หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...

อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ) - บทที่ 3 เอาไงล่ะทีนี้ โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,อาโปรักศิลา,นิยายวาย,วาย,Yaoi,BL,BoyLove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

อาโปรักศิลา,นิยายวาย,วาย,Yaoi,BL,BoyLove

รายละเอียด

อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ) โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...

สารบัญ

อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-Intro บทนำ,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 1 มาเริ่มกันเถอะ!,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 2 ไอ้เด็กนี่มันยังไงกันนะ,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 3 เอาไงล่ะทีนี้,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 4 อย่าตีกัน,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 5 แผลใจได้รับการเยียวยา,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 6 อย่าปล่อยให้งานมากระทบความสัมพันธ์ของเรา,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 7 ความเครียดถาโถม,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-ตอนพิเศษ 1 ส่วนที่ขาดหายไปในบทที่ 7 (NC),อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 8 เกิดข้อเปรียบเทียบ,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 9 หยุดยาวนี้อย่าให้ใครมาขวางสองเรา,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 10 ลองดูสักตั้ง,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 11 เป็นเรื่องจนได้,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 12 ถึงเวลาของแกสักที,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 13 Lucky in work but what about love?,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 14 ร่างกายอ่อนแอคนเทคแคร์เลยจำเป็น,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 15 หนทางข้างหน้ายังคงยาวไกล (ตอนจบ),อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-ตอนพิเศษ ครบรอบ 3 ปี #BDWAANJAI3YRS

เนื้อหา

บทที่ 3 เอาไงล่ะทีนี้

เสียงกุกกักดังขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งของประตูห้องนอนซึ่งเป็นเสียงที่ทั้งศิลาและอาโปคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันคือเสียงตะกุยประตูของแมวตัวโปรดที่ศิลาเลี้ยงดูฟูมฟักมาหลายปี

 

“เจ้าน้องงงง” ศิลาเปิดประตูออกไปก็เจอแมวตัวโตนั่งหน้าจ๋องอยู่บริเวณหน้าห้อง

 

“อื้อ...” เสียงงัวเงียดังขึ้นเบาๆ พร้อมเสียงขยับตัวที่ลอยมาจากเตียงนอนทำเอาศิลาหันไปมองก่อนจะก้มลงไปอุ้มเอาเจ้าน้องขึ้นมาไว้ในอ้อมอกแล้วเดินกลับเข้าไปนั่งลงบนเตียง ข้างๆ ร่างหนาของอาโปที่กำลังนอนอยู่บนนั้น

 

“ตื่นแล้วหรอครับ” ศิลาเอ่ยถาม

 

“ครับผม” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นพลางวาดมือมาโอบกอดคนน้องที่นั่งอยู่ด้านข้าง

 

“เช้านี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ” ศิลาเอ่ยถามโดยที่มือบางของตัวเองกำลังเล่นผมของคนพี่อยู่

 

“แบบเดิมก็ได้ครับ”

 

“โอเคครับ”

 

ศิลายิ้มกว้างแล้วอุ้มเจ้าน้องเดินออกจากห้องนอนเพื่อตรงไปยังห้องครัวทันที คำว่าแบบเดิมของอาโปก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่าขนมปังปิ้งทาแยมสตรอเบอรี่สองชิ้น ไส้กรอกหนึ่งอัน ไข่ดาว และกาแฟหนึ่งแก้ว แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง เพราะบางทีคำว่าแบบเดิมของอาโปก็อาจจะหมายถึงเพียงแค่ซีเรียลใส่นมชามโตเพียงแค่นั้น

 

ซึ่งเช้านี้แบบเดิมของอาโปนั้นคือแบบแรก..

 

ถ้าถามว่าแล้วศิลาจะรู้ได้ไงว่าอาโปต้องการกินมื้อเช้าแบบเดิมในแบบไหน ก็คงจะต้องบอกว่ามันคงเป็นเรื่องของพลังพิเศษล่ะมั้ง ที่ศิลาสามารถเดาใจของอาโปได้..

 

แต่การได้ยินแบบนั้นก็คงจะตลกพิลึก อันที่จริงศิลาไม่รู้หรอกว่าแบบเดิมในแต่ละครั้งที่อาโปพูดนั้นหมายถึงเมนูอะไร แต่เขามักจะทำสองอย่างนี้อยู่ซ้ำๆ และอาโปไม่เคยบ่นแม้แต่ครั้งเดียวว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากกิน นั่นก็เลยทำให้ศิลาเหมาคิดเอาเองว่าเขาเข้าใจถูก

 

เสียงฉู่ฉี่ในกระทะของน้ำมันที่กำลังปะทุด้วยความร้อนดังเป็นระยะเมื่อศิลาตอกไข่ลงไปฝั่งหนึ่งของกระทะ และใส่ไส้กรอกลงไปอีกฝั่งหนึ่ง ก่อนจะรอจนสุกแล้วตักขึ้นมาใส่จานจัดแต่งด้วยผักอีกนิดเพิ่มความสวยงาม ก่อนจะเดินไปหยิบขนมปังที่เพิ่งเด้งออกมาจากเครื่องปิ้งอัตโนมัติมาทาแยมจนเต็มทั้งสองแผ่นแล้ววางลงบนจานอีกใบ ก่อนจะยกอาหารทั้งหมดไปวางไว้บนโต๊ะอาหารมุมประจำที่อาโปชอบนั่ง จากนั้นจึงค่อยเดินไปชงกาแฟสำเร็จรูปมาเสิร์ฟไว้ข้างๆ จานอาหาร

 

เพียงไม่นานหลังจากจานอาหารมาจัดวางไว้บนโต๊ะ อาโปก็เดินลงมาด้วยชุดทำงานที่ดูเข้ากันดีกับตัวเขาเอง ดูสมาร์ทแต่ก็ยังให้ความรู้สึกสบายและเข้าถึงง่าย เขาเดินตรงมานั่งลงยังบริเวณที่ศิลาจัดไว้ให้ จากนั้นคนน้องก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ

 

“รู้ใจพี่ตลอดเลย” อาโปยิ้มกว้างแล้วหันไปพูดกับศิลาด้วยเสียงอุ่น

 

“ขอบคุณครับ”

 

