รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา - บทที่ 6 Angel’s Sin of Love โดย supernatural @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี

รายละเอียด

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา โดย supernatural @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม

ผู้แต่ง

supernatural

เรื่องย่อ

เมื่อบุตรแห่งพระเจ้าได้เลือกเส้นทางที่คิดว่าตัวเองทำถูกต้อง กลับถูกสวรรค์ถอดทิ้งเนรเทศสาปส่งสู่นรกเบื้องล่าง หัวใจที่บอกช้ำกอดเก็บความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ ปกปิดความรู้สึกภายใต้ใบหน้าเย็นชา หวังว่าจะมีใครสักคนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ที่ไม่ใช่เพียงจอมปีศาจที่ผู้คนหวาดกลัว


หนึ่งทูตสวรรค์ที่ได้เรียนรู้ถึงสิ่งอันมีค่า จากการได้สูญเสียมันไป ทำให้ตระหนักถึงความจริงที่ว่าเขารักในตัวของอีกฝ่ายเพียงใด จากนี้ไปเขาจะทำทุกทางเพื่อความรักนี้ ต่อให้ต้องหันหลังให้กับพระเจ้า ต่อให้ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศก็ตาม เขาจะไม่มีวันปล่อยมือคู่นั้นอีก

สารบัญ

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทนำ 1 Meet at the Garden of Eden,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทนำ 2 The Last Watcher of the Fallen,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 1 The Present is the Beginning of Everything,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 2 Prisoner escapes from hell,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 3 The Devil’s First Clues,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 4 Holy Church and the Secrets of the Former Angel,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 5 Demon Wolf Lord of Hell,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 6 Angel’s Sin of Love,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 7 A farewell that is difficult to escape

เนื้อหา

บทที่ 6 Angel’s Sin of Love

ใช้เวลาไม่นานอาซาเซลขับรถมาจอดอยู่หน้าร้านของแซคเคอัส ซึ่งเป็นที่ประจำของ Rolls - Royce Phantom คันหรู ชายหนุ่มตัวสูงที่แต่งกายในชุดสีดำเกือบทั้งชุดเป็นฝ่ายก้าวเท้าลงจากรถมาก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้กับชายหนุ่มอีกคน

การกระทำที่เป็นสุภาพบุรุษของจอมปิศาจสามารถเรียกรอยยิ้มกว้างจากทูตสวรรค์ได้เสมอ

“ราตรีสวัสดิ์ นายก็พักผ่อนเถอะ” อาซาเซลเอ่ยเสียงทุ้มละมุนที่ทำกับอีกฝ่ายเพียงคนเดียว

แซคเคอัสที่เห็นอาซาเซลกำลังเดินกลับไปฝั่งคนขับ โดยมีความรู้สึกบางอย่างที่กู่ร้องในใจเขา บอกว่าอย่าปล่อยให้อีกฝ่ายไป อยากอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้ และนี่เป็นอีกครั้งที่ทูตสวรรค์พ่ายแพ้ต่อความปรารถนาของตัวเอง

“อาเซลครับ ไหน ๆ นี่ก็ดึกมากแล้ว ถ้างั้น…ทำไมคืนนี้คุณไม่ค้างที่นี่ล่ะครับ”

ถ้าการอยากอยู่กับจอมปิศาจมันเป็นบาป เขาก็จะไม่อ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์ยกโทษให้ลูกแกะแสนโง่เขลาที่หลงรักปิศาจตรงหน้าจนหมดหัวใจ ขอแค่เพียงพระองค์ไม่เอาคนบาปผู้นี้ไปจากเขาก็พอ

“นายแน่ใจนะ?” เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย อาซาเซลถึงกับหยุดชะงักก่อนจะหันตัวกลับมาเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วโค้งสวย

“ครับ…เพราะงั้นเข้ามาสิครับ เดี๋ยวผมจะหาอะไรให้ดื่ม” แซคเคอัสเอื้อมมือเปิดประตูร้านเชิญชวนอาซาเซลเข้ามา การกระทำเจ้าของร้านภาพวาดทำให้จอมปิศาจหนุ่มประหลาดใจไม่น้อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยค้างกับทูตสวรรค์ เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายออกปากชวน เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเขามากกว่าที่เอ่ยปากขอนอนค้างที่นี่

“จะเป็นไรไหม ถ้าผมจะขอไปอาบน้ำก่อน” ถึงเขาจะใช้อิทธิฤทธิ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าและร่างกายของตัวเองไปแล้ว หากแต่มันยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่ดี เขาเลยต้องการที่จะอาบน้ำแบบมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จอมปิศาจวกะโปรดปรานไม่น้อย

เจ้าของร้านหนุ่มเสกผ้าขนหนูสีเข้มขึ้นมาแล้วส่งให้กับอาซาเซล “จำได้ใช่ไหมครับ ว่าของอะไรวางไว้ตรงไหนบ้าง”

