อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้

จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone - บทที่ 5 รื้อฟื้นไม่ไหว โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย

รายละเอียด

จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

-------------------- จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! ------------------

 

"ถ้าแอบรักแล้วเราบอกออกไป การแอบรักจะดูหมดความหมาย...

ฉันจึงเลือกทางที่สบายใจ เก็บความลับที่แท้จริงมันสวยงามเพียงใด..."

 

"แค่เพื่อนแล้วกัน.. เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้..."

Run Kantheephop

20210424.

สารบัญ

จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-INTRO บทนำ,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 1 หงุดหงิดไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 2 เคืองไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 3 แค้นไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 4 ตกใจไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 5 รื้อฟื้นไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 6 ไร้สาระไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 7 ใจสั่นไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 8 เฉลยไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 9 รู้สึกไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 10 จุดเปลี่ยนไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 11 ย้อนความหลังไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 12 คลี่คลายไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 13 ดราม่าไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 14 กระอักกระอ่วนไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 15 แทบทนไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 16 ธาตุแท้ไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 17 ธาตแท้ไม่ไหว Part 2,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 18 เป็นเพื่อนไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 19 เปิดตัวไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 20 รักกันไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-ตอนพิเศษ 1 ความลับที่เชียงใหม่,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-ตอนพิเศษ 2 ครบรอบ 10 ปี

เนื้อหา

บทที่ 5 รื้อฟื้นไม่ไหว

“หน้าอกคุณ.. แผลเป็นเหรอครับ” คนตัวสูงเอ่ยถามขึ้น

 

“ไม่ใช่ครับ” เฟรนด์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง

 

“แล้วรอยอะไรเหรอครับ?”

 

“นี่.. จำไม่ได้จริงๆ เหรอ” เฟรนด์ถามอย่างสงสัย จัสท์ได้ยินแบบนั้นก็ลดมือที่กำลังเช็ดหัวอีกฝ่ายลงแล้วจ้องมองด้วยความไม่เข้าใจ

 

“ครับ?”

 

มือบางของเฟรนด์ค่อยๆ ยกขึ้นมาจับที่ปกเสื้อแล้วเคลื่อนออกเพื่อเผยให้เห็นรอยปานแดงที่บริเวณหน้าอกของตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้น

 

“ทีนี้จำได้หรือยัง”

 

“ห้ะ?” จัสท์ยังคงอุทานออกมาด้วยความสงสัย ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

 

“นี่มึงจำกูไม่ได้จริงๆ หรอ” เฟรนด์ถามย้ำแต่ครั้งนี้สรรพนามได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว

 

ดวงตาคมของจัสท์เบิกโตขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ด้วยความตกใจ ก่อนจะก้มลงมองที่รอยปานแดงนั้นอีกครั้งแล้วกลับมาจ้องหน้าคนตัวเล็กตรงหน้าด้วยความตะลึง

 

“นี่คุณ.. อะ.. ไอ้เฟรนด์ ห้อง 8 หรอ!”

 

...

 

...

 

...

 

ปีการศึกษา 2552

 

เด็กหนุ่มผิวคล้ำใส่แว่นหนาเตอะประกอบกับเส้นผมหยักศกชี้ฟูไม่เป็นทรงกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่หน้าห้อง 4/8ก ที่มีป้ายไม้สีน้ำตาลเข้มที่ถูกทาเคลือบน้ำมันจนเงาวับ ตัวอักษรสีทองถูกติดเรียงเอาไว้เป็นคำว่า English Gifted Program

 

เขาเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปด้วยความรู้สึกตัวเล็กลีบเพราะเขาเพิ่งจะย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่นี่ ทำให้อะไรๆ ก็ดูใหม่สำหรับเขาไปทั้งหมด เขาหันซ้ายมองขวาแล้วพบเข้ากับเด็กหนุ่มอีกคนที่ดึงดูดสายตาเขาอย่างน่าประหลาด ร่างบางเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยปากทักจนหนุ่มผิวใสคนนั้นหันหน้ามามอง

 

“นาย” ร่างบางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

 

“ครับ?”

