หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...
รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,อาโปรักศิลา,นิยายวาย,วาย,Yaoi,BL,BoyLove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 2) (เล่มจบ)หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...
หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...
“นั่งก่อนสิ” อาโปเอ่ยบอกนาโนที่เดินแบกกระเป๋าเป้ใบโปรดเข้ามาในห้องทำงานของตัวเอง
“สวัสดีครับ” นาโนยกมือไหว้แล้วหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานของอาโป “เรียกผมมามีอะไรเหรอครับ”
“คืองี้ พี่กับทีมสตูได้คุยกันแล้วนะว่าเราจะทำเพลงให้นาโน เราจะให้นาโนได้เปิดตัวในฐานะศิลปินคนแรกของสตูเรา”
“จริงหรอครับ” น้ำเสียงตื่นเต้นหลุดจากปากของนาโนพร้อมด้วยสีหน้าตื่นเต้นที่อาโปเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“อื้อ” อาโปยิ้มแล้วพยักหน้า
“เยส! ในที่สุดก็ได้ทำเพลงซักที”
“แต่มีข้อแม้นะ” อาโปเอ่ยขัดขึ้นระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังมีท่าทีดีใจ
“อะไรเหรอครับ”
“สัญญาก่อนว่าจะทำโดยไม่มีข้อแม้” อาโปจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งเย็น
“อืม...” นาโนนิ่งคิดมองอาโปกลับด้วยสีหน้าที่ลังเลและไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไหร่
“แล้วแต่นะ ถ้าไม่โอเคพี่ก็จะได้เลื่อนการทำเพลงออกไปก่อน”
“บอกมาก่อนได้มั้ยครับ ว่าข้อแม้อะไร”
อาโปยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยพูด “ได้ แต่ถ้าพี่บอกก่อนนาโนต้องตอบรับเท่านั้นนะ เพราะถ้าปฏิเสธพี่จะยกเลิกโปรเจ็คนี้ทันที”
“ไรวะพี่” นาโนแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์
“จะเอาไง ไม่อยากทำตามฝันเหรอ”
“...” นาโนนิ่งไปสายตายังลังเล จริงๆ ก็ไม่ได้จะอะไรมากนักหรอก เพียงแต่กลัวว่าถ้ารับปากไปก่อนแล้วอาโปบอกข้อแม้ในสิ่งที่เขาทำไม่ได้แล้วเขาจะเสียฟอร์ม นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมนาโนถึงได้ลังเลนัก
“ข้อแม้ของพี่มีข้อเดียว นาโนต้องมาซ้อมทุกวันตามตารางห้ามสายห้ามขาด” อาโปบอกพร้อมเปิดไอแพดแสดงหน้าจอตารางการซ้อมให้นาโนดู
“โถ่ เรื่องแค่นี้สบายมากพี่”
“แค่พูดใครๆ ก็พูดได้นะ แต่ต้องทำจริงให้ได้ด้วย”
“สบายมากครับ”
“จะรอดูแล้วกันนะ อย่าให้พี่ผิดหวังล่ะ”
“ครับ” นาโนตอบรับพร้อมยกมือไห้วแล้วลุกเดินออกจากห้องทำงานของอาโปไป โดยมีสายตาคมของคนที่โตกว่าจ้องมองตามหลังไป
อาโปไม่ได้อยากจะข่มขู่หรือทำตัวให้ดูมีเลศนัยสักเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ว่าเขารู้ว่าคนอย่างนาโนนั้นถ้าให้บอกดีๆ ก็คงจะไม่ยอมทำตามง่ายๆ แน่ ไอ้นิสัยที่ไม่ชอบให้คนอื่นท้าทาย การจะขอให้ทำอะไรสักอย่างนั้นก็คงจะต้องมีเล่ห์กลหลอกล่อให้เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาสักหน่อย ไม่งั้นก็คงไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
ติ๊ง!
เสียงไลน์เด้งแจ้งเตือนดังขึ้นจากมือถือของอาโป เขาหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นข้อความจากศิลาจึงรีบกดเขาไปดู
Sila : อยู่ร้านกาแฟ พี่โปเอาอะไรมั้ยครับ
A-PO : เดี๋ยวพี่ไปหาที่ร้านครับ
คนตัวโตเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วคว้าไอแพดประจำตัวก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานเพื่อออกไปที่ร้านกาแฟร้านประจำที่อยู่ใกล้ๆ สตู ระหว่างที่เดินผ่านชั้นสองเขาก็ไม่ลืมที่จะแอบแวะดูบรรยากาศภายในห้องซ้อมด้วยว่าเอ็มกับนาโนซ้อมกันเป็นยังไงบ้าง ภาพที่เห็นก็ไม่ได้เกินคาดสักเท่าไหร่ เมื่อสายตาของอาโปที่มองผ่านกระจกใสตรงบานประตูเข้าไปแล้วเห็นว่าเอ็มกำลังซ้อมเต้นอยู่หน้ากระจก ส่วนนาโนนั้นใส่หูฟังแล้วนั่งดูอะไรไม่รู้อยู่ในมือถือ
ถ้าจะคิดในแง่ดีก็คงกำลังดูคลิปเต้นอยู่ล่ะมั้ง..