“จำได้สิ” แน่นอนว่าเขาต้องจำได้อยู่แล้ว ว่าอะไรถูกวางไว้ตรงไหนบ้าง ในเมื่ออาซาเซลเป็นคนที่พาทูตสวรรค์ไปซื้อแถมยังช่วยจัดข้าวของเองกับมือ จากนั้นปิศาจร่างสูงเดินขึ้นบัดไดไปยังชั้นบนที่เป็นส่วนของห้องพัก

ส่วนแซคเคอัสเดินไปที่ตู้เย็นในครัวหยิบเอาขวดไวน์ขาว pinot grigio ออกมาจากช่องแช่เย็น พร้อมกล่องขนมมาการอง ทีแรกว่าจะชวนอาซาเซลดื่มชาด้วยกัน แต่คิดอีกทีเวลาแบบนี้จอมปิศาจของเขาน่าจะอยากดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากกว่า เพราะงั้นเขาเลยเลือกไวน์ขาวที่ทานคู่กับขนมหวานได้

ขณะที่เขาเปิดเตาต้มน้ำสำหรับชงชาให้ตัวเอง พลางมองบนชั้นวางของที่มีกล่องชาเรียงรายอยู่ คิดว่าจะดื่มชาตัวไหนดี ก็ได้ยินเสียงทุ้มของชายหนุ่มที่เพิ่งจะขึ้นไปชั้นบนเมื่อครู่นี้เอง

“ถ้านายจะทานมาการอง ผมแนะนำว่าควรจะดื่มชาดาร์จีลิง มันจะเข้ากันได้ดีมากกว่าชาอื่น”

อาซาเซลในชุดลำลองสีดำทั้งตัว ที่ทูตสวรรค์เตรียมไว้ให้สำหรับใส่กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่ยังเปียกอยู่

“ทำไมคุณอาบน้ำไวจังครับ” แซคเคอัสมองไปยังนาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่มุมห้อง ซึ่งบอกว่าเวลาเพิ่งผ่านไปสิบนาทีเศษเท่านั้นเอง

“เพราะนายบอกเองจะหาอะไรให้ผมดื่ม เลยไม่อยากให้นายต้องรอนาน”

ทูตสวรรค์เดินเข้ามาใกล้อาซาเซลดึงผ้าขนหนูออกจากมืออีกฝ่าย มาซับที่ผมยาวสลวยสีดำเงางามนั้นแทนเจ้าของผมที่กำลังเช็ดอย่างเมามัน

“เช็ดผมแรง ๆ เดี๋ยวผมเสียหมดหรอกครับ มันต้องค่อย ๆ ซับแบบนี้ แล้วเสื้อยืดกับกางเกงใส่พอดีไหมครับ”

“อืม ขอบคุณที่ใส่ใจ…ยิ้มอะไร” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะได้เห็นรอยยิ้มกว้างน่ามองที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของอีกฝ่าย มีเรื่องอะไรให้อารมณ์ดีกันนะ

“ไม่มีอะไรครับ แค่คิดว่าผมคงเป็นทูตสวรรค์ที่ถูกปิศาจพูดขอบคุณบ่อยที่สุด และน่าจะเป็นคนเดียวด้วย”

เจ้าของดวงตาสีทับทิมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะดีดนิ้วปิดเตาแก๊สเมื่อเห็นว่าน้ำที่เจ้าของร้านต้มไว้สำหรับชงชากำลังเดือดได้ที่ แซคเคอัสหันไปมองกาต้มน้ำที่มีควันร้อนลอยออกมาพูดพร้อมรอยยิ้มสดใส

“โอ้ ผมลืมไปเลย ขอบคุณครับ”

“ถ้าเรื่องขอบคุณนี่ เราคงไม่ต่างกัน”

ทั้งคู่ยกยิ้มให้กัน แซคเคอัสเสกให้ผ้าขนหนูหายไปเมื่อเห็นว่าผมของอาซาเซลเริ่มแห้งดีแล้ว

“คุณนั่งรอก่อน ขอผมชงชาสักครู่”

แซคเคอัสพูดขณะที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาดาร์จีลิงตามคำแนะนำของอีกฝ่าย แต่กลับถูกตัดหน้าไปเสียก่อน เป็นอาซาเซลเอื้อมมือหยิบได้ไวกว่าเขา

เจ้าของร้านภาพวาดมองจอมปิศาจตักใบชาใส่กาน้ำชา เติมน้ำร้อนด้วยความคล่องแคล่ว เมื่อเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายทำจนชำนาญไปแล้วถือเป็นเรื่องปกติ จากนั้นเขาก็วางไว้ที่โต๊ะพร้อมกับถ้วยชาสีฟ้าสวย แซคเคอัสเลยเอื้อมมือไปหยิบขวดไวน์มาเปิดและรินใส่แก้วให้อาซาเซลแทน

ทั้งสองพูดคุยกันสัพเพเหระอาจมีเรื่องราวในอดีตที่น่าจดจำบ้างเป็นครั้งคราว ทานขนมดื่มชาจิบไวน์ไปพลาง

