รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา - บทที่ 7 A farewell that is difficult to escape โดย supernatural @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,พารานอมอล,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,ทูตสวรรค์,ปีศาจ,นรก,สวรรค์,รักต้องห้าม,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี

รายละเอียด

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา โดย supernatural @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รักต้องห้ามของทูตสวรรค์กับจอมปีศาจ ที่พระเจ้าไม่มีทางยอมรับ ท้ายที่สุดความรักนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาลหรือจากกันชั่วนิรันดร์ ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้แม้จะเป็นโชคตะตาก็ตาม

ผู้แต่ง

supernatural

เรื่องย่อ

เมื่อบุตรแห่งพระเจ้าได้เลือกเส้นทางที่คิดว่าตัวเองทำถูกต้อง กลับถูกสวรรค์ถอดทิ้งเนรเทศสาปส่งสู่นรกเบื้องล่าง หัวใจที่บอกช้ำกอดเก็บความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ ปกปิดความรู้สึกภายใต้ใบหน้าเย็นชา หวังว่าจะมีใครสักคนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ที่ไม่ใช่เพียงจอมปีศาจที่ผู้คนหวาดกลัว


หนึ่งทูตสวรรค์ที่ได้เรียนรู้ถึงสิ่งอันมีค่า จากการได้สูญเสียมันไป ทำให้ตระหนักถึงความจริงที่ว่าเขารักในตัวของอีกฝ่ายเพียงใด จากนี้ไปเขาจะทำทุกทางเพื่อความรักนี้ ต่อให้ต้องหันหลังให้กับพระเจ้า ต่อให้ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศก็ตาม เขาจะไม่มีวันปล่อยมือคู่นั้นอีก

สารบัญ

blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทนำ 1 Meet at the Garden of Eden,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทนำ 2 The Last Watcher of the Fallen,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 1 The Present is the Beginning of Everything,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 2 Prisoner escapes from hell,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 3 The Devil’s First Clues,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 4 Holy Church and the Secrets of the Former Angel,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 5 Demon Wolf Lord of Hell,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 6 Angel’s Sin of Love,blue rose of angel and demon รักที่เป็นไปได้ของสองเรา-บทที่ 7 A farewell that is difficult to escape

เนื้อหา

บทที่ 7 A farewell that is difficult to escape

“นายซื้ออะไรมากินบ้าง”

อาซาเซลเดินออกจากห้องครัวทันที เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นเพราะรู้ว่าคนที่เดินมานั้นคือใคร เขาเอ่ยถามพลางมองถุงกระดาษที่แซคเคอัสถือมาด้วย

“แซนวิชไข่ข้นที่คุณขอ แป้งขนมปังเป็นซาวโดวจ์นะครับ ผมจำได้ว่าเมื่อสี่พันปีก่อนคุณชอบมันมาก ผมเลยซื้อมาให้เผื่อคุณอยากกิน แล้วก็มีบริยอชกับทาร์ตไข่” 

ชายหนุ่มเจ้าของร้านภาพวาดส่งถุงกระดาษที่มีขนมปังให้อาซาเซลเปิดดู ในขณะที่ดวงตาสีไพลินกำลังสนใจเส้นผมสีดำหยักศกของอีกฝ่ายอยู่ มันช่างเป็นความรู้สึกที่ชวนให้คิดถึงเหลือเกิน

“นายนี่ชอบทานขนมปังหวานจริง ๆ เลยนะ งั้นก่อนที่เราจะทานกัน ผมรบกวนนายช่วยมัดผมให้หน่อยจะได้ไหม”

จอมปิศาจรูปงามรู้ดีเลยว่าทูตสวรรค์ที่แสนจะซุกซนไม่มีทางปฏิเสธคำชวนแน่นอน ยิ่งได้เห็นดวงตาคู่สวยนั้นทอประกายระยิบระยับแบบนี้ด้วย อาซาเซลเสกริบบิ้นสีดำขึ้นมาแล้วส่งให้แซคเคอัส ก่อนมันถูกปาฏิหาริย์เล็ก ๆ ของชายหนุ่มผมบลอนด์เงินเปลี่ยนให้เป็นสีแดงแทน