อาโปส่ายหัวเบาๆ พร้อมถอนหายใจก่อนออกตัวเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อออกไปร้านกาแฟที่ศิลาไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว สองขาก้าวต่อเนื่องจากหน้าสตูไปจนถึงร้านกาแฟที่เป็นหมุดหมายของเขา สองมือออกแรงผลักประตูเข้าไปแล้วเดินตรงไปที่เคาท์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ
“อเมริกาโน่เย็นครับ” สั่งเสร็จอาโปก็ยื่นบัตรเพื่อชำระค่ากาแฟทันที จากนั้นยืนรอไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกขานชื่อของตัวเองเพื่อให้ไปรับกาแฟที่อีกจุดหนึ่งของเคาท์เตอร์ มือหนาคว้าหยิบเอาแก้วกาแฟแล้วเดินไปหาตำแหน่งโต๊ะที่ศิลาได้ไลน์บอกเอาไว้ตั้งแต่ระหว่างที่เดินออกมาจากสตู
“พี่โป” ศิลาเอ่ยเสียงเรียกทันทีที่มองเห็นร่างสูงของแฟนตัวเองพร้อมทั้งชูมือเป็นสัญญาณ
อาโปเดินตรงลิ่วเข้าไปที่โต๊ะพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าก่อนจะวางแก้วกาแฟลงบนตะแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้
“เป็นไงมั่งพี่คุยกับนาโนแล้วใช่มั้ยครับ” ศิลาเอ่ยปากถามทันที
“อื้อ ก็คุยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไงเหมือนกัน”
“ได้ทำเพลงของตัวเองแล้วถ้ายังไม่กระตือรือร้นก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วเหมือนกัน” ศิลาบ่นกระปอดกระแปด
“ยังไงพวกเราก็ต้องคอยกระตุ้นอยู่ดีและ ทำทั้งทีก็ไม่อยากให้เสียชื่อสตู”
“ดีที่ไม่ต้องเสียเงินของสตูนี่แหละ ไม่งั้นนาโนเจอผมแน่ จะให้ซ้อมไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันเลย”
“เราอย่าพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะเลยดีกว่า ใครมาได้ยินเข้ามันจะไม่ดีต่อตัวนาโนนะ” อาโปเอ่ยเตือนก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ
“ก็จริงง ข่าวซุบซิบยิ่งไปไวอยู่ด้วย เดี๋ยวจะมาค่อนขอดอีกว่าพี่โปรับเงินใต้โต๊ะ เดี๋ยวนี้ในทวิตเตอร์ข่าวไวจะตาย บางทีไม่ใช่เรื่องจริงด้วยซ้ำ สักแต่จะด่าเอามันเท่านั้นแหละ พอเห็นคนล้มหน่อยก็ตามมาด่ากันเป็นขบวน”
“เดี๋ยวๆ หนูไปโมโหอะไรมาเนี่ย ยังไม่มีใครทำอะไรพี่เลย” อาโปแอบหัวเราะขำเมื่อเห็นศิลาเริ่มหัวร้อนจนอาการออก
“ก็แค่กังวลล่วงหน้าเฉยๆ อะ กลัวพี่โปจะโดนด่าเพราะไอ้น้องนาโนเนี่ยแหละ” เสียงของศิลาอ่อนลงทันทีเมื่อถูกเอ่ยทักถึงอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเอง
“เอาน่า เรื่องยังไม่เกิดอย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน เรามาวางแผนว่าจะทำโปรเจ็คนี้ยังไงให้ออกมาดีที่สุดดีกว่าเนอะ” อาโปพูดพลางคว้ามือเรียวของอีกฝ่ายมากุมไว้ “แต่ก็ขอบคุณนะครับที่หนูเป็นห่วงพี่”
“หลังจากนี้พี่โปมีอะไรต้องบอกนะ ห้ามปิด ผมไม่อยากให้พี่เครียดแล้วเก็บไว้คนเดียว” ศิลาเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง
“ได้เลยครับ” อาโปตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยีก่อนจะทำท่าตะเบ๊ะแบบตำรวจ
...
...
...
หลังจากวันที่ได้ตกลงกันว่าจะทำโปรเจ็คเดบิวต์ซิงเกิ้ลให้กับนาโน งานในสตูดิโอก็ดูจะหนักหน่วงขึ้นกว่าปกติ เพราะต้องเริ่มเตรียมงานกันตั้งแต่แรก ประชุมกันแทบทุกวันเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดมาซัพพอร์ตให้กับนาโน เพื่อที่จะปล่อยผลงานที่ดีทีสุดออกมาให้ทุกคนได้เห็น
ทีมงานแต่ละฝ่ายถูกเรียกเข้ามาคุยไม่ว่าจะเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม รวมไปถึงคอนเซปท์ต่างๆ ที่จะใช้ในการถ่ายภาพนิ่งและในมิวสิควิดีโอ ทุกฝ่ายทำงานกันอย่างแข็งขันเพื่อช่วยให้งานนี้ออกมาดีที่สุด ทั้งอาโป ศิลารวมไปถึงกานต์และเตชินท์ต่างก็ทุ่มฝีมือกันเต็มที่เพราะมีชื่อเสียงของสตูเป็นเดิมพัน
ซึ่งต่างกับเจ้าตัวศิลปินอย่างลิบลับ...
