อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zoneอยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
-------------------- จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! ------------------
"ถ้าแอบรักแล้วเราบอกออกไป การแอบรักจะดูหมดความหมาย...
ฉันจึงเลือกทางที่สบายใจ เก็บความลับที่แท้จริงมันสวยงามเพียงใด..."
"แค่เพื่อนแล้วกัน.. เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้..."
Run Kantheephop
20210424.
เช้านี้อากาศไม่ค่อยสู้ดีนักปกติในเวลานี้แสงแดดจะต้องส่องจ้าจนต้องหยีตามองเวลาออกมานั่งจิบกาแฟที่หลังบ้าน แต่วันนี้กลับแปลกไปเพราะบรรยากาศมันอึมครึมราวกับว่าฝนจะตก เฟรนด์ถือแก้วกาแฟใบโปรดที่ชงกาแฟรสเข้มไว้จนเต็ม ควันลอยฟุ้งอยู่เหนือแก้วใบนั้น เขายืนมองท้องฟ้าที่หมองหม่นไม่สดใสดังเช่นที่เคยเป็นก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวประจำที่เขานั่งทุกเช้า
ครืนๆ
เสียงฟ้าร้องขึ้นมาเบาๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอาจจะมีฝนตกได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กกังวลสักเท่าไหร่เพราะวันนี้เขาไม่ได้เอางานออกมานั่งทำที่บริเวณนี้ด้วย แค่มานั่งจิบกาแฟยามเช้าก่อนจะเริ่มต้นชีวิตในวันนี้
ลมพัดวูบหนึ่งเรียกเอาจิตใจที่ไหวอ่อนอยู่นั้นวูบหวิวไปตามแรงลมนั้น เฟรนด์ยกกาแฟขึ้นจิบเล็กๆ แล้วมองทอดยาวออกไปที่สวนผลไม้ที่อยู่หลังบ้านนั้น ความรู้สึกวูบโหวงแบบนี้ยังคงกัดกินหัวใจของเขาติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ทั้งที่ได้เอ่ยปากไว้ว่าจะต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองแต่เขาก็ยังไม่สามารถทำมันได้จริงๆ สักที
หลายวันที่ผ่านมาภาพคู่รักหวานชื่นระหว่างจัสท์กับแจนมันยังคงผ่านตาให้เฟรนด์ได้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดจัสท์ พยายามหลบหน้าเพราะรู้ว่าใจยังไม่เข้มแข็งพอให้เผชิญแต่สุดท้ายภาพของคนทั้งคู่ก็ยังคงปรากฏให้คนตัวเล็กเห็นอยู่
แล้วจะทำยังไงได้ก็ในเมื่อบ้านของเขาอยู่ติดกัน...
เสียงก๊อกแก๊กจากประตูหลังบ้านของบ้านข้างๆ ดังขึ้น เฟรนด์หันไปมองก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเมื่อบานประตูเปิดออกแล้วเห็นคนตัวสูงเดินออกมาพร้อมกับแฟนสาว
“ตื่นแต่เช้าเลยนะมึง” จัสท์เอ่ยทักทาย
“เมื่อคืนไม่ได้ทำงานอะ”
“เหมือนฝนจะตกเลยนะคะ” แจนพูดเสริมพร้อมรอยยิ้มหวานตามแบบฉบับของเธอ
“อื้อ” คนตัวเล็กตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นจิบเล็กๆ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“เข้าบ้านละเหรอ” คนตัวสูงทัก
“ฝนมันจะตกละเนี่ย ไม่เห็นเหรอ” เฟรนด์บอกเสียงนิ่งก่อนจะเดินเข้าบ้านไป
“เป็นไรของมันวะช่วงนี้” จัสท์บ่นพึมพำ
“หรือจริงๆ เขาไม่ชอบหน้าแจน?” หญิงสาวข้างกายเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย
“แล้วมันจะไม่ชอบเธอเรื่องอะไร เพิ่งเจอกันเอง”
“ก็ไม่รู้สิ ฟีลหวงเพื่อนสนิทมั้ง”
“...” คนตัวสูงนิ่งไป
“เธอ” แจนเขย่าแขนคนข้างๆ เบาๆ เมื่อเห็นว่าเงียบไป
“หื้ม”
“เป็นอะไร”
“คิดอะไรอยู่นิดหน่อยอะ”
หรือจริงๆ ไอ้เฟรนด์มันหึงกูกันแน่วะ...
คนตัวสูงเดินออกจากบริเวณด้านหลังของโฮสเทลแล้วตรงมาที่หน้าบ้านของเฟรนด์เพราะรู้สึกอยากจะคุยกับอีกฝ่ายให้มันเคลียร์ๆ แต่เมื่อเดินมาถึงก็ต้องหยุดชะงักเพราะเฟรนด์ดันเดินสวนจากประตูบ้านออกมาด้วยชุดที่จัดเต็มหน้าผมถูกจัดแต่งเป็นอย่างดี
“จะไปไหนวะ” จัสท์เอ่ยถามคนตัวเล็ก
“นัดเพื่อนไว้”
“มึงมีเพื่อนคนอื่นด้วยเหรอวะ”
“แล้วนี่ปากคนหรือปากหมาวะ” เฟรนด์สวนกลับด้วยน้ำเสียงแข็งแววตาเอาเรื่อง
“กูขอโทษ ปากไวไปหน่อย” จัสท์คว้าแขนอีกฝ่ายไว้ขณะที่เอ่ยบอก
“ปล่อย กูรีบ”
“โอเค”
เฟรนด์รีบหันหลังเดินออกไปกระโดดขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ขาประจำที่ได้โทรเรียกเอาไว้ก่อนหน้านี้ รถออกตัวเคลื่อนผ่านหน้าจัสท์ไป ทิ้งความรู้สึกผิดเอาไว้ให้กับคนตัวสูงที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น
จัสท์เดินกลับมายังโฮสเทลอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเฟรนด์ถึงได้เปลี่ยนไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนพอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าเฟรนด์ดูจะอารมณ์ไม่ดีทุกครั้งที่ได้เจอหน้าเขา
ถามว่าเขาไม่รู้จริงๆ หรือที่เฟรนด์เปลี่ยนไปแบบนี้...
