะไป
“เธอว่าเราเหมาะสมกันด้วยครับ” ใบหน้าหล่อเหลาของทูตสวรรค์ขึ้นสีระเรื่อ เอ่ยเสียงนุ่มนวลดีใจปนเขินอาย
“อืม ผมก็ได้ยินแบบนั้น” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำมาดขรึมเอ่ยถ้อยคำอย่างไร้อารมณ์ หากแต่แสร้งหันหน้ามองไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามุมปากกำลังยกยิ้มอยู่ รวมถึงใบหูที่ขึ้นสีนั้นด้วย
ต่างฝ่ายต่างหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม เพื่อแก้เขินโดยที่สายตาแอบมองคนตรงหน้าไปด้วย
รอไม่นานพิซซ่าที่สั่งก็มาเสิร์ฟพร้อมเมนูอย่างอื่น จอมปิศาจผมยาวสีดำเป็นฝ่ายตัดแบ่งพิซซ่าใส่จานให้ทูตสวรรค์รูปงามก่อนจะให้ตัวเอง
“แล้วตกลงผมเลือกเมนูได้ถูกใจนายรึเปล่า” อาซาเซลถามขณะที่ยกน้ำแอปเปิลขึ้นดื่มด้วยสีหน้าที่พอใจ
“มีด้วยเหรอครับ ของที่คุณสั่งให้จะไม่ถูกใจผม” แซคเคอัสพูดพร้อมยกน้ำขึ้นดื่มบ้าง โดยที่สายตาของทั้งสองประสานกันพร้อมส่งรอยยิ้มที่มีความสุข
เมื่อพวกเขาทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนออกจากร้านไปอาซาเซลไม่ลืมที่จะให้ทิปกับพนักงานสาวที่เอ่ยปากว่าพวกเขาเหมาะสมกัน จากนั้นก็กลับมาที่เวลาพระอาทิตย์ตกดินในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า
“ช่วงนี้ลูกค้าที่ร้านเยอะไหม” หลังจากที่นั่งเงียบมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้สักพัก อาซาเซลเอ่ยถามคนที่อยู่ข้างกัน
“ไม่เท่าไรครับ มีแค่คุณวอลเทอร์ที่ผมยังวาดไม่เสร็จ”
“วอลเทอร์ คนที่มาจีบนายอ่ะเหรอ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของอาซาเซลดูไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาทันที เมื่อนึกถึงมนุษย์ผู้ชายที่เจอในร้านแซคเคอัสเมื่อหลายวันก่อน
“ผมว่าคุณคิดมากเกินไปนะ จะมีใครมาชอบผมกัน” เจ้าของร้านภาพวาดเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจมากนัก ทูตสวรรค์นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าใครชอบเขาไม่ชอบเขา แต่ที่เขาปล่อยให้ใครหลาย ๆ คนเข้ามาจีบ เพราะเขาชอบเวลาที่ได้เห็นจอมปิศาจที่แสนจะปากแข็งแสดงอาการหึงหวงออกมา
“นายไม่รู้จริงเหรอ ว่านายมีเสน่ห์มาก ไม่ว่าจะดวงตาสีน้ำเงินที่สดใสนั่น รอยยิ้มแสนอ่อนโยน และทุกอย่างที่เป็นนาย มันก็มากพอจะทำให้ใครต่อใครหลงนายหัวปักหัวปำได้”
เขาสงสัยว่าแซคเคอัสกล้าพูดได้ไงว่าไม่มีใครชอบ ครึ่งปิศาจครึ่งทูตสวรรค์อย่างเขาไง ถ้าสามารถควักหัวใจตัวเองออกมาให้ดูได้ อีกฝ่ายคงจะได้รู้ว่าทุกพื้นที่ของหัวใจเขาได้ถูกทูตสวรรค์ตรงหน้าครอบครองไปหมดแล้ว
“คุณทำผมเขินนะ แต่ก็ขอบคุณครับ” ใบหน้าหล่อคมขึ้นสีระเรื่อเขินอายกับคำพูดตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย
ร่างสูงเพรียวที่สวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนหันหน้ามามองจอมปิศาจหนุ่ม ที่มีใบหน้างดงามคล้ายอิสตรี แต่กลับมีความแข็งกร้าวดุดันแบบผู้ชาย ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากอย่างไม่มีผู้ใดเหมือน
