หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...

อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ) - บทที่ 6 อย่าปล่อยให้งานมากระทบความสัมพันธ์ของเรา โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,อาโปรักศิลา,นิยายวาย,วาย,Yaoi,BL,BoyLove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

อาโปรักศิลา,นิยายวาย,วาย,Yaoi,BL,BoyLove

รายละเอียด

อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ) โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...

สารบัญ

อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-Intro บทนำ,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 1 มาเริ่มกันเถอะ!,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 2 ไอ้เด็กนี่มันยังไงกันนะ,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 3 เอาไงล่ะทีนี้,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 4 อย่าตีกัน,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 5 แผลใจได้รับการเยียวยา,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 6 อย่าปล่อยให้งานมากระทบความสัมพันธ์ของเรา,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 7 ความเครียดถาโถม,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-ตอนพิเศษ 1 ส่วนที่ขาดหายไปในบทที่ 7 (NC),อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 8 เกิดข้อเปรียบเทียบ,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 9 หยุดยาวนี้อย่าให้ใครมาขวางสองเรา,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 10 ลองดูสักตั้ง,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 11 เป็นเรื่องจนได้,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 12 ถึงเวลาของแกสักที,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 13 Lucky in work but what about love?,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 14 ร่างกายอ่อนแอคนเทคแคร์เลยจำเป็น,อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-บทที่ 15 หนทางข้างหน้ายังคงยาวไกล (ตอนจบ),อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)-ตอนพิเศษ ครบรอบ 3 ปี #BDWAANJAI3YRS

เนื้อหา

บทที่ 6 อย่าปล่อยให้งานมากระทบความสัมพันธ์ของเรา

หลังจากเคลียร์ใจกับเอ็มเสร็จคืนนั้นพอกลับไปที่บ้าน ทั้งศิลากับอาโปก็ได้โอกาสเคลียร์ใจระหว่างเขาทั้งสองคนด้วย เพราะทั้งคู่นั้นก็ไม่อยากจะให้มีอะไรมาเป็นรอยแผลในใจที่จะทำให้เกิดเรื่องในอนาคตได้อีก

 

อาโปขอโทษศิลาที่เส้นความอดทนของเขาขาดผึงในวันนั้น ส่วนฝ่ายของศิลาเองก็กล่าวขอโทษต่อคนพี่ที่ตัวเองไม่รู้จักระมัดระวังในการวางตัวให้ดี เพราะอาจจะทำให้น้องเอ็มคิดเกินเลยแล้วก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งความสัมพันธ์เอาได้ง่ายๆ

 

ค่ำคืนนั้นจบลงด้วยความสบายใจของทั้งคู่บนเตียงหนานุ่มอันอบอุ่นที่พวกเขาคุ้นเคย...

 

เช้าอันวุ่นวายเริ่มขึ้นเมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า รถราจำนวนมากเริ่มทยอยออกมากองรวมกันบนถนนจนแน่นขนัดไปหมด ไม่ว่าจะหันมองไปทิศทางไหนก็เต็มไปด้วยการจราจรที่ติดขัดจนต้องใช้เวลาเดินทางในระยะใกล้ด้วยเวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง

 

เสียงแตรรถยนต์ถูกบีบอยู่เป็นระยะ อากาศที่ร้อนจนเห็นไอลอยขึ้นมาจากผิวถนนนั้นก็เกือบทำให้ลืมไปเลยว่าตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้า เพราะแสงแดดแรงเสียจนนึกว่าเป็นช่วงเวลาบ่ายที่ดวงอาทิตย์เพิ่งลอยพ้นผ่านกลางหัวไปเสียแล้ว

 

เป็นเวลาพักใหญ่ที่ทั้งอาโปและศิลาต้องอดทนนั่งแกร่วอยู่บนท้องถนน กว่าจะมาถึงสตูดิโอก็ทำเอาคนทั้งคู่รู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อย

 

ทั้งๆ ที่เพิ่งตื่นเช้าออกมา ยังไม่ได้เริ่มทำงานเลยด้วยซ้ำ...