“ถ้าใช้ริบบิ้นสีดำมันก็กลืนกับผมของคุณสิครับ”

“แล้วแต่นายเลย” อาซาเซลเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง และนั่งลงที่เก้าอี้พลางใช้มือหยิบขนมปังออกจากถุง

“ผมนึกว่านายจะเสกให้มันเป็นสีน้ำเงินซะอีก” เพราะมันเป็นสีที่แซคเคอัสมักจะใส่อยู่เป็นประจำ

ใบหน้าของทูตสวรรค์ขึ้นสีเล็กน้อย ขณะที่กำลังหวีสางผมให้อาซาเซล ทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตตอนที่พวกเขาได้ลงมายังโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก ซึ่งมันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ตัวเขาได้ทำผมให้กับจอมปิศาจวกะเรื่อยมาก่อนจะตอบคำถามอีกฝ่าย

“ที่จริงแล้ว ผมชอบสีแดงมากกว่า ถึงใครหลายคนจะบอกว่ามันเป็นสีที่ค่อนข้างรุนแรง แต่สำหรับผม…มันอบอุ่นมาก แล้วคุณล่ะ คงชอบสีแดงเหมือนกันใช่ไหม”

ที่บอกว่าชอบสีแดงนั้นมันมาจากสีของดวงตาอาซาเซล ที่บางครั้งดูแข็งกร้าวมีอำนาจน่าหลงใหล และมันช่างอบอุ่นอ่อนโยนทุกครั้งยามที่มองมาทางเขา ถึงแม้อีกฝ่ายจะพยายามซ่อนมันไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยก็ตาม

“ที่ผมชอบใส่สีแดงเพราะคิดว่ามันเข้ากับตัวผม อีกอย่างถ้าผมเอาแต่ใส่สีดำอย่างเดียวแบบ…พวกเบื้องล่างชอบกัน มนุษย์คงจะหาว่าผมใส่แต่ชุดไว้ทุกข์กันพอดี แล้วที่จริงผมกลับชอบสีน้ำเงินมากกว่า ยิ่งเป็นสีเข้มแบบพลอยไพลิน ผมยิ่งชอบมาก เพราะมันทำให้ผมสบายใจได้ทุกครั้งที่เห็น”

ใจจริงอยากจะบอกอีกฝ่ายไปตามตรง ว่าสีที่ชอบมาจากสีของดวงตาทูตสวรรค์ที่เขาหลงรักมาแสนนาน สีน้ำเงินที่ให้ความสงบทางด้านจิตใจกับเขาเรื่อยมา สีแห่งความซื่อสัตย์ภักดี ช่างเป็นตัวแทนที่เหมาะสมกับแซคเคอัส เหมือนอย่างยามที่ดวงตาสีไพลินมองมาที่จอมปิศาจวกะมักจะเต็มเปี่ยมด้วยความรักและภักดี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

จากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยหรือถามอะไรอีก หากแต่บรรยากาศอันเงียบสนิทนั้นกลับไม่ได้ชวนให้รู้สึกอึดอัดเลย พวกเขาใช้หัวใจตัวเองซึมซับความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างมีให้แก่กัน ผ่านการบอกรักที่ไร้คำว่ารัก หากยิ่งทำให้หลงใหลในตัวอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น

ชายหนุ่มผมบลอนด์เงินร่างเพรียว แต่ไม่ผอมบางเลือกที่จะถักเปียครึ่งศีรษะแบบเดียวกันกับที่เคยทำให้อีกฝ่าย ขณะที่กำลังรวบผมที่เหลือไว้นิ้วเรียวยาวของเขาได้ไปสัมผัสกับลำคอขาวซีดโดยบังเอิญ ทำให้ความปรารถนาที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจถาโถมเข้ามา