อาซาเซลหันไปมองผู้ที่กำลังจับจ้องใบหน้าเขาอยู่ ในดวงตาสีไพลินคู่นั้นมักมีความรักอยู่เสมอ และมันช่างสวยงามจนเขาอยากครอบครองมันไว้แต่เพียงผู้เดียว มือเรียวสวยของจอมปิศาจเอื้อมไปแตะแก้มเนียนลูบอย่างแผ่วเบาประดุจของมีค่า
“นายจะด่า จะว่าผมเห็นแก่ตัวยังไงก็ได้ ถึงผมไม่รู้ว่าในอนาคตผมจะเลือกเส้นทางไหน ผมขอได้ไหม ขอให้นายรักผมเพียงคนเดียว อย่าได้ไปหลงรักใครอื่นอีกเลย ถึงแม้ในวันนั้นเราจะไม่ได้อยู่เคียงข้างกันอีกแล้วก็ตาม”
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่อาซาเซลร่วงหล่นจากสวรรค์ ที่เขาได้วิงวอนร้องขอจากผู้อื่น ให้ทูตสวรรค์ตรงหน้ารักแค่เขา มีแค่เขา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแซคเคอัสจะไม่ปฏิเสธคำอ้อนวอนของปิศาจ เหมือนที่พระเจ้าปฏิเสธตัวตนเขา
“นั่นมัน…เห็นแก่ตัวจริง ๆ ครับ” ดวงตาสีไพลินคู่สวยละสายตาจากใบหน้าอันงดงาม เอ่ยเสียงทุ้มเบาที่เจือความสุขและทุกข์ในคราวเดียว
ดีใจที่อีกฝ่ายรักเขามากจนขอร้องทูตสวรรค์เช่นเขา ในขณะเดียวกันนั้นก็ปวดใจจากคำวิงวอนที่มีความนัย ว่าสักวันพวกเขาไม่อาจอยู่ด้วยกัน
อาซาเซลมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น พยายามถ่ายทอดความรู้สึกในหัวใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้เท่าที่จะทำได้ กล่าวคำวิงวอนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มละมุนที่สุดอย่างที่จอมปิศาจไม่เคยทำกับผู้ใด “ได้โปรดรับปากผม…” ให้เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้อยู่ในหัวใจดวงนี้ก็พอ
“อาเซล ผมยินดีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณเพื่อคุณ หากว่าคุณพูดว่า…รักผมและจะไม่มีวันจากผมไปไหน” มือขาวผ่องของทูตสวรรค์วางทาบบนมือเรียวที่ติดขาวซีดของจอมปิศาจให้แนบชิดกับแก้มตนเองมากขึ้น เอ่ยเสียงนุ่มที่แผ่วเบา หากแต่หนักแน่นในทุกถ้อยคำ
อดีตทูตสวรรค์ผู้ถูกสาป เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นของคนที่เขากำลังวิงวอนขอความรัก ดวงตาสีทับทิมกลับสั่นไหวถอนหายใจอย่างรวดร้าว ทิ้งศีรษะตนเองลงบนตักของอีกฝ่าย ไอ้ความรู้สึกน่าสมเพชนี้มันอะไรกัน
“ขอโทษ ผมมัน…ขี้ขลาด” เสียงทุ้มนั้นแหบพร่าระคนความเจ็บปวด นึกเกลียดชังตัวเองอย่างสุดซึ้ง
“ไม่เลย ปิศาจที่รัก คุณไม่ได้ขี้ขลาดเลยสักนิด คุณกล้าหาญกว่าทูตสวรรค์หรือใครก็ตามที่ผมรู้จัก เพียงแค่คุณชอบแบกรับทุกอย่างไว้กับตัว จนมันทำให้หัวใจคุณเปราะบางและอ่อนไหวก็เท่านั้นเอง” แซคเคอัสเอ่ยปลอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล จับปอยผมสีดำยาวสวยทัดหูคนที่นอนหนุนตักเขาอยู่…ลูบศีรษะนั้นอย่างอ่อนโยน