“นายเลือกไวน์ได้ดีมาก” ดวงตาสีทับทิมส่องประกายด้วยความพอใจ เอ่ยปากชมคนที่รู้ใจเขา ก่อนยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมด ที่จริงเขาไม่ชอบไวน์ขาวเท่าไรเพราะมันหวานเกินไป แต่ที่ทูตสวรรค์แสนน่ารักเลือกมาให้กลับถูกใจเขามาก

“ก็ถ้าคุณมีเพื่อนที่คบกันมานานหลายพันปี ทั้งยังเป็นพวกคอสุราจนถึงขั้นเปิดร้านบาร์ขายเหล้า หากผมไม่เรียนรู้จากเขามาเลย ผมคงเป็นทูตสวรรค์ที่ไม่ได้เรื่อง”

อาซาเซลหัวเราะชอบใจอย่างไม่ปิดบัง ยามปกติอาจจะเป็นฤทธิ์แอลกอฮอล์ช่วยทำให้เขาผ่อนคลายขึ้น พลางรินไวน์ดื่มอีกแก้ว

“ผมยังไม่ได้ขอบคุณ นายสำหรับวันนี้เลย”

“ไม่เป็นไรครับ ที่จริงผมก็แทบไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ถ้าคุณอยากจะขอบคุณผมจริง ๆ ยอมทำตามคำขอร้องผมสักข้อดีไหมครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น จอมปิศาจหนุ่มถึงกลับดวงตาลุกวาว มุมปากยกขึ้นคล้ายแสยะยิ้ม ทำให้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นมีเสน่ห์แบบอันตรายขึ้นมา

ยิ่งนับวันเขายิ่งชอบความใจกล้าของทูตสวรรค์ กล้าที่จะร้องขอจากปิศาจโดยไม่เกรงกลัวต่อบาป

“ว้าว! เดี๋ยวนี้ทูตสวรรค์ที่รัก รู้จักทำตัวดีหวังสิ่งตอบแทนแล้วหรือ น่าประทับใจ เอาสิ ไหนบอกหน่อยว่านายอยากให้ผมทำอะไร”

ทูตสวรรค์เผยแววตาซุกซนฉีกยิ้มกว้างอย่างชอบใจ ยกมือขึ้นดีดนิ้วเลียนแบบอาซาเซลที่ชอบทำเป็นประจำ ทันใดนั้นที่แปรงขนสัตว์ปรากฏออกมาอยู่บนมือเขา

“ผมอยากให้คุณช่วยแปรงขนให้ผมหน่อยครับ”

“ผลัดขนแล้ว?” 

“รู้ได้ไงครับ” ทูตสวรรค์นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเดาถูกได้ไง ว่าเขาถึงช่วงผลัดขนแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้บอกไปเลย

“ผมแปรงขนให้นายมากี่พันปีแล้ว ถ้านับเวลาดูแล้วน่าจะเป็นช่วงนี้พอดีจริงไหม”

จอมปิศาจวกะหยิบที่แปรงขนออกจากมือแซคเคอัส แล้วพาเดินมายังห้องรับแขกหรือห้องทำงานของทูตสวรรค์ ก่อนกระดิกนิ้วเรียกเก้าอี้ไม้ให้มันลอยมาหยุดอยู่ข้างหน้า

“นั่งสิ ผมจะได้แปรงขนให้”

แซคเคอัสรีบไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง ก่อนจะเริ่มสยายปีกสีขาวผ่อง แล้วมีขนปีกจำนวนหนึ่งหลุดร่วงลงมาที่พื้น อาซาเซลก้มตัวเก็บขนเหล่านั้นมาวางไว้ที่โต๊ะ

“รอบนี้ขนไม่ร่วงเยอะเท่าคราวที่แล้ว”

จอมปิศาจวกะลงมือแปรงขนสีขาวอย่างแผ่วเบา ค่อย ๆ เอาขนเก่าออกมาเพื่อที่จะได้รอขนใหม่ขึ้นมาแทนที่

“จะว่าไปแล้วหลังจากที่เราเจอกันที่นครคนบาป ผมก็ไม่เคยเห็นปีกของคุณอีกเลย คุณคงไม่ได้…” แซคเคอัสถึงกลับปิดปากเงียบลง ไม่อยากจะพูดในสิ่งที่คิดเอาไว้ เขาได้ยินมาว่ามีทูตสวรรค์บางตนที่พอตกสวรรค์แล้วเกิดคลุ้มคลั่งตัดปีกของตัวเองทิ้ง

“เปล่า ผมไม่ได้ทำอะไรบ้าบอแบบนั้นหรอก ปีกผมมันยังอยู่ดี มีแต่พวกงี่เง่าเท่านั้นที่ไม่กล้ายอมรับความจริง หลังจากที่ตกสวรรค์จนถึงขั้นตัดปีกตัวเองทิ้ง”