เสียงเพลงถูกเปิดดังต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเช้าเพราะเอ็มมาใช้ห้องซ้อมเพื่อซ้อมเต้น เนื่องจากครั้งล่าสุดที่เรียนกับครูเบย์ไปเขาถูกคอมเมนต์ว่ายังแก้ไขส่วนที่เขาบกพร่องได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ทำให้เอ็มต้องใช้เวลาซ้อมเพิ่มมากกว่าเดิม
ประตูห้องซ้อมถูกเปิดออกพร้อมปรากฏร่างของนาโนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตึงๆ แล้วเหวี่ยงกระเป๋าลงที่พื้นห้องซ้อม เอ็มไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรสักเท่าไหร่นักเพราะเป็นภาพที่เห็นอยู่จนคุ้นตา
แก๊ก!
นาโนกดปุ่มปิดลำโพงเสียงเพลงดับลงทันทีเรียกเอาความหงุดหงิดจากเอ็มจนคิ้วขมวด เอ็มหันหลังกลับไปมองนาโนที่ยืนนิ่งจ้องหน้าอยู่ตรงลำโพง เขาเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ไม่พอใจแต่ก็ยังพยายามควบคุมตัวเองอยู่เพราะไม่อยากจะมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันในนี้
“มึงปิดเพลงทำไม” เอ็มถามเสียงแข็ง
“นี่เวลาซ้อมของกูละ”
เอ็มยกแขนขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “ทีแบบนี้ล่ะตรงเวลาเชียวนะ”
“ก็ต้องตั้งใจหน่อยป้ะ คนมันจะได้ทำเพลงแล้วอะ” นาโนพูดแล้วยิ้มมุมปากเดินตรงไปหน้ากระจกก่อนจะทำท่าทางยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อเตรียมตัวซ้อมเต้น
“จะคอยดูละกันว่าจะขยันได้สักกี่วัน” เอ็มก้มลงคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วเหวี่ยงเข้าพาดไหล่แล้วเดินออกจากห้องซ้อมไป
นาโนกดเปิดเพลงจากมือถือที่ต่อบลูทูธเข้ากับลำโพงของห้องซ้อมแล้วเริ่มวอร์มร่างกายเพื่อเตรียมเรียนเต้นกับครูเบย์ ซึ่งคลาสวันนี้เป็นครั้งแรกที่เริ่มเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมเพื่อเตรียมตัวสำหรับโปรเจ็คซิงเกิ้ลแรกที่อาโปได้เคยบอกไว้ก่อนแล้วว่าการซ้อมจะหนักขึ้นกว่าเดิมมากให้นาโนเตรียมตัวไว้ให้พร้อม แต่เอาเข้าจริงเขาก็คิดเพียงแค่ว่าอาโปคงแค่พูดขู่เท่านั้น
“พร้อมมั้ยวันนี้” ครูเบย์เปิดประตูเข้ามาทักทายแล้วเดินตรงไปที่หน้ากระจกทันที
“สวัสดีครับ” นาโนกดหยุดเพลงในมือถือแล้วยกมือไหว้ทักทายก่อนจะหันไปมองกระจกทันที
ครูเบย์เริ่มคลาสทันทีแบบไม่ให้เสียเวลา เริ่มจากการยืดเส้นเพื่อเตรียมความพร้อมและต่อด้วยการทำเบสิคฮิปฮอปซึ่งหลังจากเริ่มไปได้ไม่นานสีหน้าของนาโนก็เริ่มออกอาการเซ็งอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรหรือเปล่า” ครูเบย์เอ่ยถาม
“ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้อีกอ่ะครู นี่มันเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่เลยนะ ของพวกนี้ผมเรียนตั้งแต่สมัยเริ่มเรียนเต้นแรกๆ แล้วนะครู” นาโนบ่นยับพร้อมชักสีหน้าแล้วยืนกอดอก
“ครูก็แค่อยากดูความพร้อมของร่างกายเฉยๆ จะได้รู้ว่ามีเบสิคมากน้อยแค่ไหน จะได้สอนถูก”
“แล้วที่ผ่านมาที่เคยเรียนเต้นกันทุกคลาสครูไม่ได้สังเกตหรอครับ”
“แล้วตอนเรียนเธอได้ตั้งใจเต้นจริงๆ มั้ยล่ะ” ครูเบย์ถามเสียงนิ่งทำเอานาโนที่ได้ยินความนี้ก็สะอึกไปเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาเวลาเรียนเต้น เขาก็ไม่เคยจริงจังเลยสักครั้งเพราะคิดเพียงแต่ว่ามันน่าเบื่อที่คนเต้นเก่งระดับเขาทำไมยังต้องมาเสียเวลาเรียนเต้นอยู่อีก
“แต่ครูก็รู้ว่าผมเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็ก สกิลเต้นผมไม่แพ้ใครอยู่แล้ว”
“โอเค งั้นก็ตามใจ เดี๋ยวเริ่มต่อท่าเลยแล้วกันเนอะ ได้ฟังเพลงของตัวเองแล้วรึยัง” ครูเบย์ตัดปัญหาเพราะเริ่มโมโห
นาโนส่ายหัว ครูเบย์เลยกดเปิดเพลงให้ฟังก่อนในรอบแรกเพื่อให้อีกฝ่ายได้เรียนรู้จังหวะและสไตล์เพลงที่ตัวเองกำลังจะเป็นเจ้าของว่าเพลงของตัวเองเป็นแบบใดก่อนที่จะเริ่มสอนท่าเต้นที่เอาไว้ใช้ในเพลง