 

ศิลาคาบแซนวิชเอาไว้ในปากขณะที่ลงมาจากรถแล้วเดินเข้าด้านในตึกของสตูฯ ไปโดยมีอาโปเดินตามเข้ามา และเป็นเช่นเคยที่ป้าพรมาคอยทำความสะอาดอยู่ก่อนแล้ว

 

“หวัดดีครับป้าพร” ศิลาเอ่ยทักด้วยเสียงอู้อี้เพราะปากคาบแซนวิชเอาไว้

 

“สวัสดีค่ะคุณศิลา” ป้าพรยิ้มตอบ

 

ศิลาเดินเข้าไปประจำที่ของตัวเองที่หลังเคาท์เตอร์ ป้าพรก็เดินแยกไปทำความสะอาดต่อในขณะที่อาโปก็เดินขึ้นไปยังห้องทำงานตัวเอง ส่วนกานต์ที่เพิ่งมาถึงก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น เมื่อมาถึงเขาก็กางคอมของตัวเองออกแล้วเตรียมพร้อมที่จะเริ่มทำงานทันที

 

พอใกล้ช่วงเวลาเรียนเด็กๆ และผู้ปกครองต่างก็ทยอยกันมายังที่สตูแห่งนี้ เป็นภาพประจำที่ศิลาและกานต์ได้เห็น เป็นวัฏจักรที่เรียกได้ว่าออกจะน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน

 

ครืดดด...

 

เสียงประตูที่เลื่อนออกดังขึ้นทำให้ศิลาและกานต์ที่ได้ยินต้องเงยหน้าขึ้นมอง

 

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาววัยกลางคนที่ลักษณะท่าทางและการแต่งกายดูเหมือนกับจะเป็นสาวนักธุรกิจที่เก่งกาจ เดินสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงไว้ที่ข้อมือเดินตรงเข้ามาที่หน้าเคาท์เตอร์

 

“สวัสดีครับ” ศิลาเอ่ยรับทักทาย

 

“มาพบคุณอาโปค่ะ” เสียงของผู้หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้น

 

“ได้นัดไว้มั้ยครับ” กานต์เอ่ยถามอีกครั้ง เพราะตารางนัดของอาโปสำหรับเวลานี้ยังว่างเปล่า

 

“ไม่ค่ะ พอดีเรื่องด่วนนิดหน่อยค่ะ”

 

“งั้นเดี๋ยวผมบอกคุณอาโปให้นะครับ” กานต์ตอบก่อนจะเดินขึ้นด้านบนไป

 

ก๊อกๆ

 

เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังเรียกให้อาโปที่อยู่ในห้องต้องเงยหน้าขึ้นมามองที่บานประตู

 

“เข้ามาเลยครับ”

 

สิ้นเสียงขานรับของคนด้านใน ประตูก็ถูกเปิดออกตามมาด้วยร่างของกานต์ที่ค่อยๆ เดินเข้ามาด้านในตรงมายังโต๊ะทำงานของอาโปก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้

 

“มีคนมาหาอ่ะพี่ แต่ไม่ได้นัดไว้”

 

“ใครอ่ะ”

 

“ผมก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาว่ามีเรื่องด่วน”

 

“เหรอ งั้นก็ให้เขาขึ้นมาละกัน”

 

หลังจากนั้นกานต์ก็เลยลงไปตามให้ผู้หญิงคนนั้นขึ้นมายังห้องทำงานของอาโป ท่ามกลางความสงสัยของศิลาและกานต์ว่าผู้หญิงคนนั้นมาทำอะไร

 

แต่เท่าที่จะรู้สึกได้คือไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่ๆ

 

สัมผัสได้จากออร่าที่แผ่ออกมา...

 

“สวัสดีครับ” อาโปเอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้เมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาภายในห้อง

 

“สวัสดีค่ะคุณอาโป”

 

“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”

 

“คือ.. ดิฉันเป็นคุณแม่ของน้องนาโน เพื่อนของน้องเอ็มน่ะค่ะ”

 

“อ๋อ.. ครับผม” อาโปยิ้มรับเพื่อรอว่าคุณแม่ของน้องนาโนจะพูดอะไรต่อ

 

“พอดีวันก่อนได้คุยกับคุณแม่ของน้องเอ็มว่าตอนนี้เป็นเด็กฝึกของที่นี่น่ะค่ะ ก็เลยสนใจอยากให้น้องนาโนได้มาเรียนที่นี่ด้วยค่ะ”

 

“ยินดีเลยครับคุณแม่ ถ้าสนใจยังไงติดต่อถามรายละเอียดคอร์สที่ด้านล่างได้เลยนะครับ”

 

“คือไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือคุณแม่อยากให้น้องนาโนได้เป็นเด็กฝึกของที่นี่ด้วยอ่ะค่ะ พอดีช่วงที่เปิดแคสติ้งน้องนาโนติดสอบที่โรงเรียน แม่เลยไม่ได้ให้มาแคสฯ แต่พอได้ยินคุณแม่ของน้องเอ็มมาเล่าให้ฟัง ก็เลยสนใจอยากให้น้องนาโนได้โอกาสบ้างค่ะ”

 

อาโปถึงกับต้องสูดหายใจเข้าลึกเมื่อได้อีกฝ่ายพูดออกมาซะยาวเหยียด

 

“ปกติทางเราจะคัดเลือกจากความสามารถของเด็กนะครับ ยังไงเราก็คงต้องขอดูความสามารถของน้องก่อนครับ”

 

“ยินดีค่ะ น้องเป็นเด็กกิจกรรม เรียนร้องเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ” คุณแม่รีบหยิบมือถือของตัวเองจากในกระเป๋าขึ้นมาเปิดรูปและคลิปวิดีโอให้อาโปดู “นี่ค่ะ รูปน้องนาโนกับคลิปตอนสมัยแข่งเต้นค่ะ”

 

“อ่อครับ” อาโปชะเง้อหน้าไปดูเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือถือมาให้ดู

 

หน้าตาใช้ได้ ร้องเต้นก็โอเค ออกจะดีกว่าเอ็มด้วยซ้ำ...

 

“ใช้ได้เลยครับคุณแม่”

 

“ใช่มั้ยคะ”

 

“แต่ผมคงตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ เพราะการจะรับเด็กฝึกหัดเข้ามาสักคนหนึ่งมันเป็นความรับผิดชอบของบริษัทที่ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายของตัวน้องๆ ไว้ด้วยน่ะครับ คงจะต้องให้ทีมของบริษัทได้ร่วมพิจารณาด้วยครับ”

 

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลยค่ะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือบอกคุณแม่นะคะ” คุณแม่ของนาโนหยิบแคชเชียร์เช็คในกระเป๋าออกมาก่อนจะยื่นให้กับคนตรงหน้า “สองล้านค่ะ สำหรับค่าใช้จ่ายของน้องนาโน”

 

“เอ่อ คุณแม่ครับ มันไม่ดีมั้งครับ” อาโปเอ่ยด้วยเสียงตะกุกตะกักเพราะเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ถ้าจะต้องรับเงินไว้

 

“ก็เห็นคุณอาโปบอกว่า ถ้าจะรับนาโนเป็นเด็กฝึกมันจะมีค่าใช้จ่ายในการดูแล แม่เลยอยากช่วยลดภาระให้คุณอาโปกับสตูดิโอค่ะ ไม่ต้องคิดมากนะคะ” แม่นาโนยิ้มกว้าง “แม่ขออย่างเดียวทำยังไงก็ได้ให้นาโนดังให้ได้ค่ะ”

 

“เอ่อ.. ขอบคุณคุณแม่มากนะครับ ยังไงผมขอเวลาปรึกษากับทีมอีกทีแล้วจะติดต่อกลับไปนะครับ”

 

“ค่ะ ขอไวหน่อยนะคะ”

 

“ครับ”

 

“ขอตัวก่อนนะคะ หวังว่าจะได้พบกันอีกค่ะ” แม่นาโนพูดจบก็ยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้หันหลังเดินออกจากห้องทำงานของอาโปไปทันที

 

“เห้ออออ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นทันทีที่ประตูห้องปิดลง

 

เขารู้สึกว่าสิ่งนี้มันไม่แฟร์กับน้องๆ คนอื่นที่ตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึกฝนเพื่อมาแคสติ้งตามระบบ เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่มันเป็นการใช้เงินเพื่อหาทางลัดให้กับลูกของตัวเอง เขารู้สึกว่ามันเป็นการโกงความตั้งใจของคนอื่นๆ

 

อาโปรู้ว่าเรื่องแบบนี้ใครๆ เขาก็ทำกัน เพราะพ่อแม่แต่ละคนก็คงอยากให้ลูกตัวเองได้ดีกันทั้งนั้น เมื่อมีช่องทางที่จะช่วยเหลือให้ลูกของตัวเองได้ก้าวขึ้นไปโดดเด่นเหนือคนอื่นได้ แต่ละครอบครัวก็คงจะสู้กันไม่ถอยเช่นกัน

