อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zoneอยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
-------------------- จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! ------------------
"ถ้าแอบรักแล้วเราบอกออกไป การแอบรักจะดูหมดความหมาย...
ฉันจึงเลือกทางที่สบายใจ เก็บความลับที่แท้จริงมันสวยงามเพียงใด..."
"แค่เพื่อนแล้วกัน.. เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้..."
Run Kantheephop
20210424.
เฟรนด์รื้อของออกจากกระเป๋าผ้าหลังจากที่ออกไปชอปปิ้งข้างนอกมา วันนี้เป็นวันที่เขาต้องไปซื้อของเข้ามาเก็บไว้ในบ้านเนื่องจากมันเริ่มจะทยอยหมดไปทีละอย่างสองอย่าง พวกของสดถูกเก็บเข้าตู้เย็นส่วนของแห้งและของใช้อื่นๆ ถูกแยกเก็บเข้าชั้นวางที่อยู่ในครัว
เช้านี้ลมเย็นพัดผ่านประตูหลังบ้านเข้ามาจนทำให้คนตัวเล็กสัมผัสได้ถึงความเย็นเล็กๆ ที่ผิวหนังจนขนลุกซู่เบาๆ เขาคว้าเอากาน้ำร้อนไฟฟ้ามาเสียบปลั๊กแล้วเติมน้ำลงไปประมาณครึ่งหนึ่งก่อนจะกดปุ่มต้มน้ำแล้วรอให้มันเดือด ระหว่างนั้นเขาก็หยิบกาแฟซองสำเร็จรูปออกมาฉีกแล้วค่อยๆ เทลงไปในแก้วที่เตรียมเอาไว้
ควันพวยพุ่งพร้อมเสียงน้ำเดือดดังขึ้นเฟรนด์ก็คว้าเอากาน้ำร้อนมาเทลงในแก้วพร้อมหยิบช้อนคนเบาๆ จนผงกาแฟละลายเข้ากันดี เสียงเคาะช้อนบนขอบแก้วดังแกร๊งขึ้นสองครั้งก่อนที่เขาจะยกขึ้นมาเป่าลมเบาๆ แล้วบรรจงจิบกาแฟเข้าปากจากนั้นจึงก้าวเท้าเดินออกไปสูดอากาศบริเวณมุมนั่งชิลหลังบ้านเพื่อสูดอากาศยามเช้า
“นี่มึงตื่นเช้าหรือว่ายังไม่ได้นอนเนี่ย” เสียงทุ้มของจัสท์เอ่ยทักเรียกให้คนตัวเล็กสะดุ้งขึ้นเล็กน้อยก่อนหันไปมอง
“ตื่นเช้าดิวะ ถามแปลก”
“ก็แปลกไง ปกติไม่ตื่นเวลานี้นี่หว่า”
“พอดีเมื่อคืนไม่ได้ทำคลิปอะ” เฟรนด์เอ่ยตอบแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอีกอึกหนึ่ง
“อ่อ..”
“...” คนตัวเล็กมองหน้าจัสท์นิ่ง
“อะไร? มีไร” จัสท์ถามกลับอย่างสงสัย
“เอ้า! ก็ทำเหมือนจะพูดอะไรต่อ ก็เลยรอฟังไง”
“เปล่าซะหน่อย กูก็แค่ถามเฉยๆ ทักทายยามเช้าอะเข้าใจมั้ย” จัสท์ตอบแล้วหยิบไม้กวาดทางมะพร้าวที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมากวาดพื้นจนเสียงดังแกรกๆ ดังไปทั่ว
“ก็เห็นท่าทางเหมือนอยากรู้นี่หว่า” เฟรนด์บอกพลางเผลอทำหน้ามู่ทู่ไปเล็กน้อย แต่ก็ดันไม่รอดพ้นจากสายตาคมของจัสท์ไปได้
“แหนะ! มาทำหน้างอน”
“ไม่ได้ทำเหอะ”
“ก็เห็นอยู่เมื่อกี๊”
“ยังจะแอบเห็นอีก มันติดเป็นนิสัยเว้ย” เฟรนด์ยกกาแฟขึ้นดื่มอย่างหงุดหงิด
“จริงเหรอจ๊ะ” จัสท์เอ่ยถามกลับด้วยเสียงยียวน
“...”