หลังฟังเพลงจบสีหน้าของนาโนก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความพึงพอใจปรากฏเด่นขึ้นมาบนใบหน้าจนครูเบย์สังเกตเห็นจึงเริ่มต่อท่าให้ลูกศิษย์ของตัวเองทันที
ด้วยความสามารถที่ติดตัวของนาโนทำให้การเรียนรู้ท่าเต้นของเขานั้นเป็นไปได้ด้วยดีและใช้เวลาไม่นาน เพียงวันแรกนาโนก็สามารถจดจำท่าเต้นได้จนถึงท่อนฮุค ทำเอาครูเบย์รู้สึกดีกับตัวนาโนขึ้นมาไม่ใช่น้อย ซึ่งคลาสในวันนั้นก็จบลงไปด้วยการอัดคลิปเก็บไว้เพื่อที่ว่าหากนาโนลืมท่าจะได้เปิดเข้ามาดูและซ้อมได้ เพราะครูเบย์จะเข้ามาอีกทีก็อีกหนึ่งอาทิตย์เต็ม
นาโนจึงต้องใช้เวลาซ้อมด้วยตัวเองตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์นั้น
ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นอย่างที่เอ็มเคยปรามาศไว้ตั้งแต่วันแรกว่าจะขยันไปได้อีกสักกี่วัน เพราะนี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วจากวันแรกที่ได้รับท่าเต้นนาโนดูขยันอยู่แค่สองวันแรกเท่านั้นแหละ พอเข้าวันที่สามนาโนก็เริ่มกลับไปติดนิสัยเดิมที่ซ้อมเต้นซ้อมร้องแค่พักเดียวแล้วก็นั่งเล่นมือถือไปเรื่อย เป็นภาพที่อาโปและศิลาเห็นกันมานานผ่านจอของกล้องวงจรปิดตั้งแต่ก่อนที่จะทำเพลงให้นาโนเสียอีก
“นาโนคนเดิมกลับมาละ” อาโปชี้นิ้วไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ฉายภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องซ้อมเห็นนาโนนอนเล่นมือถืออยู่ในห้องซ้อมเต้น
“ห้าวันแหนะ นานกว่าที่คิดอีกแฮะ” ศิลาพูดพลางอมยิ้มเพราะเขาก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนแบบนาโนไม่มีทางที่จะขยันซ้อมแบบจริงจังได้นานสักเท่าไหร่หรอก แต่ก็นานกว่าที่คาดไปมาก
ลูกคุณหนู ไม่เคยต้องเหนื่อยต้องทำงานหนัก พอมาเจออะไรแบบนี้ที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยก็เลยไม่ได้กระตือรือร้นสักเท่าไหร่ เพราะก็รู้อยู่ว่ายังไงตัวเองก็ได้ทำเพลงอยู่ดี
“เดี๋ยวผมไปเคลียร์ให้พี่โป” ศิลาลุกพรึ่บจากเก้าอี้ในห้องทำงานของอาโปแล้วเดินลงไปที่ห้องซ้อมชั้นสองทันที
ก๊อกๆๆ
ศิลาเคาะประตูห้องซ้อมก่อนจะเปิดเข้าไปนาโนที่นอนเล่นมือถือสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งแล้วมองหน้าศิลานิ่ง แม้ข้างในหัวใจจะกำลังเต้นแรงก็ตาม
“อู้เหรอ” ศิลาแกล้งแซวด้วยท่าทีขำๆ
“เปล่าซะหน่อย ผมดูคลิปเต้นอยู่” นาโนบอกปัดด้วยคำโกหกที่คิดว่าจะเนียน
ศิลาพยักหน้ารับถึงแม้ในใจจะไม่ได้เชื่อที่คนตรงหน้าพูดสักเท่าไหร่ “งั้นเต้นให้ดูหน่อยดิ เดี๋ยวพี่จะได้อัดคลิปไปให้พี่โปดูความคืบหน้าซะหน่อย ว่าแบบซ้อมไปถึงไหนแล้วไรงี้”
นาโนจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะเดินไปเตรียมตัวที่กลางห้องซ้อม “พี่เปิดเพลงให้ด้วยนะ”
“เคได้ พร้อมแล้วบอก” ศิลาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องรอถ่ายวิดีโอ พอเห็นมือของนาโนที่ทำสัญญาณโอเคมาให้ เขาก็กดเปิดเพลงแล้วเริ่มอัดคลิปทันที
เสียงเพลงดังประสานไปกับท่าเต้นของนาโนที่กำลังขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ความสามารถของนาโนเป็นอันรู้กันดีทั้งสตูว่าไม่เป็นสองรองใคร แต่เพราะด้วยอีโก้ของเด็กคนนี้จึงทำให้ความสามารถที่ควรจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้กลับมีให้เห็นออกมาน้อยมาก
ถ้าจะให้เปรียบเทียบนาโนก็คงเป็นเหมือนน้ำที่เต็มแก้วอยู่ในตอนนี้...
พอน้องเต้นจบศิลาก็กดหยุดอัดแล้วเก็บมือถือลงกระเป๋าทันที ไม่ต้องส่งคลิปไปถึงอาโปหรอกแค่ลำพังเขาคนเดียวก็พูดได้เลยว่าเก่งแต่อ่อนซ้อมไปหน่อย
“จำท่าได้หมดยัง” ศิลาถาม
“ได้แล้วดิพี่ ระดับผม”
“แต่เมื่อกี๊พี่ดูแล้วไม่รู้สึกไรเลยว่ะ ก็ทั่วๆ ไป เหมือนแดนเซอร์ไม่เหมือนศิลปินเลยว่ะ”
“โห พูดแรงไปป่ะพี่ ยังซ้อมไม่ถึงวีคหนึ่งเลย”
“เอ้า! แต่นักเต้นเท้าไฟระดับนาโนเลยน้า..”