 

เขาเองไม่เห็นด้วยกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในสภาพสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคงหนีไม่พ้น อยู่ที่ว่าเขาจะมีวิธีรับมือได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะรับมืออย่างไรให้ไม่เสียอุดมการณ์ของตัวเอง

 

“มีเรื่องอะไรเหรอครับ” ศิลาที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของอาโปเอ่ยทักขึ้น

 

อาโปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับศิลาฟัง ศิลาได้ยินก็พยายามจะทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งเขาเองก็เห็นด้วยกับอาโปที่ว่ามันไม่แฟร์กับคนอื่นๆ แต่ในเมื่อเราอยู่ในยุคทุนนิยมก็คงหนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้เป็นแน่

 

“แล้วจากที่พี่เห็น พี่ว่าน้องนาโนมันพัฒนาได้มั้ยล่ะครับ” ศิลาเอ่ยถาม

 

“น้องเขาก็เก่งแหละ เท่าที่พี่เห็นจากคลิปวิดีโอ เผลอๆ เก่งกว่าเอ็มซะอีก”

 

“ก็ดีสิครับ แสดงว่าน้องมีความพร้อมจะทำงานแล้ว

 

“ก็ใช่..” อาโปเงียบไป

 

“งั้นจะมีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่รับล่ะครับ”

 

“มันไม่แฟร์กับคนอื่นที่เขามาแคสไงครับ”

 

“ผมเข้าใจพี่โปนะ แล้วก็เห็นด้วยเรื่องที่มันไม่แฟร์ แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ เราก็ไม่ได้ไปหลอกเอาเงินเขามา เขาเต็มใจเสนอให้เราเอง อีกอย่างน้องนาโนอะไรนั่นพี่ก็บอกเองว่ามีแววปั้นได้ ก็ไม่น่าเสียหายอะไรนะครับ เพราะถ้าต่อไปน้องมีผลงาน สตูของพวกเราก็ได้ชื่อแล้วก็ได้รายได้ด้วยนะครับ”

 

“...” อาโปนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร

 

“พี่โปลองคิดดูก่อนก็ได้ครับ ไม่ต้องเครียดนะงับ” ศิลาลุกแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปโอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง

 

จุ๊บ!

 

คนน้องก้มหน้าลงไปกดจูบลงบนแก้มของคนพี่อย่างทะนุถนอมเพื่อหวังจะมอบให้เป็นกำลังใจในสถานการณ์ที่กำลังเครียดอยู่แบบนี้

 

“แฟนพี่น่ารักตลอดเลย ขอบคุณนะครับ” อาโปยิ้มตอบแล้วเงยหน้าขึ้นหอมแก้มศิลา

 

สองอาทิตย์ผ่านไปแล้วสำหรับการที่นาโนได้เข้ามาเป็นเด็กฝึกหัดในสตูดิโอของอาโป ทุกวันคุณแม่จะมาส่งน้องที่สตูเพื่อให้มาเรียนร้องและเต้นคลาสเดียวกันกับเอ็ม ซึ่งเป็นคลาสพิเศษที่อาโปจัดเพิ่มเติมให้กับสองคนนี้เพื่อให้สามารถพัฒนาศักยภาพในการเป็นศิลปินได้อย่างเต็มที่

 

หลังเลิกคลาสในทุกวันทั้งเอ็มและนาโนก็จะต้องอัดคลิปร้องและเต้นเพื่อส่งให้ทางสตูดิโอได้ประเมินอยู่เสมอ เพราะอาโปต้องการที่จะเห็นพัฒนาการของทั้งสองคน

 

“วันนี้เป็นไงบ้างครู” อาโปเอ่ยถามครูเบย์หลังจบคลาส

 

“ดีครับ ตั้งใจทั้งคู่เลยครับ แต่นาโนจะดูเก่งกว่าเอ็มอยู่สักหน่อยครับ”

 

“โอเคครับ”

 

“จริงๆ ดีมากเลยนะครับที่คุณอาโปจับทั้งสองคนมาเรียนด้วยกัน” ครูเบย์เอ่ยพูดขึ้น

 

“ทำไมอ่ะครับ” อาโปถามอย่างสงสัย

 

