นครไซเบอร์พังค์ที่ช่องว่างชนชั้นต่างกันราวเทวดากับผีโหย อิกนัสอัศวินพิทักษ์นครต้องตัดสินใจเลือกระหว่างรับใช้แกนอำนาจเพื่อชีวิตที่สุขสบายหรือตายเพื่ออุดมการณ์ที่ไม่มีวันเป็นจริง
สืบสวนสอบสวน,ไซไฟ,แอคชั่น,ผจญภัย,อาชญากรรม,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Krampusนครไซเบอร์พังค์ที่ช่องว่างชนชั้นต่างกันราวเทวดากับผีโหย อิกนัสอัศวินพิทักษ์นครต้องตัดสินใจเลือกระหว่างรับใช้แกนอำนาจเพื่อชีวิตที่สุขสบายหรือตายเพื่ออุดมการณ์ที่ไม่มีวันเป็นจริง
4
สงครามยุคก่อนโซลโพลิสทำให้แผ่นดินนี้กลายเป็นเขตพิษร้ายแรงจนไม่อาจดำรงชีพ ผู้คนเริ่มกลับมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่เมื่อสามศตวรรษก่อน โลกมีศักยภาพในการฟื้นฟูตนเองแม้จะถูกมนุษย์ทำลายอย่างแสนสาหัส เชื่อกันว่าสารพิษถูกดูดโดยแผ่นดินและฟอกบริสุทธิ์ด้วยพืชพันธุ์ใต้โลก
โจรคนสุดท้ายนำอิกนัสลงท่อสู่ทางระบายน้ำอันสลับซับซ้อน แหล่งแสงเดียวเรืองจากกำไลวอลแกนของอัศวิน เขาใช้มันเป็นเครื่องขู่ขวัญโจรว่าไม่อาจพ้นเงื้อมมือเขาไปได้แน่ โจรที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบ ผิวเทาซีดเช่นเดียวกับพวกจรจัดส่วนใหญ่ที่แทบไม่เคยสัมผัสแสงอาทิตย์ และน่าจะเป็นเพราะปฏิกิริยาจากแสงเหลวที่ทำให้สีผิวของพวกเขาคล้ายขี้เถ้า
น้ำปฏิกูลในคลองระบายข้นเหมือนโคลน บางส่วนก็เจิ่งล้นทางเดิน มวลแหยะแฉะท่วมเข้าไปในรองเท้าของอิกนัสทั้งสองข้าง กลิ่นขยะแขยงชวนประสาทเสีย ในที่สุดเขาก็เอ่ยทำลายความเงียบว่า “คงไม่คิดโง่ ๆ ที่จะใช้กลิ่นเน่านี้ฆ่าผมให้ตายหรอกใช่ไหม”
โจรหนุ่มสะดุ้งเฮือก “ผมไม่กล้าหรอก ทางอยู่ข้างหน้านี้แล้ว”
แสงสลัวเฉดเขียวอมฟ้าลอยขึ้นมาจากข้างหน้าจริง เดินต่อไปอีกครู่ก็พบโพรงขนาดใหญ่กลางพื้นคล้ายช่องแตกทะลุสู่อีกมิติ อัศวินชี้ให้ไอ้หนุ่มปีนลงไปก่อน เขาไต่ตามจนหลุดสู่แสงเรืองเฉดเขียวและฟ้า
ถ้ำใต้พิภพ ผู้มาเยือนถูกโอบล้อมโดยฟ้าหินที่เหมือนละเลงขึ้นจากสีน้ำมันเคลื่อนไหวได้ เถาวัลย์ขนาดใหญ่ชำแรกแทรกพื้นและเพดานเลื้อยพันผนังถ้ำดุจอสรพิษยักษ์ กลิ่นปฏิกูลหายเป็นปลิดทิ้งแต่อิกนัสไม่กล้าหายใจเต็มปอด ข้างล่างนี้สี กลิ่น รสมันเพี้ยนธรรมชาติไปหมด เขาสงสัยว่าเถาวัลย์พวกนี้คือพืชใต้แผ่นดินที่ดูดพิษปกคลุมผืนโลกตั้งแต่ยุคก่อนโซลโพลิส ดังนั้นแล้วพวกมันน่าจะอุดมไปด้วยพิษร้ายกาจ
อัศวินจ่อกำปั้นไปที่หัวโจรหนุ่ม กำไลวอลแกนเปล่งแสงเรืองร้าย
“อะไรอีกวะ ก็ผมแม่งนำทางมาถูกต้องแล้วไง” โจรหนุ่มกลัวจนร้องไห้ ชูมือทั้งสองขึ้นป้องหัว
“คงไม่คิดพาผมมาตายพร้อมกับตัวเองที่นี่ใช่ไหม”
“แม่งโว้ย ผมดูเหมือนคนกล้าหาญขนาดนั้นหรือไงเล่า อีกอย่างผมแม่งยังตายไม่ได้ ปู่และน้องสาวตัวเล็กอีกสามคนรอผมอยู่ที่บ้าน” โจรหนุ่มร้องไห้ฟูมฟาย “ผมแม่งมีทางเลือกที่ไหนล่ะวะ ลูกพี่เรียกผมก็ต้องตาม ถ้าถูกขับจากแก๊งผมจะเอาอะไรไปเลี้ยงน้องกับปู่”
