อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zoneอยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
-------------------- จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! ------------------
"ถ้าแอบรักแล้วเราบอกออกไป การแอบรักจะดูหมดความหมาย...
ฉันจึงเลือกทางที่สบายใจ เก็บความลับที่แท้จริงมันสวยงามเพียงใด..."
"แค่เพื่อนแล้วกัน.. เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้..."
Run Kantheephop
20210424.
รถของจัสท์ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่บริเวณหน้ากุฏิของเจ้าอาวาส ทันทีที่ทั้งคู่เปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถ เสียงนกร้องประกอบกับเสียงใบไม้ที่สีกันไปมาเมื่อถูกลมพัดก็ดังชัดขึ้น เสียงระฆังดังแว่วมาแต่ไกลๆ เฟรนด์หันมองซ้ายขวาเพราะอยากจะได้ใครสักคนมาช่วยขนของเข้าไปข้างในกุฏิ
“วันนี้ไม่มีใครอยู่เหรอเนี่ย” เฟรนด์พูดพลางค่อยๆ ทยอยยกของลงจากท้ายรถโดยมีจัสท์คอยยืนช่วยอยู่ข้างๆ
“มาบ่อยเหรอครับที่นี่”
“ก็บ่อยนะ ส่วนใหญ่ก็วันพระ หรือวันไหนไม่สบายใจก็แวะมาบ้าง” เฟรนด์ตอบ
“อ่อครับ”
“อย่ามัวแต่ชวนคุย มาช่วยกันยกของหน่อย ตัวก็โตอย่ามาอู้” คนตัวเล็กบ่นอีกฝ่ายก่อนจะยกถุงใส่ของถุงแรกเดินเข้าไปด้านใน
“เจ้าอารมณ์จริงๆ เล้ย!” จัสท์เอ่ยพูดเสียงดังไล่หลังเฟรนด์ที่ล่วงหน้าเข้าไป แล้วจึงคว้าเอาของจำพวกแพคใหญ่ๆ เดินตามเข้าไป
ของจำนวนมากที่ทั้งสองคนซื้อมาถูกขนเข้ามาวางไว้ด้านหน้าเจ้าอาวาสจนครบ แม้จะต้องเดินเข้าๆ ออกๆ อยู่หลายรอบท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ แต่ทั้งจัสท์และเฟรนด์ต่างก็ไม่บ่นออกมาเลยสักครั้ง จะมีก็แต่จิกกัดกันเองตามประสามากกว่า
“นมัสการครับหลวงพ่อ” เฟรนด์วางของลงกับพื้นแล้วนั่งลงกราบเจ้าอาวาสที่นั่งอยู่ด้านใน จัสท์เดินตามมานั่งลงข้างๆ แล้วทำตาม
“เจริญพร วันนี้ขนมาซะเยอะเลยโยม”
“พอดีเพื่อนอยากมาทำบุญด้วยครับหลวงพ่อ เลยรวมๆ กันมาครับ” เฟรนด์ตอบกลับพลางหันไปมองจัสท์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ครับ” คนตัวสูงนั่งขัดสมาธิยิ้มแห้งๆ ให้เจ้าอาวาส เพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ยังไม่ค่อยชินกับการเข้าวัดสักเท่าไหร่
“ไม่ค่อยได้เข้าวัดสินะ” เฟรนด์เอ่ยแซวโดยมีหลวงพ่อมองแล้วยิ้มให้ ส่วนจัสท์ก็ได้แต่นั่งยิ้มนิ่งอยู่แบบเดิม
“ต้องทำไรต่ออ่ะ” คนตัวสูงเอนตัวมากระซิบถามที่ข้างหูคนตัวเล็ก