“อะๆ ถามก็ได้ จะได้ไม่เสียน้ำใจ” จัสท์เดินลากไม้กวาดทางมะพร้าวมาประชิดฝั่งกำแพงรั้วที่ติดกับฝั่งบ้านของเฟรนด์แล้วยิ้มกว้าง “แล้วทำไมเมื่อคืนถึงไม่ได้ทำคลิปอะ”
“...” เฟรนด์เหลือบมองหางตาแล้วนิ่งไม่ยอมตอบ
“ตอบหน่อยดิ อยากรู้จะแย่ละเนี่ยยยย”
“ดูหนังละหลับอะ” เฟรนด์เอ่ยบอกเสียงอ่อย
“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะของจัสท์ดังลั่นออกมาหลังจากที่เฟรนด์พูดจบ ทำเอาคนตัวเล็กหันมองขวับด้วยสายตาคม
“เห็นมั้ย พอบอกแล้วก็หัวเราะ ถึงไม่อยากจะพูดไง”
“โอ๋ๆ หยอกๆ”
“ไม่ต้องมาพูดเลยมึงอะ”
“แล้วกินข้าวเช้ายังอะ มานั่งกินด้วยกันมั้ย เมื่อเช้าไปตลาดมาเลยซื้อกับข้าวมาเยอะเลย” จัสท์เอ่ยชวน
“จะดีเหรอ” คนตัวเล็กถามกลับอย่างไม่แน่ใจ
“มากินด้วยกันเหอะหน่า”
“งั้นขออาบน้ำแป๊บนึงละกัน” เฟรนด์ตอบแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะดื่มกาแฟที่เหลือจนหมดแก้วแล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป
ฝ่ายจัสท์พอได้รับคำตอบจากคนตัวเล็กก็รีบเดินเข้าไปในบ้านทันที สองมือคว้าเอากับข้าวถุงที่ซื้อมาจากตลาดแกะหนังยางที่รัดปากถุงเสียแน่นออกแล้วเอื้อมไปหยิบจานมาวางไว้ตรงหน้าแล้วเทกับข้าวในถุงลงไปก่อนจะทยอยยกไปวางบนโต๊ะกินข้าวจนครบหมดทุกจาน
จานเปล่าถูกนำมาวางไว้สำหรับเฟรนด์และตัวเขาเองจากนั้นคนตัวสูงก็เดินไปหยิบแก้วและน้ำเปล่ามาวางเตรียมไว้บนโต๊ะก่อนคว้ารีโมทที่วางอยู่ใกล้ๆ มากดเปิดทีวีแล้วไล่หารายการจากยูทูปดูเพื่อฆ่าเวลารออีกฝ่ายอาบน้ำเสร็จ
“ไอ้จัสท์!!” เสียงตะโกนเรียกของเฟรนด์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน จัสท์หันไปมองแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้คนตัวเล็ก
เฟรนด์ถอดรองเท้าไว้ตรงที่วางรองเท้าหน้าบ้านแล้วก้าวเดินเข้ามาด้านใน ดวงตากลมโตสอดส่องไปรอบๆ ด้วยความชื่นชมในฝีมือการตกแต่งภายในของจัสท์ที่ดูจะมีรสนิยมและถูกจริตของเขาอยู่ไม่น้อย
“แต่งบ้านสวยเหมือนกันนะ” คนตัวเล็กเอ่ยชม
“จ้างเขาแต่ง ไม่ได้แต่งเองหรอก”
“ถุ้ย! กูอุตส่าห์ชม”
จัสท์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพาเฟรนด์เดินตรงไปนั่งลงที่โต๊ะกินอาหาร แล้วก็ทำเอาคนตัวเล็กต้องตาโตอีกครั้งเมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะถูกจัดวางไว้อย่างสวยงาม
“อันนี้คือกับข้าวที่บอกว่าซื้อมาจากตลาดอะนะ” เฟรนด์เอ่ยถามอย่างสงสัย
“เออไง”
“จัดซะดูดีเชียว”
“ลองทำดูอะ ว่าจะจัดเป็นเซตให้แขกตอนที่โฮสเทลเปิด” จัสท์บอกแล้วเดินไปยกหม้อข้าวที่หุงสุกแล้วมาวางไว้ที่โต๊ะ
“โฮสเทล?”