จอมปิศาจยังจำเหตุการณ์นั้นได้ดี มีทูตสวรรค์ตนหนึ่งที่เคยอยู่ใต้อาณัติเขา หากแต่ตกสวรรค์มาพร้อมพวกท่านพี่ รับความจริงที่ตัวเองกลายเป็นปิศาจไม่ได้ คลุ้มคลั่งจนถึงขั้นเสียสติใช้เล็บข่วนไปตามร่างกาย จนในที่สุดก็ตัดปีกสีดำนั้นทิ้งไป

อาซาเซลเอ่ยพลางนึกถึงอดีต หันตัวไปหยิบขวดแก้วเปิดฝาเทน้ำมันบำรุงขนใส่มือ ก่อนจะบรรจงทาบนปีกของแซคเคอัสจนทั่ว

“งั้นทำไมไม่เห็นคุณเอาออกมาเลย ให้ผมแปรงขนให้ก็ได้นะ”

“ก็มีออกมาบ้าง เพียงแค่…เวลาที่เอามันออกมาจำเป็นต้องใช้พลังเพื่อเปลี่ยนสีขน”

“ผมไม่เข้าใจ” มันหมายความว่ายังไงที่ว่าต้องเปลี่ยนสีขน ในเมื่อครั้งตอนเหตุการณ์น้ำท่วมโลก เขาเห็นปีกของอีกฝ่ายเป็นสีดำ ซึ่งเป็นปกติสำหรับปิศาจทั่วไปไม่ใช่เหรอ

จอมปิศาจวกะที่ปกติมักจะเยือกเย็นสุขุมอยู่ตลอด ถ้ามีผู้ถามเขาด้วยประโยคเดียวกัน เขาคงจะทำเป็นไม่สนใจแล้วเมินเฉยต่อคนผู้นั้น แต่ไม่ใช่กับทูตสวรรค์ จะทำอย่างไรดีตัวเขายังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟัง

แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองติดค้างความรู้สึกของผู้แสนดีตรงหน้ามากแค่ไหน ถ้าบอกปฏิเสธไป…ถึงอดีตทูตสวรรค์เช่นเขาไม่มีพลังทำนายล่วงหน้า เขาก็รู้ได้ว่าดวงตาสีไพลินนี้จะเศร้าหมองแค่ไหน ซึ่งมันจะกลายเป็นเขาที่สร้างความเจ็บปวดใจให้กับทูตสวรรค์ตัวน้อย

“ผมค่อนข้าง…พิเศษมากกว่าปิศาจตนอื่น ตอนที่ท่านพี่ลูซิเฟอร์มารับผมไปนรก อาจด้วยร่างกายที่อ่อนแอหรือจะเป็นเหตุผลอื่น ทำให้ผมต้องอยู่ในสภาวะจำศีลชั่วคราว และพอผมตื่นขึ้นมามีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะพลัง หรือร่างกาย ปีกผม…ก็ไม่ใช่สีดำสนิทอย่างที่ควรจะเป็น”

และการเปลี่ยนนี้แหละยิ่งเผยความเป็นทูตสวรรค์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัว ที่ทำให้ชีวิตของเขาในนรกต้องเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและไม่ปลอดภัย ถึงเขาจะแข็งแกร่งมากจนไม่ต้องใส่ใจพวกปัญญานิ่มพวกนั้น แต่จะให้ต้องมาคอยระวังตัวมันก็น่ารำคาญจนเกินไป

“ถ้างั้นผมจะขอดูปีกคุณได้ไหม” หากเป็นไปตามที่อีกฝ่ายพูด เขาก็อยากเห็นปีกนั้นกับตาตัวเอง

อาซาเซลที่ได้ฟังคำขอของทูตสวรรค์ ถ้าเป็นปกติเขาคงจะทำตามโดยไม่อิดออด แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน…ริมฝีปากบางสวยเม้มคลายสลับกันไปมาอยู่หลายครั้งด้วยความชั่งใจ จอมปิศาจวกะถอนหายใจหนัก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก

“ไว้ครั้งหน้านะ ผมพร้อมเมื่อไรจะเอาให้ดู”

“ครับ แล้ว…มีใครเคยเห็นไหมครับ” เขารู้นิสัยของอาซาเซลดี ถ้าเป็นเรื่องอีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนใจ ถึงเขาจะสามารถคาดคั้นให้ชายร่างสูงที่อยู่ ๆ ก็นั่งกับพื้นเอาตัวพิงขาเขาอยู่เผยปีกให้เห็นได้แน่ แต่…เขาไม่อยากจะให้หัวใจดวงน้อยของจอมปิศาจต้องปวดใจเลยถามในสิ่งที่อยากจะรู้อีกเรื่องแทน

“ก็มีแค่ท่านพี่ลูซิเฟอร์กับท่านพี่ซัมยาซา เพราะพวกเขาอยู่ด้วยตอนผมฟื้น ส่วนท่านพี่ซามูเอล (ซาตาน) ไม่รู้เรื่องนี้ถึงจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ถ้าเรื่องไหนที่ซาตานรู้ก็รู้ทั่วนรกกันพอดี” ส่วนพวกน้อง ๆ ก็ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่ยิ่งมีคนรู้น้อยมากเท่าไร มันส่งผลดีมากกว่า