“ไม่ได้เรื่อง!” เฟรนด์เบะปากใส่อีกฝ่ายก่อนจะหันไปยิ้มให้หลวงพ่อที่นั่งมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
คนตัวเล็กกล่าวนำสวดบทถวายสังฆทานด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว โดยมีจัสท์ที่นั่งพึมพำตามอยู่ด้านข้าง พอสวดเสร็จทั้งคู่ก็ช่วยกันขยับสิ่งของที่นำมาถวายสังฆทานให้เคลื่อนเข้าไปใกล้กับหลวงพ่อมากขึ้น เพื่อที่จะได้ประเคนให้ถึงมือของหลวงพ่อได้ง่าย แต่เพราะของที่นำมาถวายมีจำนวนมากหากจะรอยกทั้งหมดก็คงจะใช้เวลานาน หลวงพ่อจึงนำผ้าประเคนออกมาวางรองแล้วอาศัยให้ทั้งเฟรนด์และจัสท์ขยับสิ่งของต่างๆ มาชิดติดกันแทนเพื่อจะได้ประหยัดเวลา
“เดี๋ยวกรวดน้ำนะโยม” หลวงพ่อพูดออกมาด้วยเสียงนุ่ม เฟรนด์จึงค่อยๆ ลุกคลานไปเอาที่กรวดน้ำที่วางอยู่ไม่ไกลมาไว้ตรงหน้าระหว่างตัวเองกับคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ
เฟรนด์เอามือเปิดฝาที่กรวดน้ำทองเหลืองแล้วค่อยๆ ยกขึ้นมาเตรียมจะกรวดน้ำ มือหนาของจัสท์ก็ตรงเข้าแตะที่แขนเรียวของอีกฝ่าย พอได้รับรู้ถึงสัมผัสบริเวณแขนของตัวเองเฟรนด์ก็เหลือบตาหันมองแล้วอมยิ้มออกมาน้อยๆ
อย่างน้อยก็ยังพอรู้เรื่องบ้างแหละนะ...
ทั้งเฟรนด์และจัสท์นั่งพนมมือกันต่อจนกระทั่งเสียงสวดมนต์ที่ต่อเนื่องยาวนานมาพักใหญ่ได้สิ้นสุดลง ทั้งคู่ก้มลงกราบพระก่อนจะกลับมานั่งในท่าปกติ
“เดี๋ยวมานะ” เฟรนด์หันไปบอกจัสท์แล้วยื่นมือไปคว้าเอาที่กรวดน้ำเดินออกไปด้านนอก
ส่วนจัสท์น่ะเหรอ..
ก็ได้แต่นั่งยิ้มเจื่อนสบตาไปมากับหลวงพ่อที่นั่งอยู่ตรงข้าม เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าควรจะต้องคุยกับพระยังไง
เขาหันซ้ายหันขวาไปมาอยู่หลายที ก่อนจะล้วงเอามือถือขึ้นมาไถดูเพื่อแก้เก้อ แต่ก็ไม่ได้ช่วยได้มากเท่าไหร่นัก พลันสายตาของเขาหันไปเห็นสังฆทานกองโตที่เพิ่งถวายไป เขาจึงหันไปเอ่ยถามกับหลวงพ่อ
“ของพวกนี้ให้เอาไปไว้ตรงไหนมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรโยม เดี๋ยวอาตมาให้คนมาขนเอง”
“อ่อ ครับ”
“ให้พวกผมช่วยยกก็ได้นะครับ ของมันเยอะขนาดนี้” เฟรนด์เดินกลับเข้ามาด้านในพร้อมกับที่กรวดน้ำที่คว้าออกไปเมื่อครู่ เขาเอามันกลับไปวางไว้ในที่เดิมเหมือนกับตอนแรกที่หยิบมันมา
“ไม่เป็นไรๆ ให้พวกเด็กๆ มันได้ทำงานบ้าง มากินข้าววัดแล้วก็ให้ทำงานตอบแทนมั่ง” หลวงพ่อเอ่ยพูดอย่างอารมณ์ดี เฟรนด์และจัสท์ที่ได้ฟังก็อดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
ปังงง!!!