มือหนาของอาโปยกขึ้นยีหัวของศิลาอย่างนุ่มนวลก่อนจะหันไปสนใจจานอาหารที่คนน้องจัดเตรียมเป็นมื้อเช้าเอาไว้ให้ พอเห็นคนพี่เริ่มลงมือกินอาหาร ศิลาก็เลยตักอาหารเข้าปากของตัวเองบ้าง เสียงช้อนกระทบจานดังคลอไปกับเสียงเพลงที่ศิลาแอบต่อลำโพงบลูทูธไว้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มทำกับข้าว บรรยากาศยามเช้ามักเป็นอย่างนี้อยู่เสมอเว้นก็แต่วันที่อาโปต้องรีบออกไปแต่เช้า

 

“เอ้อพี่โป” จู่ๆ ศิลาก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายขึ้นมาระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่เพลินๆ

 

“ว่าไงครับ”

 

“คือ วันก่อนที่พี่กานต์ลองเข้าไปดูเด็กๆ ตอนเรียนอ่ะครับ แล้วก็เลยสนใจไอ้เจ้าเอ็มไปแคสติ้งซีรีส์เรื่องใหม่ที่พี่เตจะทำอ่ะ ผมก็เลยได้ไอเดียว่าถ้าให้พี่เตมาลองเปิดแคสติ้งที่สตูฯ ของเราจะดีมั้ยพี่ เผื่อว่าเด็กๆ คนอื่นจะได้มีโอกาสบ้าง”

 

“อืมม.. จริงๆ ก็ดีนะ” อาโปเอ่ยพูดพลางคิดตาม “ก็ให้ใช้สตูฯ เราเป็นโลเคชั่นแคสติ้งไปเลยสิ แล้วก็ให้คนทั่วไปมาร่วมแคสด้วยเลย”

 

“จะดีเหรอพี่”

 

“ทำไมอ่ะ” อาโปสงสัยเมื่อได้ยินคำขัดของศิลา

 

“ก็... จริงๆ ไม่ใช่ไม่ดีนะพี่โป แต่ถ้าเราให้โอกาสเด็กที่เรียนในสตูฯ เราก่อนน่าจะดีกว่านะครับ”

 

“...” อาโปยังเงียบแล้วมองหน้าศิลานิ่ง ราวกับอยากจะรู้ต่อ

 

“ก็แบบ ถ้าเปิดให้คนทั่วไปมาแคสด้วยแต่แรก เด็กๆ เราก็จะได้โชว์ศักยภาพไม่เต็มที่มั้ยครับ เพราะจำนวนคนก็จะเยอะ เวลาก็จะมีจำกัดด้วย”

 

“อ่อ.. ก็จริง”

 

“แต่ถ้าเราให้แคสเฉพาะเด็กๆ ในสตูเราก่อน ก็น่าจะได้โชว์ของกันเต็มที่ เพราะคนไม่เยอะ ใช้เวลาได้เต็มที่ด้วย คนที่จะได้ประโยชน์สูงสุดก็น่าจะเป็นเด็กเรานะพี่” ศิลาเอ่ยอธิบายยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว โดยมีอาโปที่นั่งฟังอยู่พร้อมรอยยิ้มกว้าง

 

“อื้ม ดีนะ อีกอย่างต่อไปเราก็ใช้ตรงนี้มาเป็นจุดขายให้สตูฯ ได้อีกด้วย ว่าถ้าใครเรียนที่นี่ ก็มีโอกาสได้แคสงานก่อนใครไรงี้” อาโปพูดเสริมหลังจากได้ฟังคำพูดของศิลา

 

“ใช่มั้ยครับ”

 

“ว่าแต่ ไอ้เตมันคงจะไม่ได้ทำซีรีส์แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกเนอะ ฮ่าๆ” อาโปเอ่ยแซว เพราะเอาจริงเขาก็แอบกังวลว่าถ้าหากไอ้เตทำซีรีส์แค่เรื่องเดียวแล้วไม่ทำอีก เขาก็คงจะแย่ อุตส่าห์แพลนจะโปรโมทสตูด้วยคอนเทนต์นี้

 

“แหม่พี่โป ถึงต่อไปไอ้เตจะไม่ได้ทำซีรีส์เอง แต่ก็ยังมีคอนเน็กชั่นอื่นๆ เยอะแยะ ไม่เห็นต้องกังวลเลยครับ” ศิลาเอ่ยพูดขึ้นจนอาโปที่ได้ฟังก็แอบสบายใจขึ้นมาได้เล็กน้อย

 

“เก่งจัง แฟนใครเนี่ย” อาโปเอ่ยแซวคนน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ

 

“แฟนหมามั้งครับ”

 

“งั้นพี่ก็ยอมเป็นหมาทั้งชีวิตเลยครับ”

 

“แหวะ! จะอ้วก”

 

“อิ่มแล้วใช่มั้ยครับ” ศิลาถามพลางมองจานเปล่าที่วางอยู่ด้านหน้าของคนพี่

 

“ครับ”

 

“มาครับเดี๋ยวผมเก็บให้”

 

“ขอบคุณงับ”

 

สิ้นเสียงพูด อาโปก็ฉวยโอกาสมุดหน้าไปขโมยหอมแก้มอีกฝ่ายเสียฟอดใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศิลาตื่นตระหนกสักเท่าไหร่นักด้วยความเคยชิน จากนั้นศิลาก็เอื้อมมือไปเก็บจานให้แล้วเดินไปวางไว้ในอ่างล้างจานที่อยู่ในครัว ในขณะเดียวกันอาโปก็ย้ายตัวเองไปนั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น

 

ฝ่ายศิลาเมื่อเก็บจานชามช้อนแก้วบนโต๊ะมาทำความสะอาดจนเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องออกไปสตูฯ สักที โชคดีที่วันนี้ไม่มีคลาสเช้า ทำให้เขาทั้งคู่สามารถใช้เวลาช่วงเช้าอยู่ที่บ้านได้นานขึ้นอีกหน่อย

 

“ไปครับ เสร็จแล้ว” ศิลาเดินมาหาอาโปที่นั่งรออยู่ที่โซฟาพลางเอามือวางแตะที่ไหล่ของคนพี่ ก่อนที่อาโปจะลุกขึ้นแล้วพากันเดินออกไปด้านนอก