“แบบนี้เอง ขอบคุณนะครับที่เล่าให้ฟัง และเรื่องแปรงขนให้ผมด้วย แล้วขนพวกนี้คุณจะเอาไปอีกรึเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยถามขณะที่ใช้นิ้วชี้ไปยังขนที่มาจากปีกของเขาวางกองอยู่บนโต๊ะ

ถึงจะไม่รู้เรื่องทั้งหมด ก็ไม่เป็นไร แค่เล่าให้ฟังถึงขนาดนี้ มันก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจเขาจริง

“ก็ถ้านายอนุญาตให้ผมเอาไปละนะ”

ทุกครั้งที่เสร็จจากการแปรงขนให้ทูตสวรรค์ร่างสูง จอมปิศาจวกะจะขอขนที่ร่วงไว้ ถึงจะถูกถามว่าเอาไปทำอะไร และเป็นที่แน่นอนว่าเขาไม่ตอบ แล้วจะให้ตอบได้ไงว่าเอาไปใส่หมอนหนุนที่ห้องพักเขากัน 

“ได้สิครับ ผมถอนขนให้คุณจนหมดปีกก็ยังได้ ถ้าคุณต้องการ”

เมื่อได้ยินคำพูดซุกซนของทูตสวรรค์ อาซาเซลเลยยกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากแซคเคอัสด้วยความแรงที่เรเชลต้องเท้าสะเอวแล้วบ่นว่าคุณทวดสองมาตรฐาน

“แบบนั้นนายก็บินไม่ได้กันพอดี งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนได้รึเปล่า หรือถ้านายอยากให้ผมอยู่ด้วย ผมก็โอเคนะ” ร่างสูงของปิศาจเอ่ยถามพร้อมลุกขึ้นยืนจากพื้น

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมล้างของเสร็จว่าจะขึ้นไปพักผ่อนเหมือนกัน”

เจ้าของดวงตาสีทับทิมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินขึ้นไปชั้นบนโดยมีสายตาของแซคเคอัสมองตามไปด้วย ทูตสวรรค์เข้าไปในครัวล้างถ้วยจานที่ใช้ทานเมื่อครู่ จริงอยู่ที่ว่าสิ่งมีชีวิตแบบพวกเขาไม่จำเป็นต้องนอน แต่ไม่ใช่ว่าจะหลับไม่ได้ ยิ่งอาซาเซลกลายร่างไปเมื่อก่อนหน้านี้ถึงจะไม่ได้ใช้พลังมากอะไร แต่ควรได้พักผ่อนเหมือนกัน

แซคเคอัสจ้องมองเข็มนาฬิกาคล้ายกำลังเฝ้าคอยอะไรอยู่ และเมื่อเสียงดังขึ้นบอกถึงเวลาตีหนึ่งได้มาเยือนแล้ว เวลานี้อาซาเซลน่าจะหลับแล้ว ทูตสวรรค์เดินขึ้นไปยังข้างบนเปิดประตูห้องนอนที่มีแสงไฟสลัวจากโคมไฟบนหัวเตียง จอมปิศาจหนุ่มปูฟูกนอนที่พื้นแทนที่จะนอนบนเตียง

มันก็เป็นภาพที่คุ้นตาเพราะทุกครั้งที่อีกฝ่ายมานอนค้างที่นี่ ก็มักจะนอนบนฟูกแบบนี้ แต่มันต้องไม่ใช่วันนี้…

ทูตสวรรค์ผู้มีดวงตาสีไพลินก้มตัวลงอุ้มร่างของปิศาจที่หลับอยู่ขึ้นมานอนบนเตียงพร้อมห่มผ้าให้ นั่งลงข้างตัวอาซาเซล ดวงตาสีไพลินจ้องมองใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย หากเทียบกับมนุษย์ทั่วไป ลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกถึงว่าอีกฝ่ายกำลังหลับสนิท

เจ้าของห้องใช้นิ้วเรียวค่อย ๆ ปัดปอยผมที่ติดอยู่บนใบหน้างดงามของปิศาจออก ให้ผมสีดำยาวกระจายไปทั่วหมอนใบขาว สีที่ตัดกันยิ่งทำให้อาซาเซลดูงดงามมากยิ่งขึ้น

ก่อนสายตาจับจ้องไปยังริมฝีปากบางแดงระเรื่อ ให้คิดถึงเหตุการณ์ในสวนสาธารณะที่พวกเขาเกือบจะได้จูบกัน

เขาลูบไล้ริมฝีปากนั้นอย่างเบามือ กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำอาจส่งผลให้คนที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมา

แซคเคอัสโน้มตัวลงให้ริมฝีปากของตัวเองแนบชิดในตำแหน่งเดียวกับอาซาเซล มันเป็นสัมผัสที่แผ่วเบา แต่หนักแน่นเต็มหัวใจ ความรู้สึกรักจนอยากครอบครองเพิ่มพูนขึ้นในทุกวัน แต่เมื่ออดีตทูตสวรรค์ยังไม่พร้อมที่จะก้าวผ่านเส้นนั้นก็ไม่เป็นไร เขาจะทำให้เห็นว่า เขาจะหยุดอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนจะรอจนกว่าอาซาเซลจะพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน

ทูตสวรรค์ที่ตกอยู่ในบาปแห่งละโมบและราคะผลักออกจากริมฝีปากบางสวยนั้นด้วยความเสียดาย ถึงจะอยากทำมากกว่านี้แค่ไหนแต่เขาต้องหยุด วันนี้เขาเอาแต่ใจตัวเองมากพอแล้ว และนี่ก็เป็นจูบครั้งที่สามแล้ว เพียงแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่อาซาเซลเป็นฝ่ายจูบเขาก่อนเลย

ทูตสวรรค์จับปอยผมสีดำสลวยขึ้นมาจรดที่จมูกสูดดมกลิ่นแชมพูที่อีกฝ่ายใช้ไป ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อยเลยที่พวกเขามีกลิ่นเดียวกัน

“อาซาเซล ท่านรู้ไหมว่าข้าชอบผมหยักศกของท่าน ยังแอบเสียดายอยู่บ้างที่มันเปลี่ยน แต่ไม่เป็นไร ต่อให้ท่านจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ท่านยังเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับข้า ปิศาจที่รัก”

แซคเคอัสพูดจบเขาลุกจากเตียงอย่างเงียบ ๆ และเดินออกจากห้องนอนด้วยจิตใจที่ไม่สงบปั่นป่วน โดยที่ไม่รู้ว่าในความมืดอันสลัวนั้น มีดวงตาสีทับทิมของคนที่นอนอยู่บนเตียงได้ลืมขึ้น ลูบริมฝีปากตัวเองด้วยความโหยหาอยากได้สัมผัสเมื่อครู่อีกครั้ง แต่กลับดึงผ้าห่มคลุมตัวเองจนมิดด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น

เพื่อหาสิ่งปลอบใจเขาในเวลานี้ ทูตสวรรค์เห็นแก้วไวน์ของอาซาเซลตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน เขาเลยเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบไวน์แดง pinot noir พร้อมเอื้อมมือขึ้นไปบนหลังตู้เย็นที่ซ่อนซองบุหรี่เอาไว้ ก่อนจะกลับมาห้องรับแขกหยิบแก้วไวน์เดินถือไปนอกร้านนั่งลงที่บันไดหิน

หยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งม้วนจุดไฟแล้วนำมันมาจรดที่ริมฝีปาก ก่อนจะพ่นควันสีขาวขุ่นออกจากปาก ที่เขาลงทุนมานั่งตากลมข้างนอก เพราะกลัวว่ากลิ่นบุหรี่จะติดที่โซฟาแล้วจะทำให้อาซาเซลรู้ว่าเขาแอบสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่จอมปิศาจตนนี้ไม่ชอบ

เขาเทของเหลวสีแดงที่สะท้อนแสงจันทร์ บรรยากาศมันเงียบสงัดจนเขาถอนหายใจหนักยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มด่ำกับรสชาติหวานอมขมที่คล้ายกับความสัมพันธ์ของพวกเขา

เขาปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปสู่ส่วนลึกของความรู้สึก ทูตสวรรค์อย่างเขารู้สึกทึ่งในตัวอาซาเซลทั้งที่เป็นปิศาจ แต่สามารถอดทนต่อตัณหา ความโลภ ราคะ ถึงขนาดนี้ ซึ่งดูไปแล้วจอมปิศาจที่ใครต่างหวาดกลัวกันเหมาะที่จะเป็นทูตสวรรค์มากกว่าตัวเขาเสียอีก

ใบหน้าหล่อคมที่มักจะมีรอยยิ้มสดใสเสมอกลับเรียบเฉยอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็น เขารู้ตัวดีว่าไม่ใช่ทูตสวรรค์ที่ดีอะไร เพราะไม่มีทูตสวรรค์ที่ไหนพยายามล่อลวงให้ปิศาจหลงรัก ตั้งแต่ที่อาซาเซลตกสวรรค์ เขาไม่เคยได้อ้อนวอนต่อพระเจ้าอีกเลย ยามที่เขาประสบพบเจอปัญหา ทุกครั้งคนที่มักจะมาช่วยเขาอยู่เสมอกลับไม่ใช่พระเจ้า

และที่เขายอมให้ตัวเองเจอเรื่องยุ่งยากมากมาย เพียงเพราะต้องการจะเจออาซาเซล ด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้าว่าอดีตทูตสวรรค์ต้องมาหาเขา ช่วยเขาออกจากปัญหาทั้งหมด ซึ่งเขาไม่เคยผิดหวังเลย

ภาพลักษณ์ของทูตสวรรค์แสนขี้อายและไม่เชื่อมั่นในตัวเองตนนั้นได้หายไป พร้อมกับตอนที่เขาตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อในความรักของเขาโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไร ต่อให้ผิดต่อกฎสวรรค์แล้วมันยังไง