จอมปิศาจวกะหลับตาลงเอาหน้าซุกต้นขาของทูตสวรรค์ให้มากกว่าเดิม ซึมซับความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้ตน สูดดมกลิ่นหอมสดชื่นอ่อน ๆ จากตัวแซคเคอัส “นายเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมเหรอ” อาซาเซลถามขึ้นเมื่อรับรู้ว่ากลิ่นของอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิม
“ใช่ครับ Jo Malone London Wood Sage & Sea Salt เรเชลเคยบอกให้ผมลองเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมดูบ้าง คุณชอบไหม”
“อืม มันหอมดี สงสัยผมต้องเปลี่ยนบ้างแล้ว” เขาอยากได้กลิ่นที่เข้าคู่กับทูตสวรรค์ที่รัก
แซคเคอัสหยิบปอยผมสีดำขึ้นมาสูดดม มันมีกลิ่นไม้หอมและเครื่องเทศ เป็นการผสมผสานระหว่าง oriental กับ woody “ไม่ใช่คุณพึ่งเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมไปนะครับ”
“โอ้ นายจำกลิ่นผมได้ด้วยเหรอ” อาซาเซลถึงกลับพลิกตัวนอนหงายจากที่นอนหันข้างอยู่ เพราะอยากจะเห็นหน้าของแซคเคอัส ไม่นึกเลยว่าทูตสวรรค์ที่ไม่ได้เจ้าสำอางแบบเขาจะแยกแตกต่างของกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ออก
“จำได้สิครับ ถึงคุณจะเปลี่ยนมันบ่อย ๆ ก็ตาม” เขายกยิ้มกว้างพลางหัวเราะน้อย ๆ เมื่อคิดถึงอีกฝ่ายที่ชอบเปลี่ยนน้ำหอมทุกสามสี่เดือนตามฤดูกาลของมนุษย์
“งั้นครั้งนี้นายเลือกกลิ่นให้ผมสิ แล้วผมจะไม่เปลี่ยนอีกเลย จนกว่านายจะบอกให้เปลี่ยน” จอมปิศาจเอ่ยกล่าวคำมั่น
“Mr. Burberry Eau de Parfum ดีไหมครับ มันเข้ากับกลิ่นที่ผมใช้อยู่” คำพูดนี้ของทูตสวรรค์ช่างตรงใจกับอาซาเซลนัก ราวกับว่าล่วงรู้ถึงความในใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ได้สิ ถ้านายว่าดี มันก็ดีทั้งหมดนั่นแหละ” จะกลิ่นอะไรก็ช่าง ขอแค่แซคเคอัสชอบมัน ตัวเขาก็พอใจแล้ว
ทูตสวรรค์ที่เป็นเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินส่องประกายระยิบระยับ ใช้มือเรียวสวยจับที่แก้มเนียนขาวของจอมปิศาจ ลูบไล้มันราวกับสิ่งล้ำค่าควรแก่การให้ทะนุถนอม เขาโน้มตัวลงให้ใบหน้าเกือบจะชิดใกล้กัน จนสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
อาซาเซลเห็นคำขอบางอย่างในดวงตาคู่นั้น ซึ่งเขาเข้าใจดีว่ามันคืออะไร จอมปิศาจชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลบลงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยรอสัมผัสรักจากอีกฝ่าย
แซคเคอัสเมื่อรับการอนุญาตจากปิศาจที่เขาหลงรัก หัวใจเขาเต้นระรัวอย่างลิงโลดหมายมั่นจะจุมพิตที่ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อของอาซาเซล หากนับดูแล้วครั้งนี้คงเป็นจูบครั้งที่สามในรอบหลายร้อยปีของพวกเขา ขณะที่ริมฝีปากทั้งสองใกล้จะประกบกัน พลอยทับทิมที่สร้อยคอเปล่งแสงขึ้นจนทั้งคู่ต้องผลักออกจากกัน
“มันออกมาแล้ว” เสียงทุ้มที่ต่ำกว่าปกติของอาซาเซลพลันเยือกเย็นแฝงโทสะ คล้ายจะเปลี่ยนให้ที่แห่งนี้กลายเป็นนรกน้ำแข็ง เร็วกว่านี้ไม่มา ช้ากว่านี้ไม่มา จะต้องเป็นเวลานี้ด้วย! วาเลฟอร์ หากข้าไม่ได้กัดมันจมเขี้ยวอย่ามาเรียกข้าว่า จอมปิศาจอาซาเซล!!