 

“ตรงนี้มีคนนั่งมั้ย ขอนั่งด้วยคนดิ”

 

“นั่งเลยๆ” เพื่อนใหม่หน้าหล่อเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเอื้อมมือคว้าเก้าอี้แล้วลากออกมาให้คนตัวเล็กนั่ง

 

“ชื่ออะไรหรอ”

 

“จัสท์ แล้วนายอะ ชื่อไร”

 

“เราชื่อเฟรนด์”

 

“เด็กใหม่ใช่ป่ะ” จัสท์ถามต่อ

 

“อื้อ” เฟรนด์พยักหน้ารับ

 

“แล้วย้ายมาจากไหนอะ”

 

“ดำเนินสะดวกอะ แต่ไม่กล้าบอกชื่อโรงเรียนกลัวนายไม่รู้จัก” เฟรนด์เอ่ยตอบพลางยิ้มแห้ง ความมั่นใจที่เคยมีตอนอยู่โรงเรียนเก่ากลับหายไปหมดสิ้น เพราะเขารู้สึกว่ามันเหมือนไม่ใช่ที่ของเขา มันยังไม่ชินสักเท่าไหร่นัก

 

“ที่มีตลาดน้ำอะนะ”

 

“ช่าย”

 

“เชื่อมั้ยตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเที่ยวตลาดน้ำเลย เป็นคนราชบุรีแท้ๆ” จัสท์หัวเราะเบาๆ ขณะพูด

 

“บ้านเราอยู่ใกล้ตลาดน้ำ ไว้พาไปเที่ยว”

 

“เอาดิ” สีหน้าของจัสท์ดูตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

 

แต่ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดคุยกันต่ออาจารย์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยสีหน้าเข้ม เป็นผู้ชายที่ดูดุดัน นักเรียนที่นั่งกันอยู่ในห้องต่างพากันเงียบเสียงลงหลังจากที่พูดคุยเจื้อยแจ้วกันอย่างออกรส

 

“สวัสดีครับ ครูชื่อเข่งนะครับ เป็นครูที่ปรึกษาประจำห้องนี้ครับ...”

 

หลังจากอาจารย์เข่งแนะนำตัวเองและเริ่มอธิบายถึงสรรพคุณความเก่งกาจและเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของเขาที่สามารถเรียนจบปริญญาเอกจนได้เป็นด๊อกเตอร์ทางด้านมวยไทยคนแรกของโลกให้นักเรียนได้ฟังกันอย่างหนำใจแล้วนั้น เขาก็เริ่มชี้แจงรายละเอียดการให้คะแนนรวมไปถึงการตัดเกรดของแต่ละวิชาให้ได้ฟังว่ามีทั้งแบบอิงเกณฑ์และอิงกลุ่ม นักเรียนที่นั่งฟังต่างพากันหาวหวอดๆ จนน้ำหูน้ำตาแทบจะไหล

 

ก็แหม... ปิดเทอมมาตั้งหลายเดือน พอเปิดเทอมมันก็ต้องมีการปรับจูนเวลากันเสียหน่อย

 

“เดี๋ยวครูจะส่งตารางสอนไปให้นะครับ ให้นักเรียนส่งต่อกันไปให้ครบทุกคนได้เลยนะครับ”

 

กระดาษตารางสอนถูกนักเรียนคนที่นั่งแถวหน้าสุดรับจากมือของอาจารย์เข่งแล้วส่งต่อกันมาเรื่อยๆ จนถึงแถวของเฟรนด์ซึ่งจัสท์เป็นคนยื่นมือไปรับแล้วยื่นให้เฟรนด์ คนตัวเล็กกว่ารีบยื่นมือไปรับตารางสอนทำให้ปลายนิ้วของเขาสัมผัสเข้ากับหลังมือของอีกฝ่าย เสียงไฟฟ้าสถิตดังเปรี๊ยะออกมาจนทั้งคู่สะดุ้งก่อนจะหัวเราะใส่กัน

 

“ไฟช็อตเฉย” เฟรนด์บอกพลางดึงมือกลับมาวางไว้ที่หน้าตักของตัวเอง

 

“ปกติ เราผิวแห้งอะ เลยช็อตบ่อย” จัสท์พูดแล้วล้วงเอาแฮนด์ครีมในกระเป๋าขึ้นมาทาจนทั่วก่อนจะยื่นมือมาสัมผัสที่แขนของเฟรนด์อีกครั้ง “เห็นมั้ย ไม่ช็อตแล้ว”

 

“อะ..อ่อ.. จริงด้วย” เฟรนด์นิ่งไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยตอบ

 

ใช่.. ไม่ช็อตแล้ว

 

แต่หัวใจของเฟรนด์ดันเต้นแรงไม่หยุดเลย

 

