หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...
รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,อาโปรักศิลา,นิยายวาย,วาย,Yaoi,BL,BoyLove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...
หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...
ผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างกายของคนทั้งสองที่กำลังนอนกอดกันกลมหลังจากผ่านการซุกไซร้กันอย่างหนักหน่วงมาเมื่อคืนนี้ ความอุ่นจากผ้านวมและอ้อมกอดทำให้คนทั้งคู่หลับสบายแม้อากาศจากแอร์จะเย็นยะเยือกสักเพียงไหนก็ตาม
“อื้อ..” ศิลาครางในลำคอเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของอาโปที่กำลังเคลื่อนตัวเพื่อเปลี่ยนท่านอน
“ขอโทษครับ พี่ทำหนูตื่นรึเปล่า” อาโปเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียง
ศิลาส่ายหัวเบาๆ แทนคำตอบ
จุ๊บ~
“มอร์นิ่งคิสครับ” อาโปยื่นหน้าเข้ามาบรรจงกดริมฝีปากของตัวเองลงบนแก้มของศิลาด้วยความทะนุถนอม
“ตื่นไวจังครับวันนี้ สตูปิดไม่ใช่เหรอครับ” ศิลาเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ใช่ครับ” อาโปอมยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้นลูบปอยผมที่ตกมาปรกหน้าผากของอีกฝ่าย “แต่วันนี้พี่อยากทำอาหารให้หนูกินนี่นา”
“น่ารักจัง”
“นอนต่อเถอะ เดี๋ยวพี่ทำเสร็จแล้วจะขึ้นมาเรียกนะครับ” อาโปเอ่ยบอกก่อนจะขโมยหอมแก้มไปอีกครั้งแล้วลุกออกจากเตียงแล้วตรงออกไปยังห้องครัวทันที
ศิลาพยายามจะหลับตาลงเพื่อนอนต่อ แต่พอแสงสว่างได้กระทบกับกระจกตาเข้าแล้วก็ไม่อาจทำให้เขาข่มตาหลับลงได้อีก เขาพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ มุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มก็แล้ว นอนคว่ำก็แล้ว นอนหงายก็แล้ว แต่ก็ไม่สามารถนอนหลับต่อไปได้
มือขวาที่ว่างอยู่เอื้อมไปคว้ามือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงบริเวณใต้โคมไฟ แสงจากหน้าจอสองสว่างขึ้นทันทีที่ศิลาปลดล็อก แจ้งเตือนแสดงผลอยู่เต็มไปหมด เขากดเปิดดูทุกแอพลิเคชั่นที่ปรากฏตัวเลขสีแดง เขาไล่ตอบจนหมด ก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไป
ร่างบางของศิลาเดินมายังห้องนั่งเล่นด้วยกลิ่นกายหอมฉุยจากครีมอาบน้ำและโลชั่นทาผิวกาย ความสดชื่นปรากฏเด่นชัดหลังจากที่เขาได้อาบน้ำ นิ้วเรียวกดเปิดทีวีเพื่อหาอะไรดูรอเวลาที่อาโปจะทำอาหารเสร็จ เสียงเครื่องครัวดังแว่วออกมาให้ได้ยินอยู่เนืองๆ เป็นสัญญาณว่าอาหารกำลังถูกคนพี่สร้างสรรค์อยู่
“มาแล้วววว” อาโปในชุดเสื้อยืดสีเทาและกางเกงขายาวใส่ผ้ากันเปื้อนถือชามอาหารเดินมาวางไว้ตรงหน้าศิลา
“ข้าวต้มหมูเห็ดหอมหรอครับ” ศิลาถามทันทีที่เห็นหน้าตาของเมนูในชาม
“ช่ายยย”
“น่ากินมากเลยพี่โป”
“หมายถึงพี่หรือข้าวต้มครับ” อาโปยิ้มถามอย่างเจ้าเล่ห์
“ข้าวต้มสิครับ” ศิลายิ้มล้อเลียน
“โถ่ เสียใจนะเนี่ย” อาโปแสร้งทำหน้างอนพองแก้มตุ่ย
“แบร่!” ศิลาแลบลิ้นใส่ก่อนจะคว้าเอาช้อนมาจ้วงตักข้าวต้มขึ้นมากิน
“ระวังร้อนนะหนู” อาโปเอ่ยเตือน เพราะข้าวต้มชามนี้เพิ่งจะตักขึ้นมาจากหม้อร้อนๆ เมื่อครู่
“ครับ”
กริ๊งงงง~
เสียงริงโทนจากมือถือของอาโปดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูหน้าจอแสดงรายชื่อว่าเป็นสายเข้าจากเตชินท์ เขาจึงขอตัวลุกออกจากตรงบริเวณห้องนั่งเล่นแล้วเดินไปหามุมเงียบๆ เพื่อกดรับสายแล้วคุยกับอีกฝ่าย
“ว่าไงน้อง” อาโปเอ่ยทัก
(ฮัลโหลพี่ ว่างคุยป้ะ)
“ได้ๆ”
(เออ ผมไปคุยกับทีมมาละนะ สรุปว่าน่าจะเอาน้องเอ็มนี่แหละเป็นพระเอก)
“จริงป่ะเนี่ย! ขอบใจมากน้อง” สีหน้าของอาโปแสดงความดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าลำพังเขาจะไม่ค่อยถูกชะตากับน้องเอ็มสักเท่าไหร่