เขาเคลื่อนมือไปบริเวณลำคออาซาเซลลูบไล้ออกแรงบีบเล็กน้อย ก่อนจะดึงคอเสื้อยืดสีดำนั้นไปด้านข้าง ก้มหน้าลงจนจมูกได้สัมผัสกับคอเรียวสวยสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ เขาใช้ไรฟันขบกัดตั้งแต่ต้นคอจนไปถึงไหล่กว้าง ดูดเม้มจนเกิดรอยสีกุหลาบจำนวนหนึ่ง โดยที่จอมปิศาจวกะเอียงคอหลับตาให้อีกฝ่ายสัมผัสแต่โดยดี

แซคเคอัสค่อย ๆ ผลักออกอย่างเชื่องช้า เมื่อได้ยินเสียงครางต่ำจากชายหนุ่มผมดำยาว นั่นทำให้เขาพอได้สติขึ้นมาบ้างว่าตัวเองกำลังทำอะไร แย่แล้วสิ เผลอตัวอีกซะได้

“คือ…ผม…ขอโทษครับ” ถึงอาซาเซลจะไม่ได้ผลักเขาออกหรือด่าทอใส่ หากแต่เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาปล่อยให้ตัวเองถูกแรงราคะครอบนำจิตใจ แซคเคอัสรู้ว่าสิ่งที่ทำไปมันไม่ควรเลย ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขายังคงคลุมเครือไม่ชัดเจน

“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรนายเลย นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายแตะต้องผมโดยไม่ได้บอกก่อน จริงไหม?” อาซาเซลดีดนิ้วเสกเรียกกระจกขนาดพกพาขึ้นมาส่องบริเวณลำคอตัวเองใช้นิ้วลูบรอยจูบเบา ๆ

“ไปเรียนรู้วิธีทำแบบนี้มาจากไหน” เขาอยู่ข้างกายอีกฝ่ายมาหลายพันปีแล้ว รู้ว่าแซคเคอัสไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางโลกีย์ เลยนึกสงสัยว่าทูตสวรรค์ที่แสนบริสุทธิ์แอบไปเรียนรู้เรื่องแบบนี้มาจากไหน

“ผม…เคยอ่านเจอในหนังสือกับละครทีวีที่เรเชลเคยให้ดูละครับ” จริงอยู่ที่เขาไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน แต่จะให้บอกอีกฝ่ายยังไงว่าเขาเฝ้าฝันที่จะได้สัมผัสอาซาเซลเช่นนี้มาตลอด

“แบบนี้เอง ดีใจนะที่นายสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย และขอบคุณมากที่ไม่ได้ไปลองทำแบบนี้กับ…คนอื่น ที่ไม่ใช่ผม”

“และผมจะบอกอะไรไว้อย่าง” อาซาเซลลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตัวเอง ก้มหน้ามองแซคเคอัสที่สูงน้อยกว่าเขาไม่เท่าไร เขาเอื้อมมือไปจับที่โครงหน้าทูตสวรรค์ให้เชิดขึ้น เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนแซคเคอัสได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างกกหู

“จำไว้นะ อย่าได้คิดที่จะทดสอบความอดทนของปิศาจ”

ทูตสวรรค์รู้สึกเสียววาบที่ติ่งหู ทำเอาเขาถึงกับหดคอหนีด้วยสัญชาตญาณ เมื่อถูกไรฟันขบกัดที่ติ่งหูพร้อมดูดเม้ม ใช้ลิ้นเปียกชื้นเลียที่ใบหูขบกัดเบา ๆ สลับไปมา สิ่งที่จอมปิศาจวกะกำลังทำอยู่นั้น สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาในใจ

ใบหน้าหล่อเหลาเห่อร้อนแดงก่ำ อ้าปากหอบหายใจแรง จนเขาเผลอส่งเสียงครางออกมา เมื่อถูกอาซาเซลกัดลงที่ลำคอของเขา ทูตสวรรค์รู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ สัมผัสได้ถึงฟันของจอมปิศาจหนุ่มที่ฝังลงไปที่ผิวหนัง