 

รถยนต์ขับเข้ามาจอดที่บริเวณลานจอดรถด้านข้างอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของสตูดิโอของ AS Studio & Academy ร่างบางของศิลาเดินออกมาจากรถยนต์คันนั้นก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินไปสแกนลายนิ้วมือที่ประตูด้านหน้าของสตูดิโอเพื่อเปิดมันออก

 

เขาเดินเข้าไปวางกระเป๋าตัวเองที่บริเวณเคาท์เตอร์ซึ่งเป็นที่นั่งประจำของเขาก่อนจะไล่เปิดไฟเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับทุกพื้นที่ของสตูฯ ก่อนที่อาโปจะเดินตามเข้ามาด้านใน

 

“พี่ขึ้นไปข้างบนก่อนนะ” อาโปพูดจบก็หันหลังเดินขึ้นชั้นสามไป

 

ศิลาหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ประจำสาขาขึ้นมาเพื่อเปิดเพลงสร้างบรรยากาศให้กับสตูได้มีความครื้นเครงขึ้นมาสักหน่อย ดีกว่าปล่อยให้มันเงียบเชียบจนเกินไป เมื่อเสียงเพลงเริ่มบรรเลงขึ้นความมีชีวิตชีวาต่างๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นขึ้นด้วย

 

ไม่นานสักเท่าไหร่นัก ป้าพรก็เดินทางมาถึงที่ทำงานก่อนจะตามมาด้วยกานต์ที่เดินเข้ามาพร้อมถุงอาหารมากมายเหมือนในทุกๆ วัน ศิลาและอาโปแทบจะไม่ต้องซื้ออะไรกินเลยด้วยซ้ำเวลามาที่สตูฯ เพราะกานต์ไม่เคยพลาดที่จะซื้อของกินเข้ามาฝากอยู่ตลอดเวลา

 

ไม่มีพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี่มา...

 

“เดี๋ยวป้าเอาไปไว้ในครัวให้ค่ะ” ป้าพรเดินมารับของจากมือของกานต์

 

“ขอบคุณครับป้า”

 

“ไปสรรหาซื้อมาจากไหนได้ทุกวันเนี่ยพี่” เสียงพูดกลั้วเสียงหัวเราะบางๆ ของศิลาเอ่ยทักเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้

 

“ก็ตลาดนั้นตลาดนี้อ่ะ ขับรถผ่านตรงไหนก็แวะซื้อมาเรื่อยเปื่อย” กานต์พูดพลางนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ศิลา

 

“ขยันจัด แต่ก็ดีละ ผมกับพี่โปจะได้มีของกินฟรี ฮ่าๆ”

 

“เออ กูก็ซื้อมาให้พวกมึงแดกนั่นแหละ”

 

“เอ้อ พี่กานต์”

 

“ว่าไง”

 

“คือ... ผมมีเรื่องจะปรึกษาหน่อยอ่ะ”

 

“อื้อ” กานต์พยักหน้าแล้วหามาตั้งใจฟังสิ่งที่ศิลากำลังจะพูด

 

“ผมกำลังคิดว่า ถ้าสมมติว่าให้พี่เตมาเปิดแคสติ้งเด็กๆ ในสตูแบบจริงๆ จังๆ จะดีกว่ามั้ยไรงี้อ่ะพี่ แบบ.. เผื่อจะมีเด็กคนไหนที่เข้าตาเพิ่มเติม พวกบทสมทบไรงี้อ่ะครับ” ศิลาเอ่ยพูดแบบอึกๆ อักๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะเกรงใจอีกฝ่ายด้วย

 

“อืมม.. จริงๆ ก็ดีนะ คนกันเอง ช่วยๆ กันไป”

 

“งั้น.. ผมฝากพี่คุยกับพี่เตให้หน่อยดิ”

 

“เออๆ เดี๋ยวลองคุยให้ ยังไงเดี๋ยวมาอัพเดท”

 

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะได้แจ้งเด็กๆ” ศิลายิ้มกว้างก่อนจะเดินขึ้นไปหาอาโปที่ชั้นสาม

 

ก๊อกๆๆ

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่อาโปกำลังประชุมออนไลน์อยู่กับทางต่างประเทศอยู่ ศิลาแง้มประตูเข้ามาแต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากทักทายอีกฝ่ายเขาก็สังเกตเห็นว่าคนพี่กำลังคุยงานอยู่ ศิลาจึงเดินเข้าไปนั่งเงียบๆ ที่โซฟาเพื่อรออีกฝ่ายเสร็จธุระก่อน ไม่นานอาโปก็เสร็จธุระที่ตัวเองกำลังติดพันอยู่ก่อนจะหันมาทักร่างบางที่นั่งเล่นมือถือรออยู่

 

“มีอะไรมั้ยหนู” อาโปเดินมานั่งลงข้างกายของศิลา

 

“แป๊บนะครับ ผมเล่นเกมอยู่ จะจบแล้วครับ” สายตาของคนน้องมองจ้องที่หน้าจอมือถือแบบไม่ละสายตา คิ้วขมวดผูกเป็นปมเพราะกำลังอยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ที่กำลังจะเป็นช่วงเวลาตัดสินว่าเขาจะชนะหรือแพ้

 

“โอเคครับ เสร็จแล้วบอกพี่นะ”

 

อาโปแอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานตัวประจำของตัวเองแล้วเอนพิงกายกับพนักเก้าอี้แบบเต็มกำลัง เพราะอาการเมื่อยล้าจากการที่นั่งประชุมออนไลน์เป็นเวลานานเมื่อครู่

 

เวลาพักใหญ่ผ่านไปอาโปยังนั่งรออยู่แบบนั้นโดยที่ทำงานรอไปด้วย สายตาก็แอบมองศิลาอยู่เป็นระยะโดยที่อีกฝ่ายก็จดจ่ออยู่หน้าจอแบบไม่ลดละ เป็นเวลานานพอสมควรกว่าศิลาจะวางมือถือลงแล้วลุกเดินมาหาอาโปที่นั่งอยู่หลังทำงาน

 

“เสร็จแล้วครับ” ศิลาเดินยิ้มแป้นมาอาโปที่โต๊ะทำงาน

 

“อื้ม” อาโปตอบเสียงสั้นๆ สายตาจ้องมองหน้าจอคอมนิ่ง

 

“พี่โปครับ” ศิลาเรียกย้ำ

 

“อื้ม”

 

“เป็นไรอ่า” คนน้องเอ่ยเสียงอ้อน

 

“...”