(เห้ย ไม่เป็นไรพี่ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เด็กมันมีของ)
“นั่นแหละๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้โอกาสเด็กมัน”
(แต่ก็ยังต้องฝึกเพิ่มอีกหน่อยแหละพี่)
“อ่า เข้าใจได้”
(นั่นแหละ ผมบอกไอ้ศิลาไปละ มันบอกเดี๋ยวซัพพอร์ตเอง)
“หื้ม? ขนาดนั้นเลยหรอ” อาโปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
(ช่ายพี่ มันบอกเดี๋ยวสตูฯ ดูแลเอง จะเป็นสปอนเซอร์ให้น้องเอ็มงี้)
“อ่อ...” อาโปตอบแล้วเงียบไป
(มีอะไรป่ะพี่) เตชินท์ถามกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไป
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” อาโปรีบบอกปฏิเสธเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองเพิ่งจะรู้ข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก
(เคพี่ ไว้คุยกัน ผมไปทำงานต่อก่อน)
“เคๆ”
อาโปกดวางสายหลังจากพูดจบ ความหงุดหงิดเริ่มปะทุขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ภายในใจ ด้วยสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินจากคำบอกเล่าของเตชินท์ ทำให้เขาค่อนข้างไม่พอใจที่ศิลาแอบตัดสินใจอะไรที่ไม่ปรึกษากันก่อน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยต่อว่าอะไรในเรื่องงานเลย เพราะน้องก็ทำได้ดีมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้เขาคิดว่ามันออกจะด่วนตัดสินใจไปสักหน่อย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือสตูฯ ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพียงเพื่อเด็กแค่คนเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะสามารถต่อยอดแล้วทำรายได้กลับคืนมาได้คุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน มันควรจะต้องได้คุยกันก่อนจะตัดสินใจออกปากไปแบบนั้นกับคนอื่น เพราะนี่มันคือโลกของการทำธุรกิจ
จะบอกว่าอาโปใจแคบเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนักหรอก...
และถ้าจะบอกว่าเขาอคติกับเอ็มมากเกินไป เขาก็ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพราะความจริงก็เป็นอย่างนั้น
แต่เขาก็ไม่ได้หน้ามืดตามัวจนไปขัดขวางอนาคตของเด็กหรอกนะ เพียงแต่การทำธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับหลายๆ ฝ่ายมันควรจะมีการปรึกษาหารือกันอย่างรอบคอบเสียก่อน
อาโปเดินหน้าตึงกลับเข้ามาหาศิลาในห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้กินข้าวเสร็จจนอิ่มแปล้แล้วนอนตีพุงดูทีวีอยู่
“ใครโทรมาเหรอครับ” ศิลาเอ่ยถามโดยที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่ในทีวี
“...”
ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย
“พี่โป” ศิลาเอ่ยเรียกแล้วหันขวับมามองก็เห็นสีหน้าบึ้งตึงของคนพี่จนทำเอาเขาเองอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“พี่โปเป็นอะไรครับ”
“เรามีอะไรจะบอกพี่มั้ย” อาโปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นสายตาที่ตวัดมามอง ทำเอาศิลาขนหัวลุกซู่
“หื้ม? อะไรครับ”
“เรื่องสตูฯ ที่จะสปอนให้เอ็ม” อาโปพูดออกมาตรงๆ เพราะไม่อยากอ้อมค้อม
“อ่อ”
“ทำไมไม่ปรึกษาพี่ก่อน..”
“ก็ผมเห็นว่าเราไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ” ศิลาน้ำเสียงอ่อนลงทันที
อาโปเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา เพราะเขารู้ว่าคนน้องตัดสินใจทำแบบนั้นไปก็เพราะมีเจตนาที่ดี เพียงแต่ว่ามันอาจจะลัดขั้นตอนไปเสียหน่อย แล้วอีกอย่างไอ้สายตาออดอ้อนที่ซ่อนแววเศร้าสร้อยไว้แบบนั้น ก็ทำเอาอาโปใจอ่อนไม่กล้าดุคนตรงหน้าต่อไปได้อีก
“พี่เข้าใจ แต่วันหลังมีอะไรก็บอกพี่ก่อนนะครับ”
“ครับ..”