ในบรรยากาศที่เงียบสงัดของยามราตรี บริเวณที่ไม่ไกลจากพวกของอาซาเซลมีหญิงสาวสองคนเดินคุยกันโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองอาจตกอยู่ในอันตราย ทันใดนั้นมือของอสุรกายขนาดใหญ่มีขนสีดำกรงเล็บแหลมคมผุดขึ้นจากดิน มันค่อย ๆ ดึงตัวขึ้นเศษดินกระจัดกระจาย จนเผยตัวให้เห็นร่างหมาป่าตัวใหญ่ ดวงตาสีแดงก่ำจับจ้องไปยังหญิงวัยรุ่นทั้งสอง
“ฉันว่าเราควรรีบกลับได้แล้วนะ” หญิงผมดำสวมแว่นตาใส่เสื้อสีน้ำเงินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ และดูเป็นกังวลมาก
“ไม่เอาน่า เอ็มม่า นาน ๆ ทีจะได้ออกมาเที่ยวกัน จะรีบกลับทำไม” สาวผมบลอนด์ยาวสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเซ็กซี่ เธอหันกลับมาคุยกับน้องสาวเมื่อไม่เห็นน้องเดินตามมา
“แต่…เอเลน่า เมื่อเช้าฉันเห็นข่าวพบศพหญิงสาวถูกฆ่าตายด้วยสัตว์ร้ายที่นี่ เพราะงั้นเราควรรีบกลับกันเถอะ”
“โถ่ เอ็มม่า ป่านนี้แล้วพวกเจ้าหน้าที่คงจับมันไปแล้วมั้ง มานี่มา อย่าขี้ขลาดไปเลย เดี๋ยวพี่จะพาไปเที่ยว”
“แต่…” ทันใดนั้นเองดวงตากลมโตที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาเบิกโพลงขึ้น เนื้อตัวสั่นอย่างหวาดกลัว เธอไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงเรียกให้พี่สาวหันกลับไปดูด้านหลัง ทำเพียงใช้นิ้วที่สั่นเทาชี้ไปแทน คนเป็นพี่สาวสงสัยในท่าทางของน้องเลยหันกลับไป ทำให้เธอได้เห็นดวงตาโตสีแดงก่ำ ฟันอันแหลมคมที่พร้อมจะขย้ำเธอได้ทุกเมื่อ มันใกล้มาก ใกล้จนได้กลิ่นเหม็นสาบจากปากของมัน น่าขยะแขยงมาก ขาเรียวบางของหญิงสาวแข็งค้างราวกับหินไม่ขยับเขยื้อน
“กรี๊ด!!!”
สาวผมบลอนด์กรีดร้องจนสุดเสียง เมื่ออสุรกายตรงหน้าง้างมือที่มีเล็บสีดำแหลมคมจะตะปบลงมาที่เธอ โชคยังดีที่น้องสาวดึงตัวไว้ทัน ทำให้รอดพ้นจากความตาย แต่นั่นยังไม่พอให้รอดจากกรงเล็บที่ข่วนถูกแขนของเธอจนเป็นแผลเหวอะหวะ
สาวสวมแว่นพยายามจะประคองช่วยร่างพี่สาวที่ล้มอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นเพื่อหนีจากอสุรกาย แต่ด้วยกำลังของเธอเพียงคนเดียวมันไม่พอที่จะทำอะไรได้ แล้วมนุษย์หมาป่าตัวใหญ่ขนสีดำนั้นง้างมือจะตะปบเหยื่อที่น่าสงสารของมันอีกครั้ง ทีนี้สาววัยรุ่นทั้งสองหลับตาแน่น พลางคิดว่าครั้งนี้ไม่รอดคงต้องมาตายที่นี่แน่
แต่ดูเหมือนสวรรค์ยังเมตตาพวกเธออยู่ เมื่อไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่น่าจะเกิดขึ้น ทำให้พวกเธอลืมตาขึ้นเพราะอยากรู้ว่า ทำไมพวกเธอถึงไม่เป็นอะไร