“ก็ก่อนหน้านี้คลาสไหนที่เอ็มเรียนคนเดียวก็ยังดูเรื่อยๆ นะครับ แต่พอมีนาโนเข้ามาร่วมคลาสด้วย เอ็มดูตั้งใจขึ้นมากรวมถึงเห็นพัฒนาการด้านการเต้นที่ดีขึ้นเร็วจนน่าตกใจเลยครับ”

 

“คงเพราะมีคู่แข่งให้เปรียบเทียบแหละ” อาโปตอบ

 

“น่าจะเป็นงั้นครับ ถ้าเป็นอย่างงี้ไปเรื่อยๆ ผมรับรองว่าเอ็มจะเก่งกว่านาโนได้แน่ๆ ครับ”

 

“ครับครู ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณครูมากนะครับ”

 

“ได้ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ” ครูเบย์บอกลาแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น

 

อาโปเปิดคลิปวิดีโอเต้นของนาโนและเอ็มขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมา เขาเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ครูเบย์พูด เพราะตั้งแต่วันแรกที่เขาดูคลิปมาจนถึงวันนี้ คนที่เห็นพัฒนาการได้ชัดเจนก็คือเอ็ม ในขณะที่นาโนนั้นถึงแม้จะเก่งมาอยู่แล้ว แต่พอมาเข้ากระบวนการฝึกฝนจริงๆ กลับให้ความรู้สึกเหมือนน้ำเต็มแก้ว เพราะนาโนยังคงทำได้ดีเหมือนกับวันแรกที่เข้ามา นั่นหมายถึงว่าไม่เกิดการพัฒนาขึ้นจากเดิมเลย

 

เพราะเก่งมาอยู่แล้วจึงถูกคาดหวังมากเป็นธรรมดา

 

ดังนั้นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นในความคิดของอาโปก็คือนาโนควรจะต้องเก่งขึ้นมากกว่าเดิม ต้องทำให้ได้ดีกว่าวันแรกที่อาโปได้เห็น ไม่งั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกต่อ เพราะคงไม่เกิดประโยชน์อะไรถ้าไม่เกิดการพัฒนา

 

อาโปกลัวว่าแม่ของนาโนจะต้องเสียเงินฟรี ถ้าน้องยังเป็นแบบนี้

 

เขาตัดสินใจเข้าไปหาน้องๆ ที่กำลังซ้อมเพิ่มเติมหลังจากจบคลาส

 

“เป็นไงมั่งเด็กๆ” อาโปเอ่ยทักทันทีที่เปิดประตูเข้าไป

 

“สวัสดีครับพี่อาโป” ทั้งนาโนและเอ็มเอ่ยทักคนโตกว่าพร้อมกัน

 

“ก็ดีครับ ไม่ยากเท่าไหร่ครับ” นาโนตอบนิ่ง

 

“แล้วเอ็มล่ะ” อาโปหันไปถามอีกคน

 

“ยากนิดนึงอ่ะพี่ แต่ถ้าได้ซ้อมก็น่าจะดีขึ้นครับ” เอ็มตอบพร้อมยิ้มกว้าง

 

“หึ!” นาโนแค่นหัวเราะออกมา ทำเอาทั้งอาโปและเอ็มต้องหันขวับไปมอง

 

อาโปรู้สึกไม่ชอบใจพฤติกรรมดังกล่าวของนาโนเพราะมันคือการไม่ให้เกียรติเพื่อนร่วมคลาส แต่เขาเองก็ไม่ได้พูดตำหนิออกไปตรงๆ ในเวลานั้น เพราะก็ยังไม่อยากฉีกหน้าอีกฝ่ายสักเท่าไหร่

 

“ดีๆ ตั้งใจซ้อมละกัน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นเนอะ” อาโปบอกก่อนจะเหล่ตาไปมองนาโนที่ดูจะไม่ค่อยได้สนใจฟังในสิ่งที่อาโปพูดไปเมื่อกี๊เท่าไหร่ “แล้วก็.. อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วละกันเนอะ ไม่งั้นจะใส่อะไรลงไปเพิ่มไม่ได้อีก แล้วมันจะมีแต่ผลเสียกับตัวเอง ซ้อมกันต่อเถอะ พี่ไม่รบกวนเวลาละ”

 

“ขอบคุณครับ” เอ็มตอบพร้อมยกมือไหว้อาโป แต่นาโนทำเพียงก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับไปซ้อมโดยไม่เอ่ยคำลาใดๆ กับอาโป