“เพราะถ้าเกิดมันมีปัญหาอะไรขึ้นมา สตูฯ เราจะเสียประโยชน์ได้นะ เราทำธุรกิจไม่ใช่องค์กรการกุศล พี่รู้ว่าหนูใจดีเลยยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนหลอกใช้ความใจดีตรงนี้มาเอาเปรียบเราทีหลังมั้ย พี่เป็นห่วงเฉยๆ”
“แต่พี่เตก็สนิทกันมาตั้งนานแล้วนี่ครับ มีแต่คนกันเองทั้งนั้น” ศิลาเอ่ยเสริม
“แต่มันก็มีคนอื่นด้วยไงครับ”
“พี่โปหมายถึง... น้องเอ็มหรอครับ”
อาโปไม่ได้ตอบเพียงแต่พยักหน้าหงึกๆ เท่านั้น
“ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบน้องมันที่มาวอแวกับผม แต่น้องมันเป็นเด็กดีนะพี่ เชื่อใจได้” ศิลาเอ่ยพูดด้วยท่าทีกระตือรือร้นขึ้น ทำเอาอาโปอดเอ็นดูไม่ได้
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ แค่เตือนไว้เฉยๆ”
“งั้นน.. เราทำสัญญากับเอ็มไว้ดีมั้ยครับ พี่โปจะได้สบายใจ อีกอย่างน้องเอ็มมันจะได้ไม่กล้านอกลู่นอกทางด้วย” ศิลาเสนอทางออกที่จะทำให้คนพี่รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
“ก็ดีนะ”
“เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับ พี่โปสบายใจได้”
“ขอบคุณครับ” มือหนาของอาโปยกขึ้นบีบแก้มยุ้ยๆ ของศิลาก่อนจะพูดต่อ “แฟนใครเนี่ยเก่งจัง”
“ก็แฟนพี่นั่นแหละ”
จุ๊บ~
ศิลาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีลอบหอมแก้มอาโปเพราะอดไม่ได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มกลั้วเสียงหัวเราะออกมาบางๆ จนแมวเหมียวอย่างเจ้าน้องที่นอนจุ้มปุ๊กอยู่หน้าทีวีต้องหันมามอง
“เอ้อ พี่โป เดี๋ยวออกไปซื้อของเข้าบ้านกันนะครับ”
“โอเค รอพี่อาบน้ำแป๊บนะ”
“ครับผมม”
เสียงรถเข็นที่ถูกลากไปตามทางเดินดังแกรกๆ อยู่เป็นระยะ ศิลาคว้าเอาของกินนู่นนี่ที่ตัวเองและอาโปชอบลงในรถเข็น ไม่ว่าจะของสด ของแห้ง ขนมขบเคี้ยว หรือแม้กระทั่งของใช้อื่นๆ หลังจากคบกันมาตั้ง 5 ปี ตอนนี้ไม่ว่าจะซื้อของอะไรพวกเขาต่างก็รู้ใจอีกฝ่ายไปซะหมด
ภาพอาโปเข็นรถและศิลาเป็นคนคอยหยิบของ เกิดขึ้นแบบนี้เสมอในทุกครั้งที่ทั้งสองคนออกมาซุปเปอร์มาร์เก็ต
“พี่ศิลา!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นเรียกจนทำให้เจ้าของชื่อต้องหันไปมอง
“เอ้า! ไอ้เอ็ม!” ศิลาเอ่ยทักเมื่อหันไปเห็นใบหน้าคุ้นเคยของน้องที่รู้จัก
“โลกกลมไปป่ะเนี่ย..” อาโปบ่นขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญอยู่หน่อยๆ ทำเอาศิลาที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินจนต้องแอบตีไหล่ไปเบาๆ
“ไม่เอาน่าพี่โป”
“หวัดดีครับพี่อาโป” เอ็มยกมือขึ้นไหว้ทักทายคนที่โตกว่าด้วยอาการเกร็งๆ อาโปรับไหว้ด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดาว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่
“แล้วแกมาทำไรแถวนี้อ่ะ” ศิลาถามอย่างสงสัย เพราะเท่าที่รู้บ้านไอ้น้องเอ็มก็อยู่ห่างออกไปแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละฝั่งจากบ้านเขา
“มาทำธุระแถวนี้อ่ะพี่ พี่อยู่แถวนี้หรอ”
“ช่าย” ศิลาตอบไปแทบจะทันควัน
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมดังมาจากอาโปทำเอาทั้งศิลาและเอ็มต้องหันมอง