เสียงโครมครามดังขึ้นที่ด้านหน้ากุฏิทำเอาทั้งหลวงพ่อทั้งจัสท์เฟรนด์สะดุ้งตัวโยนไปตามๆ กัน
“เล่นซนอะไรกันอีกแล้วแน่ๆ” หลวงพ่อเอ่ย
ไม่นานก็มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านในกุฏิแล้วยกมือไหว้ปลกๆ “ขอโทษครับ”
“เล่นอะไรกันอีกล่ะโยมต๊อด”
“เตะบอลกันอยู่ครับหลวงพ่อ”
“เล่นระวังๆ กันด้วยล่ะ อย่าให้ข้าวของพังเหมือนคราวก่อน”
“ครับๆ” เด็กวัดที่ชื่อต๊อดรับคำก่อนจะรีบวิ่งออกไปข้างนอก
“งั้นพวกผมสองคนขอลาเลยแล้วกันนะครับ” เฟรนด์เอ่ยปากบอกหลวงพ่อแล้วก้มลงกราบ โดยมีจัสท์ที่นั่งข้างๆ คอยทำตามอยู่ทุกท่วงท่า
ทั้งสองคนเดินออกมาจากกุฏิหลวงพ่อตอนแรกเฟรนด์กำลังจะเดินตรงไปยังรถของจัสท์ เพราะอยากกลับบ้านเนื่องจากอากาศมันร้อนมากเกินไป เหงื่อไคลก็ไหลออกมาไม่หยุดจนเขารู้สึกเหนียวตัวไปหมดแต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะได้ยินเสียงทุ้มของคนตัวสูงพูดดังขึ้นมา
“ปลาคาร์ฟนี่น่ารักจัง” จัสท์เอ่ยทักเมื่อเดินผ่านบ่อปลาขนาดใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น
เฟรนด์หันหลังกลับมาแล้วเดินเข้าไปดู “ตัวใหญ่เหมือนกันแฮะ”
“ช่าย น่ารักเนอะ” จัสท์พูดพลางหันมามองหน้าเฟรนด์แล้วยิ้มกว้าง
ตึกๆ ตึกๆ
เสียงหัวใจของเฟรนด์กระตุกเต้นแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะจุดอ่อนของเขาก็ยังคงหนีไม่พ้นคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้เวลาจะผ่านมานานแค่ไหน และแม้ว่าเรื่องราวแย่ๆ ในอดีตจะทำให้เฟรนด์ตัดใจจากจัสท์ไปได้บ้างแล้ว แต่พอได้กลับมาเริ่มใกล้ชิดอีกครั้ง มันก็เรียกเอาความรู้สึกเก่าๆ ของเฟรนด์ให้กลับมาอีกครั้งเหมือนกัน
แต่ดูเหมือนว่าจัสท์เองก็ยังคงไม่รู้ตัวอยู่ดี...
ผมเปลี่ยนไปขนาดนั้นเลยหรอ...
มันถึงจำผมไม่ได้...
“คุณ..” เสียงทุ้มของจัสท์เอ่ยเรียก
“ห้ะ!!ครับ” เฟรนด์สะดุ้ง
“เป็นอะไรครับ เหม่อเชียว”
“ปะ.. เปล่าครับ” คนตัวเล็กปฏิเสธแล้วรีบหันหน้ากลับไปมองดูปลาคาร์ฟในบ่อ โดยมีคนตัวสูงยืนหัวเราะบางๆ อยู่ด้านข้าง
ทั้งคู่เดินออกจากบ่อปลาคาร์ฟมาหลังจากที่เชยชมกันอยู่พักใหญ่ จัสท์หันไปเห็นซุ้มเล็กๆ ที่ทางวัดตั้งไว้เพื่อขายอาหารปลาก็อดใจไม่ไหวที่จะเดินเข้าไป เพราะเขาเป็นคนที่หลงใหลและชื่นชอบปลาเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว
“หยอดตู้ได้เลยจ้า” เสียงคุณป้าที่นั่งอยู่ด้านในซุ้มพูดลอดออกมาหลังจากเห็นชายหนุ่มสองคนกำลังเดินเข้ามาที่หน้าซุ้ม