“อือ”
“ที่ไหนวะ”
“ก็ที่มึงนั่งอยู่นี่แหละ”
“ห้ะ?” เฟรนด์ยังคงตกใจเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“เออ กูจะเปิดที่นี่เป็นโฮสเทล”
“ตอนแรกเห็นรีโนเวทก็นึกว่าจะย้ายมาอยู่เฉยๆ”
“เปล่า พอดีก่อนหน้านี้เห็นว่าที่เที่ยวแถวนี้มันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วที่บ้านกูก็ทำธุรกิจแนวๆ นี้อยู่แล้วบวกกับโลเคชั่นแถวนี้มันน่าสนใจ มันสงบดีก็เลยลองดู” จัสท์เอ่ยพูดอธิบายเสียยืดยาวระหว่างที่มือก็ตักข้าวใส่จานให้เฟรนด์ไปด้วย
“สงบเหรอ หลังจากนี้คงไม่ละล่ะ” เฟรนด์บอกพลางอมยิ้ม
“ทำไมวะ”
“ก็เพราะมีมึงมาอยู่ไงไอ้จัสท์”
“ไอ้ห่า ไม่ต้องแดกมั้ย” จัสท์ทำท่าจะดึงจานข้าวออกจากเฟรนด์ แต่คนตัวเล็กคว้าหมับแย่งไว้ได้ก่อน
“มีไรให้ช่วยก็บอกละกัน แถวนี้มันเดินทางยาก ถ้าอยากจะลูกค้าพอใจมึงคงต้องจัดหาเซอร์วิสในเรื่องพวกนี้ด้วย”
“ก็มีแพลนไว้บ้าง”
“ดีแล้ว”
“กินข้าวเหอะ ไว้ค่อยว่ากัน เดี๋ยวจะเย็นซะหมด”
เสียงรายการในยูทูปดังคลอไปกับเสียงการกินมื้อเช้าของทั้งจัสท์และเฟรนด์ แทรกเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่บ้างในบางเวลาระหว่างมื้อนั้น สายตาของทั้งคู่มีแววที่เป็นมิตรต่อกันมากขึ้นตั้งแต่ได้รับรู้ว่าแต่ละฝ่ายเคยรู้จักในขั้นสนิทชิดเชื้อกันมาก่อนตั้งแต่สมัยมัธยม
จัสท์รวบจานชามและช้อนหลังจากกินเสร็จเอาเดินไปวางลงที่อ่างล้างจานในครัว ส่วนชามกับข้าวถูกเฟรนด์ถือเดินตามเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะในครัว
“เห้ย ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวเก็บเอง” จัสท์เอ่ยทักตอนหันไปเห็น
“ไม่เป็นไรหรอก กินด้วยกันก็ต้องช่วยกันเก็บสิ”
“แต่วันนี้มึงเป็นแขกไง”
“แล้วไง จะมาพิธีรีตองอะไรล่ะ เพื่อนกันทั้งนั้น โว้ะ!” เฟรนด์บ่นแล้วส่ายหัวก่อนจะเดินเข้าไปยืนอยู่ที่ด้านข้างจัสท์บริเวณอ่างล้างจาน
“จะทำไร” จัสท์ถามอย่างสงสัย
“มา ช่วยกันล้าง จะได้เสร็จๆ ไป” เฟรนด์บอกแล้วยื่นมือไปจะคว้าหยิบฟองน้ำล้างจานแต่ถูกมือหนาของคนข้างๆ คว้าเอาไว้แน่น
“หยุดเลย ไม่ต้องล้าง เดี๋ยวล้างเอง”
“แต่...”
“ไอ้เฟรนด์ มึงไปนั่งไป เดี๋ยวกูล้างเอง ให้แขกมาล้างจานได้ไงล่ะ” จัสท์เอ่ยบอกใบหน้าแฝงความเครียดเอาไว้หน่อยๆ
“เออๆ งั้นกูขอตัวกลับบ้านก่อนละกัน”
“จะกลับเลยหรอ”
“อื้อ”
“นึกว่าจะอยู่ดูหนังด้วยกันต่อซะอีก...” จัสท์เอ่ยพูดอย่างเชิญชวน
“ต้องรีบกลับไปวาดรูปอะ รับงานไว้ ขอบคุณสำหรับมื้อเช้านะ” เฟรนด์บอกพลางยกน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้วก่อนจะเดินออกไป
เอิ๊กกก...
เสียงเรอดังลั่นทันทีที่เฟรนด์เดินกลับเข้ามาถึงบ้านของตัวเอง เขายกมือหนึ่งขึ้นปิดปากก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเพราะคิดว่าถ้าเผลอหลุดเรอเสียงดังแบบนี้ที่อื่นต้องโดนล้อแน่ๆ
เฟรนด์เดินขึ้นชั้นสองไปที่ห้องทำงานของตัวเอง เขาคว้ากระดานวาดภาพมาแปะกระดาษวาดรูปลงไปก่อนจะนำไปวางบนขาตั้ง นิ้วเรียวกดเปิดลำโพงบลูทูธแล้วไล่หาเพลงในมือถือก่อนจะเปิดเพื่อสร้างบรรยากาศให้พร้อมก่อนจะเริ่มลงมือสร้างสรรค์ผลงานบนกระดาษเปล่าสีขาวล้วนที่ตั้งอยู่ตรงหน้า
กริ๊งงง~!