“แล้วมาซื้อของเข้าบ้านกันหรอครับ” เอ็มถามต่อแต่ท่าทีก็ดูจะไม่กระโตกกระตากเท่าทีแรก
“ช่าย ปกติก็มาวีคละครั้งแหละ” ศิลาตอบพลางเดินต่อโดยมีเอ็มเดินตาม แต่สายตาของคนตัวบางก็ยังไม่วายหันไปมองคนพี่ที่เข็นรถเดินตามหลังด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าอาโปไม่ถูกชะตากับเอ็มสักเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่าเขาเป็นคนที่ต้องเผชิญหน้ากับหลายฝ่าย การที่จะให้เขาต้องมาตั้งกำแพงเพื่อหลีกหนีจากเอ็มก็ดูจะไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเท่าใดนัก ทางเดียวที่จะทำได้ดีในเวลานี้ก็คงต้องหาทางบาลานซ์ให้ได้ล่ะมั้ง
“แล้วนี่ไม่ต้องไปทำธุระเหรอ มาเดินตามพี่ต้อยๆ แบบนี้” ศิลาถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าคนข้างกายเริ่มไม่ยินดียินร้ายกับการมีอยู่ของเด็กน้อยคนนี้
“นั่นสิ” เสียงเย็นของอาโปดังขึ้น
“อ่อ.. กำลังรอเพื่อนโทรมาอยู่ครับ”
“อ๋อ งั้นพี่ขอตัวก่อนดีกว่า พอดีซื้อเสร็จละ เดี๋ยวต้องไปธุระต่ออีก” ร่างบางบอกปัดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่เอ็มเบาๆ “เจอกันนะน้อง”
“โอเคครับ” เอ็มยิ้มตอบแต่สายตาแอบระแวงเหลือบมองอาโปด้วยความหวาดหวั่น แล้วจึงยกมือบ๊ายบายเมื่อคนทั้งคู่เดินผ่านไป
ศิลาพาอาโปเดินเอาของในรถเข็นไปคิดเงินด้วยสายตาสงสัยของอีกฝ่าย เพราะอาโปไล่มองตามสิสต์ที่จดมาแล้วยังได้ของไม่ครบนี่นา แล้วทำไมถึงมาคิดเงินซะแล้ว
“เรายังซื้อไม่ครบเลยนะ” อาโปยื่นลิสต์สินค้าในมือถือให้คนน้องดู
“เราไปซื้อที่อื่นก็ได้ครับ”
“ทำไมอ่ะ ก็ซื้อให้มันเสร็จๆ ไปเลย จะได้กลับบ้านไงครับ”
“โห พี่ ก็บอกไอ้น้องเอ็มไปว่าจะไปธุระต่อ พี่ก็ได้ยินหนิ เราจะมาเดินซื้อต่อที่นี่ได้ไงล่ะ” ศิลาเอ่ยพูดแต่มือก็ยังหยิบของส่งให้แคชเชียร์อย่างต่อเนื่อง
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่...” คนพี่เอ่ยเสียงอ่อน
“ไม่เป็นไรได้ไงล่ะ หน้าพี่ตอนเจอไอ้เอ็มงี้บูดเป็นตูดเลย ผมก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศไง เลยคิดว่าเราไปซื้อที่อื่นก็ได้เนอะ” ศิลาพูดพลางยิ้มแป้น เพราะเขาเองก็แคร์ความรู้สึกอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ถึงเขาจะไม่ได้คิดอะไรกับน้องเอ็มก็จริง แต่การที่เขาต้องเห็นคนรักของเขาไม่สบายใจก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถปล่อยไปได้ ศิลาจึงตัดสินใจเลือกทางนี้เพราะจะได้รักษาน้ำใจของอาโปเอาไว้ด้วย
ถึงแม้มันอาจจะดูเกินไปสำหรับสายตาคนอื่นๆ ก็เถอะ
ข้าวของที่ทั้งคู่ซื้อมาในวันนี้ถูกวางกองไว้เต็มเคาท์เตอร์ในครัว ก่อนที่ศิลาจะค่อยๆ หยิบออกมาจัดเรียงให้เข้าที่เข้าทาง ของแห้งจับเรียงใส่ตู้ ส่วนของที่ต้องแช่เย็นคนตัวเล็กก็จับวางเรียงใส่ตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ
กริ๊งงง~!
เสียงมือถือของอาโปดังขึ้น แต่เจ้าของโทรศัพท์ดันกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ศิลาที่กำลังจัดข้าวของที่เพิ่งซื้อมาให้เข้าที่เลยวางมือจากตรงนั้นแล้ววิ่งมาดู ก็ได้เห็นหน้าจอมือถือของคนพี่ขึ้นโชว์รายชื่อผู้ที่โทรเข้ามาว่าเป็นสายจากเตชินท์รุ่นพี่คนสนิท