อาซาเซลใช้เรียวลิ้นโลมเลียรอยฟันบนผิวของทูตสวรรค์ที่เขาเป็นคนทำ เมื่อครู่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้เผลอกัดอีกฝ่ายแรงเกินไปจนมีเลือดซึมออกมา เขาเลยใช้พลังทำให้เลือดหยุดไหล แต่กลับไม่ทำให้แผลนั้นหายไป เพราะเขาต้องการให้บนร่างของแซคเคอัสมีร่องรอยของจอมปิศาจอย่างเขาไว้ คล้ายเป็นเครื่องตีตราว่าทูตสวรรค์ตนนี้เป็นของเขา

“ยังเจ็บอยู่ไหม” เขาถามขึ้นทันทีที่ผลักออกจากลำคอขาวผ่องนั้น

“ไม่ครับ ไม่เจ็บเลย” แซคเคอัสที่ยังหน้าแดงอยู่ถอยออกมาจากอาซาเซลเล็กน้อย เพราะเขาอยากจะเห็นหน้าของอีกฝ่าย จอมปิศาจวกะที่ไม่เคยแตะต้องเขาในแง่นี้มาก่อน อะไรกันที่ทำให้คนตรงหน้าเปลี่ยนไป

“ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะ…”

“ผมก็มีความรู้สึก ถูกคนที่ตัวเองหลงรักมาตั้งนานทำถึงขนาดนี้ จะให้ฝืนอดทนก็ไม่ไหวนะ” อย่างที่ใครหลายคนรู้ว่าเขาเป็นปิศาจที่ผิดแบบจากตนอื่น นอกจากเรื่องนี้ที่ไม่โกหกแล้ว เขายังมีความอดทนต่อแรงบาปทั้งเจ็ดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะบาปราคะ มันไม่เคยล่อลวงเขาได้เลย

แต่อาจเป็นเพราะพักหลังมานี้ทูตสวรรค์แสนรักแสดงออกมากขึ้นว่าต้องการเขา ไม่ว่าจะเป็นการชอบถูกเนื้อต้องตัวเขายามอยู่ด้วยกันตามลำพังหรือมีคนอื่นอยู่ด้วยก็ตาม แม้กระทั่งแอบจูบเขายามหลับ แล้วแบบนี้จะให้อดทนอย่างไรไหว

กริ๊ง ๆ ๆ

ขณะนั้นเองเสียงโทรศัพท์โบราณของร้านแซคเคเอัสดังขึ้น ทำเอาพวกเขาทั้งคู่สงสัยว่าใครกันที่โทรมาแต่เช้าขนาดนี้ ทูตสวรรค์รีบเดินไปทางโทรศัพท์ กระแอมเบา ๆ เพื่อเรียกสติตัวเองก่อนรับสาย

“สวัสดีครับ ร้าน Art Angle ครับ”

“อ้าว เรเชลเองเหรอ อยู่ครับอยู่ ใจเย็นนะมันเกิดอะไรขึ้น เรเชลค่อย ๆ พูด” ทูตสวรรค์ตกใจมากเมื่อเสียงที่ตอบรับกลับมาเป็นเสียงร้องไห้จากเหลนสาวของอาซาเซล

อาซาเซลที่เฝ้าดูอยู่รู้สึกไม่ดีขึ้นมาจากคำพูดของแซคเคอัส เขารีบเข้าไปแย่งโทรศัพท์จากทูตสวรรค์มาคุยเอง

“เรเชล เธอเป็นอะไร มันเกิดอะไรขึ้น” จอมปิศาจวกะพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน ความกังวลเข้ามาปกคลุมในใจเขาพร้อมจะกัดกินได้ทุกเมื่อ ไม่นะ พวกปิศาจที่หนีมาคงไม่ได้ไปยุ่งกับเหลนสาวเขาใช่ไหม ไม่งั้นเขาจะจับพวกมันฉีกเป็นชิ้น ๆ

‘คุณทวดคะ คุณปู่เขา…’ อาซาเซลที่ได้ยินประโยคต่อมาจากเรเชลถึงกับดวงตาเบิกกว้าง นัยน์ตาสั่นไหวโทรศัพท์ที่ถืออยู่หล่นจากมือตกลงพื้น มือที่ค้างอยู่กลางอากาศนั้นสั่นเทา บุคลิกที่มักจะสง่างามแบบผู้ดีอยู่ตลอด ตอนนี้กลับห่อเหี่ยวหม่นหมองขึ้นทันตา

หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาได้หนึ่งชั่วโมง พวกเขาทั้งห้าคนก็ได้มาอยู่ในรถ Rolls - Royce Phantom ของอาซาเซล โดยมีเจ้าของรถ แซคเคอัส เรเชล โจชัว และอาซราเซลหรือเดธ

บรรยากาศในรถเงียบสงัดชวนให้น่าอึดอัด พวกเขาทั้งหมดกำลังไปยังโบลิเยอในแฮมเชอร์ ที่ต้องใช้เวลาในการขับรถจากลอนดอนถึงสองชั่วโมง

แซคเคอัสที่อาสาเป็นคนขับรถให้แทนอาซาเซลที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกเลย ตั้งแต่เดธบอกพวกเขาว่านาธาน ลูกชายบุญธรรมของเจ้าของดวงตาสีทับทิมที่กำลังเหม่อลอยอย่างว่างเปล่า จะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หนึ่งอาทิตย์

ทูตสวรรค์เลยต้องรับหน้าที่คอยดูแลปลอบเด็ก ๆ ทั้งสองที่เมื่อได้รับข่าว พวกเขาร้องไห้กันอยู่นานกว่าจะสงบลงได้ โดยเฉพาะเรเชลน่าจะทำใจได้ยาก เขาเลยใช้ปาฏิหาริย์เสกให้เธอหลับเผื่อว่าจะได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เดธเองก็ดูลำบากใจไม่น้อย ที่การพบเจอกันของมิตรสหายในรอบหลายปีนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย

แต่คงต้องขอบคุณเดธที่มักจะยอมแหกกฎเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเห็นแก่มิตรภาพที่มีให้อาซาเซลตั้งแต่สมัยก่อน

“เจ้าดูโตขึ้นนะ โจชัว” เสียงทุ้มเย็นของเดธเอ่ยถามทำลายความเงียบน่าพิศวงกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเขา

“ครับ ก็ครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันมันก็ตั้งสี่ปีก่อนแล้วนี่ครับ ถ้าผมไม่โตขึ้นคงจะแย่แล้ว ตอนนี้ผมเรียนมหาวิทยาลัยปีสองแล้ว แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่วันนั้นช่วยชีวิตผม”

เทวทูตแห่งความตายนิ่งเงียบคิดถึงช่วงเวลาที่ได้พบเด็กคนนี้เป็นครั้งแรก ในวันที่หิมะตกหนัก เด็กน้อยที่ผอมแห้งหิวโซนอนอยู่ข้างถนนในสภาพลมหายใจรวยรินใกล้ตาย เขาใช้พลังลองตรวจสอบอายุขัยดูเลยรู้ว่าเด็กคนนี้ยังไม่ถึงเวลาตาย แต่หากปล่อยไว้เช่นนี้ก็คงจะไม่รอด

ด้วยตัวเขาที่เป็นเทพแห่งความตาย ไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตมากจนเกินไปได้ เลยต้องไปขอร้องให้อาซาเซลช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้แทน เพียงแค่ไม่คิดว่าอดีตทูตสวรรค์ผู้เป็นสหายสนิทจะถึงขั้นรับเลี้ยงเด็กผู้ชายคนนี้ไว้ในฐานะหลานชาย จนบางครั้งเดธก็อดที่จะอิจฉาพวกปิศาจไม่ได้ที่สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบ

“ข้าไม่ได้ทำอะไร คนที่ช่วยเหลือเจ้าคืออาซาเซล อีกอย่างเจ้าก็เคยขอบคุณข้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าอีก”

“แต่คุณเป็นคนที่พาคุณอาซาเซลมาหาผมนี่ครับ ถ้าไม่ได้คุณ ผมคงไม่ได้รับโอกาสที่จะได้มีครอบครัวที่แสนวิเศษถึงขนาดนี้” เด็กผู้ชายวัยรุ่นยกยิ้มกว้างอย่างไร้เดียงสา ทำให้จอมปิศาจวกะที่นั่งนิ่งเงียบมาตลอดการเดินทางเกิดหัวใจสั่นไหว