เสียงมือถือของเฟรนด์ดังขึ้น เขารีบยกขึ้นมาดูก็พบว่าสายที่เรียกเข้ามานั้นเป็นของชายหนุ่มตัวโตที่อยู่บ้านข้างๆ เขานั่นเอง
“ฮัลโหล มีไร”
(ทำไรอะ ขอเข้าไปในบ้านหน่อยดิ)
“มีไร”
(เปล่า ไม่มีไรทำอะ เบื่อ ไม่อยากอยู่คนเดียว)
“ก็เข้ามาเลย ประตูไม่ได้ล็อก”
(เคๆ)
“อยู่ชั้นสองนะ ห้องทำงาน”
(เดี๋ยวขึ้นไป)
จัสท์เปิดประตูเดินตรงเข้ามาในบ้านของเฟรนด์หลังวางสายแล้วตรงดิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองทันที ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเข้ามาในบ้านนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยผ่านพ้นอาณาเขตชั้นล่างแล้วขึ้นไปยังชั้นสองเลยแม้แต่ครั้งเดียว
คนตัวโตเคาะประตูห้องทำงานสองทีก่อนจะเปิดเข้าไปแล้วพบคนตัวเล็กกำลังหยิบดินสอขึ้นมาเริ่มร่างโครงสร้างรูปภาพลงบนกระดาษ
“มาละ” จัสท์บอก
“หาที่นั่งเอาละกันนะ ขอทำงานก่อน” เฟรนด์บอกพลางชี้นิ้วไปที่โซฟาที่ว่างอยู่
จัสท์เดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟานั้นแล้วมองจ้องไปที่คนตัวเล็กที่กำลังลงมือวาดภาพอย่างตั้งใจ ภาพในอดีตก็พลันฉายชัดขึ้นมาทันที
“นึกถึงตอนม.ปลายเลยว่ะ”
“ห้ะ?” เฟรนด์ชะงักมือที่วาดรูปไปเล็กน้อยแล้วหันมองคนตัวสูงที่นั่งพิงโซฟาอยู่ตรงหน้า
“ก็ช่วงที่มึงต้องไปแข่งละครสั้นภาษาอังกฤษไง”
“อ่อ ตอนนั้นอะนะ มึงแม่งโคตรเชี่ย” เฟรนด์แกล้งด่าจัสท์กลับไปแล้วยิ้มเล็กๆ เมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
คงเพราะยังเด็ก อะไรๆ ก็เลยดูจะเป็นเรื่องใหญ่ไปซะหมด...
...
...
...
เสียงออดดังลั่นเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน จัสท์และเฟรนด์รวมถึงเพื่อนๆ ในห้องต่างก็พากันเก็บข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าแล้วพากันแยกย้ายออกจากห้องเรียน เพราะมีภารกิจที่ต้องทำ
“เจอกันที่สวนวรรณคดีนะทุกคน” มิ้นหัวหน้าห้องสาวสวยตะโกนขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“เดี๋ยวกูตามไปนะ ขอไปซ้อมละครก่อน” เฟรนด์ตอบกลับแต่ยังไม่ทันจะได้เดินออกจากห้องจัสท์ก็เดินเข้ามาจับไหล่ไว้แล้วเอ่ยถาม
“เรื่องฉากที่คุยกันวันก่อนอะ สรุปทำทั้งหมดสามฉากใช่ป้ะ”
“อือ วาดต่อให้เสร็จเลยก็ได้นะ เพราะมันเหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวเองก็จะถึงวันแข่งแล้ว” คนตัวเล็กยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะพูดต่อ “กูไปก่อนมึงเดี๋ยวไปซ้อมสาย ขี้เกียจโดนจารย์ด่า”
“เออๆ เดี๋ยวพวกกูช่วยกันทำ วันนี้น่าจะได้ลงสีสักอันแหละ” จัสท์บอกแล้วยิ้ม
“ดีเลยมึง ขอบใจมาก” เฟรนด์ตอบแล้วรีบเดินออกจากห้องไป
การซ้อมละครสั้นภาษาอังกฤษสำหรับการแข่งขันเริ่มขึ้นเมื่อคนที่เป็นนักแสดงมาพร้อมกันที่ห้องพักครูเปิ้ลหัวหน้าหมวดวิชาภาษาอังกฤษ เฟรนด์ถูกคัดเลือกให้เล่นเป็นพระเอกและพริมเพื่อนผู้หญิงอีกคนจากห้องเดียวกับเขาได้รับเลือกให้เล่นเป็นนางเอก แต่เพราะในห้องอยู่กันคนละกลุ่มก็เลยไม่ค่อยสนิทกันสักเท่าไหร่ ซึ่งละครที่เล่นก็เป็นนิทานภาษาอังกฤษที่ครูเป็นคนเลือกมาเอง เขาก็เลยต้องทำอะไรๆ ตามคำสั่งไปโดยที่ไม่ได้มีสิทธิ์ออกปากออกเสียงสักเท่าไหร่