“ฮัลโหลพี่เต” ศิลากดรับสาย
(เอ้า พี่อาโปล่ะ)
“เข้าห้องน้ำอยู่อ่ะพี่ มีธุระอะไรมั้ยครับ”
(อ่อ ไม่มีไรๆ จะโทรมาบอกว่า เดี๋ยวแวะไปหาที่บ้านนะ พอดีไปต่างจังหวัดมาเลยซื้อขนมมาฝาก)
“อ่อ ได้พี่ มาถึงละบอกนะ เดี๋ยวลงไปรับค้าบ”
(เคน้อง)
ศิลากดวางสายในขณะเดียวกันกับที่อาโปเดินออกจากห้องน้ำมาพอดี
“ใครโทรมาหรอ”
“พี่เตอ่ะ เขาบอกว่าเดี๋ยวแวะเข้ามาหา ซื้อของมาฝากจากต่างจังหวัด”
“อ๋อ”
พอวางสายได้ไม่ทันจะถึงหนึ่งชั่วโมงสายเรียกเข้าจากเตชินท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมน้ำเสียงที่แจ้งบอกปลายสายว่ามาถึงแล้วกำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ รุ่นน้องอย่างศิลาก็รีบวิ่งแจ้นกดลิฟท์ลงไปรับทันที
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยไอ้เต” อาโปเอ่ยทักทันทีที่เตชินท์และศิลาเดินเข้ามาภายใน
“พอดีแวะไปเหนือมา ก็เลยซื้อไส้อั่ว แคปหมู แล้วก็น้ำพริกหนุ่มมาฝากอ่ะ” เตชินท์วางถุงของฝากลงบนโต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง
“เอาน้ำไรมั้ยพี่ มีน้ำส้มกับน้ำมะพร้าว” ศิลาเอ่ยถามขึ้น
“น้ำเปล่าละกัน”
“เคครับ” ศิลาตอบรับก่อนจะเดินหายเข้าครัวไป
“อ่ะ มีอะไรก็ว่ามา” อาโปหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เตชินท์ก่อนที่จะเอ่ยถามในคำถามที่เขารู้อยู่แล้วถึงจุดประสงค์ของเตชินท์ที่อุตส่าห์หอบสังขารมาถึงบ้านเขา ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเหนือแท้ๆ
“ก็เรื่องสปอนเซอร์อ่ะแหละ”
“ศิลาว่าไง พี่ก็ว่าตามนั้นแหละ เต็มที่” อาโปเอ่ยยิ้มๆ
“นั่นแหละ ผมก็เลยว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาศิลามาเล่นซีรีส์ด้วยเลยมั้ยพี่” เตชินท์กระซิบเสนอ เพราะกลัวศิลาได้ยินแล้วจะปฏิเสธไปซะก่อน
“อืมม.. ก็น่าสนใจแหละ แต่เอาที่เหมาะสมดีกว่า”
“ผมไงก็ได้พี่ หาบทลงให้น้องมันได้อยู่ละ คนกันเองทั้งนั้น ให้เขียนบทใหม่เพิ่มให้ยังได้เล้ยย” เตชินท์พูดพลางหัวเราะ
“งั้นตามใจแกเลย แต่ลองถามความสมัครใจเจ้าตัวดูก่อนละกันนะ” อาโปพูดพลางหันไปมองหน้าศิลาที่กำลังเดินเอาน้ำมาเสิร์ฟให้เตชินท์
“อะไรเหรอครับ” ศิลาถามด้วยสีหน้าสงสัยขณะวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะตรงหน้าแขกรุ่นพี่
“ไปเล่นซีรีส์กับกูมั้ย” เตชินท์เอ่ยถามศิลาออกไปตรงๆ
“ได้อ่อพี่”
“ได้ดิวะ คนกันเอง เดี๋ยวหาบทลงให้ จะได้คุ้มเงินไง”
“เงินไรวะพี่” ศิลาถามต่อ
“เอ้า! ไอ้ห่านี่ วันก่อนบอกเองว่าจะให้สตูเป็นสปอนเซอร์ซีรีส์อยู่เลย”
“อ๋อ เออ ผมลืมๆ ฮ่าๆ”
“นั่นแหละจะได้คุ้มเงินลงทุนของสตูไง”
“ไม่ดีกว่าพี่เต ผมเบื่อๆ แล้วอ่ะ” ศิลาส่ายหัวยิกๆ เพราะพอห่างจากงานเบื้องหน้ามาสักพัก ก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยถูกจริตกับงานในวงการบันเทิงสักเท่าไหร่แล้ว
“อ่าว ทำไมวะ” เตชินท์สงสัย
“ไม่รู้ดิพี่ ก็แค่รู้สึกงั้นอ่ะ อยากอยู่เบื้องหลังมากกว่าอ่ะ จะได้ช่วยงานพี่โปด้วย” ศิลาเอ่ยพูดพลางเอื้อมมือไปกุมมือหนาของอาโปที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่ต้องห่วงพี่หรอกครับ เอาตามใจเราดีกว่านะ” อาโปเอ่ยตอบด้วยเสียงนุ่ม