“ถุงเท่าไหร่นะครับ” จัสท์เอ่ยถาม
“20 จ้ะ หยอดตู้ได้เลยลูก”
“เอ่อ.. แต่ผมมีแต่แบงก์ร้อยอ่ะครับ” จัสท์ชูแบงก์สีแดงในมือขึ้นให้อีกฝ่ายดู
“ป้าทอนให้ได้นะ เอามั้ย? กี่ถุงดี”
“คุณ จะเอากี่ถุง” คนตัวสูงหันมาถามเฟรนด์ที่ยืนนิ่งมองอยู่ตรงนั้น
“คนละถุงก็พอ” เฟรนด์ตอบ
“งั้นเอาอาหารปลา 2 ขนมปัง 2 ครับป้า” จัสท์หันไปบอกกับคุณป้าในซุ้มหลังจากที่ได้ยินคำตอบของคนตัวเล็ก
จัสท์ยื่นมือไปคว้าเอาอาหารปลาแบบเม็ดมาสองถุงกับขนมปังอีก 2 ถุงแล้วยื่นให้เฟรนด์ก่อนจะหันไปรับเงินทอนที่คุณป้าอุตส่าห์ไขตู้บริจาคเอาออกมาให้ เขาโค้งหัวแล้วยิ้มบอกลาให้คุณป้าก่อนจะหันหลังเดินออกมาจากตรงซุ้มนั้น
ทั้งคู่เดินตรงไปยังบริเวณริมน้ำโดยมีเฟรนด์เป็นฝ่ายเดินนำหน้า เพราะเขามาที่วัดนี้อยู่บ่อยครั้งจัสท์จึงให้โอกาสคนตัวเล็กได้ทำหน้าที่เสมือนเป็นไกด์นำทางให้กับเขา
“นี่คุณ ผมถามอะไรหน่อยสิ” จัสท์เอ่ยถามขึ้นระหว่างทางที่เดินไปริมน้ำ
“อะไรครับ”
“คุณเอากล้องมาทำไมครับ ไม่เห็นถ่ายอะไรเลย” จัสท์เอ่ยถามปนน้ำเสียงหัวเราะ
“ก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรนี่”
“ก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรนี่!!” จัสท์พูดพลางทำสีหน้าล้อเลียนคำพูดของเฟรนด์
“นี่คุณ!!!” เฟรนด์ง้างมือจะทุบแต่ก็หยุดตัวเองไว้ได้ทัน
“ผมล้อเล่นหรอกน่า.. ก็เห็นตอนแรกคุณบอกว่าเอากล้องมาเพราะจะทำคอนเทนต์ แต่ก็ยังไม่เห็นคุณเอาออกมาถ่ายซะที ก็เลยสงสัย”
“ตอนแรกก็ตั้งใจงั้นแหละ แต่พอมาถึงวัดทำนู่นทำนี่ก็ขี้เกียจถ่ายไปซะงั้น”
พรึ่บบบบ!!!!
“เชี่ยยย!!” เฟรนด์ร้องตกใจเมื่อฝูงนกพิราบกระโจนบินขึ้นฟ้าเมื่อเขาเดินเข้ามาถึงบริเวณท่าน้ำของวัด
“ฮ่าๆๆๆ” คนตัวสูงหัวเราะดังลั่น โดยมีสายตามองค้อนของคนตัวเล็กจับจ้องอยู่อย่างไม่คาดสายตา
“ตลกมากเหรอ” เสียงงอนของเฟรนด์เอ่ยถามขึ้น
“ช่าย นี่ถ้าเมื่อกี๊ถ่ายไว้คงได้คอนเทนต์นะครับ” จัสท์พูดแซวแล้วเดินไปยังริมน้ำ
จัสท์ค่อยๆ แกะถุงอาหารปลาออกก่อนจะค่อยๆ โปรยอาหารลงไป ฝูงปลาที่อัดแน่นอยู่ตรงนั้นแหวกว่ายแย่งชิงอาหารกันขวักไขว่ จะว่าไปมันก็ดูน่าอดสูอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาเห็นปลาน้อยใหญ่เบียดเสียดกันเพื่อยื้อแย่งอาหารสำหรับต่ออายุชีวิตของตัวเอง บางตัวก็เป็นแผลบาดเจ็บจากประชากรที่หนาแน่ แต่คนเราก็ยังไม่วายที่จะชื่นชอบการทำทานในลักษณะนี้อยู่
หรืออาจเพราะพวกเขาคิดว่าปลามันไม่มีความรู้สึกล่ะมั้ง..