เขายอมแสร้งเป็นคนอ่อนแออย่างเหตุการณ์วันนี้ ถึงในเรื่องทางด้านพละกำลังเขาอาจเทียบวาเลฟอร์ไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสู้ไม่ได้ หากต้องสู้ขึ้นมาจริง ๆ

ยอมให้ผู้คนมากมายเข้ามาใกล้เขาทั้งที่เขาเองไม่ได้ชอบเท่าไร เพียงเพื่อต้องการให้อาซาเซลหึง ให้ความรู้สึกนั้นครอบนำจนปิศาจขาดทูตสวรรค์เช่นเขาไม่ได้

และเขาถึงขั้นยอมกระทำบาปต่อมนุษย์ที่กล้าดีมาแตะต้องตัวจอมปิศาจที่เขารัก จนได้รับบาดเจ็บจากแรงหึงหวงที่ไม่ควรมีในตัวทูตสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นไฟราคะลุกโชนอยู่เงียบ ๆ ในหัวใจเขา นับวันยิ่งถาโถมจนเขาแทบอยากจะดึงอาซาเซลเข้ามากอด อยากใช้ลิ้นสัมผัสกับร่างกายนั้นด้วยความต้องการปรารถนาที่อยากจะครอบครอง

แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ แซคเคอัสไม่อาจทำลายความสัมพันธ์ที่อาซาเซลพยายามเฝ้ารักษามันพังลงไป ถึงจะสงสัยมากเพียงใดถึงสาเหตุที่จอมปิศาจผู้งดงามไม่ข้ามเส้นแบ่งนั้น แต่เอาเถอะเขารออีกฝ่ายมาตั้งหกพันกว่าปีแล้ว ให้รอต่ออีกหน่อยมันจะเป็นอะไรไป

แซคเคอัสถึงกับสูบบุหรี่อีกครั้ง ให้สารนิโคตินช่วยปลอบประโลมจิตใจที่กระสับกระส่ายของเขาสงบลงชั่วคราว เขาเงยหน้ามองหน้าต่างห้องนอนที่มีร่างของผู้เป็นที่รักหลับอยู่ แซคเคอัสรู้ดีแก่ใจว่าเส้นทางความรักนี้ไม่มีทางง่ายดาย กระนั้นก็ยอมเดินไปทางที่ไม่มีวันโรยด้วยกลีบกุหลาบ

ในเช้าวันต่อมาช่วงเวลาเร่งด่วนของมนุษย์ในวัยทำงาน ชายร่างสูงที่ยังอยู่ในชุดลำลองเมื่อคืนยืนมองผู้ชายผมบลอนด์เงินอีกคนที่กำลังนอนหลับบนโซฟาตัวยาว ที่ดูยังไงก็ไม่น่าสบายตัวเลย อาซาเซลเอื้อมมือไปวางไว้ที่อกของแซคเคอัสเขย่าเบา ๆ เพื่อปลุกอีกฝ่าย

“แซค เช้าแล้วตื่นเถอะ”

ทูตสวรรค์ลืมตาตื่นในสภาพที่งัวเงียนิดหน่อย เอามือลูบใบหน้าตัวเองเพื่อขจัดอาการมึนศีรษะเมื่อคืน สงสัยเขาคงจะดื่มมากเกินไป

“นายอยากทานอะไรไหม เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อของมาทำให้ เพราะในตู้เย็นนายแทบไม่มีอะไรนอกจากผลไม้กับไวน์” มันว่างเปล่ามากจนเขาคิดว่านี่เป็นตู้แช่ไวน์ ไม่ใช่ตู้เย็นที่ไว้เก็บของสำหรับทำอาหาร

“ช่วยไม่ได้นิครับ ก็ผมไม่ทำอาหารนี่ครับ” ก็ทุกครั้งที่อาซาเซลมาหาเขามักจะมีของกินติดมือมาด้วยตลอด แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องทำอาหารเองด้วย

“คุณไม่ต้องทำมื้อเช้าหรอกครับ เดี๋ยวผมออกไปซื้ออะไรมาทานด้วยกันดีกว่า” แซคเคอัสลุกขึ้นจากโซฟาหยิบเสื้อโค้ทที่เขาใช้แทนผ้าห่มมาสวม

“ให้ผมเป็นคนออกไปแทนจะดีกว่าไหม” จากที่เห็นอีกฝ่ายดื่มไวน์ไปไม่ใช่น้อย น่าจะยังมีอาการเมาค้างอยู่เลยอดไม่ได้ที่จะถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรครับ คุณเป็นแขกต้องให้เจ้าบ้านอย่างผมดูแลสิครับ รอผมเดี๋ยวผมมานะ”