“ผมตัดสินใจแล้วครับพี่โป”
“อ่ะๆๆ เอางี้ อย่าเพิ่งรีบให้คำตอบ มึงลองเก็บเอาไปคิดดูก่อนก็ได้ กูไม่รีบหรอก ไว้สนใจเมื่อไหร่ก็ค่อยบอก กูพร้อมเสียบบทให้มึงเสมอ” เตชินท์พูดแล้วยกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
“เคพี่ แต่ทำใจไว้เลยนะว่าผมอาจปฏิเสธ ฮ่าๆ” ศิลาพูดไปยิ้มไปใจอยากปฏิเสธทันทีตรงนี้แต่ก็ยังอยากรักษาน้ำใจของรุ่นพี่เลยเลือกที่จะพูดแบบทีเล่นทีจริงซะมากกว่า
“เออๆ แล้วแต่มึงเลย” เตชินท์เอ่ยตอบรุ่นน้องตรงหน้าก่อนจะหันไปหาอาโป “งั้นผมกลับก่อนนะพี่”
“เออ กลับดีๆ น้อง มีอะไรไว้คุยกันอีกที”
ศิลาอาสาลงไปส่งเตชินท์ที่ด้านล่างโดยที่โดนอีกฝ่ายพูดตื้อตลอดเวลาให้ไปเล่นซีรีส์ที่เขากำกับ เพราะเตชินท์คิดว่าศิลาจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยดึงดูดคนดูให้เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากกระแสคู่อาโปและศิลาที่มีมาอย่างเนิ่นนานหลายปี ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ออกสื่อ แต่พื้นที่ในโซเชียลออนไลน์ก็ยังไม่เคยหยุดพูดถึงทั้งสองคนนี้เลยแม้แต่น้อย
วันรุ่งขึ้นศิลายอมแบกแคปหมู ไส้อั่วและน้ำพริกหนุ่มไปสตูเพราะจะได้เอาไปแบ่งให้ป้าพรและกานต์ได้ลองชิมด้วย เขาไปถึงก็รีบเดินบึ่งเข้าไปในครัวของสตูทันที แล้วรีบจัดแจงไส้อั่วกับน้ำพริกและแคปหมูใส่จานซะสวยงามจนอาโปที่เดินเข้ามาเห็นก็แอบประหลาดใจอยู่เหมือนกัน
“โอ้โหห จัดจานซะสวยเลยครับ”
“นิดหนึ่งครับ คนกินจะได้กินอาหารตาไปด้วยไงครับพี่โป”
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องครัวที่ถูกเปิดทิ้งไว้ดังขึ้น
“คุณอาโปกับคุณศิลามาทำอะไรในครัวแต่เช้าคะ” ป้าพรเอ่ยทักขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใสประจำตัว
“เอ้า! ป้าพรหวัดดีครับ พอดีเมื่อวานได้ไส้อั่วมาเยอะเลยครับ เลยเอามาแบ่งกันทานฮะ” ร่างบางเดินถือจานมาที่จัดอาหารไว้สวยงามมายื่นให้ป้าพรดู
“น่าทานจังเลยนะคะ”
“ป้าพรกินด้วยกันสิครับ ลองชิมดูเลยครับ”
“เดี๋ยวป้าเอาจานมาแบ่งไว้ดีกว่าค่ะ เพิ่งทานข้าวเช้ามา” ป้าพรเดินไปหยิบจานในครัวมาแบ่งไส้อั่วกับน้ำพริกเอาไว้ “ขอบคุณมากนะคะ”
“ครับป้า” ศิลากับอาโปยิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป
จานไส้อั่วกับถ้วยน้ำพริกหนุ่มถูกวางไว้ตรงโต๊ะที่อยู่หลังเคาท์เตอร์โดยมีถุงแคปหมูวางอยู่ข้างๆ ด้วย ศิลาและอาโปหยิบส้อมจิ้มกินกันคนะละคำสองคำด้วยสีหน้าที่รับรู้ถึงความอร่อยนั้น ไม่นานเสียงประตูของสตูก็ดังขึ้นพร้อมกับกานต์ที่เดินถือถุงอาหารเต็มไม้เต็มมือแบบที่เคยเป็นอยู่ประจำ
“พี่กานต์มากินไส้อั่วกัน” ศิลาร้องเรียกพลางกวักมือ
“ห้ะ!” กานต์ชะงักหยุดเดินทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่คนน้องเอ่ยบอก
“อะไรพี่! ตกใจหมด”
“กูก็เอาไส้อั่วมาเหมือนกัน เมื่อวานไอ้เตมันซื้อมาฝากอ่ะ”
“เอ้า!” ทั้งอาโปและศิลาต่างร้องอุทานขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะหัวเราะร่า
“เห้อ.. กินกันให้พูดเหนือได้ไปเลย” อาโปเอ่ยแซว