 

อาโปนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงตอบอะไรออกมา

 

“พี่โป.. งอนหรอครับ” ศิลาจ้องอีกฝ่ายตาแป๋ว เพราะเริ่มรับรู้ถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้าอย่างเห็นได้ชัด

 

“อื้อ” เสียงตอบรับครางขึ้นในลำคอเบาจากฝ่ายของอาโป ทำเอาศิลาแอบหลุดขำออกมาน้อยๆ เพราะความเอ็นดูในความขี้งอนของคนตัวโตที่นั่งอยู่ตรงหน้า

 

“งอนอะไรอ่า....” ศิลาพูดพลางวิ่งอ้อมโต๊ะเข้าไปหาอาโปแล้วหย่อนตัวนั่งลงบนตักอีกฝ่าย

 

“ก็หนูไม่สนใจพี่เลยอ่ะ”

 

“เอ้า! ก็เล่นเกมแปบเดียวเองครับ”

 

“แต่หนูเข้ามาหาพี่ไม่ใช่เหรอครับ” อาโปยังคงเอ่ยต่อพลางวาดมือกอดเอวของร่างบางไว้แน่น

 

“เห็นพี่ประชุมอยู่ ผมก็เลยเล่นฆ่าเวลาอ่า..”

 

“พี่งอนอยู่ จะง้อพี่แบบไหนดีครับ” อาโปเอ่ยพูดด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ศิลามองกลับอย่างรู้ทัน

 

คนน้องเผยอยิ้มบางๆ บนใบหน้าก่อนจะค่อยๆ ก้มลงกดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล เพราะเขารู้ดีว่าทุกทีที่ฝ่ายคนพี่มีอาการงอนเขาจะต้องง้อด้วยวิธีการใด และมันก็ได้ผลในทุกครั้ง

 

“หายงอนรึยังครับ” ศิลายิ้มแป้นแล้วเอ่ยถาม

 

“หายก็ได้ครับ” อาโปยิ้มอุ่นแล้วลอบหอมแก้มอีกฝ่ายแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

 

“พี่โปขี้งอนจังนะครับช่วงนี้”

 

“ก็แฟนพี่ช่วงนี้มันต้องเจอคนเยอะนี่นา พี่ก็ต้องหวงเป็นธรรมดา”

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอกพี่ ยังไงผมก็รักพี่คนเดียวแหละ งอนเป็นเด็กไปได้”

 

“แล้ว...” อาโปเอ่ยพูดพลางคิดก่อนจะเงียบเสียงไป

 

“ครับ?”

 

“หนูจะลุกตอนไหนอ่ะ พี่หนัก” อาโปเอ่ยเสียงแห้งพร้อมเสียงหัวเราะแหะๆ

 

“อะโด่! แค่นี้ก็ทนไม่ได้” คนน้องลุกขึ้นจากตักของอาโปแล้วเดินมาลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ คนพี่ “หรือว่าผมหนักขึ้นหรอ”

 

“คงงั้นมั้ง ฮ่าๆ” อาโปหัวเราะลั่นจนโดนศิลายกมือบางขึ้นฟาดไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

 

“เอ้อพี่โป ผมคุยกับพี่กานต์แล้วนะครับ เรื่องที่จะให้พี่เตมาเปิดแคสติ้งเด็กๆ ที่สตู”

 

“อื้อ แล้วเป็นไงมั่งครับ”

 

“ก็ไม่น่าติดอะไรนะ พี่กานต์เดี๋ยวไปลองคุยกับพี่เตให้”

 

อาโปพยักหน้ารับก่อนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “หนูลองไปคุยกับพี่กานต์นะ ว่าถ้าสตูฯ เราจะขอเป็นสปอนเซอร์ให้ซีรีส์ด้วยจะได้มั้ย พี่ยินดีสนับสนุนเต็มที่” อาโปค่อยๆ พูด โดยที่มีศิลานั่งฟังแล้วพยักหน้าตามหงึกๆ “พี่ว่าน่าจะดีนะ เผื่อเวลาที่ไอ้เตอยากได้พวกตัวประกอบหรือตัวสมทบไรงี้ ก็ให้มาเลือกจากเด็กของเรา ทั้งสตูฯ ทั้งเด็กก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ด้วย”

 

“อ่อ ได้พี่ เดี๋ยวผมลองไปคุยดู”

 

“ฝากด้วยนะครับที่รัก” อาโปพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมจ้องมองศิลาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบที่ทำมาตลอด

 

“ค้าบบบบ” ศิลาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงลำดับที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันก็น่ารักมากเสียจนที่อีกฝ่ายอดยิ้มตามไม่ได้

 

หลังจากที่ได้พูดคุยกันตั้งแต่วันนั้นผ่านไปไม่ถึงสามอาทิตย์ ทุกอย่างก็ถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเกิดงานแคสติ้งในวันนี้ได้ เพราะเพียงแค่กานต์ไปเกริ่นพูดกับเตชินท์ว่าอาโปและศิลาต้องการอะไร เตก็รีบรับคำทันทีแบบที่แทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลยด้วยซ้ำ สนิทกันมาตั้งนานเวลาเพื่อนฝูงพี่น้องมีเรื่องให้ช่วย ก็ต้องรีบช่วยด้วยความยินดีอยู่แล้ว

 

“เอ้า! พี่เต หวัดดีครับ” ศิลาเอ่ยทักเมื่อเห็นเตชินท์เดินเข้ามาในสตู

 

“หวัดดีไอ้ศิลา ไม่เจอนานเลย” เตทักทายอีกฝ่ายก่อนจะมองไปรอบๆ “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”

 

“พี่โปกับพี่กานต์อยู่ข้างบนอ่ะพี่ กำลังเช็คความเรียบร้อยอยู่เลยครับ”

 

“อ่อ..”

 

“พี่เตกินไรมายังอ่ะ เอาไรมั้ยพี่”

 

“มีกาแฟป้ะ?”