แม้จะไม่มีไฟฟ้าสถิตแล้วก็จริงแต่ความรู้สึกของเฟรนด์กลับยังเหมือนถูกช็อตอยู่ตลอดเวลา สายตาของเขาไม่สามารถละไปจากใบหน้าของจัสท์ได้เลยในเวลานี้

 

พอได้สติเขาก็คว้าเอาใบตารางสอนมาเก็บใส่ไว้ในแฟ้มของตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองหน้าอาจารย์เข่งที่กำลังวาดตารางบางอย่างพร้อมตัวเลขบนกระดาน

 

“ครูเขาทำไรอะ” เฟรนด์ถาม

 

“กำลังจะจับฉลากนั่งโต๊ะอะ” จัสท์หันมาบอก “เดี๋ยวเขาจะให้นักเรียนออกไปจับฉลากใครได้เลขไหนก็ให้นั่งตามเลขบนกระดานอะ”

 

“อ่อ”

 

อาจารย์ยกกระปุกที่ใส่ฉลากตัวเลขขึ้นมาเขย่าแล้วบอกให้นักเรียนแถวหน้าเริ่มลุกไปหยิบทีละคน จนกระทั่งถึงคิวจัสท์กับเฟรนด์ ทั้งสองคนลุกเดินออกไปแล้วล้วงหยิบเอาฉลากขึ้นมาเปิดดูก็พบว่าเลขที่จัสท์กับเฟรนด์ได้นั้นคือโต๊ะที่คู่กัน ทำให้หลังจากนั้นทั้งคู่เลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปโดยปริยาย

 

ผ่านไปเพียงสองสัปดาห์จัสท์และเฟรนด์กลายเป็นเพื่อนซี้ที่ตัวติดกันตลอดเวลาไม่ว่าจะในห้องหรือนอกห้อง จนเพื่อนฝูงเก่าๆ ของจัสท์ก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงมาสนิทกับเฟรนด์ได้ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนช่วงม.ต้นเขาเลือกคบเพื่อนมากชนิดที่ว่ามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาเรียกว่าเพื่อนสนิทจริงๆ

 

ไม่ใช่ว่าเขาเลือกคบเพื่อนที่นิสัยดีๆ หรอกนะ แต่จัสท์มักจะเลือกคบเพื่อนที่หน้าตาดี บ้านมีเงิน หรือมีหน้ามีตาในสังคมซะมากกว่า เพราะฉะนั้นคนที่จะผ่านเกณฑ์แล้วได้มาเป็นเพื่อนสนิทของเขาได้เลยค่อนข้างน้อย

 

คนก็เลยยิ่งสงสัยว่าทำไมเฟรนด์เด็กใหม่ถึงได้มาเดินตามต้อยๆ อยู่กับจัสท์ เพราะดูจะไม่ผ่านเกณฑ์อะไรของจัสท์สักอย่าง

 

“นี่นาย...” เสียงหวานของเด็กสาวที่เดินมาสะกิดเอ่ยทักขณะที่เฟรนด์กำลังนั่งรอรถเพื่อจะกลับบ้าน

 

“ห้ะ? ... เรียกเราเหรอ”

 

“อื้อ นายอะแหละ”

 

“มีไรเหรอ”

 

“ชื่อเฟรนด์ใช่ป้ะ”

 

“เราป๊อปนะ อยู่ห้อง 4/3ข”

 

“อ่อ แล้วมีอะไรกับเราเหรอ” เฟรนด์ถามด้วยสีหน้างงๆ เพราะไม่เคยรู้จักกับป๊อปมาก่อน

 

“คือนาย... เอ่อ...”

 

“...” เฟรนด์นั่งนิ่งมองหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง

 

“นายสนิทกับจัสท์เหรอ” ป๊อปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระอึกกระอัก แบบไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองจะถามอยู่เหมือนกัน

 

“อื้อ ทำไมเหรอ”

 

“ไปสนิทกันได้ไงอะ”

 

“ก็เรียนห้องเดียวกัน นั่งโต๊ะติดกันอะ” เฟรนด์ตอบกลับด้วยความสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาถามเรื่องนั้นกับเขา เพราะตัวเขาเองก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่คนไม่เคยรู้จักกันจะเข้ามาถามเรื่องว่าเราสนิทกับใครหรือไม่สนิทกับใคร

 

จะอยากรู้ไปทำไม...

 

“อ่อ... อย่าหาว่าเรางั้นงี้เลยนะ จะสนิทกับจัสท์ก็คิดดูดีๆ หน่อยละกัน” ป๊อปเอ่ยพูดด้วยเสียงที่เบาลง

 

“ทำไมเหรอ” เฟรนด์เอ่ยถามกลับเสียงแข็ง

 

ก็กล้าดียังไงมาพูดจาแบบนี้กับเพื่อนของเขาล่ะ...