“พี่จะมาเอาไรกับผมเนี่ย” นาโนเริ่มหงุดหงิดเพราะรู้สึกถูกกระแนะกระแหน
“ก็แค่จะมาเตือนว่าให้ตั้งใจซ้อมเยอะๆ หน่อย สตูตั้งใจมาก พี่ทีมงานทุกคนก็ทำงานกันอย่างหนักเพื่อเตรียมงานให้แก เพราะฉะนั้นก็อย่าเป็นตัวถ่วงคนอื่นเขา เป็นศิลปินมีหน้าที่ซ้อมก็ตั้งใจซ้อมไป อย่าให้คนอื่นเขาต้องมาเหนื่อยฟรี” ศิลาร่ายเสียยาวเหยียดเพราะคิดว่าควรไปเลยทีเดียวให้จบกันไปตรงๆ ไม่ต้องมาอ้อมค้อมกัน เพราะมันเสียเวลา
“เรื่องนั้นผมรู้อยู่ละ ไม่ต้องย้ำบ่อย มันน่าเบื่อ” นาโนพูดแล้วเดินมาหยิบขวดน้ำเปล่ายกขึ้นดื่มเสียงอึกๆๆ ดังยกใหญ่
“ถ้างั้นก็อย่าให้เห็นอีกนะว่าแอบอู้ในห้องซ้อมอะ มันน่าเบื่อ” ประโยคสุดท้ายถูกศิลาพูดออกมาด้วยการล้อเลียนจนทำเอานาโนหัวร้อนขึ้นมาอยู่ไม่น้อย
...
...
...
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปความเบื่อเริ่มเข้าครอบงำนาโนมากขึ้น จากที่มาซ้อมตรงเวลาทุกวันขยันซ้อมอย่างหนัก จนเริ่มกลายเป็นว่าอยู่ในห้องซ้อมก็ซ้อมบ้าง เล่นมือถือบ้าง ถึงแม้ว่าจะโดนศิลาเตือนไปแล้วบ้างแต่ก็ไม่ได้นำพาสักเท่าไหร่ เพราะเขาก็รู้สึกว่าเขาทำได้แล้ว การที่ครูไม่ยอมเข้ามาสอนต่างหากที่ทำให้เขาทำงานได้ช้าลงเพราะไม่รู้จะซ้อมอะไรเนื่องจากท่าเก่าๆ ก็ซ้อมจนจำได้ทั้งหมดแล้ว
อาโปเองที่คอยเฝ้าติดตามอยู่ตลอดก็หนักใจไม่แพ้กันแต่ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาด้วยวิธีใด เพราะถ้าตัวเด็กไม่กระตือรือร้นที่จะไขว่คว้าโอกาสที่ได้มาเอาไว้ มันก็ยากอยู่เหมือนกันที่จะให้ใครมาคอยบอก
ห้องซ้อมเงียบสงัดทั้งๆ ที่เป็นเวลาซ้อมอาโปที่แอบเดินลงมาส่องดูก็ได้แต่แปลกใจจนต้องเปิดห้องเข้าไปดู ปรากฏว่าว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาของนาโนอยู่ในนั้น ความสงสัยผุดขึ้นในหัวจนต้องหยิบตารางซ้อมขึ้นมาเปิดดูว่าเป็นวันหยุดหรือเปล่า แต่ก็ไม่ใช่ เขาจึงตัดสินใจเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อถามหาจากศิลาที่กำลังนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่กับกานต์
“นาโนไม่มาซ้อมหรอวันนี้”
“เพิ่งออกไปไม่นานนี้เองพี่” กานต์เอ่ยตอบในพลางแตะไหล่ศิลาที่ยังคงนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้น สายตาที่มองกลับมาหาอาโปทำให้คนพี่รับรู้ได้ว่ามีเรื่องไม่ปกติเกิดขึ้น
“ออกไปไหนอะ?” อาโปยังคงถามย้ำสีหน้าแสดงความสงสัยเด่นชัดมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่รู้ครับ..” ศิลาตอบเสียงนิ่งแต่แววตาเครือด้วยน้ำตาที่กำลังรื้น
“หนูเป็นอะไร” อาโปเดินเข้ามาใช้สองมือหนาประคองใบหน้าหวานของอีกฝ่ายขึ้นมอง
“เมื่อกี๊ผมเผลอพูดกับนาโนว่าถ้าไม่จะไม่ซ้อมก็ไม่ต้องมา น้องคงโมโหเลยหนีออกไปครับ”
“อ่อ ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องเครียดนะ” อาโปโอบคนน้องเข้ามาปลอบ ใบหน้าสัมผัสกับกล้ามเนื้อหน้าท้องผ่านเสื้อยืดที่ถูกใส่คลุมเอาไว้สร้างความสบายใจให้ศิลาขึ้นมาได้บ้าง เขาหลับตาลงแล้วโอบแขนตอบรับผ่อนคลายนั้น
มือหนาของอาโปลูบหัวเบาๆ ของศิลาในใจก็นึกเป็นห่วงและเอ็นดูความอ่อนโยนของคนในอ้อมกอดที่รู้สึกผิดกับคำพูดของตัวเองจนทำให้นาโนไม่พอใจ แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อยเพราะสิ่งที่นาโนทำมันก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกตำหนิกันบ้าง ได้รับโอกาสมาทั้งทีแต่ไม่รู้จักทำให้เต็มที่ แบบนี้เสียดายเวลาที่จะมานั่งหายใจทิ้งไปวันๆ สู้เอาทรัพยากรที่มีอยู่ของสตูไปให้เด็กคนอื่นที่มีความพร้อมมากกว่านี้ใช้ยังจะดีเสียกว่า
หรืออาจเพราะนาโนคิดว่าจ่ายเงินทำเพลงเองทั้งหมดอย่างนั้นหรือเปล่า...