นักแสดงในทีมมีทั้งหมด 5 คนต่างก็รับผิดชอบซักซ้อมในบทบาทที่ตัวเองได้รับกันอย่างเต็มที่ ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าแต่ละคนทุ่มเทกับการแสดงในครั้งนี้มากแค่ไหนเพราะว่าการแสดงของพวกเขาดีขึ้นมากจากวันแรกที่เริ่มซ้อม
“วันนี้ทำดีมากนะเด็กๆ” ครูเปิ้ลเอ่ยบอกเมื่อการซ้อมของวันนี้จบลง
“ขอบคุณครับ/ค่ะครู” เฟรนด์และเพื่อนๆ พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“กลับบ้านกันดีๆ นะ เจอกันพรุ่งนี้ ฝากปิดไฟปิดห้องให้ครูด้วยนะ” ครูเปิ้ลบอกแล้วเดินออกจากห้องไป
เฟรนด์แยกย้ายกับเพื่อนที่ซ้อมละครด้วยกันแล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินตรงไปที่สวนวรรณคดีที่อยู่ฝั่งประตูหลังของโรงเรียน สองเท้าก้าวฉับๆ เพราะกลัวว่าจะไปช่วยจัสท์กับเพื่อนๆ ในกลุ่มตัวเองที่ต้องรับผิดชอบในส่วนของฉากประกอบการแสดงไม่ทัน
เสียงดังโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเฟรนด์ก้าวเท้าเข้ามาใกล้บริเวณสวนวรรณฯ เขาค่อนข้างแปลกใจที่ทุกคนพูดคุยเฮฮากันอย่างสนุกสนานจนทำเอาเขาเข้าใจว่างานทั้งหมดที่ได้คุยกันไว้มันสำเร็จลุล่วงไปได้ตามเป้าหมายแล้ว
แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น...
เฟรนด์เดินเข้าไปใกล้แล้วพบว่าบนผ้าดิบผืนใหญ่ที่ถูกกางไว้เต็มพื้นที่ยังคงเป็นสีขาวสะอาดและมีเพียงรอยดินสอถูกวาดโครงร่างบางๆ เอาไว้เท่านั้น ความโกรธผุดขึ้นมาในหัวของคนตัวเล็กทันทีเขากำมือแน่นแต่แทนที่จะพุ่งตรงเข้าไปลงไม้ลงมือระบายความโกรธกับจัสท์ เฟรนด์เลือกที่จะเดินไปหยิบดินสอ พู่กัน แปรงทาสีและกระป๋องสีมาวางไว้ข้างๆ ผ้าผืนนั้นแล้วเริ่มทำงานต่อทันที
เมย์เพื่อสาวสายเซอร์ที่ปกติไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครเดินมาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เฟรนด์พร้อมยิ้มให้ เธอยื่นมือมาคว้าดินสอในมือจากคนตัวเล็กไป
“เดี๋ยวเราช่วยวาดนะ”
“ขอบคุณนะเมย์” เฟรนด์เอ่ยบอกพลางขยับตัวลงนั่งขัดสมาธิ “รู้แล้วใช่เปล่าว่าต้องวาดอะไร”
“อื้อ ไอ้จัสท์บอกละ” เมย์ตอบพร้อมยิ้มบางแล้วก้มลงไปเริ่มวาดรูป
“แล้วทำไมพวกมันไม่ทำกันอะ”
“เราก็ไม่รู้อะ ตอนแรกมาถึงก็เห็นช่วยกันทำอยู่แป๊บนึง แล้วพอพวกนั้นเริ่มคุยกันไปได้แป๊บเดียวก็ยาวเลย ไม่มีใครทำงานต่อ เราก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง”
“อ่อ...”
“ดีแล้วที่เฟรนด์มา จะได้มีเพื่อนช่วยเราทำ”
“แต่จริงๆ มันไม่ใช่หน้าที่ของเมย์นี่นา” เฟรนด์บ่นอุบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่เป็นไรหรอก เราก็ช่วยๆ กันนี่แหละ อาทิตย์หน้าเฟรนด์จะแข่งแล้วไม่ใช่เหรอ รีบทำให้เสร็จจะได้เอาฉากไปลองซ้อมกันด้วย”
“เนี่ย ขนาดเมย์ยังคิดได้เลย”
“หื้ม?”
“ทำไมพวกไอ้จัสท์มันถึงคิดไม่ได้นะ...”
