อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zoneอยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
-------------------- จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! ------------------
"ถ้าแอบรักแล้วเราบอกออกไป การแอบรักจะดูหมดความหมาย...
ฉันจึงเลือกทางที่สบายใจ เก็บความลับที่แท้จริงมันสวยงามเพียงใด..."
"แค่เพื่อนแล้วกัน.. เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้..."
Run Kantheephop
20210424.
“หน้าอกคุณ.. แผลเป็นเหรอครับ” คนตัวสูงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ใช่ครับ” เฟรนด์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“แล้วรอยอะไรเหรอครับ?”
“นี่.. จำไม่ได้จริงๆ เหรอ” เฟรนด์ถามอย่างสงสัย จัสท์ได้ยินแบบนั้นก็ลดมือที่กำลังเช็ดหัวอีกฝ่ายลงแล้วจ้องมองด้วยความไม่เข้าใจ
“ครับ?”
มือบางของเฟรนด์ค่อยๆ ยกขึ้นมาจับที่ปกเสื้อแล้วเคลื่อนออกเพื่อเผยให้เห็นรอยปานแดงที่บริเวณหน้าอกของตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้น
“ทีนี้จำได้หรือยัง”
“ห้ะ?” จัสท์ยังคงอุทานออกมาด้วยความสงสัย ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“นี่มึงจำกูไม่ได้จริงๆ หรอ” เฟรนด์ถามย้ำแต่ครั้งนี้สรรพนามได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว
ดวงตาคมของจัสท์เบิกโตขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ด้วยความตกใจ ก่อนจะก้มลงมองที่รอยปานแดงนั้นอีกครั้งแล้วกลับมาจ้องหน้าคนตัวเล็กตรงหน้าด้วยความตะลึง
“นี่คุณ.. อะ.. ไอ้เฟรนด์ ห้อง 8 หรอ!”
...
...
...
ปีการศึกษา 2552
เด็กหนุ่มผิวคล้ำใส่แว่นหนาเตอะประกอบกับเส้นผมหยักศกชี้ฟูไม่เป็นทรงกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่หน้าห้อง 4/8ก ที่มีป้ายไม้สีน้ำตาลเข้มที่ถูกทาเคลือบน้ำมันจนเงาวับ ตัวอักษรสีทองถูกติดเรียงเอาไว้เป็นคำว่า English Gifted Program
เขาเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปด้วยความรู้สึกตัวเล็กลีบเพราะเขาเพิ่งจะย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่นี่ ทำให้อะไรๆ ก็ดูใหม่สำหรับเขาไปทั้งหมด เขาหันซ้ายมองขวาแล้วพบเข้ากับเด็กหนุ่มอีกคนที่ดึงดูดสายตาเขาอย่างน่าประหลาด ร่างบางเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยปากทักจนหนุ่มผิวใสคนนั้นหันหน้ามามอง
“นาย” ร่างบางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“ครับ?”
“ตรงนี้มีคนนั่งมั้ย ขอนั่งด้วยคนดิ”
“นั่งเลยๆ” เพื่อนใหม่หน้าหล่อเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเอื้อมมือคว้าเก้าอี้แล้วลากออกมาให้คนตัวเล็กนั่ง
“ชื่ออะไรหรอ”
“จัสท์ แล้วนายอะ ชื่อไร”
“เราชื่อเฟรนด์”
“เด็กใหม่ใช่ป่ะ” จัสท์ถามต่อ
“อื้อ” เฟรนด์พยักหน้ารับ
“แล้วย้ายมาจากไหนอะ”
“ดำเนินสะดวกอะ แต่ไม่กล้าบอกชื่อโรงเรียนกลัวนายไม่รู้จัก” เฟรนด์เอ่ยตอบพลางยิ้มแห้ง ความมั่นใจที่เคยมีตอนอยู่โรงเรียนเก่ากลับหายไปหมดสิ้น เพราะเขารู้สึกว่ามันเหมือนไม่ใช่ที่ของเขา มันยังไม่ชินสักเท่าไหร่นัก
“ที่มีตลาดน้ำอะนะ”
“ช่าย”
“เชื่อมั้ยตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเที่ยวตลาดน้ำเลย เป็นคนราชบุรีแท้ๆ” จัสท์หัวเราะเบาๆ ขณะพูด
“บ้านเราอยู่ใกล้ตลาดน้ำ ไว้พาไปเที่ยว”
“เอาดิ” สีหน้าของจัสท์ดูตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
แต่ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดคุยกันต่ออาจารย์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยสีหน้าเข้ม เป็นผู้ชายที่ดูดุดัน นักเรียนที่นั่งกันอยู่ในห้องต่างพากันเงียบเสียงลงหลังจากที่พูดคุยเจื้อยแจ้วกันอย่างออกรส
“สวัสดีครับ ครูชื่อเข่งนะครับ เป็นครูที่ปรึกษาประจำห้องนี้ครับ...”