 

“กาแฟร้อนนะพี่” ศิลาถามอีกฝ่ายเพื่อความชัวร์

 

“ได้ๆ พี่ไม่ติด”

 

“งั้นเดี๋ยวผมให้ป้าพรเอาขึ้นไปให้ พี่ขึ้นไปนั่งพักข้างบนก่อนก็ได้ครับ” ศิลายิ้มแล้วพูดก่อนจะที่เตชินท์จะหันหลังเดินขึ้นชั้นบนไป

 

สตาฟหลายคนเดินขวักไขว่กันไปมาทั่วบริเวณห้องสตูฯ ชั้นสอง โดยมีอาโปและกานต์คอยยืนควบคุมงานอยู่ไม่ห่าง ทั้งคู่ไม่เพียงแต่คอยดูความเรียบร้อยเพียงแค่นั้น แต่ก็ยังช่วยทั้งยกโต๊ะยกเก้าอี้ ช่วยจัดห้อง รวมไปถึงดูทีมงานเซ็ตกล้องและไฟเพื่อให้พร้อมสำหรับการแคสติ้งในวันนี้

 

“ไหนตอนแรกบอกว่าแคสภายในเล็กๆ ไงวะพี่” เตชินท์เอ่ยทักทันทีที่เดินเข้ามาถึงด้านในห้อง

 

“เอ้า ไอ้เต” อาโปเอ่ยทักแล้วเดินเข้าไปกอดผู้กำกับที่เป็นรุ่นน้องมาตั้งแต่สมัยเรียน

 

“หวัดดีพี่ แคสภายในแต่จัดซะใหญ่โตเลยนะ” เตชินท์แซว

 

“ก็นิดหนึ่งว่ะ เผื่อเก็บรูปไว้ใช้โปรโมทในเพจด้วยไง” อาโปตบไหล่เตชินท์ปุๆ แล้วเดินไปคุยกับสตาฟคนอื่นต่อ เพราะนี่ก็ใกล้เวลาเริ่มเต็มทีแล้ว

 

“เดี๋ยวมึงนั่งซ้ายสุดเลยนะ มีป้ายชื่อมึงวางอยู่” กานต์เดินเข้ามาบอกเตชินท์ที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น

 

“เค ขอบใจมากมึง”

 

“แดกไรป้ะ?” กานต์เอ่ยถาม

 

“กูสั่งกาแฟกับไอ้ศิลาไปแล้วอ่ะ”

 

“เคมึง” กานต์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วพูดต่อ “เดี๋ยวอีกแปบก็จะเริ่มละ กูไปทำงานต่อก่อน” ”

 

“อื้อ” เตชินท์ตอบแล้วเดินไปนั่งยังตำแหน่งที่มีป้ายชื่อของตัวเองกำกับไว้

 

เขานั่งพักเล่นมือถือรออยู่ได้ไม่นาน ป้าพรก็เดินเอากาแฟเข้ามาเสิร์ฟให้ รอยยิ้มของป้าพรที่ส่งมาให้เตชินท์ในขณะที่กำลังวางแก้วกาแฟไว้ตรงหน้านั้นก็ทำเอาเตชินท์รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง

 

“กาแฟค่ะ”

 

“ขอบคุณครับ” เตชินท์ยิ้มตอบ

 

อาโปและศิลาเดินตามเข้ามาหลังจากนั้น ทั้งคู่ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้กับป้าพรในขณะที่เดินสวนกันตรงประตูห้องซ้อมชั้นสอง ก่อนที่อาโปจะเดินไปนั่งประจำที่ของตัวเองบริเวณโต๊ะกรรมการ แล้วศิลาก็โอบกอดรอบคอคนพี่จากด้านหลังแล้วก้มลงหอมแก้มเพื่อให้กำลังใจจากนั้นก็เดินถอยออกไปอยู่ด้านหลังคอยให้สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ

 

“ยิ่งคบยิ่งหวานนะเนี่ยยย” เตชินท์เอนหัวมาใกล้อาโปก่อนจะกระซิบแซว

 

“ก็ปกตินะ” อาโปเอ่ยตอบพลางยิ้มขิงอีกฝ่าย

 

“หมั่นไส้!” เตชินท์เบะปากใส่แรงก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะใส่กันจนเสียงดังออกมา ทำเอาสตาฟหลายคนต้องหันมามอง

 

เสียงต๊อกแต๊กๆ เดินเข้ามาพร้อมร่างบางที่แต่งตัวเนี้ยบของกานต์พร้อมกับครูสอนแอคติ้งประจำสตูฯ อีกคนหนึ่ง เขาพาครูแอคติ้งมานั่งประจำที่ข้างๆ อาโปก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวอีก 5 นาทีจะเริ่มแล้วนะครับ”

 

“งั้นเดี๋ยวผมลงไปดูข้างล่างต่อนะ” ศิลาเดินเข้ามาบอกกานต์เมื่อได้ยินว่าการแคสติ้งกำลังเริ่มต้นขึ้น เพราะเกรงว่าจะไม่มีใครคอยดูแลด้านล่าง

 

ถึงแม้ว่าวันนี้อาโปจะจ้างสตาฟมาช่วยงานเพิ่มแล้วก็ตาม..

 

ทั้งเด็ก ทั้งผู้ปกครองอยู่กันเต็มด้านล่าง ใบสมัครถูกทยอยหยิบไปจากโต๊ะลงทะเบียนแล้วเขียนข้อมูลของตัวเองลงไป ศิลานั่งมองอยู่ที่เคาท์เตอร์ยิ้มรับผู้คนที่เดินเข้ามาขวักไขว่ ก่อนจะมีสัญญาณจากด้านบนลงมา ศิลาจึงหันไปกระซิบกับน้องสตาฟที่คอยรันคิวอยู่ด้านล่าง

 

“เริ่มได้เลย”

 

น้องคนแรกเดินขึ้นชั้นสองไปพร้อมกับความตื่นเต้นที่แสดงออกมาให้เห็นได้ชัดจนศิลาและสตาฟที่ยืนอยู่ตรงนั้นหันมามองหน้ากันแล้วเผลอยิ้มให้กันเพราะเอ็นดูในสิ่งที่เห็น กิจกรรมนั้นยังคงดำเนินไปได้ระยะหนึ่งท่ามกลางการเฝ้าคอยและความตื่นเต้นที่จะได้เข้าไปแคสติ้งด้านบนของเด็กๆ และผู้ปกครอง

 

ปัง!