 

“ก็ปกติเขาไม่คบเพื่อนแบบ...นายอะ”

 

“เดี๋ยวนะ!” เฟรนด์คิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “แบบเราแล้วมันทำไมเหรอ”

 

“ก็ปกติจัสท์มันเลือกคบแต่เพื่อนที่หน้าตาดี มีฐานะไง แล้วนายอะ มันอยู่นอกเกณฑ์หมดเลยไง ก็เลยสงสัย” ป๊อปพ่นบทเสียยาวเหยียดเมื่อรู้สึกว่าการพูดดีๆ แบบมีมารยาทเริ่มไม่มีผลในบทสนทนานี้

 

“มันไม่แรงไปหน่อยเหรอ เท่าที่รู้จักจัสท์มา เพื่อนเราก็ไม่น่าใช่คนแบบนั้นนะครับ”

 

“ก็ลองดูๆ ไปก่อนละกัน ไปละ ที่บ้านเรามารับแล้ว” ป๊อปลุกขึ้นเดินไปที่รถเก๋งสีดำที่ขับเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท ปล่อยให้เฟรนด์นั่งงงอยู่ตรงนั้นคนเดียว

 

“คนอะไรวะ อยู่ดีๆ ก็เดินมาพูดๆๆๆ แล้วก็ไป ไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ” เฟรนด์บ่นก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมานั่งเล่นเกมรอเพราะรถตู้คันที่นั่งประจำยังไม่มาสักที

 

“เฟรนด์!!!”

 

คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก เขาจึงเงยหน้าจากจอมือถือขึ้นมองไปตามเสียงเรียกนั้น สายตาปักหมุดไปยังจัสท์ที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตรงหน้าป้ายรถเมล์ที่เขานั่งอยู่

 

“เอ้า ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ” เฟรนด์เอ่ยถาม

 

“เราดิที่ต้องถามนายว่าทำไมยังไม่กลับบ้านอีก บ้านเราอยู่หลังโรงเรียนแค่นี้เอง”

 

“อ่อ... รอรถอยู่อะ”

 

“ให้นั่งรอเป็นเพื่อนเปล่า” จัสท์บอกแล้วก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วเดินตรงเข้ามานั่งลงข้างๆ

 

“จริงๆ กลับเลยก็ได้ อีกแป๊บก็น่าจะมาแล้วแหละ” เฟรนด์มองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วเอ่ยบอกจัสท์

 

จัสท์ส่ายหัวปฏิเสธแถมยังยืนยันว่าจะนั่งรอรถเป็นเพื่อนเฟรนด์จนกว่ารถตู้สายประจำที่เฟรนด์ต้องนั่งกลับบ้านจะมา ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่จากจำนวนนักเรียนที่มากมายหลังโรงเรียนเลิกก็กลายเป็นเหลืออยู่บางตา วันนี้รถตู้สายที่เฟรนด์ต้องนั่งดันมาช้ากว่าปกติก็เลยทำให้คนตัวเล็กต้องนั่งรอยู่นาน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเบื่อหรือหงุดหงิดสักเท่าไหร่เพราะมีจัสท์คอยชวนคุยอยู่ไม่ห่าง

 

“รถมาละ” เฟรนด์ชี้ให้จัสท์ดูเมื่อเห็นรถตู้ที่แปะป้ายชื่อสถานที่ปลายทางที่ตัวเขาเองจะไปขับเข้ามาจอดที่หน้าป้ายรถเมล์ที่เข้านั่งอยู่

 

“กลับดีๆ นะ”

 

“อื้อ”

 

“ถึงบ้านละโทรมาบอกด้วยนะ” จัสท์เอ่ยบอกพร้อมยิ้มให้

 

รอยยิ้มนั้นมันทำให้ใจของเฟรนด์เต้นแรงอีกแล้ว...

 

...

 

...

 

...