อิกนัสสัมผัสได้ว่าเขาพูดจริงจึงปลดพลังที่กำไลวอลแกนลง “คุณจะไม่ตายหรอกนะ” เขาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ตั้งสติแล้วบอกชื่อของคุณมาสิ”
ไอ้หนุ่มป้ายน้ำตาออกและพยายามบังคับตัวเองให้หยุดสะอื้น “เจฟ ผมชื่อเจฟ”
“ดีมากเจฟ ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่คุณควรทำคือรีบพาผมไปให้ถึงจุดหมาย จะได้เป็นอิสระเสียที”
“คุณจะปล่อยผมไปหลังจากที่ผมนำทางไปถึงจุดหมายจริง ๆ ใช่ไหม” โจรสบสายตาของอัศวิน “ไม่มีทางหรอก คุณแม่งต้องฆ่าผมอยู่แล้ว รู้ชัดได้เลย แม่งเอ๊ย”
“ผมไม่ฆ่าใครโดยไม่จำเป็น ขอเพียงคุณทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ผมก็จะปล่อยไป” แน่นอนว่าอิกนัสต้องฆ่า เพราะเป็นข้อควรทำเพื่อที่จะแฝงตัวต่อไปและไม่เปิดช่องให้ตัวตนเขาถูกเปิดเผย เขาไม่ได้อยากฆ่า แต่ในการปฏิบัติหน้าที่จะปล่อยให้ความเห็นอกเห็นใจมาทำให้เสียงานไม่ได้ เขาไม่ชอบโกหก แต่สำหรับภารกิจนั้นไม่มีคำว่าการโป้ปด มีเพียงการใช้วาทศิลป์เพื่อกล่อมคนร้ายให้ทำตามประสงค์
“คุณสัญญาแล้ว คุณแม่งสัญญาแล้วนะ ถ้าผมตาย น้องสาวผมอีกสามคน คนโตยังไม่หกขวบเลยด้วยซ้ำ ตายหมดแน่ พวกเขาจะเอาเครดิตจากไหนมาใช้ชีวิต”
“ผมบอกแล้วไงว่าจะปล่อยคุณเมื่อสิ้นสุด ฉะนั้นจงตั้งสติแล้วนำทางไป” อัศวินย้ำทุกคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ได้ ผมจะเชื่อคุณ” เจฟดูจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาชี้นิ้วไปยังลำเถาวัลย์สีเขียวขี้ม้าที่ใหญ่ขนาดถนนย่อม มันคดเคี้ยวขึ้นไปสู่ช่องแตกบนเพดานถ้ำ “เดินตามเถาวัลย์สีนี้ไป มันจะทะลุออกไปสู่เขตเจ็ด ฐานของแครมปัสอยู่ที่นั่น”
เขตเจ็ดกลายเป็นซากปรักหักพังตั้งแต่เมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว ฐานของพวกแครมปัสไม่ถูกพบเพราะอยู่ในจุดที่ไม่น่าเป็นไปได้แบบนี้นี่เอง ระหว่างการไต่เถาวัลย์ตามโจรนำทาง อัศวินกดใจไม่ให้นึกถึงสามัญสำนึก ถ้าญาติพี่น้องของโจรจะต้องตายก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา เขาเป็นเพียงกลไกหนึ่งของระบบ ถ้าสังคมปราศจากระบบย่อมเกิดภาวะโกลาหลและการล่มสลาย ชีวิตเขาอุทิศเพื่อรักษาระเบียบนี้ไว้ อย่างน้อยแนวคิดนี้ก็ช่วยให้เขาพออยู่กับตัวเองต่อไปได้
มันประหลาดที่พื้นถ้ำใต้ดินนี้เมื่อมองลงไปผ่านชั้นเถาวัลย์หนาแน่นก็คือโพรงที่ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด สู่ห้วงแสงเขียวสยองคล้ายหลุดไปถึงยมโลก มีเสียงของบางสิ่งไต่รัวมาจากใต้เถาวัลย์ อิกนัสกระโดดตัวลอยกลางฟ้าตามสัญชาตญาณ กำไลวอลแกนที่ข้อเท้าเสริมแรงโดดจนเหมือนเหาะเหิน
“อ๊าก...”