“เก็บไว้ก่อนละกัน ไว้ค่อยๆ ทยอยกิน” เตชินท์พูดก่อนจะเดินหายไปเข้าในครัวไป
วันนี้ที่สตูมีคลาสเรียนช่วงบ่ายเพียงคลาสเดียวเท่านั้นก็เลยทำให้ช่วงเช้าแต่ละคนต่างก็ว่างกันหมด มีเพียงศิลาที่พอจะมีอะไรให้ทำอยู่บ้าง เพราะมีคนโทรมาสอบถามรายละเอียดของแต่ละคอร์สอยู่เรื่อยๆ
พอเข้าใกล้เที่ยงวันเสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยใบหน้าของเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น พร้อมเสียงทักอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวทุกครั้งที่เขามาถึงที่นี่
“หวัดดีครับพี่ศิลา” เอ็มยิ้มแฉ่งแล้วเดินตรงเข้ามานั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าเคาทเตอร์ของสตู
“มาเร็วอีกละ”
“ก็อยู่บ้านละมันเบื่ออ่า”
“ไม่มาตั้งแต่เช้าเลยล่ะ” ศิลาประชด
“ก็ถ้าตื่นเร็วคงมาแต่เช้าแหละ นี่กว่าจะตื่นก็ 11 โมงละ” เอ็มพูดพลางเปิดกระเป๋าเอาขนมปังที่แวะซื้อในเซเว่นเมื่อกี๊ออกมากินรองท้องก่อนจะเข้าเรียนในตอนบ่าย
“เอาอีกละ ทำไมไม่รู้จักกินข้าวกินปลามาก่อนจะมาเรียนห้ะ” ศิลาเอ็ดเบาๆ แล้วส่ายหัว
“ก็ที่บ้านไม่มีไรกินอ่ะพี่”
“เห้ออ แกนี่น้า” ศิลาเดินหายเข้าไปในครัวแล้วยกเอาไส้อั่วที่ป้าพรเพิ่งหั่นใส่จานออกมาวางที่เคาท์เตอร์ “อ่ะ ไส้อั่ว กินเป็นป่ะเนี่ย”
“ของโปรดเลยพี่” เอ็มคว้ามับเข้าที่จานก่อนจะเอาอีกมือที่ว่างหยิบส้อมมาจิ้มกินทันที
“อดอยากมาจากไหนห้ะไอ้เอ็ม” กานต์ที่เดินลงมาจากชั้นบนเห็นเข้าก็อดที่จะแซวไม่ได้
“ก็คนมันหิวนี่พี่” เอ็มหันไปตอบแล้วหันกลับมาจดจ่อกับไส้อั่วที่อยู่ตรงหน้าต่อ
กานต์แอบหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของเอ็มก่อนจะเดินตรงเข้ามาศิลาที่นั่งอยู่ตรงเคาท์เตอร์ “ไงมึง เห็นไอ้เตมาเล่าให้ฟังว่าจะเอามึงไปเล่นซีรีส์ด้วย”
“ใช่พี่”
“ละเอาไงอ่ะ ไหนบอกว่าไม่อยากรับงานในวงการแล้ว”
“ก็ปฏิเสธไปแล้วแหละ แต่พี่เตดิบอกว่าไม่ต้องรีบ ให้ไปคิดดูดีๆ ก่อน” ศิลาพูดก่อนจะถอนหายใจ
“ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ไอ้เตมันบังคับมึงไม่ได้หรอก บอกมันดีๆ มันก็ไม่เซ้าซี้แล้ว” กานต์เอ่ยพูดขึ้นตามความรู้สึกของตัวเอง
“คงอีก 2-3 วันแหละ ค่อยทักไปบอก”
“พี่ศิลาจะได้เล่นซีรีส์หรอ เอาดิๆๆ” เอ็มที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้ยินคนที่โตกว่าสองคนคุยกันก็รีบเคี้ยวไส้อั่วในปากลงคอทันทีก่อนที่จะเอ่ยถามออกไป
“นี่แกไม่ได้ฟังเลยรึไง ว่าพี่ไม่สนใจ” ศิลาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเอือมระอาเล็กน้อย
“โด่ววว ก็อยากให้พี่รับเล่นอ่ะ เผื่อได้ทำงานด้วยกันไง ผมอยากทำงานกับพี่อ่ะ นะๆๆๆ” เอ็มพยายามเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางออดอ้อนก่อนจะวิ่งข้ามเคาท์เตอร์เข้ามากอดศิลาแน่น
“พี่อึดอัด ปล่อยยยย” ศิลาพยายามจะดันอีกฝ่ายออกด้วยเพราะอึดอัดจริงตามที่พูด แต่อีกนัยหนึ่งก็ไม่ต้องการให้อาโปลงมาเห็น เพราะเขารู้ว่าร่างหนาขี้หึงและขี้หวงขนาดไหน
“ไม่ปล่อย จนกว่าพี่จะยอมตอบตกลงว่าจะรับเล่นซีรีส์ นะค้าบบบบ นะๆๆๆๆๆ” เอ็มกอดแน่นกว่าเดิมพลางซุกหน้าลงบริเวณหน้าอกของศิลา
“ไอ้เอ็มมม พี่อึดอัด!”
พลั่ก!