สองสาวถึงได้เห็นผู้ชายร่างสูงคนหนึ่ง ที่มีผมสีบลอนด์เงินสั้น สวมเสื้อโค้ทสีน้ำเงินยืนขวางระหว่างพวกเธอกับอสุรกายโดยใช้ดาบยาวสองคมกันกรงเล็บสีดำน่ากลัวนั้นอยู่ จากนั้นก็มีผู้ชายอีกคนที่สวมชุดสีดำทั้งตัวโผล่มาจากไหนไม่รู้จับไปที่ศีรษะมนุษย์หมาป่าตัวใหญ่กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง จนอิฐที่ปูเป็นทางเท้าแตกละเอียด
“นางฟ้า พาผู้หญิงสองคนนี้ไปจากที่นี่ซะ ที่เหลือผมจัดการเอง” เสียงของอาซาเซลแหบพร่ากระด้างเยือกเย็นอย่างผู้มีอำนาจเหนือกว่า
ดวงตาสีทับทิมเข้มสวยหรี่ตาลง เมื่อเห็นมือของแซคเคอัสมีเลือดไหลซึมจากบาดแผลขนาดเล็ก คงจะเกิดจากแรงปะทะเมื่อครู่ นั่นยิ่งทำให้อารมณ์โทสะของจอมปิศาจยิ่งปะทุมากขึ้นกว่าเดิม
แซคเคอัสที่เห็นท่าทีของอาซาเซลโกรธจัด แผ่รังสีอำมหิตแห่งการสังหารออกมาจากตัว จนหัวใจเขากระตุกวูบ นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้เห็นอดีตทูตสวรรค์แผ่รังสีน่ากลัวมากขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวาเลฟอร์ที่แสดงออกชัดเจนว่ากำลังหวาดกลัวอาซาเซลมากถึงเพียงไหน
ในขณะนั้นเปลวเพลิงสีดำทมิฬปรากฏขึ้นบนมือขาวซีด ก่อนมันได้ปกคลุมไปทั่วร่างกายของจอมปิศาจอาซาเซล เพียงแค่อึดใจเดียวที่เปลวเพลิงนั้นหายไป ทำให้เห็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
จากร่างมนุษย์กลายเป็นหมาป่าที่มีขนาดใหญ่กว่าวาเลฟอร์ด้วยถึงเท่าตัว มีขนสีแดงเข้มจนเกือบดำ ปีกนกขนาดใหญ่อยู่กลางหลัง และมีเขาแพะคู่สีเทาเข้ม นัยน์ตาสีทับทิมและรูม่านตาขยายออกจนไม่เหลือตาขาวให้เห็น
แซคเคอัสที่ได้เห็นร่างสัตว์นรกของอาซาเซลเป็นครั้งแรก ถึงกับยืนนิ่งตกตะลึง แต่ไม่ใช่เพราะรู้สึกกลัวแต่อย่างใด จอมปิศาจในรูปลักษณ์นี้ช่างงดงามและน่าเกรงขามไม่แพ้ร่างมนุษย์เลย จนอยากจะเข้าไปสัมผัสขนหมาป่าสลวยสวยที่น่าจะนุ่มลื่นมือนั้นมากเหลือเกิน
“ทำไมยังไม่ไปอีก แซคเคอัส!”
เสียงแหบหยาบของอสูรนรกแฝงอารมณ์บางอย่างเรียกสติของแซคเคอัสกลับมา ทูตสวรรค์รีบพยักหน้า รีบก้มตัวลงอุ้มหญิงสาวผมบลอนด์ทองที่ได้รับบาดเจ็บไว้ในอ้อมแขนพาวิ่งหนีไปอีกทาง โดยที่มีสาวแว่นวิ่งตามไปด้วย
อาซาเซลที่เห็นทูตสวรรค์แสนหวงแหนพามนุษย์ผู้หญิงวิ่งหนีออกไปไกลแล้ว ดวงตาสีแดงเข้มหันกลับมาจ้องวาเลฟอร์อย่างอำมหิต ทำให้มันถึงกับคุกเข่าหมอบกับพื้นตัวสั่นด้วยความเย็นยะเยือกไล่ไปตามกระดูกสันหลัง
“นายท่าน…อาซาเซล” เสียงของมันแหบหยาบเรียกขานผู้เป็นนายเหนือหัว
“เจ้านี่ยังน่าสมเพชไม่เปลี่ยน วาเลฟอร์ ครั้งนั้นที่ข้าจับได้ว่าเจ้าพยายามวางยาพิษข้า ท่าทางของเจ้าไม่ต่างจากครั้งนี้เลย” เสียงทุ้มกังวานของอาซาเซลไร้อารมณ์ แต่แฝงไปด้วยอำนาจที่เต็มเปี่ยม