“คุณมาเร็ว ปลาเต็มเลย” จัสท์กวักมือเรียกเฟรนด์ที่กำลังยืนมองอยู่ห่างๆ ให้เดินเข้ามาใกล้ๆ
“น้ำมันกระเด็นอะคุณ” เฟรนด์ทำหน้าหยี
“มาเหอะน่า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวค่อยกลับไปอาบน้ำ” คนตัวสูงเดินเข้ามาลากแขนคนตัวเล็กให้เดินตามไปที่ริมน้ำ ก่อนจะกำเอาอาหารปลาที่เหลืออยู่ก้นถุงโปรยลงไปบริเวณที่ใกล้ฝั่ง เพราะอยากจะแกล้งให้อีกฝ่ายได้ตกใจเล่นๆ
“นี่คุณ!!!!” เฟรนด์ร้องเสียงหลงเมื่อฝูงปลากระโดดมาแย่งอาหารกันจนน้ำในแม่น้ำกระเซ็นไปทั่วจนทั้งคู่เปียกเปรอะเป็นจุดด่างไปเต็มเสื้อผ้า
“เอาหน่าคุณ นิดเดียวเอง” จัสท์ยิ้มให้ก่อนจะยื่นมือมาคว้าเอาถุงอาหารปลาจากมือของเฟรนด์ไปแกะให้
“ขอบใจ” เฟรนด์รับเอาถุงอาหารปลากลับมา ก่อนจะค่อยๆ หยิบแล้วปาอาหารออกไปไกล
“เอามือถือคุณมาหน่อยเร็ว” คนตัวสูงพูดพลางแบมือยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“ทำไมอ่ะ” เฟรนด์ถามกลับด้วยความสงสัย
“จะถ่ายสตอรี่ให้ไงครับ”
“อ่อ”
พอรู้เหตุผลของสิ่งที่คนตัวสูงบอกเฟรนด์ก็คว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่ยัดไว้ในกระเป๋าหลังของกางเกงขึ้นมาปลดล็อกแล้วยื่นให้ จัสท์กดเปิดแอพลิเคชั่นอินสตาแกรมทันทีเพื่อถ่ายสตอรี่ให้อีกฝ่าย
“วิดีโอหรือบูมเมอแรงอ่ะ” คนตัวสูงเอ่ยถาม
“วิดีโอก็ได้”
“พร้อมมั้ยครับ”
“อือ” เฟรนด์พยักหน้ารับก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายสตอรี่ไอจี
“เอานะ 1 2 3…”
จัสท์เริ่มนับเป็นสัญญาณให้เฟรนด์ได้เตรียมตัวก่อนที่จะเริ่มถ่าย ทันทีที่สิ้นเสียงนับของคนตัวสูง ปุ่มบันทึกก็ถูกนิ้วเรียวหนากดลงไป ส่วนคนตัวเล็กที่ยืนอยู่หน้ากล้องก็ยิ้มให้กล้องแล้วหันกลับไปโยนให้อาหารปลาถุงในลงไปในแม่น้ำจนหมด
“ได้ป้ะ” เฟรนด์เดินเข้ามาถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ได้อยู่ครับ นี่ไง” คนตัวสูงยื่นมือถือให้อีกฝ่ายดู
“หึ้ยยยย น่ารักกก” เสียงเฟรนด์ร้องงุ้ยทันทีที่เห็นคลิปของตัวเอง
“เดี๋ยวนะ ชมตัวเองก็ได้เหรอคุณ” จัสท์หัวเราะถาม
“ทำไม มันไม่น่ารักหรอ” เฟรนด์พูดพลางส่งสายต่าอ้อน
“น่ารักสิครับ” เสียงทุ้มชวนอบอุ่นหัวใจดังลอดออกมาจากริมฝีปากของคนตัวสูง ทำเอาจังหวะหัวใจของเฟรนด์เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
ตึกตัก ตึกตัก...
คนตัวเล็กรีบผละออกแล้วถอยห่างจากจัสท์เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงขึ้น ด้วยกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายรู้เข้าแล้วจะโดนล้อ
ก็ไอ้คนตัวโตนี่มันยิ่งปากหมาอยู่ด้วย...
“คุณ!ระวัง!” จัสท์ร้องลั่นพร้อมยื่นมือไปคว้าตัวของอีกฝ่ายเมื่อสังเกตเห็นว่ากำลังถอยไปโดยไม่ทันได้มองข้างหลัง
ตู้มมม!!
ไม่ทัน...
เพราะความซุ่มซ่ามเลยทำให้เฟรนด์ที่ผละถอยหลังห่างออกไปไม่ทันได้ระวัง จึงพลาดพลัดตกลงแม่น้ำไป ทีแรกจัสท์ก็ยืนมองด้วยความตกใจแต่ก็เปลี่ยนใจเป็นหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของคนตัวเล็กโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
“ซุ่มซ่ามจริงๆ เลยคุณ รีบขึ้นมาเร็ว เดี๋ยวปลาตอดเอานะ”
“...”