 

เสียงเปิดประตูกระแทกผนังดังลั่นจนทำเอาทุกคนที่อยู่ชั้นล่างต้องหันมามอง

 

“หวัดดีฮะ” เอ็มเปิดประตูแล้วพุ่งตัวเข้ามาดังเช่นที่เคยเป็นทุกครั้งที่เขามาเรียนที่นี่

 

“ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ” ศิลาเอ่ยแซวพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอือมระอา

 

“โห่ ผมแค่ตื่นสายเอง” เอ็มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ก็ยังทันอยู่นี่ครับ”

 

“อ่ะ มาเอาใบสมัครไปเขียนก่อนไป” ศิลาพูดพร้อมหยิบใบสมัครบนโต๊ะยื่นให้เอ็มในขณะที่กำลังเดินตรงเข้ามา

 

หลังจากที่เอ็มกรอกใบสมัครอะไรจนเรียบร้อยแล้วนั้น เขาก็นั่งรอตามคิวเหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป แต่ที่ดูจะไม่เหมือนอย่างหนึ่งก็คือมันเอาแต่จะคอยมาคุยมากวนศิลาอยู่ตลอด อาจคงเพราะเขาเบื่อที่จะนั่งรอเฉยๆ เพียงอย่างเดียวล่ะมั้ง

 

ฝ่ายศิลาเองก็ไม่ได้แสดงกิริยาที่บ่งบอกถึงความรำคาญออกมาสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าในใจอยากจะมีช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัวนั่งดูรายการในยูทูปหรือทำอะไรโดยที่ไม่ต้องมีน้องน้อยอย่างเอ็มมากวน แต่เขาก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่อยากจะทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึกโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับชีวิตของน้องด้วย

 

“แกไม่เอาเวลาไปเตรียมตัวหรอ ใกล้ถึงคิวละนะ” ศิลาเอ่ยถามขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกว่าความเฮฮาของอีกฝ่ายไม่ได้เพียงจะรบกวนตัวเขาแค่คนเดียว แต่ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่แถวนั้นเริ่มจะมองมาที่เอ็มอยู่บ่อยครั้ง

 

“ไม่รู้จะเตรียมอะไรอ่ะพี่”

 

“ไปนั่งทำสมาธิก็ยังดีมั้ย เตรียมร่างกายให้พร้อมจะได้ไม่เกร็งเวลาเข้าไปแคส”

 

“จริงจังไปมั้ยพี่” เอ็มพูดพลางติดตลก

 

“โอกาสมาทั้งทีนะเว้ย แกไม่เห็นหรอว่ามีคนอยากได้มันมากแค่ไหน ทำดีๆ เกิดได้งานนี้ขึ้นมาละดัง แกจะสบายเลยนะเว้ย หาเงินได้แต่เด็กน่าภูมิใจจะตาย” ศิลาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาเอ็มที่นั่งฟังอยู่รู้สึกจริงจังตามไปด้วย

 

“น้องเอ็ม คิวต่อไปนะคะ” สตาฟที่คอยรันคิวเดินมาเอ่ยเรียกชื่อตรงบริเวณโถงรับรองแขกตรงด้านหน้าสตูฯ ศิลากับเอ็มที่นั่งอยู่ตรงเคาท์เตอร์ได้ยินแบบนั้นก็หันไปตามเสียงเรียก ก่อนที่ศิลาจะตบบ่าเอ็มเบาๆ แล้วดันหลังเดินอีกฝ่ายเดินไปนั่งรอคิวเพื่อเตรียมขึ้นไปแคสติ้งยังชั้นสอง

 

ทันทีที่เอ็มเดินผ่านประตูเข้าห้องแคสติ้งไปกรรมการทั้งสามคนก็ยิ้มแย้มให้เป็นอย่างดี เพียงเพราะทุกคนไม่อยากให้น้องๆ ที่เข้ามาแคสเกิดอาการกดดันแล้วไม่ได้โชว์ศักยภาพเต็มที่ ฝ่ายเอ็มเองเมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในก็ยิ้มแฉ่งตามสไตล์ รอยยิ้มของเอ็มทำเอากรรมการอย่างเตชินท์และครูสอนแอคติ้งรู้สึกถูกอกถูกใจตั้งแต่ที่เห็นครั้งแรก ยกเว้นก็แต่อาโปนี่แหละที่ยิ้มฝืนๆ เหมือนกับว่ายิ้มให้ตามมารยาทเพียงเท่านั้น เพราะรู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่คราวก่อนที่เห็นเอ็มมายุ่งวุ่นวายกับศิลาแฟนของเขา

 

“สวัสดีครับ” เอ็มเอ่ยทักพร้อมยกมือไหว้กรรมการที่นั่งอยู่ในห้อง

 

“ครับ แนะนำตัวได้เลยครับ” เตชินท์พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

 

“สวัสดีครับ ผมชื่อเอ็ม อครา อายุ 19 ปี...”

 

เอ็มเริ่มเอ่ยแนะนำตัวพร้อมบอกประวัติส่วนตัวรวมถึงความสามารถพิเศษต่างๆ ของตัวเองให้เหล่ากรรมการฟัง หลังจากนั้นแต่ละคนต่างก็ขอให้เอ็มแสดงความสามารถต่างๆ ให้ดู ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือว่าการเต้น และอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เพราะนี่คือการแคสติ้งเพื่อหานักแสดง นั่นก็คือการขอดูสกิลทางด้านการแสดงจากเอ็ม

 

บทซีรีส์ตัวอย่างที่เตชินท์หยิบเอามาใช้แคสติ้งในวันนี้ก็เป็นซีนที่คัดเลือกมาจากในบทจริงที่เขาจะใช้ถ่ายทำ ซึ่งก็เลือกซีนเด็ดๆ มาใช้คัดเลือกในวันนี้ แล้วก็ต้องบอกว่าเป็นความท้าทายสำหรับทุกคนที่เข้าคัดเลือก เพราะมันก็ค่อนข้างยากสำหรับเด็กใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมาก่อน

 

แต่ไม่ใช่กับเอ็ม...