“เอาน่ะ ช่างมันเถอะ มาช่วยกันทำแป๊บเดียวก็เสร็จ” เมย์บอกแล้วแล้วหันกลับไปทำงานต่อ
เฟรนด์ถอนหายใจยาวอีกครั้งแล้วหันไปมองทางจัสท์ที่กำลังคุยกับเพื่อนๆ ในกลุ่มของเขาเองอย่างออกรสชาติ รอยยิ้มที่ดูสนุกสนานนั้นไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย มันกลับยิ่งสร้างความหงุดหงิดใจให้กับเขามากกว่าว่าทำไมถึงได้ยอมทิ้งงานไปยืนพูดคุยไร้สาระกันแทน
แต่ก็อย่างว่าตัวเฟรนด์เองก็ไม่ใช่คนจำพวกที่จะเข้าไปโหวกเหวกโวยวายหรือทะเลาะวิวาทกับคนอื่นเขา จึงทำได้แค่เลือกที่จะอยู่เงียบๆ แล้วแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้นๆ มากกว่าการไปทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกเสียเวลาชีวิตมากกว่าเดิม
เฟรนด์กับเมย์ช่วยกันวาดรูปลงบนผืนผ้าดิบกันสองคนตามแบบที่ปริ๊นท์ใส่กระดาษเอสี่ออกมาวางไว้ข้างๆ ทุกครั้งที่เสียงหัวเราะจากจัสท์ดังขึ้น คนตัวเล็กก็ต้องพยายามกลั้นความรู้สึกโมโหเอาไว้ทุกครั้ง โดยมีเมย์คอยสังเกตเห็นอาการเหล่านี้อยู่ตลอด
เขาก็ไม่ได้อยากจะรู้สึกโกรธหรอกนะ ถ้าจัสท์ไม่ได้รับปากเอาไว้แต่แรกว่าจะรับผิดชอบเรื่องทำฉาก ทีแรกก็คุยกันไว้ว่าจะรีบทำให้เสร็จแต่พอถึงเวลาจริงดันสนใจความสนุกสนานกับเพื่อนฝูงมากกว่างานที่ตัวเองต้องทำ
มันก็น่าหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ เพราะเหมือนกับว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ...
“เอ้า! มึงมานั่งวาดฉากทำไม ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ” จัสท์เดินเข้ามาเอ่ยทัก
“...”
“ไอ้เฟรนด์!”
“...”
“ไอ้เฟรนด์!!!!” คนตัวสูงตะโกนเรียกเสียงดังขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่มีการตอบสนองใดๆ
“ว่า”
“กูถามว่าไม่ไปซ้อมละครเหรอ ทำไมมานั่งทำฉากอยู่ตรงนี้”
“กูซ้อมเสร็จละ” เฟรนด์ตอบเสียงนิ่ง ไม่มีแม้แต่จะหันไปมองหน้าจัสท์ด้วยซ้ำ
“แล้วทำไมไม่กลับบ้านไปพัก”
“ถ้ากลับกูจะเห็นเหรอว่าพวกมึงแม่ง ไม่ได้ทำเหี้ยอะไรเลยอะ” เฟรนด์เอ่ยตอบเสียงนิ่งแล้วลุกขึ้นยืนประชันหน้ากับจัสท์
“มึงเป็นอะไร”
“ก็โมโหมึงไง”
“โมโหกู? เรื่องไรวะ?”
“ไอ้สัตว์!” เฟรนด์เผลอหลุดปากด่าจัสท์ไปเพราะทนความตีหน้ามึนของอีกฝ่ายไม่ไหว
“เอ้า! กูผิดไรอะ” คนตัวสูงถามกลับด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“ก็มึงบอกว่าจะรีบทำฉาก แต่พอกูมาถึงพวกมึงยังไม่เริ่มทำเหี้ยอะไรกันเลยไง จะไม่ให้กูโมโหเหรอ”
“มึงจะซีเรียสทำไม พวกกูบอกแล้วว่าจะรับผิดชอบทำฉากให้ มันก็เป็นงานของพวกกู มึงไม่ต้องกังวลหรอกน่า” จัสท์เอ่ยบอกด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้ดูทุกข์ร้อนหรือรู้สึกตัวเลยสักนิดว่าตัวเองทำผิดอะไร
“แต่อาทิตย์หน้ากูก็จะแข่งแล้วนะ มึงไม่คิดจะให้กูเอาไปใช้ซ้อมบ้างเหรอ”
“ก็ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งหลายวันไม่ใช่หรือไง”
“มึงนี่มัน...” เฟรนด์จ้องหน้าจัสท์เหมือนอยากจะด่าต่อแต่ก็กลั้นเอาไว้ น้ำตาที่คลอเบ้าบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ความโกรธที่ครุกรุ่นอยู่ภายในใจของเขาได้เป็นอย่างดี
“ทำไม มึงจะด่าอะไรอีก”
“กูหมดคำจะพูดกับมึงจริงๆ” เฟรนด์เขวี้ยงดินสอในมือทิ้งแล้วหันหลังรีบก้าวขาเดินหนีออกไปจากตรงนั้น
เมย์รีบลุกขึ้นแล้วตะโกนเรียก “เฟรนด์ เดี๋ยวก่อน!”