“ได้โปรด นายท่าน เมตตาข้าด้วย ข้า…แค่เผลอตัวหลงคำยุยงของมุนดุส ข้าไม่เคยคิดที่จะทรยศท่านจริง ๆ มันแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น” ปิศาจยังไงก็เป็นปิศาจ ไม่มีทางจะยอมรับผิดแต่โดยดี ทั้งยังหาข้ออ้างที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางฟังขึ้น
“ข้าไม่ได้โง่ วาเลฟอร์” อาซาเซลในร่างหมาป่าอสูรสาวเท้าก้าวเดินไปหาปิศาจ ที่เคยอยู่ใต้อาณัติอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อน แต่นั่นกลับทำให้หัวใจวาเลฟอร์เต้นแรงขึ้นด้วยความกลัว
“เจ้าคิดจริงหรือ ว่าข้าไม่รู้อะไรเลยว่าพวกเจ้าทำอะไรลับหลังข้า โดยเฉพาะมุนดุส เจ้าหลานชายตัวแสบ พยายามจะฆ่าข้ามาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นลูกของท่านพี่ลูซิเฟอร์ มีหรือว่ามันจะได้มีชีวิตอยู่รอดจนมาถึงทุกวันนี้”
ถึงท่านพี่จะไม่ใช่พ่อที่ใส่ใจลูกมากนัก แต่ถ้าลูกของตัวเองเป็นอะไรไปขึ้นมามีหรือผู้เป็นพ่อจะไม่รู้สึก เขาเลยไม่อยากจะลงมือทำร้ายหลานชายแสนโง่เขลา ถึงมันจะเป็นเด็กเปรตแค่ไหนก็ตาม
“นายท่านอาซาเซล…” มันส่งเสียงร้องครางสั่นอย่างหวาดกลัว
“ตอนแรกข้าคิดว่าจะจับเป็นเจ้า แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าไม่มีความเมตตาต่อสิ่งใดก็ตามที่กล้าทำให้ทูตสวรรค์ของข้าต้องได้รับบาดแผลแม้เพียงเล็กน้อย” ดวงตาสีทับทิมเข้มฉายแววอำมหิต แยกเขี้ยวส่งเสียงทุ้มเย็นชาดุดันโหดเหี้ยม
“นายท่าน! อย่าาา…” วาเลฟอร์ตกใจกลัว พยายามลุกขึ้นวิ่งหนีจากความตายที่กำลังมาเยือน
“สายไปแล้ว!” อาซาเซลพุ่งกระโจนใส่อ้าปากแยกเขี้ยวกัดเข้าไปที่คอวาเลฟอร์เลือดสีดำสาดกระเซ็นไปทั่ว โดยที่ปิศาจหมาป่าสกปรกไม่มีโอกาสได้ร้องออกมาอีกเลย
ในอีกด้านหนึ่งของสวนสาธารณะวิคตอเรีย
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่อุ้มหญิงสาวผู้บาดเจ็บวางลงกับพื้น เมื่อเห็นว่าพวกเขาได้วิ่งหนีมาไกลมากพอแล้ว เด็กสาวอีกคนที่มาด้วยกันรีบก้มดูแผลของพี่สาวที่มันเหวอะหวะจนน่ากลัว
“สาวน้อย ให้ผมดูแผลเธอหน่อย”
ทูตสวรรค์ที่เพิ่งได้มีเวลาสังเกตบาดแผลของสาววัยรุ่น เขาก้มตัวลงจับแขนเธออย่างเบามือ เด็กสาวที่อายุน้อยกว่าใครขวางแขนของแซคเคอัส เอ่ยน้ำเสียงวิงวอนที่น่าสงสารหวังขอให้คนแปลกหน้าผู้นี้ช่วยพี่สาวของเธอ
“ได้โปรด ช่วยพี่สาวฉันด้วยนะคะ”
แซคเคอัสเพียงยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนโยน เมื่อได้ฟังคำขอร้องนั้นก่อนใช้มือเรียววาดผ่านอากาศเหนือแผลเหวอะหวะนั่น แล้วก็มีแสงสีทองอ่อนส่องประกายขึ้น บาดแผลสาหัสที่นั่นค่อย ๆ ประสานกัน กระดูกที่ร้าวจนเกือบหักต่อกันอย่างเรียบร้อย ท่ามกลางความประหลาดใจของมนุษย์ทั้งสอง
“เอาละ โอเคเรียบร้อย ไม่เจ็บแล้วนะ”