“เชี่ย!” เอ็มร้องตะโกนเสียงหลงเมื่อรู้สึกถึงแรงเหวี่ยงที่กระชากเขาออกจากตัวของศิลา
“พี่โป!!” ศิลาเอ่ยเรียกชื่อคนกระชากเสียงดังลั่น
“ทำอะไร ไม่ได้ยินหรอว่าพี่ศิลาเขาบอกว่าอึดอัดอ่ะ” อาโปเอ่ยเสียงเย็นพร้อมดวงตาแข็งกร้าวมองจ้องมาที่เอ็ม มือหนากำแขนเอ็มแน่น
“ขะ..ขอโทษครับ” เอ็มเอ่ยพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะความตกใจ ไม่เคยเห็นอาโปโกรธขนาดนี้มาก่อน
“อย่าให้เห็นว่าทำแบบนี้อีกนะ ไม่งั้นพี่นี่แหละที่จะเป็นคนตัดโอกาสในวงการของน้องเอง” อาโปขยับหน้าเข้าไปใกล้เอ็มก่อนจะเอ่ยพูด
เอ็มตัวสั่นกึกๆ ส่วนหนึ่งเพราะความเจ็บที่โดนกระชากแขนเมื่อครู่ อีกส่วนก็เพราะกำลังกลัวอาโปที่กำลังแผ่พลังด้านมืดออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“พี่โป ผมว่าพี่พูดแรงไปแล้วนะครับ ก็แค่เล่นๆ กันเอง” ศิลาพยายามพูดเพื่อให้คนพี่ใจเย็นลง
“แต่น้องเอ็มมันรังแกเราอยู่นะศิลา” อาโปเอ่ยแย้ง
“แค่แกล้งกันเล่นๆ จริงๆ พี่ ผมเป็นพยานได้” กานต์ช่วยพูดเสริมเมื่อเห็นว่าท่าทีไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แล้วก็สงสารเอ็มด้วยที่ต้องมาโดนงี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจทำอะไรเกินเลย แค่เล่นกันเฉยๆ
“ผมแค่แกล้งเล่นกันขำๆ กับพี่ศิลาเองครับ” เอ็มพูดพร้อมน้ำตาที่เริ่มคลออยู่ที่เปลือกตา
“ปล่อยน้องก่อนนะครับ” ศิลาพยายามแกะมือของอาโปออกจากแขนเอ็ม “มีสติหน่อยพี่โป เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ จะมาหึงอะไรกับเด็กตัวแค่นี้ มันไม่เข้าเรื่อง”
พอศิลาพูดจบกานต์ก็ยื่นมือมาดึงเอ็มหลบออกไปเพื่อให้คนทั้งสองคนได้คุยกันเอาเอง
“พี่ขอโทษครับ” อาโปเอ่ยบอกเสียงเบาเมื่อโดนคนน้องดุ
“เป็นอะไรไปพี่ ปกติไม่เคยเป็นงี้” ศิลาถามเพราะสงสัย ปกติคนพี่จะต้องควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่านี้สิ
“ขอโทษครับ พี่คงเครียดไปหน่อย พอดีเพิ่งประชุมเสร็จ มันมีปัญหานิดหน่อยครับ”
“แต่แบบนี้ไม่ถูกนะครับ พี่เครียดเรื่องงานแต่มาระเบิดลงที่น้องเอ็มเนี่ยนะ” ศิลาคิ้วขมวดเพราะเริ่มรู้สึกไม่โอเคแต่ก็ยังพยายามจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้มากที่สุด
“พี่...” อาโปถอนหายใจ
“ทำไมครับ”
“พี่ขอโทษนะครับ”
“ผมไม่โกรธพี่โปหรอก แต่คนที่พี่ควรขอโทษคือน้องเอ็มที่ยืนอยู่ตรงนั้นมากกว่านะครับ” ศิลาเอ่ยพูดพลางหันหน้าไปมองเอ็มที่ยืนอยู่กับกานต์ด้วยความหวาดกลัว
อาโปถอนหายใจก่อนจะหันหน้าแล้วเดินเข้าไปหาเอ็ม “พี่ขอโทษนะ เมื่อกี๊เป็นความผิดพี่เอง พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
“คะ...ครับ” เอ็มตอบด้วยความหวั่นใจ
“ใกล้เรียนแล้วหนิ ขึ้นไปเตรียมตัวเหอะ” อาโปตบไหล่เอ็มเบาๆ นั่งยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเกร็งและกลัวคนตรงหน้าเพิ่มอีกร้อยเท่า
เอ็มพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งขึ้นชั้นสองไปเพื่อเตรียมตัวเรียนการแสดง โดยมีกานต์เดินตามขึ้นไปและมีศิลามองตามอย่างเป็นห่วง
“เมื่อกี๊ไม่น่ารักเลยนะครับพี่โป ดีนะที่ไม่มีแขกคนอื่นอยู่ด้วย มีแต่คนกันเอง” ศิลาเอ่ยปรามอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าคนรักของตัวเองกระทำผิด
“พี่ขอโทษนะ มันจะไม่มีแบบนี้อีก พี่ขาดสติไปหน่อยครับ” อาโปเอ่ยพูดพลางขยับเข้ามาสวมกอดร่างบางแน่น
“ครับ ถ้ามีคราวหน้าผมเองจะไม่ใจเย็นแบบนี้เหมือนกันนะครับ พี่จะได้เห็นไปเลยว่าตอนที่โมโหร้ายมันทำร้ายคนอื่นยังไงบ้าง”
“ค้าบบบ” อาโปรับคำด้วยน้ำเสียงหวาน
“แต่เจองี้ไป ไอ้น้องเอ็มคงไม่กล้าเกาะแกะผมไปอีกนานเลยนะครับ ก็ถือซะว่าเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวของเหตุการณ์เมื่อกี๊แล้วกันนะครับ” ศิลายิ้มตอบก่อนจะโดนอาโปขโมยจุ๊บที่ปากเบาๆ ไปทีหนึ่งแบบที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
#อาโปรักศิลา