‘ครอบครัวที่แสนวิเศษงั้นหรือ’
 
ดวงตาสีทับทิมที่เหม่อลอยไหววูบเมื่อทวนคำนี้ในใจอีกครั้ง เขาเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อมองโจชัวกับเดธที่นั่งอยู่เบาะหลัง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ครอบครัวมนุษย์ที่ถูกปิศาจอย่างฉันเลี้ยงดูมา มันจะวิเศษขนาดนั้นจริงเหรอโจชัว”

ทุกสายตาของมนุษย์และทูตสวรรค์ ที่อยู่ในรถหันไปมองอาซาเซล ยกเว้นเรเชลหญิงสาวที่กำลังหลับอยู่จากมนต์สะกดของแซคเคอัส

“ครับมันวิเศษมาก ผมมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ และได้มีคุณที่เป็นเหมือนพ่อจริง ๆ”

โจชัวถึงอายุยังน้อยแต่กลับมีสัมผัสที่เฉียบคมกว่าคนรุ่นเดียวกัน เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอาซาเซล ว่าจอมปิศาจที่เขาเคารพรักยิ่งกว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเขา กำลังคิดไม่ดีกับตัวเองและเสียใจเรื่องคุณปู่นาธาน เลยได้แต่หวังว่าคำพูดเขามันพอจะปลอบประโลมจิตใจของอดีตทูตสวรรค์ได้บ้าง

เมื่อได้ยินคำยืนยันจากเด็กหนุ่ม อาซาเซลก็ไม่พูดอะไรต่ออีกกลับไปนั่งเงียบดั่งเคย ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักคอนโซลรถหยิบเอาแว่นกันแดดสีเข้มมาใส่ เพื่อปกปิดความอ่อนไหวในดวงตาไม่ให้ใครได้รับรู้

ตัวของจอมปิศาจนั้นรู้ดีว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ล้วนมีความตายเป็นจุดจบ เขาที่อยู่มานานขนาดนี้ ผ่านการสูญเสียมามาก ย่อมต้องเข้าใจดี ยามที่เขาตัดสินใจรับเลี้ยงนาธาน เขาก็รู้อยู่แล้วมันต้องเป็นแบบนี้ในสักวัน และยิ่งนาธานปฏิเสธที่จะเป็นอมตะจากการทำพันธสัญญาปิศาจ ซึ่งพ่ออย่างเขาก็ยอมรับการตัดสินใจของลูกชายเสมอ แม้มันจะทำให้อาซาเซลไม่สบายใจก็ตาม

แต่สิ่งที่เขากำลังกังวลอยู่ คือหลังจากนาธานตายแล้ววิญญาณของเขาจะไปอยู่ไหน เขารู้ว่าลูกชายเป็นคนดี แต่นั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าเห็นด้วยกับเขาหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ พระองค์จะปฏิเสธนาธานของเขาไม่ให้ขึ้นสวรรค์เพียงเพราะถูกจอมปิศาจเลี้ยงมารึเปล่า

หรือจะถูกส่งให้มาอยู่ในนรกแทน ซึ่งนั่นมันไม่เข้าท่าเสียเลย นาธานดีเกินกว่าที่จะมาอยู่ในนรกบ้า ๆ นั่น ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่คิดให้มันดีกว่านี้ ไม่รู้อะไรดลใจเขาในตอนนั้นถึงได้รับเลี้ยงลูกมนุษย์ไว้เอง แทนที่จะหาบ้านครอบครัวสักหลังที่สามารถดูแลนาธานได้ โดยที่เขาเฝ้าดูแลห่าง ๆ เหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอด

แต่มาเสียใจเอาป่านนี้แล้วมันจะไปทำอะไรได้ อาซาเซลถอนหายใจหนักด้วยความเศร้าหมอง แซคเคอัสที่ต้องสนใจถนนเบื้องหน้าในฐานะคนขับรถ แต่เขาคอยมองจอมปิศาจของเขาอยู่ตลอด ถึงทูตสวรรค์จะไม่ได้มีส่วนในการเลี้ยงดูนาธานมากนัก เพราะอาซาเซลกลัวว่าเขาจะเดือดร้อนจากพวกข้างบนหากมีทูตสวรรค์ตนอื่นมาพบเห็นเข้า เพราะกฎบนสวรรค์ไม่ให้พวกเขาเกี่ยวข้องกับมนุษย์มากจนเกินไป

เพื่อความปลอดภัยอาซาเซลซื้อบ้านไว้หนึ่งหลังที่โบลิเยอ ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่จอมปิศาจวกะได้ซื้อที่อยู่อาศัยบนโลกมนุษย์อย่างจริงจัง เพื่อที่จะเลี้ยงดูนาธาน ส่วนเขาได้รับอนุญาตให้มาหาพวกอาซาเซลแค่อาทิตย์ละครั้ง เพื่อความปลอดภัยของทูตสวรรค์เอง แต่นั่นถือว่าคุ้มค่าแล้ว ที่เขาได้เห็นอาซาเซลในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มุมของคุณพ่อที่แสนอ่อนโยนเท่าที่อดีตทูตสวรรค์ผู้ถูกสาปจะสามารถเป็นได้

หากพวกเบื้องบนกล้าชี้หน้ากล่าวหาว่าอาซาเซลเป็นจอมปิศาจที่โหดเหี้ยม ไร้ความเมตตา ชั่วช้าจนถึงขั้นสอนองค์ความรู้ต้องห้ามให้แก่มนุษย์จนเกิดเป็นสงคราม เขานี่แหละจะเป็นทูตสวรรค์ที่ยืนกรานว่าอาซาเซลไม่ได้เป็นอย่างพวกนั้นกล่าวหาเลย

อาซาเซลรักมนุษย์ถึงได้สอนองค์ความรู้ให้ เพื่อที่มนุษย์เหล่านั้นสามารถปกป้องตัวเองได้จากทั้งเผ่าพันธุ์เดียวกันและพวกสัตว์ร้าย เป็นจอมปิศาจที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวยิ่งกว่าใคร เพราะแบบนี้อาซาเซลถึงได้ตกสวรรค์

อดีตทูตสวรรค์รักพี่น้องของเขามากเกินกว่าที่จะยอมหันหลังให้ แล้วใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์อย่างสบายใจ และอีกเรื่องที่เขาเชื่อมั่นในความรักที่อาซาเซลมีให้เขามาตลอด เพราะงั้นแซคเคอัสถึงเชื่ออย่างหมดใจว่าอาซาเซลไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางโลกีย์กับมนุษย์คนไหนหรือปิศาจตนใด ตามข่าวลือบนสวรรค์ที่ปิศาจหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงใจเขามีลูกกับมนุษย์ผู้หญิง เขาไม่เคยเชื่อตั้งแต่แรก

หลังจากที่ต้องอยู่ในบรรยากาศอึมครึมมาตลอดทางช่วงสองชั่วโมงที่ผ่านมา ก่อนลงจากรถเขาคลายมนต์ให้เรเชลทันทีที่เธอมีสติมากพอก็วิ่งเข้าบ้านไปพร้อมกับโจชัว ส่วนเดธก็หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

อาซาเซลแทนที่จะเดินเข้าไปในบ้าน เขากลับเดินไปอีกทางหนึ่ง แซคเคอัสเองก็รู้ว่าช่วงเวลานี้เขาไม่สามารถจะพูดอะไรได้ ทำเพียงแค่เดินตามอาซาเซลไปอย่างเงียบ ๆ ขอแค่ไม่ให้จอมปิศาจต้องรู้สึกโดดเดี่ยว ยามที่ได้หันหลังกลับมา

และแล้วพวกเขามาหยุดที่ต้นโอ๊กใหญ่ต้นหนึ่ง ที่แซคเคอัสจำได้ว่าเป็นต้นไม้ที่อาซาเซลลงมือปลูกมันด้วยตัวเอง…ไว้เพื่อให้โตไปพร้อมกับนาธาน ทูตสวรรค์ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเท่าไรแล้วที่พวกเขายืนอยู่ตรงนี้ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวมาอย่างเชื่องช้ามาทางพวกเขา