พูดแล้วเขาเดินไปยังที่ประตูท่าทางจะเปิดออกไป แต่ต้องชะงักเมื่อนึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป เขาหันกลับไปมองอาซาเซลที่นั่งอยู่บนที่พักแขนโซฟาด้วยแววตาเหม่อลอย แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างมายังห้องรับแขกเป็นม่านสีทองโปร่งใส กระทบลงบนใบหน้างดงามของอาซาเซล ทำให้บุคลิกมาดขรึมจริงจังนั้นดูอ่อนลงจนเกือบเหมือนเมื่อครั้งที่อีกฝ่ายยังเป็นทูตสวรรค์ ดวงตาสีแดงสะท้อนแสงแดดทอประกายสีทองวิบวับ และผมสีดำยาวหยักศกเป็นลอนสวยนั้น

เดี๋ยวนะ! ผมหยักศก…หรือว่าเมื่อคืนนี้…

“อาเซล นี่คุณคงไม่…” 

“ถ้าคุณจะไปซื้ออะไรที่ร้านเบเกอรี่ใกล้ ๆ นี้ ควรจะรีบหน่อย เพราะในเวลาเร่งรีบแบบนี้คนจะเยอะมาก มันอาจทำให้นายเสียเวลาโดยใช่เหตุ แล้วอีกอย่างผมอยากทานแซนวิชไข่ข้นฝากซื้อให้ผมด้วย ขอบคุณ”

เขาเอ่ยขัดขึ้นแล้วเดินหนีเข้าครัวไปเพื่อจะชงกาแฟ เขาค่อนข้างอายที่จะต้องพูดถึงเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น และไม่อยากให้รู้ว่าเขาจำทุกคำพูดของอีกฝ่ายได้ทุกถ้อยคำ

“อ่า…ได้ครับ” แซคเคอัสยังตกตะลึงสิ่งที่เปลี่ยนกะทันหัน ถึงอย่างนั้นยังตอบรับคำพูดของอาซาเซลออกจากร้านไปยังร้านเบเกอรี่ที่อยู่หัวมุมแต่โดยดี

ถัดไปอีกสองถนนในเวลาเดียวกันนั้นเอง เรเชลกำลังไขล็อกประตูร้านเพื่อที่จะได้เรียนในคาบเช้า เธอย้ายมาอยู่ในลอนดอนตอนเข้ามหาวิทยาลัย ทีแรกคุณพ่อของเธออยากจะให้อาศัยอยู่กับคุณทวดที่แฟลตมากกว่า แต่คุณทวดว่าไม่เหมาะเท่าไร เพราะมันมักจะมีครอบครัวคุณทวดจากโลกเบื้องล่างมาที่นั่นอยู่บ่อย ๆ 

ถ้าคุณทวดอยู่ด้วยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพวกนั้นมาตอนเธออยู่คนเดียวคุณทวดจะเป็นห่วง กลัวว่าพวกที่ขึ้นมาจะทำอันตรายเธอได้เลยให้มาพักอยู่ชั้นสองของร้านแทน ซึ่งอาศัยอยู่กับโจชัวน้องชายบุญธรรมที่คุณทวดรับมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เธอเองก็สนิทกับเขามากเพราะโตมาด้วยกัน

“ขออภัย”

เสียงทุ้มเย็นที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนดังขึ้นข้างหลังเธอ ทำเอาเรเชลตกใจจนทำลูกกุญแจในมือหล่นลงพื้น

“ว๊าย!!”

“ข้าขออภัยด้วย ข้ามิได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าต้องตกใจถึงเพียงนี้”

เสียงทุ้มที่เยือกเย็นกว่าคุณทวดของเธอเอ่ยขอโทษอย่างสุภาพก็จริง แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกกลัว คงจะเป็นเพราะเสื้อผ้าของอีกฝ่ายที่สวมใส่อยู่ หรือจะเป็นบรรยากาศที่หนาวเย็นเหมือนน้ำแข็งแผ่ออกจากตัวนั่นกัน

ผู้ชายคนนี้มีรูปร่างที่สูงโปร่งเท่ากับอาซาเซล สวมชุดสูทสีดำสนิททั้งตัว มีลายปักหัวกะโหลกที่แขนเสื้อ ที่พอจะโผล่ให้ได้เห็นจากภายใต้ชุดคลุมตัวยาวที่ปิดตั้งแต่หัว ขนาดหน้าเขาเธอยังไม่เห็นเลย แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เขาแทนตัวเองว่ายังไงนะ

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอรีบก้มลงหยิบกุญแจที่ตกมาไว้ในมือใส่มันไว้ที่ร่องนิ้ว ซึ่งคุณพ่อเธอเคยสอนไว้เวลาเจอคนที่มีท่าทางไม่น่าไว้ใจ จะได้สามารถป้องกันตัว

“แล้วคุณมาที่นี่มีอะไรคะ ถ้าจะมาทานอะไรคงต้องรอร้านเปิดตอนสี่โมงเย็น”

“เปล่า ข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น ข้ามีนามว่า อาซราเซล แต่ผู้คนส่วนใหญ่จะเรียกข้าว่าเดธ ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาอาซาเซล ข้ามีเรื่องจำเป็นที่ต้องบอกเขา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ไหน”