 

พอออกมาจากห้องซ้อมนั้นอาโปก็ได้แต่บึ้งตึง นิ่งเงียบยามมาตลอดจนถึงเวลาที่ต้องปิดสตู เขาพยายามนึกวนอยู่ในหัวว่าเขาจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี หรือจะต้องทำวิธีไหนที่ทำให้นาโนมีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดจนเห็นได้ชัดบ้าง

 

แต่คำตอบที่อาโปได้ก็คือ ก่อนที่จะโฟกัสเรื่องอื่นควรทำยังไงก็ได้ให้นาโนลดอีโก้ของตัวเองลงมาก่อน ไม่งั้นสอนอะไรไปน้องก็ไม่มีทางที่จะเรียนรู้เพิ่มไปได้มากกว่านี้

 

เพราะน้องแทบจะไม่เปิดใจรับเลย...

 

เสียงน้ำจากฝักบัวที่กำลังไหลอยู่ค่อยๆ เงียบลงก่อนที่ร่างหนาของอาโปจะเปิดประตูแล้วเดินออกมาด้วยการพันผ้าขนหนูปิดบังท่อนล่างเอาไว้แล้วเดินมานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพลางเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่เปียกอยู่

 

“เดี๋ยวผมเช็ดให้ครับ” ศิลาเดินมาจับมือของอาโปแล้วแย่งผ้าขนหนูมาถือไว้เอง

 

“ขอบคุณครับ”

 

ศิลาใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้อีกฝ่ายเบาๆ ในขณะเดียวกันอาโปก็คว้ามือถือมาต่อบลูทูธเพื่อเปิดเพลงให้มีเสียงดังคลอไปด้วยเรื่อยๆ

 

“พี่โปเป็นไรหรือเปล่าครับวันนี้” ศิลาเอ่ยถามเมื่อสบโอกาส

 

“หื้ม? ทำไมหนูคิดงั้นล่ะ”

 

“ก็ตอนขับรถกลับมาบ้าน พี่โปดูเงียบๆ แล้วก็ถอนหายใจบ่อยอ่า”

 

“ทำไมหนูเก่งจัง อ่านพี่ออกตลอดเลย” อาโปพูดพลางหันไปยิ้มหวานให้อีกฝ่าย

 

“มีอะไรเล่าให้ผมฟังได้นะครับ”

 

“ก็... เรื่องนาโนนั่นแหละ” อาโปตัดสินใจพูดออกมา “นี่ก็ผ่านมาตั้งสองวีคแล้ว แต่พี่ไม่เห็นว่าน้องเขาจะเก่งขึ้นเลย”

 

“อาจเพราะน้องเขาเก่งมากมาตั้งแต่แรกแล้วมั้ย พี่โปก็เลยไม่เห็นความแตกต่าง”

 

“แต่พอเทียบกับเอ็มมันยิ่งเห็นได้ชัดเลยนะว่า เอ็มค่อยๆ เก่งขึ้นแต่นาโนกลับอยู่ในระดับเดิมเลย” อาโปจับแขนของศิลาที่กำลังเช็ดผมให้ตัวเองแล้วดึงลงมานั่งที่ตักของตัวเองแล้วกอดเอาไว้แน่น

 

“อาจต้องให้เวลาอีกสักหน่อยมั้งครับ”

 

“แต่ถ้านาโนยังไม่ตั้งใจอยู่แบบนี้ เห็นทีจะไม่ได้เรื่องเอาน่ะสิ” อาโปเอ่ยตอบเสียงแข็ง “เสียดายทั้งเงินเสียดายทั้งเวลาเอานะ”

 

“พี่โป คนเรามีช่วงเวลาในการเรียนรู้ต่างกันนะพี่ เอ็มอาจจะเรียนรู้เร็ว แต่นาโนอาจจะเรียนรู้ช้าก็ได้ กว่าที่เขาจะเก่งได้แบบที่พี่เห็นในวันแรก น้องนาโนเขาอาจจะใช้เวลาซ้อมมาเยอะมากๆ แบบที่เราไม่เคยรู้ก็ได้นะ”

 

“เดี๋ยวนะ นี่หนูจะเข้าข้างนาโนหรอ” อาโปพูดเสียงนิ่งแต่จ้องคนน้องตาแข็ง

 