“คุณ..” จัสท์น้ำเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าท่าทีและสีหน้าของเฟรนด์ดูผิดแผกแปลกไป จากเสียงหัวเราะก็กลายเป็นความกังวล เขารีบร้องตะโกนแล้ววิ่งเข้าไปใกล้ท่าน้ำมากขึ้น
“คุณ!!!” คนตัวสูงพยายามหันมองซ้ายขวาเพื่อหาคนช่วย แต่ก็ไม่มีวี่แววที่จะมีใครสักคนผ่านมา พลันสายตาก็หันไปเห็นห่วงยางเก่าๆ ที่แขวนไว้ตรงเสาที่อยู่ริมท่าน้ำ ทีแรกเขาก็นึกจะวิ่งไปคว้าเอาห่วงยางโยนไปให้เฟรนด์ที่กำลังตะเกียกตะกายให้ตัวเองรอดพ้นจากการจมน้ำ แต่พอเห็นสภาพห่วงยางก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจทันที
ตู้มมม!!
จัสท์ตัดสินใจกระโดดลงไปในน้ำแล้วว่ายเข้าไปช่วยเฟรนด์ทันที เขาใช้แขนขวาข้าที่ถนัดล็อคเข้าที่คอของเฟรนด์แน่น เพื่อที่คนตัวเล็กจะได้ไม่กอดก่ายวุ่นวายจนทำให้จมน้ำตายกันไปทั้งคู่ เขาค่อยๆ ว่ายเข้ามาที่ฝั่งแล้วเรียกเสียงดังเพื่อให้เฟรนด์ได้สติจากอาการตกใจ
“คุณ!!”
เฟรนด์ยังคงหอบหายใจแรงและไม่ได้ยินเสียงที่อีกฝ่ายเรียก
“เฟรนด์!!!!!” จัสท์ตะโกนลั่นเข้าที่ใบหน้าของคนตัวเล็ก สายตาโฟกัสกลับมาเป็นสัญญาณให้เขารู้ว่าเฟรนด์ตั้งสติได้แล้ว มือข้างที่เหลือของจัสท์เกาะริมตลิ่งไว้แน่น ส่วนอีกมือที่ล็อกคอเฟรนด์ไว้ก่อนหน้านี้ก็พยายามช่วยพยุงให้เฟรนด์เอามือคว้าจับตลิ่งไว้
“ปีนขึ้นไปไหวมั้ยคุณ” จัสท์เอ่ยถามออกไปโดยที่เฟรนด์ก็พยักหน้ารับเบาๆ
ทั้งจัสท์และเฟรนด์ป่ายปีนขึ้นจากน้ำกันอย่างทุลักทุเล ทั้งคู่หอบหายใจแรงเมื่อปีนขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย แสงแดดจ้าที่ส่องมาก็ไม่ได้ทำให้พวกเขากระตือรือร้นในการหลบหลีกสักเท่าไหร่ เพราะใจยังคงพะวงอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ อีกทั้งยังเหน็ดเหนื่อยจากการเอาชีวิตรอดมาได้หมาดๆ อีกด้วย
“ขอบคุณนะ” เฟรนด์เอ่ยบอกพลางมองจ้องไปทางจัสท์ที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ไม่เป็นไรครับ ปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“อือ” คนตัวเล็กพยักหน้า
“วันหลังก็ระวังหน่อยแล้วกันครับ อาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนวันนี้อีก” จัสท์เตือนด้วยความเป็นห่วง
“รู้แล้วน่า..” คนตัวเล็กเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงงอแง เหมือนไม่ค่อยพอใจ
“นี่คุณ.. ที่พูดเนี่ย เพราะผมเป็นห่วงนะ” เสียงทุ้มนิ่งจากปากของจัสท์ทำเอาเฟรนด์หยุดชะงักไปอีกครั้งเมื่อได้ยิน
“เออๆ รู้แล้ว ขอบใจมาก” เฟรนด์พูดก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางกอดอกตัวสั่น “หนาวชะมัด”
จัสท์รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปประคองอีกฝ่าย “ไปที่รถผมก่อนดีกว่า มีผ้าขนหนูอยู่ครับ”
คนตัวสูงเดินประคองคนตัวเล็กให้เดินตามไปยังรถของตัวเอง ระหว่างทางที่เดินผ่านพวกเด็กวัดก็มีบ้างที่โดนหัวเราะและโดนแซวแต่จัสท์ก็ทำเพียงแค่ยิ้มเขินๆ ออกไป มีแต่เฟรนด์ที่ก้มหน้างุดเพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพของตัวเองในตอนนี้
ทันทีที่เดินมาถึงรถจัสท์รีบเปิดท้ายรถแล้วหยิบกระเป๋าใบโตออกมาก่อนจะเปิดแล้วหยิบเอาผ้าขนหนูในนั้นออกมาพากไว้ที่ไหล่ของตัวเอง
“คนอะไรพกผ้าขนหนูด้วย” เฟรนด์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็ผมไปฟิตเนสทุกวันนี่คุณ ก็ต้องพกสิครับ”
เฟรนด์ไม่ตอบได้แต่พยักหน้ารับแล้วเสหน้ามองไปทางอื่น
เพราะอะไรน่ะเหรอ?