 

เพราะตั้งแต่ที่เอ็มเริ่มทำการแสดงก็สามารถดึงดูดทุกคนในห้องนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าเพราะพรสวรรค์หรือเพราะได้เรียนแอคติ้งมาบ้างก็ไม่อาจแน่ใจได้ แต่การแสดงของเขาในตัวละครที่ได้รับนั้นมันช่างมีเสน่ห์และดูธรรมชาติเสียจนคิดว่าตัวละครนั้นเป็นตัวของเอ็มเอง

 

พอทุกอย่างจบลงก็ทำเอากรรมการทั้งสามคนต้องหันมามองหน้ากัน เพราะนี่แหละคือคนที่เตชินท์ตามหา ฝ่ายครูสอนแอคติ้งเองก็ส่งสัญญาณให้ว่าคนนี้ผ่าน ส่วนอาโปก็ได้แต่เขียนลงในกระดาษว่าโอเคก่อนจะเลื่อนกระดาษแผ่นนั้นไปให้เพื่อนรุ่นน้องอย่างเตชินท์ได้มองดู พอเห็นแบบนั้นเตชินท์ก็พยักหน้ารับก่อนจะหันไปคุยกับเอ็มต่อ

 

“ทำได้ดีเลยนะครับ มีเสน่ห์มาก น่าสนใจ”

 

“ขอบคุณครับ” เอ็มถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นไหว้

 

“ไว้ติดต่อกลับไปนะครับ ขอบคุณครับ” เตชินท์พูดก่อนจะยิ้มให้

 

เอ็มกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาด้วยความดีใจ ทำเอาทุกคนที่อยู่ด้านล่างหันมามองเป็นตาเดียว ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวแล้วรีบกลับมาทำตัวเหมือนปกติ ศิลาที่เห็นท่าทางแบบนั้นของเอ็มก็แอบติติงด้วยสายตาไปเล็กน้อยจนอีกฝ่ายต้องหัวเราะแหะๆ ออกมา

 

การแคสติ้งดำเนินไปจนจบก็เป็นเวลาเกือบเย็น ทุกคนดูท่าทีเหนื่อยล้าแบบมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สตาฟหลายคนที่ยืนมาทั้งวัน รวมถึงกรรมการเองก็อ่อนเพลียไม่แพ้กัน พอเด็กๆ ที่มาแคสรวมถึงผู้ปกครองพากันกลับบ้านไปหมด ก็ได้เวลาที่อาโปบอกให้สตาฟทั้งหลายกลับบ้าน

 

ศิลากับกานต์เองก็อาสาพาครูสอนแอคติ้งที่มาร่วมเป็นกรรมการในวันนี้ไปส่งที่ลานจอดรถ ทำให้ในเวลานี้ทั้งห้องเหลือเพียงแค่อาโปกับเตชินท์เท่านั้น

 

“ขอบใจมากนะน้องที่อุตส่าห์มาวันนี้” อาโปพูดขอบคุณพลางตบไหล่เตชินท์เบาๆ

 

“ไม่เป็นไรพี่ ยินดีช่วย”

 

“ว่าแต่มีใครใช้งานได้มั้ย” อาโปเอ่ยถามต่อ

 

“ก็มีหลายคนเลยพี่ ตัวสมทบ เอ็กซ์ตร้างี้” เตชินท์เอ่ยพูดตามที่ตัวเองรู้สึกจริงๆ

 

“แรงอยู่นะน้อง” เสียงตอบของอาโปออกแนวทีเล่นทีจริง แต่จริงๆ ก็แอบรู้สึกอยู่เหมือนกันว่าเด็กที่มาเรียนที่สตูฯ ของเขาส่วนใหญ่ยังไม่ถึงเกณฑ์ใช้งานได้จริง

 

“เอ้ยพี่ ผมไม่ได้จะว่าอะไรนะเว้ย ไม่ได้ตั้งใจ”

 

“ไม่เป็นไรๆ พี่ก็แซวขำๆ น่า” อาโปบอกปัดเมื่อเห็นสีหน้าละล่ำละลักของเตชินท์

 

“อ่อ นั่นแหละพี่ แต่ผมชอบน้องเอ็มนะ น่าจะปั้นต่อได้ ดูมีอะไร”

 

“อ๋อ..” อาโปตอบแล้วนิ่งๆ ไป “ก็..ลองเลือกดูเว้ย ชอบคนไหนก็บอกไอ้กานต์ไว้ ไม่ก็ศิลาก็ได้”

 

“เคพี่”

 

“งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ นัดคุยธุระไว้ตอนทุ่มนึง เดี๋ยวไปไม่ทัน” อาโปพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกไป โดยมีเตชินท์เดินตามหลังลงมา

 

ศิลาที่เดินกลับมาจากการไปส่งแขกพร้อมกานต์ เห็นอาโปสะพายกระเป๋าเดินลงมาก็อดแปลกใจที่จะถามออกไปไม่ได้

 

“พี่โปจะไปไหนอ่ะ” ศิลาเอ่ยถามอย่างสงสัย

 

“อ้อ พี่มีนัดคุยงานทุ่มหนึ่งอ่ะ เจอกันที่บ้านนะครับ” อาโปเดินเข้ามาโอบเอวศิลาเบาๆ ก่อนจะหอมแก้มอีกฝ่ายแล้วยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป

 

“เหม็นจริ๊งงงง!!!” กานต์พูดแซวเมื่อประตูด้านหน้าของสตูฯ ปิดลง

 

“เออ ยิ่งคบกันนานยิ่งรักกันจั๊งงง” เตชินท์เอ่ยพูดต่อ

 

“ก็ปกติป้ะ” ศิลายักไหล่แล้วยิ้มเยาะเย้ย เพราะอยากแกล้งขิงรุ่นพี่สองคนที่อยู่ตรงหน้า

 

“รำคาญ!!!” กานต์ส่ายหัวใส่รุ่นน้องคนสนิท

 

“ฮ่าๆ” ศิลาระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นท่าทีของคนตรงหน้า “เอ้อ พี่กานต์จะกลับไงอ่ะ ให้ผมไปส่งป้ะ? หรือจะกลับกับพี่เต”