“เปล่าค้าบบ ก็แค่พยายามหาเหตุผลหลายๆ มุมมองมาซัพพอร์ต ไม่อยากให้พี่โปไปตัดสินคนอื่นจากด้านเดียวอ่ะครับ” ศิลาเอ่ยเสียงอ้อน เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะเริ่มมีอาการไม่พอใจขึ้นมาหน่อยๆ

 

“หนูไม่ได้มาคอยดู คอยเช็คเด็กๆ เหมือนพี่ หนูจะไปรู้อะไรล่ะ!” อาโปเผลอเสียงดังขึ้นมาจนทำให้ศิลาที่ได้ยินก็แอบหน้าตึงไปเหมือนกัน

 

แต่เขาจะไม่โมโหหรอกนะ เพราะเข้าใจดีว่าอาโปกำลังหัวร้อน

 

“...”

 

พอเห็นศิลาเงียบไปอาโปก็เลยได้สติขึ้นมา

 

“พี่เผลอดุหนูหรือเปล่าเนี่ย ขอโทษนะครับ” อาโปเอ่ยบอกอีกฝ่ายเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังมีอารมณ์ร้อนครุกรุ่นขึ้นมาภายในตัว “อุตส่าห์เคยสัญญาว่าจะไม่ให้เรื่องงานมาเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวแล้วแท้ๆ”

 

อาโปเอ่ยพร้อมสายตาอ้อนวอนเป็นเจ้าหมาตัวโตเพื่อขอโทษที่เผลอทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี ก่อนจะซุกหน้าลงที่อกของร่างบางที่นั่งตักของเขาอยู่

 

“ไม่เป็นไรงับ..” ศิลาตอบพลางยกมือขึ้นลูบหัวอาโปอย่างอ่อนโยน “ผมไม่ได้โกรธครับ”

 

“ตัวหอมจัง..” จู่ๆ อาโปก็พูดขึ้น

 

“พี่โปครับ” ศิลาเรียกชื่อของอีกฝ่ายเมื่อเริ่มรู้สึกกับท่าทีแปลกๆ ของอีกฝ่าย

 

“...” ไม่มีเสียงตอบจากคนตัวหนามีเพียงเสียงอื้ออึงในลำคอพร้อมกับการซุกไซร้ใบหน้าไปตามลำคอเรียวของศิลา

 

“พี่โปครับ เช็ดผมให้แห้งก่อน...”

 

“เดี๋ยวมันก็แห้งเองแหละครับ” เสียงแหบพร่าของอาโปเอ่ยขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าเขาจะเลิกลิ้มรสผิวเนียนของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

 

“พี่โป!!!” ศิลาร้องเสียงหลงเมื่อมือหนาเริ่มซุกซนมายังบริเวณเนื้อหนังด้านในเสื้อผ้า และต้นขาของเขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างจากอาโปที่เริ่มตื่นตัวมาทักทาย “ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย รอก่อนไม่ได้หรือไงครับ”

 

“ยังจะให้พี่รออีกเหรอ”

 

“ก็กลัวพี่โปเหม็นเหงื่อ”

 

“หอมจะแย่ เอาอะไรมาเหม็น”

 

“...” ศิลาไม่ได้ตอบเพราะเริ่มรู้สึกคล้อยตามการเล้าโลมจากคนพี่

 

“พี่บอกแล้วไงว่าจะไม่ยอมให้เรื่องงานมากระทบกับเรื่องระหว่างพี่กับหนู” อาโปเงียบไปพักหนึ่งเพื่อไล่ริมฝีปากไปตามผิวกายของศิลาที่เขาเพิ่งปลดเปลื้องเสื้อที่ปิดคลุมร่างกายบางออกไปเมื่อครู่แล้วพูดต่อ “แต่ถ้าตอนนี้ระหว่างหนูกับพี่จะได้ใช้เวลาเพื่อกระทบกันบ้างก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ” ยิ้มเจ้าเล่ห์เผยอขึ้นหลังพูดจบทำเอาคนตัวเล็กที่นั่งตักอยู่รู้สึกเขินจนต้องเผลอฟาดมือไปที่ไหล่ของคนตัวโตเบาๆ

 

--------------------------------

 ฝากติดแท็ก #อาโปรักศิลา เพื่อพูดคุยกันได้นะค้าบบ รันจะได้เข้าไปตามอ่านครับ