“ไม่เป็นไรเมย์ เดี๋ยวกูไปดูเอง” จัสท์เอ่ยห้ามแล้วรีบเดินตามเฟรนด์ไปทันที
เฟรนด์เดินหนีมานั่งหลบมุมที่ม้านั่งหลังตึกใกล้ๆ สวนวรรณฯ เขาน้ำตาไหลออกมาแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขาเองก็พยายามจะควบคุมแล้วแต่มันก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้มันคืออะไร โกรธ หงุดหงิด น้อยใจ ไม่พอใจ หรืองอน เพราะมันดูราวกับว่าจะผสมปนเปกันไปเสียหมด
“ไอ้เฟรนด์” จัสท์เอ่ยเรียกเมื่อเดินตามมาเห็นคนตัวเล็กนั่งร้องไห้อยู่
“...”
“มึงเป็นอะไรเนี่ย”
“ก็มึงไม่ยอมทำงาน” เฟรนด์บอกพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแบบลวกๆ
จัสท์เดินมาหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ เฟรนด์ “ก็กูบอกแล้วว่าจะทำให้จนเสร็จ”
“แต่กูไม่เห็นมึงทำเหี้ยอะไรเลย”
“พวกกูก็เริ่มทำแล้วไง มึงก็รู้งานพวกนี่มันเป็นศิลปะ ต้องใช้อารมณ์ในการทำ พวกกูก็แค่คิดไรไม่ออกเลยมานั่งคุยกันให้ผ่อนคลายก่อน แล้วเดี๋ยวก็กลับไปทำใหม่อยู่ดี”
“...”
“แต่มึงดันเดินมาเห็นตอนพวกกูไม่ได้ทำงานไง”
“เหรอ? แต่บนผ้าไม่มีเหี้ยอะไรเลยนะ นอกจากรอยดินสอที่ร่างโครงไว้นิดเดียว” เฟรนด์ถามย้ำเสียงแข็ง
“แล้วนั่นไม่เรียกว่าเริ่มทำไปแล้วเหรอ?” จัสท์ถามกลับ
“แต่มันจะเสร็จไม่ทันไง กูต้องเอาไปซ้อมอีก”
“แล้วมึงต้องใช้ซ้อมวันไหน พวกกูจะได้รู้เดดไลน์”
“อีกสามวันก็ได้ พวกมึงจะได้ทำกันทัน” เฟรนด์เอ่ยตอบด้วยท่าทีที่ดูอ่อนลง
“เนี่ย ก็ไม่เห็นว่ามึงจะต้องโมโหอะไรเลย ทุกอย่างมันก็มีทางออกอยู่แล้ว มึงชอบเก็บไปเป็นอารมณ์อะ”
“ก็มึงบอกกูว่าวันนี้จะทำให้เสร็จ ถ้ามึงทำไม่ได้ มึงก็ไม่ควรพูดมั้ยล่ะ” เฟรนด์บ่นขึ้นมาอีกรอบแต่น้ำเสียงก็ดูผ่อนคลายกว่าที่ผ่านมา
“กูขอถามหน่อยนะ หน้าที่มึงคืออะไร” จัสท์เอ่ยถามเสียงนิ่ง
“คืออะไร?”
“ก็งานนี้ มึงทำหน้าที่อะไร”
“เป็นนักแสดงไง”
“อือ เพราะงั้นหน้าที่มึงก็คือตั้งใจซ้อมใช่มั้ยล่ะ” จัสท์พูดพลางยกมือขึ้นมาโอบไหล่เฟรนด์เอาไว้
“...”