 

“เดี๋ยวกลับกับไอ้เตดีกว่า”

 

“ถามกูยัง?” เตชินท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกวน

 

“ไม่ต้องถามหรอก ยังไงมึงก็ต้องไปส่งกูอยู่ดี” กานต์เอ่ยพูดแกมบังคับ

 

“งั้นกลับกันดีๆ นะพี่” ศิลาเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มหวานประจำตัว แต่ยังไม่ทันที่จะได้แยกย้ายกันไปไหนเตชินท์ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้เลยเอ่ยพูดออกมา

 

“เอ้อ.. มึง น้องเอ็มอ่ะ ไม่ได้ติดสัญญาที่ไหนใช่ป่ะ”

 

“ไม่มีนะพี่ มันเคยเล่าว่าไม่เคยทำงานในวงการมาก่อนเลย แต่มันชอบเลยขอแม่มาเรียนที่นี่อ่ะ” ศิลาเอ่ยตอบตามสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเอ็ม

 

“อ่อ..”

 

“ทำไมอ่ะ พี่สนใจหรอ” ศิลาถามต่อ

 

“อือ.. เด็กมันมีของนะ เป็นคนเดียวในวันนี้ที่พี่เห็นว่าน่าจะเอาไปใช้งานจริงได้ แล้วก็น่าจะปั้นได้ไม่ยาก” เตชินท์เอ่ยพูดพลางคิดไปด้วย “แต่ก็คงต้องขัดเกลาอีกเยอะแหละ”

 

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลยพี่ เดี๋ยวทางผมจัดการเอง” ศิลาพูดแล้วยักคิ้วข้างเดียวใส่ โดยมีสายตาของกานต์และเตชินท์มองมาด้วยความแปลกใจ

 

“หื้ม?” ทั้งกานต์และเตชินท์ส่งเสียงแห่งความสงสัยออกมาพร้อมกัน

 

“ก็เดี๋ยวผมซัพพอร์ตน้องเอง เป็นสปอนเซอร์ให้เลยไง เอ็มมันจะได้เก่งขึ้นไวๆ เดี๋ยวจัดเต็มสอนให้แบบเข้มข้นเลย เรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวทางสตูฯ ดูแลเองไม่ต้องห่วงครับ”

 

“เอาว่ะ ไอ้ศิลาจะปั้นเด็กฝึกสินะ” กานต์เอ่ยแซว

 

“ช่ายพี่ ถ้าไอ้น้องเอ็มมันทำได้ดี สตูฯ ก็ได้ประโยชน์ ทางซีรีส์ก็ได้ประโยชน์ แฟร์ๆ ดีออก” ศิลาเอ่ยเจื้อยแจ้ว

 

“เออๆ แล้วแต่มึงเลย แต่กูจองไว้ก่อนนะเด็กคนนี้อ่ะ มีบทให้ลงแน่ๆ” เตชินท์กล่าวย้ำกับศิลา

 

“เคพี่ ไม่ต้องห่วงเลย”

 

“กูไปละ ไว้เจอกันมึง” เตชินท์พูดจบก็ยกมือขึ้นโบกลาโดยมีกานต์หันมายิ้มแล้วขยับปากแบบไม่มีเสียงว่า “ไปละ บาย”

 

“กลับดีๆ นะพี่” ศิลาเอ่ยบอกก่อนจะยืนมองคนทั้งสองเดินออกจากสตูฯ ไป ส่วนตัวเองก็ได้เวลาที่จะกลับบ้านสักทีหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน

 

ติ๊ดๆๆๆ

 

เสียงกดรหัสประตูดังขึ้นก่อนที่มันจะถูกเปิดออกแล้วขาเรียวยาวก็ก้าวผ่านเข้ามาข้างใน สายตาของศิลาประหลาดใจเมื่อเห็นว่าภายในถูกเปิดไฟเอาไว้และมีเสียงทีวีดังลอดออกมา

 

“พี่โป” เขาตะโกนเรียกออกไป

 

“...”

 

“พี่โปค้าบบบ” เขาเอ่ยเสียงเรียกอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปยังบริเวณห้องนั่งเล่น

 

“กลับมาแล้วหรอ..” ศิลาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงอาโปเอ่ยทัก

 

“ไหนพี่บอกว่ามีประชุมต่อไง ทำไมกลับมาเร็วจัง” ศิลาถามด้วยความสงสัย

 

“จริงๆ ไม่ได้มีประชุมหรอกครับ พี่แค่รีบกลับมาเตรียมเซอร์ไพรส์หนูนั่นแหละ”

 

“เซอร์ไพรส์? อะไรครับ”

 

“ก็วันนี้หนูเหนื่อยมาทั้งวัน พี่เลยอยากรีบกลับมาเตรียมอาหารให้ไง” อาโปพูดพลางยกจานที่ใส่อาหารที่เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ ให้อีกฝ่ายดู

 

“โถ่ พี่โป... ขอบคุณนะครับ” ศิลาเอื้อมมือไปรั้งแขนอาโปแล้วให้เดินมานั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ส่วนอาโปก็ขยับแข้งขาตามมาก่อนที่จะวางจานอาหารลงบนโต๊ะด้านหน้าแล้วหย่อนตัวนั่งตามอีกฝ่าย

 

“กินเลยมั้ย เดี๋ยวพี่ไปตักข้าวมาให้ หรือจะอาบน้ำก่อนดีครับ” อาโปถาม

 

“พี่โป..ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย เราก็เหนื่อยเหมือนกันทั้งคู่อ่า..” ศิลาเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งรู้สึกผิดและทั้งเป็นห่วง

 

“ก็พี่อยากให้หนูสบายนี่นา ไม่ต้องคิดมากหรอก พี่เต็มใจทำครับ” อาโปตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพลางยกมือขึ้นประคองใบหน้าหวานก่อนจะใช้เรียวนิ้วลูบคลึงเบาๆ

 

“เมื่อไหร่พี่จะเลิกน่ารักเนี่ย ทำผมตกหลุมรักได้ทุกวันเลย”

 

“ไม่มีวันนั้นแน่นอน!”

 

“ถ้าพี่ผิดคำพูดล่ะก็.. โดนผมจัดหนักแน่!!”