หลังจากอาจารย์เข่งแนะนำตัวเองและเริ่มอธิบายถึงสรรพคุณความเก่งกาจและเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของเขาที่สามารถเรียนจบปริญญาเอกจนได้เป็นด๊อกเตอร์ทางด้านมวยไทยคนแรกของโลกให้นักเรียนได้ฟังกันอย่างหนำใจแล้วนั้น เขาก็เริ่มชี้แจงรายละเอียดการให้คะแนนรวมไปถึงการตัดเกรดของแต่ละวิชาให้ได้ฟังว่ามีทั้งแบบอิงเกณฑ์และอิงกลุ่ม นักเรียนที่นั่งฟังต่างพากันหาวหวอดๆ จนน้ำหูน้ำตาแทบจะไหล
ก็แหม... ปิดเทอมมาตั้งหลายเดือน พอเปิดเทอมมันก็ต้องมีการปรับจูนเวลากันเสียหน่อย
“เดี๋ยวครูจะส่งตารางสอนไปให้นะครับ ให้นักเรียนส่งต่อกันไปให้ครบทุกคนได้เลยนะครับ”
กระดาษตารางสอนถูกนักเรียนคนที่นั่งแถวหน้าสุดรับจากมือของอาจารย์เข่งแล้วส่งต่อกันมาเรื่อยๆ จนถึงแถวของเฟรนด์ซึ่งจัสท์เป็นคนยื่นมือไปรับแล้วยื่นให้เฟรนด์ คนตัวเล็กกว่ารีบยื่นมือไปรับตารางสอนทำให้ปลายนิ้วของเขาสัมผัสเข้ากับหลังมือของอีกฝ่าย เสียงไฟฟ้าสถิตดังเปรี๊ยะออกมาจนทั้งคู่สะดุ้งก่อนจะหัวเราะใส่กัน
“ไฟช็อตเฉย” เฟรนด์บอกพลางดึงมือกลับมาวางไว้ที่หน้าตักของตัวเอง
“ปกติ เราผิวแห้งอะ เลยช็อตบ่อย” จัสท์พูดแล้วล้วงเอาแฮนด์ครีมในกระเป๋าขึ้นมาทาจนทั่วก่อนจะยื่นมือมาสัมผัสที่แขนของเฟรนด์อีกครั้ง “เห็นมั้ย ไม่ช็อตแล้ว”
“อะ..อ่อ.. จริงด้วย” เฟรนด์นิ่งไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยตอบ
ใช่.. ไม่ช็อตแล้ว
แต่หัวใจของเฟรนด์ดันเต้นแรงไม่หยุดเลย
แม้จะไม่มีไฟฟ้าสถิตแล้วก็จริงแต่ความรู้สึกของเฟรนด์กลับยังเหมือนถูกช็อตอยู่ตลอดเวลา สายตาของเขาไม่สามารถละไปจากใบหน้าของจัสท์ได้เลยในเวลานี้
พอได้สติเขาก็คว้าเอาใบตารางสอนมาเก็บใส่ไว้ในแฟ้มของตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองหน้าอาจารย์เข่งที่กำลังวาดตารางบางอย่างพร้อมตัวเลขบนกระดาน
“ครูเขาทำไรอะ” เฟรนด์ถาม
“กำลังจะจับฉลากนั่งโต๊ะอะ” จัสท์หันมาบอก “เดี๋ยวเขาจะให้นักเรียนออกไปจับฉลากใครได้เลขไหนก็ให้นั่งตามเลขบนกระดานอะ”
“อ่อ”
อาจารย์ยกกระปุกที่ใส่ฉลากตัวเลขขึ้นมาเขย่าแล้วบอกให้นักเรียนแถวหน้าเริ่มลุกไปหยิบทีละคน จนกระทั่งถึงคิวจัสท์กับเฟรนด์ ทั้งสองคนลุกเดินออกไปแล้วล้วงหยิบเอาฉลากขึ้นมาเปิดดูก็พบว่าเลขที่จัสท์กับเฟรนด์ได้นั้นคือโต๊ะที่คู่กัน ทำให้หลังจากนั้นทั้งคู่เลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปโดยปริยาย
ผ่านไปเพียงสองสัปดาห์จัสท์และเฟรนด์กลายเป็นเพื่อนซี้ที่ตัวติดกันตลอดเวลาไม่ว่าจะในห้องหรือนอกห้อง จนเพื่อนฝูงเก่าๆ ของจัสท์ก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงมาสนิทกับเฟรนด์ได้ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนช่วงม.ต้นเขาเลือกคบเพื่อนมากชนิดที่ว่ามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาเรียกว่าเพื่อนสนิทจริงๆ
ไม่ใช่ว่าเขาเลือกคบเพื่อนที่นิสัยดีๆ หรอกนะ แต่จัสท์มักจะเลือกคบเพื่อนที่หน้าตาดี บ้านมีเงิน หรือมีหน้ามีตาในสังคมซะมากกว่า เพราะฉะนั้นคนที่จะผ่านเกณฑ์แล้วได้มาเป็นเพื่อนสนิทของเขาได้เลยค่อนข้างน้อย
คนก็เลยยิ่งสงสัยว่าทำไมเฟรนด์เด็กใหม่ถึงได้มาเดินตามต้อยๆ อยู่กับจัสท์ เพราะดูจะไม่ผ่านเกณฑ์อะไรของจัสท์สักอย่าง
“นี่นาย...” เสียงหวานของเด็กสาวที่เดินมาสะกิดเอ่ยทักขณะที่เฟรนด์กำลังนั่งรอรถเพื่อจะกลับบ้าน
“ห้ะ? ... เรียกเราเหรอ”
“อื้อ นายอะแหละ”
“มีไรเหรอ”
“ชื่อเฟรนด์ใช่ป้ะ”
“เราป๊อปนะ อยู่ห้อง 4/3ข”
“อ่อ แล้วมีอะไรกับเราเหรอ” เฟรนด์ถามด้วยสีหน้างงๆ เพราะไม่เคยรู้จักกับป๊อปมาก่อน
“คือนาย... เอ่อ...”
“...” เฟรนด์นั่งนิ่งมองหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง
“นายสนิทกับจัสท์เหรอ” ป๊อปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระอึกกระอัก แบบไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองจะถามอยู่เหมือนกัน
“อื้อ ทำไมเหรอ”
“ไปสนิทกันได้ไงอะ”
“ก็เรียนห้องเดียวกัน นั่งโต๊ะติดกันอะ” เฟรนด์ตอบกลับด้วยความสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาถามเรื่องนั้นกับเขา เพราะตัวเขาเองก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่คนไม่เคยรู้จักกันจะเข้ามาถามเรื่องว่าเราสนิทกับใครหรือไม่สนิทกับใคร
จะอยากรู้ไปทำไม...
“อ่อ... อย่าหาว่าเรางั้นงี้เลยนะ จะสนิทกับจัสท์ก็คิดดูดีๆ หน่อยละกัน” ป๊อปเอ่ยพูดด้วยเสียงที่เบาลง
“ทำไมเหรอ” เฟรนด์เอ่ยถามกลับเสียงแข็ง
ก็กล้าดียังไงมาพูดจาแบบนี้กับเพื่อนของเขาล่ะ...