“คุณอาแซค” เสียงแหบแห้งของชายชราวัยเจ็ดสิบกว่าปี โดยที่ด้านข้างของชายชรามีผู้ชายวัยกลางคนคอยช่วยประคองอยู่

“นาธาน! วิลเลียม! ดีใจจังที่ได้เจอพวกเธอสองคน” แซคเคอัสพูดด้วยความดีใจเดินเข้าไปกอดทั้งสอง

“ผมก็ดีใจครับ” ชายวัยกลางคนที่ชื่อวิลเลียมเขาเป็นลูกชายของนาธาน เขาทักทายแซคเคอัสเสร็จถึงได้มองไปที่อาซาเซล ที่ยืนกอดอกพิงต้นโอ๊กหันหน้ามาทางพวกเขา ถึงแม้จะใส่แว่นกันแดดสีเข้มจนไม่อาจเห็นดวงตาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง รวมถึงสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ ก็ยังรู้ว่าคุณปู่เขากำลังเศร้า

“สวัสดีครับคุณปู่ สบายดีไหมครับ”

“อืม มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้”

พอจบคำพูดของอาซาเซล บรรยากาศเงียบเฉียบได้กลับมาอีกครั้ง แซคเคอัสคิดว่าน่าจะปล่อยพ่อลูกได้คุยกันเลยส่งสัญญาณให้กับวิลเลียม

วิลเลียมเข้าใจความหมายที่แซคเคอัสพยายามจะสื่อ เขาหันหน้าไปพูดกับนาธานว่า

“คุณพ่อครับ เดี๋ยวผมกลับเข้าบ้านไปดูพวกเด็ก ๆ ก่อนนะครับ คุณอาแซคก็จะไปด้วย คุณพ่อคุยกับคุณปู่ไปก่อนนะครับ”
ชายชราไม่พูดอะไรเพียงยิ้มแล้วพยักหน้า แล้วเป็นฝ่ายที่เดินไปหาอาซาเซล แต่กลับเป็นจอมปิศาจวกะที่เดินเข้ามาประชิดตัวเสียก่อน ทันทีที่วิลเลียมปล่อยแขนของนาธาน ด้วยความที่นาธานอายุมากแล้ว ไปไหนคนเดียวเลยไม่สะดวกนักเลยต้องมีคนคอยช่วยประคอง

“ทุกครั้งที่เจอคุณพ่อ คุณพ่อไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ ยังดูเหมือนหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ อยู่เลย” เสียงที่แทบจะแหบแห้งตามกาลเวลา แต่สำหรับอาซาเซลนั้นยังเป็นเสียงของลูกชายที่เขารักเสมอ

มือเขาที่ประคองแขนของนาธานไว้รับรู้ถึงความอ่อนแอที่แผ่ออกมา เรียวแขนผอมเล็กลงกว่าแต่ก่อนมาก ซ้ำยังดูไม่ค่อยมีแรง ขาที่สั่นไหวเล็กน้อยเหมือนถ้าเขาปล่อยมือจากอีกฝ่ายคงล้มลงไปอยู่กับพื้น ริ้วรอยบนใบหน้าที่บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านไป

นั่นยิ่งทำให้เขาตระหนักว่าสิ่งที่เดธพูดมาเป็นความจริง เขา…กำลังจะสูญเสียลูกชายไปอย่างไม่มีวันกลับ แค่คิดมือเขาที่ประคองนาธานไว้พลันสั่นขึ้นมา เขาใช้มืออีกข้างที่ว่างไว้อยู่ถอดแว่นตาบนหน้าออก ทำให้เห็นดวงตาสีทับทิมเข้มที่คล้ายกำลังอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้

“ลูกก็รู้ดีว่าพ่อไม่มีทางแก่ แล้วนี่ลูกรู้เรื่อง…ลูกแล้วใช่ไหม”

“ครับ ผมรู้แล้ว ว่าผมอยู่ได้อีกไม่กี่วัน”