ก็เพราะในเวลานี้ไอ้คนตัวสูงที่อยู่ในสภาพเปียกปอนแบบนี้ก็ทำเอาใจของเขาบางอยู่เหมือนกัน
ผมเปียกๆ แบบนั้น..
เท่ชิบหาย..
จะบ้าตายรายวัน...
“มา.. ผมเช็ดหัวคุณให้” จัสท์บอกพลางดึงตัวเฟรนด์ให้เข้ามาใกล้
“เห้ย ไม่ต้องๆ เดี๋ยวทำเอง” เฟรนด์ปฏิเสธแล้วพยายามดึงผ้าขนหนูจากมือของจัสท์ แต่คนตัวสูงก็ออกแรงดึงรั้งไว้
“อย่าเล่นตัวน่ะคุณ มา!” จัสท์เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง เฟรนด์ก็เลยหน้าจ๋อยค่อยๆ เดินเข้ามายืนพิงที่ท้ายรถก่อนที่คนตัวสูงจะเอาผ้าขนหนูวางบนหัวแล้วออกแรงเช็ดให้เบาๆ
แต่ชุดขาวที่เฟรนด์ใส่มาพอมันเปียกน้ำจนผ้าแนบเนื้อมันก็ชวนให้ดึงสายตาของจัสท์ไปได้อยู่ไม่น้อย สายตาคมสอดส่ายมองไปขณะที่สองมือก็วุ่นอยู่กับการเช็ดหัวให้เฟรนด์ไปด้วย
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยบางอย่างบริเวณอกซ้ายที่ปรากฏขึ้นให้เห็นแบบรำไรผ่านเนื้อผ้าของชุดขาวที่แนบเนื้ออยู่นั้น
“หน้าอกคุณ.. แผลเป็นเหรอครับ” คนตัวสูงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ใช่ครับ” เฟรนด์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“แล้วรอยอะไรเหรอครับ?”
“นี่.. จำไม่ได้จริงๆ เหรอ” เฟรนด์ถามอย่างสงสัย จัสท์ได้ยินแบบนั้นก็ลดมือที่กำลังเช็ดหัวอีกฝ่ายลงแล้วจ้องมองด้วยความไม่เข้าใจ
“ครับ?”
มือบางของเฟรนด์ค่อยๆ ยกขึ้นมาจับที่ปกเสื้อแล้วเคลื่อนออกเพื่อเผยให้เห็นรอยปานแดงทีบริเวณหน้าอกของตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้น
“ทีนี้จำได้หรือยัง”
“ห้ะ?” จัสท์ยังคงอุทานออกมาด้วยความสงสัย ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“นี่มึงจำกูไม่ได้จริงๆ หรอ” เฟรนด์ถามย้ำแต่ครั้งนี้สรรพนามได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว
ดวงตาคมของจัสท์เบิกโตขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ด้วยความตกใจ ก่อนจะก้มลงมองที่รอยปานแดงนั้นอีกครั้งแล้วกลับมาจ้องหน้าคนตัวเล็กตรงหน้าด้วยความตะลึง
“นี่คุณ.. อะ.. ไอ้เฟรนด์ ห้อง 8 หรอ!”
--------------------------------------------------
ฝาก #จฟเพื่อนไม่ไหว ด้วยนะค้าบบบบ ห่างหายไปนานเนื่องจากยุ่งมากจริงๆ ฮะ หลังจากนี้จะพยายามมาให้บ่อยขึ้นนะครับ