“ก็ปกติเขาไม่คบเพื่อนแบบ...นายอะ”
“เดี๋ยวนะ!” เฟรนด์คิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “แบบเราแล้วมันทำไมเหรอ”
“ก็ปกติจัสท์มันเลือกคบแต่เพื่อนที่หน้าตาดี มีฐานะไง แล้วนายอะ มันอยู่นอกเกณฑ์หมดเลยไง ก็เลยสงสัย” ป๊อปพ่นบทเสียยาวเหยียดเมื่อรู้สึกว่าการพูดดีๆ แบบมีมารยาทเริ่มไม่มีผลในบทสนทนานี้
“มันไม่แรงไปหน่อยเหรอ เท่าที่รู้จักจัสท์มา เพื่อนเราก็ไม่น่าใช่คนแบบนั้นนะครับ”
“ก็ลองดูๆ ไปก่อนละกัน ไปละ ที่บ้านเรามารับแล้ว” ป๊อปลุกขึ้นเดินไปที่รถเก๋งสีดำที่ขับเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท ปล่อยให้เฟรนด์นั่งงงอยู่ตรงนั้นคนเดียว
“คนอะไรวะ อยู่ดีๆ ก็เดินมาพูดๆๆๆ แล้วก็ไป ไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ” เฟรนด์บ่นก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมานั่งเล่นเกมรอเพราะรถตู้คันที่นั่งประจำยังไม่มาสักที
“เฟรนด์!!!”
คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก เขาจึงเงยหน้าจากจอมือถือขึ้นมองไปตามเสียงเรียกนั้น สายตาปักหมุดไปยังจัสท์ที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตรงหน้าป้ายรถเมล์ที่เขานั่งอยู่
“เอ้า ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ” เฟรนด์เอ่ยถาม
“เราดิที่ต้องถามนายว่าทำไมยังไม่กลับบ้านอีก บ้านเราอยู่หลังโรงเรียนแค่นี้เอง”
“อ่อ... รอรถอยู่อะ”
“ให้นั่งรอเป็นเพื่อนเปล่า” จัสท์บอกแล้วก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วเดินตรงเข้ามานั่งลงข้างๆ
“จริงๆ กลับเลยก็ได้ อีกแป๊บก็น่าจะมาแล้วแหละ” เฟรนด์มองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วเอ่ยบอกจัสท์
จัสท์ส่ายหัวปฏิเสธแถมยังยืนยันว่าจะนั่งรอรถเป็นเพื่อนเฟรนด์จนกว่ารถตู้สายประจำที่เฟรนด์ต้องนั่งกลับบ้านจะมา ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่จากจำนวนนักเรียนที่มากมายหลังโรงเรียนเลิกก็กลายเป็นเหลืออยู่บางตา วันนี้รถตู้สายที่เฟรนด์ต้องนั่งดันมาช้ากว่าปกติก็เลยทำให้คนตัวเล็กต้องนั่งรอยู่นาน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเบื่อหรือหงุดหงิดสักเท่าไหร่เพราะมีจัสท์คอยชวนคุยอยู่ไม่ห่าง
“รถมาละ” เฟรนด์ชี้ให้จัสท์ดูเมื่อเห็นรถตู้ที่แปะป้ายชื่อสถานที่ปลายทางที่ตัวเขาเองจะไปขับเข้ามาจอดที่หน้าป้ายรถเมล์ที่เข้านั่งอยู่
“กลับดีๆ นะ”
“อื้อ”
“ถึงบ้านละโทรมาบอกด้วยนะ” จัสท์เอ่ยบอกพร้อมยิ้มให้
รอยยิ้มนั้นมันทำให้ใจของเฟรนด์เต้นแรงอีกแล้ว...
...
...
...
“ตอนนั้นทำไมเราพูดกันเพราะจังวะ” เฟรนด์เอ่ยบอกพลางหัวเราะเบาๆ ในขณะที่มือก็ยกขึ้นขยี้ผมตัวเองที่จัสท์เพิ่งใช้ผ้าขนหนูเช็ดให้จนหมาด
“นั่นดิ เพราะเพิ่งสนิทกันมั้ง” จัสท์บอกแล้วหยิบเสื้อยืดที่มีสำรองไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าหลังรถออกมาให้เฟรนด์เปลี่ยน เพราะไอ้ตัวที่ใส่อยู่เปียกเสียจนไม่อาจใส่ต่อไปได้
“ขอบใจ” เฟรนด์รับเสื้อทีคนตัวสูงยื่นให้มาถือไว้ก่อนจะพูดต่อ “แต่กูว่าเป็นเพราะมึงแอ๊บเป็นคนดีมากกว่า”
“ไอ้สัส!”