 

“ตอนนั้นทำไมเราพูดกันเพราะจังวะ” เฟรนด์เอ่ยบอกพลางหัวเราะเบาๆ ในขณะที่มือก็ยกขึ้นขยี้ผมตัวเองที่จัสท์เพิ่งใช้ผ้าขนหนูเช็ดให้จนหมาด

 

“นั่นดิ เพราะเพิ่งสนิทกันมั้ง” จัสท์บอกแล้วหยิบเสื้อยืดที่มีสำรองไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าหลังรถออกมาให้เฟรนด์เปลี่ยน เพราะไอ้ตัวที่ใส่อยู่เปียกเสียจนไม่อาจใส่ต่อไปได้

 

“ขอบใจ” เฟรนด์รับเสื้อทีคนตัวสูงยื่นให้มาถือไว้ก่อนจะพูดต่อ “แต่กูว่าเป็นเพราะมึงแอ๊บเป็นคนดีมากกว่า”

 

“ไอ้สัส!”

 

“แหม พอรู้ว่ากูเป็นใครก็หยาบคายเลยนะ” เฟรนด์เอ่ยแซวขณะที่ถอดเสื้อออกแล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อตัวใหม่

 

“ก็มึงด่ากูนี่หว่า”

 

“กูไม่ได้ด่า กูพูดเรื่องจริงเหอะ มึงมันคนเหี้ยไอ้จัสท์”

 

“เกินไปละๆ”

 

“อย่างน้อยก็เหี้ยกับกู” เฟรนด์เอ่ยพูดเสียงอ่อย

 

“ก็มันอารมณ์ชั่ววูบ มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ โพสท์ด่ากูในเฟสบุ๊คเฉย”

 

“แต่มันเกิดจากที่มึงทำเหี้ยใส่กูก่อนไง” เฟรนด์ย้ำด้วยเสียงหนักแน่น “หรือไม่จริง?”

 

“ไม่จริง” จัสท์บอกพลางชูมือขึ้นจับกระโปรงรถเพื่อดึงมันให้ปิดลงมา “ไป กลับได้แล้ว ไปขึ้นรถ”

 

“โถ่ พอเถียงสู้ไม่ได้ก็รีบชิ่งเปลี่ยนเรื่องเลยนะ” เฟรนด์เอ่ยบอกแล้วทำปากมุบมิบบ่นในลำคอก่อนจะเดินไปประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่ง

 

ระหว่างทางที่รถขับไปทั้งจัสท์และเฟรนด์ต่างก็ยังรื้อฟื้นเรื่องราวในวัยเด็กมาเถียงกันไม่หยุดจนลืมไปว่าเพราะไอ้เรื่องราวในอดีตเหล่านั้นแหละที่ทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนสนิทที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาต้องพังทลายลงแบบไม่มีชิ้นดี ชนิดที่ว่าต่างฝ่ายต่างเอ่ยปากว่าขออย่าให้ได้กลับมาเจอกันอีก

 

แต่สุดท้ายก็วงโคจรของชีวิตก็วนมาบรรจบกันอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะพรหมลิขิตหรือเวรกรรมกันแน่...

 

“กูถามจริงๆ เลยนะ ถ้าไม่เห็นปานที่หน้าอกกูจะจำได้มั้ย” เฟรนด์ถามขณะที่รถของจัสท์กำลังจอดเคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านของจัสท์

 

“เอาอะไรมาจำได้ มึงดูหน้ามึงตอนนี้กับเมื่อก่อนด้วย อย่างกับคนละคน”

 

“ตอนนี้น่ารักล่ะสิ” เฟรนด์พูดแล้วพยายามทำหน้าแบ๊วใส่จัสท์

 

“จะอ้วก” จัสท์เอ่ยตอบแล้วเปิดประตูลงจากรถไปก่อนจะเดินเข้าบ้านตัวเองไป

 

เฟรนด์รีบก้าวลงจากรถแล้วเดินกลับไปยังหน้าบ้านของตัวเองทันที เขายืนลังเลหันซ้ายหันขวาอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินกลับไปยังด้านหน้าบ้านจัสท์แล้วเอ่ยเรียกเสียงดัง

 

“ไอ้จัสท์!!”

 

“มีไรอีก” คนตัวสูงเดินออกมาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งหน้าปกเป็นชื่อภาษาอังกฤษที่เห็นไม่ชัดสักเท่าไหร่เพราะถูกนิ้วมือของคนถือบังเอาไว้

 

“อยากไปนั่งจิบชากับกินของว่างสักหน่อยมั้ย ถือซะว่าแทนคำขอบคุณที่อุตส่าห์พาไปวัด แล้วก็... ที่ช่วยเหลือชีวิตกูไว้”

 

“อือ เอาดิ”

--------------------------------------

#จฟเพื่อนไม่ไหว 

ห่างหายไปนาน กลับมาแล้วนะค้าบ ฝากคอมเม้นติชม หรือติดแท็กให้ด้วยนะค้าบ