และก่อนที่พวกเธอจะได้พูดอะไร แซคเคอัสยกมือขึ้นโบกผ่านหน้าหญิงสาวทั้งสอง แววตาที่กำลังตกตะลึงพลันว่างเปล่าทันใด
“ผมคงต้องขอโทษด้วยที่ต้องเปลี่ยนความทรงจำของพวกคุณโดยพลการ แต่เชื่อผมเถอะมันจะดีต่อพวกคุณ เอาละ พวกคุณกำลังกลับบ้านไม่เจอหรือพบเห็นอะไรทั้งสิ้น และเมื่อไปถึงเตียงนอนยามหลับฝันจะได้พบแต่ฝันอันแสนสุข นั่นจะเป็นสิ่งเดียวที่จำได้ในคืนนี้”
สิ้นคำพูดเขา แซคเคอัสก็ปล่อยให้หญิงสาวทั้งสอง ที่ยังอยู่ในสภาพถูกสะกดจิต ซึ่งมันจะหายไปเมื่อพวกเธอได้กลับถึงบ้าน เดินออกจากสวนไป ส่วนตัวเขาตั้งใจจะกลับไปหาอาซาเซล หากแต่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยเสียก่อน
“แซค…” เสียงแหบแห้งดังมาจากข้างหลังเขา ทูตสวรรค์รู้ในทันทีว่าเป็นเสียงของใคร
“อาเซล!” แซคเคอัสรีบเข้าไปหาอาซาเซลที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีดำ ถึงจอมปิศาจจะสวมชุดสีดำทั้งตัวเว้นแต่เนคไทสีแดงนั่น แต่เขาก็พยายามแยกความแตกต่างนั้นออกอยู่ดี
“คุณไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม” ได้โปรดบอกทีว่านี่ไม่ใช่เลือดของอาซาเซล เพราะเขาได้ยินมาว่าเลือดของปิศาจจะเป็นสีดำ
อาซาเซลส่ายหน้าชูมือขวาขึ้นที่กำลังถือหัวของวาเลฟอร์ให้ดูในสภาพเหลือแต่หัว ตาเหลือกลิ้นห้อยยังคงมีเลือดสีดำไหลอยู่ “เจ้าเศษเดนพวกนี้ จะไม่มีปัญญาทำอะไรผมได้ เมื่อกี้…ผมทำนายกลัวรึเปล่า”
“กลัวอะไรเหรอครับ” ทูตสวรรค์เอ่ยถามอย่างสงสัย เนื่องจากไม่เข้าใจในคำพูดของอีกฝ่าย
“ที่ผมกลายร่างอสูรนรกให้เห็น ทำนายกลัวหรือเปล่า” ดวงตาสีทับทิมยังไม่กลับสู่สภาพเดิมทอประกายด้วยความหวังอันริบหรี่ ในใจได้แต่ภาวนาว่าทูตสวรรค์ที่รักจะไม่นึกรังเกียจเขาขึ้นมา
“ผมเคยบอกคุณแล้ว ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนเป็นอะไร อยู่ในสภาพไหน ผมก็ไม่มีทางรังเกียจคุณ” แซคเคอัสหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาจะเช็ดเลือดที่เลอะอยู่บนใบหน้าอาซาเซล แต่จอมปิศาจหนุ่มหันหน้าหนี
“อย่าเลย เลือดพวกมันสกปรก อย่าให้ผ้าเช็ดหน้าสวย ๆ ของคุณต้องแปดเปื้อนเลย”
ถึงอาซาเซลจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ทูตสวรรค์ยังคงเอาผ้าเช็ดหน้าพื้นนั้นเช็ดใบหน้าเขาให้ได้อยู่ดี ซึ่งเขาไม่มีทางปฏิเสธอีกครั้ง
“ผ้าเช็ดหน้ามันก็มีไว้เช็ดหน้า ถ้าไม่ใช้เดี๋ยวมันจะเสียใจเอา” แซคเคอัสพูดติดตลกนิดหน่อย ทำให้บรรยากาศที่เงียบสงัดในยามรัตติกาลพลันดีขึ้นมาทันตา
“ตรรกะอะไรของนายเนี่ย” ถึงปากจะพูดเหมือนบ่น แต่ยอมยืนนิ่งให้อีกฝ่ายเช็ดคราบเลือดบนหน้าแต่โดยดี