“แหม พอรู้ว่ากูเป็นใครก็หยาบคายเลยนะ” เฟรนด์เอ่ยแซวขณะที่ถอดเสื้อออกแล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อตัวใหม่
“ก็มึงด่ากูนี่หว่า”
“กูไม่ได้ด่า กูพูดเรื่องจริงเหอะ มึงมันคนเหี้ยไอ้จัสท์”
“เกินไปละๆ”
“อย่างน้อยก็เหี้ยกับกู” เฟรนด์เอ่ยพูดเสียงอ่อย
“ก็มันอารมณ์ชั่ววูบ มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ โพสท์ด่ากูในเฟสบุ๊คเฉย”
“แต่มันเกิดจากที่มึงทำเหี้ยใส่กูก่อนไง” เฟรนด์ย้ำด้วยเสียงหนักแน่น “หรือไม่จริง?”
“ไม่จริง” จัสท์บอกพลางชูมือขึ้นจับกระโปรงรถเพื่อดึงมันให้ปิดลงมา “ไป กลับได้แล้ว ไปขึ้นรถ”
“โถ่ พอเถียงสู้ไม่ได้ก็รีบชิ่งเปลี่ยนเรื่องเลยนะ” เฟรนด์เอ่ยบอกแล้วทำปากมุบมิบบ่นในลำคอก่อนจะเดินไปประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่ง
ระหว่างทางที่รถขับไปทั้งจัสท์และเฟรนด์ต่างก็ยังรื้อฟื้นเรื่องราวในวัยเด็กมาเถียงกันไม่หยุดจนลืมไปว่าเพราะไอ้เรื่องราวในอดีตเหล่านั้นแหละที่ทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนสนิทที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาต้องพังทลายลงแบบไม่มีชิ้นดี ชนิดที่ว่าต่างฝ่ายต่างเอ่ยปากว่าขออย่าให้ได้กลับมาเจอกันอีก
แต่สุดท้ายก็วงโคจรของชีวิตก็วนมาบรรจบกันอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะพรหมลิขิตหรือเวรกรรมกันแน่...
“กูถามจริงๆ เลยนะ ถ้าไม่เห็นปานที่หน้าอกกูจะจำได้มั้ย” เฟรนด์ถามขณะที่รถของจัสท์กำลังจอดเคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านของจัสท์
“เอาอะไรมาจำได้ มึงดูหน้ามึงตอนนี้กับเมื่อก่อนด้วย อย่างกับคนละคน”
“ตอนนี้น่ารักล่ะสิ” เฟรนด์พูดแล้วพยายามทำหน้าแบ๊วใส่จัสท์
“จะอ้วก” จัสท์เอ่ยตอบแล้วเปิดประตูลงจากรถไปก่อนจะเดินเข้าบ้านตัวเองไป
เฟรนด์รีบก้าวลงจากรถแล้วเดินกลับไปยังหน้าบ้านของตัวเองทันที เขายืนลังเลหันซ้ายหันขวาอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินกลับไปยังด้านหน้าบ้านจัสท์แล้วเอ่ยเรียกเสียงดัง
“ไอ้จัสท์!!”
“มีไรอีก” คนตัวสูงเดินออกมาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งหน้าปกเป็นชื่อภาษาอังกฤษที่เห็นไม่ชัดสักเท่าไหร่เพราะถูกนิ้วมือของคนถือบังเอาไว้
“อยากไปนั่งจิบชากับกินของว่างสักหน่อยมั้ย ถือซะว่าแทนคำขอบคุณที่อุตส่าห์พาไปวัด แล้วก็... ที่ช่วยเหลือชีวิตกูไว้”
“อือ เอาดิ”
--------------------------------------
#จฟเพื่อนไม่ไหว
ห่างหายไปนาน กลับมาแล้วนะค้าบ ฝากคอมเม้นติชม หรือติดแท็กให้ด้วยนะค้าบ