จากเหตุการณ์นี้ก็เลยทำให้อาโปต้องคิดหนักเพื่อที่จะหาทางออกของปัญหานี้เพราะเขาคงไม่ยอมให้สตูดิโอที่อุตส่าห์สร้างมากับมือต้องมาดูไม่มืออาชีพเพราะผลงานของเด็กที่ไม่เอาไหนคนนี้
เมื่อเช้าวันใหม่เดินทางมาถึงสตาฟหลายคนก็เดินกันขวักไขว่วุ่นวายเพราะวันนี้อาโปตั้งใจจะแก้เผ็ดเด็กดื้ออย่างนาโนสักหน่อย ซึ่งพอเล่าเรื่องที่เขาตั้งใจจะทำให้กานต์กับศิลาฟังทั้งคู่ก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าอย่างน้อยถึงจะไม่ได้ช่วยให้นาโนหันกลับมาสนใจเป้าหมายที่ตัวเองจะต้องทำ แต่อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็จะได้เห็นว่าสิ่งที่เขามั่นใจนักมั่นใจหนาว่าเก่งแล้วนั้นจริงๆ ในวงการนี้มันไม่ได้ดูกันแค่ที่ความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกเยอะที่จำเป็นจะต้องมีด้วยถ้าหากอยากจะโดดเด่นและเป็นที่จับตามองในฐานะศิลปิน
“เอ็ม พร้อมมั้ยวันนี้” ศิลาทักเมื่อเห็นน้องคนสนิทอย่างเอ็มที่หน้าผมถูกจัดแต่งจนเต็มแล้วเดินเข้ามาในห้องซ้อมที่เซ็ตติ้งไว้พร้อมสำหรับถ่ายทำสกู๊ปสัมภาษณ์ในวันนี้
“พร้อมละพี่”
ระหว่างเสียงพูดคุยดังอยู่นั้นจู่ๆ ประตูห้องซ้อมก็ถูกผลักออกอย่างแรงจนทุกคนในนั้นต้องเหลียวหน้าหันไปดูพร้อมกันแบบไม่ได้นัดกันเอาไว้ ร่างสูงเพรียวของนาโนเดินเข้ามาด้วยท่าทางเย่อหยิ่งนิดๆ ตรงเข้ามาหาเอ็มที่ยืนอยู่คู่กับศิลา
“มาด้วยเหรอ นึกว่ามีกูคนเดียวซะอีก” นาโนเอ่ยทักเอ็มเสียงนิ่ง
“อืม พี่อาโปนัดมาให้ถ่ายสกู๊ปเด็กฝึกไว้ลงโปรโมทช่องยูทูปของสตู”
“งั้นจริงๆ ก็ควรนัดมึงคนเดียวมากกว่านะ” นาโนกอดอกแล้วเดินเข้าไปใกล้เอ็มแล้วกระซิบ “เพราะมึงเป็นเด็กฝึก ส่วนกูกำลังจะได้เป็นศิลปิน”
“...” เอ็มไม่ตอบอะไรได้แต่เพียงหันหาไปเหล่มองศิลาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายส่ายหัวเบาๆ ให้เพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน
อาโปและเตชินท์เดินเข้ามาก่อนจะมองไปรอบห้องพลันสายตาก็มองเห็นร่างบางของแฟนตัวเองจึงรีบก้าวเท้ายาวเข้าไปหาทันทีโดยมีรุ่นน้องอย่างเตชินท์เดินตามหลังไปเงียบๆ
“พร้อมกันมั้ย จะได้เริ่มถ่ายกันเลย” อาโปเอ่ยถาม
“ผมพร้อมแล้วครับ” เอ็มพูดพร้อมสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะหันไปมองหน้านาโน
“อืม พร้อมครับ” นาโนตอบเสียงนิ่งพลางยืนเอามือกอดอกตัวเองเอาไว้
“งั้นเดี๋ยวบรีฟเลยละกันเนอะ จะได้เริ่มกันเลย” อาโปพูดจบก็ยกมือขึ้นตบไหล่เตชินท์เบาๆ เป็นเชิงว่าฝากให้จัดการต่อให้ด้วยแล้วตัวเองก็ไปนั่งรออยู่อีกมุมหนึ่งบริเวณที่ตากล้องและสตาฟคนอื่นๆ ยืนอยู่
“เดี๋ยววันนี้จะแบ่งสองช่วงนะน้อง ช่วงแรกจะเป็นการสัมภาษณ์เรื่องราวของแต่ละคนก่อนนะ แล้วเซสชั่นต่อไปก็จะให้ซ้อมเต้นนู่นนี่นั่น เก็บบรรยากาศตอนซ้อมเผื่อเอาไปตัดแทรกตอนสัมภาษณ์”
“เต้นเดี่ยวใช่มั้ยครับ” เอ็มถาม
“ทั้งเดี่ยวทั้งคู่เลย พี่ขอถ่ายเก็บไว้ก่อนเผื่อไว้ๆ” เตชินท์ตอบพร้อมยิ้มบางๆ เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกไม่เกร็ง เวลาถ่ายจะได้ราบรื่น
“เห้อ ต้องเต้นคู่ด้วยหรอครับ” เสียงถอนหายใจพร้อมคำพูดที่ดูเซ็งๆ ของนาโนทำเอาเอ็มก็ไม่ค่อยจะพอใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องปล่อยผ่านเพราะพวกเขากำลังอยู่ในเวลางาน