“มึงมีหน้าที่ซ้อมการแสดงก็ตั้งใจทำให้เต็มที่ไปเลย ส่วนของกูก็ต้องทำฉากให้เสร็จทันที่มึงจะใช้ ง่ายๆ แค่นี้เอง ต่อให้มึงใช้พรุ่งนี้ พวกกูก็ต้องเร่งทำให้เสร็จ แม้จะไม่ได้นอนก็ตาม”
“แล้วทำไมไม่รีบทำให้เสร็จตอนที่มันยังมีเวลาวะ ถ้ามึงต้องมาเร่งทำไม่ได้หลับไม่ได้นอน ก็หมายถึงว่ามึงบริหารเวลาไม่เป็นหรือเปล่า” เฟรนด์ถามกลับอย่างสงสัย จัสท์ได้ยินก็นิ่งคิดไปนิดหนึ่ง
“เอาน่ะ เลิกคุยกันดีกว่า มึงกลับบ้านไปพักผ่อนเหอะ เดี๋ยวกูจัดการเอง”
“แน่ใจนะ” เฟรนด์ถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อใจ
“เออ! เดี๋ยวกูคอยถ่ายรูปแล้วส่งไปรายงานเลยอะ” จัสท์บอกพลางยิ้มให้
“เออ กลับก็ได้ อย่าผิดคำพูดอีกล่ะ” คนตัวเล็กเอ่ยบอกแล้วลุกขึ้นจากม้านั่งตัวนั้นแล้วค่อยๆ เดินออกไป
...
...
...
“ตอนนั้นแม่งโคตรไร้สาระเลย” เฟรนด์เอ่ยบอกพลางขำน้อยๆ ออกมาในขณะที่กำลังวาดรูปไปด้วย
“ไร้สาระตรงไหน กูพูดจริงเหอะ เดดไลน์มันมีไว้เพื่อใช้กระตุ้นให้มีแรงทำงานเท่านั้นแหละ”
“ตลก มึงลองคิดตามนะว่าสิ่งที่มึงพูดตอนนั้นคือโคตรไม่มีความรับผิดชอบเลย”
“เออ... มาลองคิดดูตอนนี้มันก็จริงแบบที่มึงพูดนั่นแหละ” จัสท์เอ่ยรับเสียงอ่อน “แต่ตอนนั้นก็เด็กน้อยป่ะ มันก็ยังไม่รู้จักบริหารเวลาหรอก เอาแต่ความสบายของตัวเองเข้าว่า”
“ก็เออไง กูถึงได้โมโห”
“กูขอโทษนะ” จัสท์พูดพลางยิ้มกว้าง
มันเป็นรอยยิ้มที่เฟรนด์หวั่นไหวเสมอมา ไม่ว่าจะในตอนนั้นหรือตอนนี้...
“ช่างมันเถอะ เรื่องผ่านมาตั้งนานละ นี่ก็มาเล่าสู่กันฟังเฉยๆ” เฟรนด์รีบบอกปัด “กูยังอดแปลกใจไม่ได้ตอนที่ได้ยินว่ามึงจะทำโฮสเทล”
“ทำไมอะ” จัสท์ถามกลับอย่างสงสัย
“ก็คนบริหารเวลาไม่เป็นอย่างมึงจะมาทำธุรกิจ กูก็อดสงสัยไม่ได้ไงว่ามันจะไปรอดเหรอ” คนตัวเล็กเอ่ยประชดเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“โถ่ คนเราจะมาตัดสินหนังสือที่ปกไม่ได้นะเว้ย นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีละ คนเรามันก็ต้องมีการเรียนรู้ มีพัฒนาการกันบ้าง” จัสท์เอ่ยบอกพลาดยืดตัวทำเท่
“เออๆ ก็เห็นอยู่แหละว่าเก่งขึ้นอะ”
“แล้วหล่อขึ้นด้วยป้ะ?” จัสท์ถามด้วยสีหน้ากวน
“ไม่รู้ว่ะ แต่ที่แน่ๆ กูอะหล่อขึ้น”
“ถุ้ย! แต่ก็จริงของมึง เมื่อก่อนนี่ดูไม่ได้เลยเหอะ”
“ไอ้จัสท์!!! เดี๋ยวเถอะมึง”
เสียงหัวเราะดังกระจายไปทั่วห้องเผลอๆ หากใครเดินผ่านไปมาแถวนี้ก็อาจจะแอบได้ยินเสียงแว่วออกมากจากในบ้านอยู่บ้าง ก็เพราะตอนนี้ไอความสุขมันลอยอบอวลอยู่ทั่วไปหมดแม้ทั้งสองคนจะไม่ทันได้รู้สึกตัวก็ตาม และดูเหมือนจะเป็นเวลาไม่นานที่จัสท์กับเฟรนด์ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ความทรงจำต่างๆ ในอดีตก็หวนกลับมาให้ได้รำลึกถึง แม้จะมีดีบ้างร้ายบ้างปะปนกันไป แต่ก็ทำให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้ว่าชีวิตของแต่ละคนนั้นมันมีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอยู่ตลอดเวลา
---------------------------------------------
#จฟเพื่อนไม่ไหว
กลับมาแล้วค้าบบบบ หลังจากนี้จะทยอยอัพเรื่อยๆ นะครับ อาจจะวันละ 1-2 ตอนงับ