หนามไม้แหลมคมแทงเข้าใส่ร่างเจฟ ตัวที่ปีนขึ้นมาจากใต้เถาวัลย์คือพฤกษากลายพันธุ์ ดอกม่วงใหญ่เป็นลำตัว รากเป็นขาแหลมเคลื่อนไหวว่องไว มีกลีบหนามแทนมือแทงยับใส่ร่างโจรหนุ่มที่น่าสงสาร พวกมันไม่ได้มีเพียงตัวเดียว สาม สี่ ห้า และทยอยโผล่จากใต้ลำเถาวัลย์มากขึ้นเรื่อย ๆ
อิกนัสใช้หมัดวอลแกนชกสวนกลีบหนามที่แทงเข้ามาจากรอบทิศ แต่อาวุธนี้ไม่ได้ออกแบบสำหรับต่อกรกับพืชนักฆ่าที่ไม่รู้เจ็บปวด เขาจึงชาร์จพลังเต็มพิกัดแล้วต่อยเข้ากลางลำเถาวัลย์ยักษ์จนขาดสะบั้น จากนั้นพุ่งกระชากตัวเจฟจากการถูกรุมทึ้ง กระทืบขาพลังดีดตัวเองขึ้นไปสู่เพดานถ้ำเพียงฉิวเฉียดก่อนที่ถนนเถาวัลย์จะตกร่วงพร้อมฝูงพืชอุบาทว์
สู่โถงหินสลัวแสง ไอ้หนุ่มเจฟที่อิกนัสหิ้วตัวอยู่ได้หยุดหายใจลงแล้ว ไม่เหลือประกายชีวิตในแววตา ลำตัวพรุนไปด้วยหลุมทะลักเลือด เสียงขยับขาน่ารังเกียจยังคงดังเข้ามาจากรอบด้าน
อะไรทำให้พวกมันคลุ้มคลั่ง ทั้งที่ปกติพวกโจรก็น่าจะใช้เส้นทางนี้หลายครั้งแต่ไม่เคยถูกจู่โจม
ในจังหวะนั้นอัศวินโยนร่างโชกเลือดของเจฟให้พ้นตัว เหล่าพฤกษากลายพันธุ์รุมทึ้งศพนั้นอย่างหิวโหย คงเป็นเพราะเลือด เริ่มจากเลือดที่เปรอะเสื้อผ้าพวกเขา และตามด้วยเลือดสด ๆ ที่ทะลักอาบร่างเด็กหนุ่ม มันยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ รู้ตัวตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ดอกม่วงอุบาทว์หลายตัวเริ่มตะกายเข้ามาหาเขาอย่างมุ่งร้าย
อิกนัสตรวจสอบพลังงานเบลส์ที่กำไลวอลแกน เขาคงใช้พลังได้อีกไม่ถึงสิบครั้ง วิกฤตบีบคั้นให้ต้องวิเคราะห์อย่างเร่งด่วนและตัดสินใจพุ่งตัวใส่พืชกินคนดอกใหญ่ที่สุด หมัดวอลแกนทะลวงใต้ดอกตูมนั้นจนน้ำเขียวข้นทะลักออกมา
ร่างของอัศวินหนุ่มท่วมไปด้วยของเหลวเขียวเขรอะ บางส่วนเข้าปาก รสชาติเหมือนเลือดแมลงสะอิดสะเอียนจนเขาต้องรีบบ้วนทิ้ง และฝูงพฤกษากลายพันธุ์ก็เลิกตอแยเขาด้วยกลิ่นอุบาทว์ของพวกเดียวกันได้กลบกลิ่นคาวเลือดจนสิ้น
อิกนัสผู้รอดชีวิตเดินฝ่าดงมฤตยูดอกม่วงตูมที่ค่อย ๆ เคลื่อนไหวช้าลงจนรากยึดพื้นแน่นิ่งไป มีเสียงธารน้ำไหลอยู่เบื้องหน้า อัศวินหมายไปถึงมันให้เร็วที่สุดเพื่อชะล้างความเหนอะหนะเละเทะนี้ออกจากร่าง เขาเร่งฝีเท้าจนพ้นไปจากฝูงพืชโหย ย่ำพื้นดินใต้ความพินาศของโครงสร้างเหล็กมหึมา ซึ่งคือเศษซากแผ่นนครในอดีตที่ร่วงหล่น
แต่ภาพนั้นมืดมนเหลือเกิน ขาก็ก้าวได้อย่างยากลำบาก คราบข้นเขรอะตัวเริ่มแห้งและพองออกเป็นผลึกที่แข็งหนัก จนในที่สุดอิกนัสก็ขยับเขยื้อนกายไม่ได้ ราวถูกหุ้มโดยเปลือกดักแด้อันชั่วร้าย
ที่สุดของความฉิบหายมันรู้สึกแบบนี้เอง อิกนัสไม่อยากเชื่อว่าจุดจบของเขาจะแสนทุเรศ เขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน แล้วในที่สุดสติก็ค่อย ๆ เลื่อนลอยไป