เตชินท์ที่ได้ยินเสียงถอนหายใจและการชักสีหน้าจากนาโนก็พลางนึกในใจว่าเด็กคนนี้มันวอนเสียแล้ว ออกลายตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มถ่ายด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจมากนัก เพราะก่อนหน้านี้กานต์ก็เคยได้มาเล่ามาบ่นให้ฟังอยู่เรื่อยๆ บ้าง ทำให้วันนี้เขาไม่ค่อยตกใจเท่าไหรที่เจอท่าทางแบบนี้
“มา! เริ่มถ่ายกันดีกว่า” เตชินท์เอ่ยบอกแล้วเดินกลับไปนั่งในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบ
การสัมภาษณ์เริ่มต้นขึ้นจากการให้แต่ละคนแนะนำตัว บอกกล่าวทั้งชื่อ นามสกุล อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก รวมไปถึงความสามารถพิเศษที่มีติดตัวมาก่อนจะมาเป็นเทรนนีของที่นี่ และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือประสบการณ์ของการทำงานในวงการบันเทิง
เอ็มบอกกล่าวถึงผลงานของตัวเองที่เริ่มจะพอมีให้เห็นกันอยู่บ้างไม่ว่าจะเป็นเอ็มวีหรือโฆษณาที่เริ่มทยอยปล่อยออกอากาศไปบ้างบางส่วนแล้ว ในขณะที่พอเตชินท์วกกลับมาถามเรื่องนี้กับนาโน นาโนก็ออกอาการอย่างเห็นได้ชัด เพราะรู้ตัวดีว่ายังไม่มีผลงานอะไรในวงการบันเทิงและยิ่งไม่พอใจเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังพ่ายแพ้เอ็มในเรื่องนี้
อาโปเห็นท่าทีของนาโนก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมูฟออนไปทำอย่างอื่นเพื่อเลี่ยงไม่ให้โฟกัสเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะคนแพ้ใครไม่เป็นอย่างนาโนคงจะระเบิดออกมาเป็นแน่หากยังทู่ซี้ขยี้ให้เขาต้องรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังด้อยกว่าเอ็ม
“พี่ว่าเราเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นเถอะ” อาโปสะกิดเตชินท์แล้วกระซิบเบาๆ
“ได้พี่” เตชินท์ตอบรับแล้วหันไปหาเอ็มและนาโน “คำถามต่อไปนะครับ แต่ละคนมีแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้อยากเป็นศิลปินครับ”
“จริงๆ ต้องบอกว่าค่อนข้างเป็นเรื่องบังเอิญครับ เพราะก่อนหน้านี้ว่างอยู่ครับแล้วเบื่อที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวก็เลยมาสมัครเรียนเต้นแก้เซ็งครับ” เอ็มเริ่มตอบเป็นคนแรก “หลังจากนั้นก็ได้โอกาสจากทางสตูดิโอให้เข้ามาเป็นเด็กฝึกครับ”
“แล้วนาโนล่ะครับ” เตชินท์ถามต่อ
“ผมเรียนเต้น เรียนร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กครับ ก็คลุกคลีอยู่กับเรื่องพวกนี้มาตลอด จนกระทั่งได้มาออดิชั่นที่นี่แล้วทางสตูก็เห็นว่าผมเก่ง มีความสามารถหลากหลายพร้อมใช้งานไรงี้ครับ ก็เลยได้เข้ามาเป็นเด็กฝึกที่นี่ครับ”
ศิลากับกานต์หันมองหน้ากันด้วยสายตาเลิ่กลั่กเพราะรู้อยู่ว่าสิ่งที่นาโนพูดมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงซะทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาสองคนจะต้องมานั่งสนใจอะไร เพราะใครอยากพูดอะไรก็พูดได้ แต่สุดท้ายผลงานและความสามารถมันจะเป็นตัวพิสูจน์ให้คนอื่นได้มองเห็นเอง
การสัมภาษณ์เป็นไปอย่างค่อนข้างราบรื่น แม้ว่าทั้งเอ็มและนาโนจะมีช่วงเวลาที่เหล่ตามองขวางกันอยู่บ้างด้วยความหมั่นไส้อีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนเกิดปากเสียงกันเหมือนทุกครั้ง และทันทีที่เตชินท์บอกว่าเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์แล้วนั้น ทั้งคู่ก็รีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินแยกออกไปคนละทางทันที
“เดี๋ยวหลังจากนี้พี่จะถ่ายเต้นนะ เก็บภาพรวมๆ ก่อนละกัน แบบให้นาโนกับเอ็มเต้นด้วยกันสองคนไรงี้” เตชินท์พูดเสียงดังเพื่อให้คนในห้องซ้อมตรงนั้นได้ยินทั่วกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะหลังจากเห็นเด็กสองคนเดินหนีออกจากกันก็คิดว่าถ้าไปบอกทีละคนก็คงจะเหนื่อยน่าดู เลยอาศัยพูดลอยๆ เสียงดังๆ แบบนี้น่าจะเวิร์คกว่า
ดนตรีดังต่อเนื่องหลังจากช่วงเวลาพักเบรกที่ผ่านไปก่อนหน้านี้ ทั้งเอ็มและนาโนต่างก็ออกเสต็ปท่าเต้นจากเพลงที่เคยเรียนด้วยกันมาก่อน เตชินท์กับตากล้องอีกคนก็พยายามจะเก็บภาพให้ได้หลายๆ มุมที่จะสามารถนำไปใช้แล้วดูน่าตื่นตาตื่นใจได้ก็เลยทำให้เด็กทั้งสองคนต้องเต้นกันอยู่หลายรอบจนสีหน้าของนาโนเริ่มเปลี่ยนไป
“เอาล่ะ องค์เริ่มมาละ กำลังจะลงแล้วมั้งเนี่ย” กานต์สะกิดศิลาให้หันไปมองตามสายตาของกานต์ที่ทอดมองไป ส่วนอาโปที่นั่งอยู่ข้างๆ แฟนของเขาเมื่อได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยเหมือนกัน
“ต้องแก้ด่วนเลยนิสัยแบบนี้” อาโปพูดขึ้น “เก็บสีหน้าไม่เคยอยู่เลย”
“จริงพี่” กานต์เออออตามสิ่งที่รุ่นพี่ของตัวเองบอก “เออว่าแต่พี่อาโปสังเกตเห็นอะไรป้ะ”
“อะไรเหรอ”
“ก็ดูดิ พอมาเต้นคู่กันแบบนี้ยิ่งเห็นชัดเลยว่าสกิลต่างกันจัดๆ” กานต์พูดพลางหันไปมองเอ็มกับนาโนอยู่เป็นระยะ
“อืม... เห็นแล้ว เครียดอยู่เนี่ยว่าสุดท้ายแล้วนาโนจะไปรอดมั้ย” อาโปสูดหายใจเข้าลึกก่อนถอนหายใจยาวออกมา
“ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ล่ะก็ ผมว่ายากมากเลยนะที่จะดังอะ นาโนเก่งจริงแต่ไม่มีเสน่ห์เลยต่างกับเอ็มแบบชัดเจน” กานต์เอ่ยเสริม
“จริงๆ เรื่องดังไม่ดังเนี่ยมันพูดกันยาก คาดเดาอะไรไม่ได้เลย เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่พี่มั่นใจมากๆ ก็คือ ถ้าน้องมันทำเต็มที่แบบสุดความสามารถยังไงคนดูเขาก็ต้องสัมผัสได้ แต่ตอนนี้พี่ยังไม่เห็นสิ่งนั้นจากตัวของนาโนเลยแม้แต่นิดเดียว” อาโปพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“แล้วงี้เราจะทำไงกันดีครับ” ศิลาเอ่ยพูดแทรกขึ้น
“พี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันครับ” อาโปหันมาตอบกลับคนน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วยกแขนขึ้นมาคว้าไหล่ของอีกฝ่ายเข้ามาโอบกอดไว้แน่น
“อืมม.. งั้นผมขอลองเสนอหน่อยได้มั้ยครับ” ศิลาถามต่อ
“อื้อ”
“ถ้าเราจะลองให้เอ็มมาช่วยสอนนาโนในวันที่ครูไม่ได้เข้า พี่โปคิดว่าไงครับ”
“จะไม่ตีกันตายใช่มั้ย” อาโปพูดพลางติดขำในลำคอ
“ก็ต้องลองดูมั้ยครับ ยังไงก็ดีกว่าการที่ครูไม่เข้าแล้วนาโนไม่ยอมตั้งใจซ้อมแน่ๆ ครับ”
“จริงๆ พี่ก็ไม่ติดอะไรหรอก แค่เป็นห่วงเฉยๆ กลัวจะตีกันตายซะก่อน”
“เดี๋ยวผมจะลองคุยกับเอ็มดูก่อนละกันครับ” ศิลาเอ่ยพลางยิ้มบางๆ
“อื้อ น่ารักที่สุดเลยแฟนพี่เนี่ย” อาโปยิ้มกว้างพลางเอาสองนิ้วบีบแก้มศิลาด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะใช้มือหนาประคองหัวอีกฝ่ายให้เอนมานอนซบไหล่ของตัวเองโดยไม่กลัวว่าจะถูกแซวจากผู้คนที่นั่งอยู่เต็มห้องเลยแม้แต่น้อย
“งั้นต้องมีรางวัลแล้วมั้ยครับ”
“หนูอยากได้อะไรล่ะ”
ศิลาได้ยินแบบนั้นก็กระดี๊กระด๊าผละหัวออกจากไหล่กว้างของอีกฝ่ายแล้วหันไปจ้องหน้าด้วยสายตาใสปิ๊งจนคนที่เห็นอย่างอาโปอดที่จะเอ็นดูไม่ได้
“พี่โปพูดแล้วนะ”
“อื้อ” อาโปพยักหน้ารับ “พี่ไม่โกหกหนูหรอกน่า”
“อาทิตย์หน้ามีวันหยุด พาไปเที่ยวทะเลหน่อยนะครับ”
-------------------------------------------------------------------
พูดคุยอย่าลืมติดแท็ก #อาโปรักศิลา นะครับ