ทูตสวรรค์ที่มีร่างเล็กกว่า เมื่อเห็นว่าใบหน้าอาซาเซลสะอาดแล้วเลยลดมือลงจะเก็บผ้าเช็ดหน้า หากแต่ถูกมือที่ค่อนข้างขาวซีดจับเอาไว้เสียก่อนจะก้มหน้าลงใช้ริมฝีปากบางจรดบนบาดแผลขนาดเล็กที่หลังมือทูตสวรรค์ แล้วรอยแผลนั้นหายไปอย่างมีปาฏิหาริย์
“สู้ก็ไม่เก่ง ยังจะอวดดี ออกโรงไปช่วยคนอื่นอีก จากประสบการณ์ครั้งก่อน ๆ ไม่ช่วยให้นายระวังตัวขึ้นบ้างเลยเหรอ” เสียงที่แหบแห้งในตอนแรกเริ่มกลับไปเป็นเหมือนเดิมกล่าวตำหนิไม่จริงจัง
ทูตสวรรค์ที่กำลังหน้าแดงจากการกระทำของอีกฝ่ายอยู่ ตอบกลับจอมปิศาจได้น่าตีมาก “ผมเผลอตัวไป เลยทำอะไรไม่ทันได้คิด”
“แล้วนี่ไปเอาดาบอัลมันไนท์มาจากไหน” ตัวดาบสองคมทำจากเหล็กกล้าพิเศษหลอมขึ้นจากเพลิงสวรรค์ คมดาบเป็นประกายเงางาม ด้ามจับทำจากทองคำทองขาวแกะสลักลวดลายปีกเทวทูตและมีอัญมณีสีแดงฝังอยู่ มันอาจจะไม่ทรงพลังอย่างดาบเพลิงสวรรค์ แต่อานุภาพมันก็ไม่ได้อ่อนด้อยเลย และที่เขารู้เรื่องดาบนี้เป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นผู้สร้างมันมากับมือตอนที่เป็นทูตสวรรค์ นึกว่าถูกทำลายทิ้งไปตั้งแต่เขาลงมาอยู่ในนรก
“ท่านราฟาเอลเป็นคนเก็บไว้ครับ หลังจากที่ผมติดต่อท่านไปว่าทางคุณเกิดเรื่องขึ้น ท่านสั่งให้ผมเอาดาบนี้มาให้คุณเผื่อไว้ใช้ อาเซล พี่ชายคุณเขาเป็นห่วงคุณมากนะครับ”
ตั้งแต่ที่อาซาเซลไม่อยู่บนสวรรค์แล้ว ท่านราฟาเอลก็มิได้ร่าเริงอย่างแต่ก่อน เวลาที่ว่างจากกิจของสวรรค์ มักจะดูข้าวของที่ชายหนุ่มตรงหน้าเคยมอบไว้ให้ด้วยแววตาแห่งความคิดถึง
“ขอบใจที่บอกเรื่องนี้ ฝากขอบคุณพี่ด้วย ส่วนดาบนี้นายเก็บไว้เถอะ”
ตั้งแต่วันนั้นที่ปากหลุม Dudael เขาก็ไม่เคยได้พบพี่ชายคนเล็กอีกเลย เพียงได้ยินคำบอกเล่าจากปากของแซคเคอัสอยู่บ้าง บางเวลาที่เขาอยากรู้ว่าราฟาเอลพี่ชายที่แสนดีเป็นอย่างไร และอีกคนที่เล่าให้เขาฟังว่าทูตสวรรค์เซราฟิมตนนี้เคยมาเข้าฝันก็คือลูกชายบุญธรรมของอาซาเซลเอง
“จากฝีมือผมแล้ว เก็บมันไว้ไม่ช่วยอะไร เผลอ ๆ ผมอาจทำตัวเองเจ็บตัวเสียมากกว่า”
“ถือว่าผมขอร้อง เก็บดาบนี้ไว้เถอะ มันจะเหมือนว่านายมีผมคอยปกป้องอยู่ตลอดเวลา”
อาซาเซลยังคงยืนยันคำเดิม ถึงแม้ดาบนี้จะเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ แต่มันไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ในฐานะของผู้สร้างมัน หากไม่ใช่สำหรับปิศาจตัวอื่น เพราะงั้นมันน่าจะเป็นการดีกว่าที่ทูตสวรรค์มีมันไว้ปกป้องตัวเอง
“…ก็ได้ครับ ผมเข้าใจแล้ว” ตั้งแต่อีกฝ่ายเป็นทูตสวรรค์จนมาเป็นปิศาจ เขาไม่เคยเถียงอาซาเซลชนะเลยสักครั้ง เพราะอีกฝ่ายมักมีเหตุผลที่เขาไม่สามารถปฏิเสธอยู่เสมอ
“นี่ก็ดึกมากแล้ว นายอยากให้ผมขับรถไปส่งที่ร้านไหม”
“แน่นอนครับ เมื่อผมมากับคุณก็ต้องกลับกับคุณสิครับ”