ก็คงจะดูเป็นการโกหกไปสักหน่อยถ้าบอกว่าไม่ เพราะจริงๆ จัสท์เองก็แอบจะเดาคำตอบออกอยู่แล้วว่าสาเหตุที่เฟรนด์เริ่มเปลี่ยนไปมาจากอะไร แต่เป็นเขาเองที่กำลังพยายามโกหกตัวเองเพราะไม่อยากให้ตัวเองหรือแจนต้องเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้
“เธอว่าเฟรนด์ไม่ชอบเธอจริงๆ เหรอ” จู่ๆ จัสท์ก็เอ่ยถามแจนขึ้นมาระหว่างที่กำลังนั่งดูทีวีกันอยู่
“คงงั้นมั้ง”
“ทำไมถึงคิดงั้น”
“เซนส์ผู้หญิงน่ะ มันพอจะมองออกอยู่”
“แค่นี้เลยอะนะ” จัสท์เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“จะบอกให้ว่าเซนส์ผู้หญิงแรงและแม่นมากนะ” แจนพูดพลางหัวเราะเบาๆ
“แล้วทำไมไม่ลองเข้าหาเฟรนด์มันดูก่อนบ้างล่ะ เผื่ออะไรๆ จะได้ดีขึ้น” จัสท์เสนอแจนได้ยินก็มองนิ่งก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ เชิงเห็นด้วย
“เค้าจะลองดูละกัน” แจนเอ่ยตอบก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้แล้วพูดต่อ “งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เค้าทำคุกกี้ไปให้เฟรนด์ดีกว่า เคยอ่านมาว่าของกินจะช่วยผูกมิตรได้ดีที่สุด โดยเฉพาะของหวาน”
“เอาสิ แต่ที่นี่ไม่มีเตาอบนะ”
“ไม่เป็นไร เค้าอบคุกกี้จากไมโครเวฟได้”
“หื้ม?” จัสท์เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ทำได้ดิ พาเค้าไปซื้อวัตถุดิบหน่อย” แจนเอ่ยพูดเสียงอ้อนก่อนจะลุกยืนแล้วดึงให้คนตัวโตลุกขึ้นยืนตามก่อนจะดึงให้เดินไปที่รถ
“เดี๋ยวๆ แล้วใครจะดูแลแขกที่โฮสเทลล่ะ” จัสท์หยุดเดินแล้วเอ่ยถาม
“เออใช่ เค้าลืมเลย งั้นเดี๋ยวเค้าไปเองก็ได้”
“ขับรถเป็นหรือไง ที่นี่ราชบุรีนะไม่ใช่เชียงใหม่ รถประจำทางไม่ได้สะดวกขนาดนั้น”
“งั้นให้ทำไง”
“เดี๋ยวเค้าไปซื้อให้ เธอช่วยดูโฮสเทลให้แป๊บนึงนะ”
“แล้วรู้เหรอว่าต้องซื้ออะไร”
“เธอไลน์บอกเค้าไว้แล้วกัน” จัสท์เอ่ยบอกก่อนจะเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
...
...
...
เฟรนด์กลับเข้ามาในบ้านหลังจากที่ออกไปเจอโต้งที่คาเฟ่ในตลาดเพราะรู้สึกอึดอัดอยากจะหนีไปจากไอ้คู่รักข้างบ้านนี่ ไม่อยากจะเห็นให้มันรบกวนสายตารบกวนสมาธิ ตอนที่นั่งรถกลับมาถึงบ้านตัวเองพอสายตาเหลือบไปมองที่บ้านข้างๆ แล้วไม่เห็นรถยนต์คันที่จอดอยู่ประจำของไอ้เจ้าของโฮสเทลเฟรนด์ก็เผลอถอนหายใจยาวออกมาเพราะรู้สึกโล่งใจที่จะได้อยู่บ้านตัวเองแบบสบายใจได้บ้างสักที
คนตัวเล็กเอื้อมมือไปคว้ารีโมทขึ้นมากดเปิดทีวีแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเพื่อผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าหลังจากออกไปตากแดดข้างนอกมาแต่ยังไม่ทันจะได้หายใจหายคอเสียงเรียกจากหน้าบ้านก็ดังขึ้นซะก่อนทำเอาเขารีบปั้นหน้ารับแขกแทบไม่ทัน
“เฟรนด์!” เสียงหญิงสาวเรียกดังมาจากหน้าบ้าน
เฟรนด์สูดหายใจเข้าปอดแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปเปิดประตูบ้านเพื่อต้อนรับแขกที่เดินมายืนรอแล้วตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านตั้งแต่เมื่อครู่
“หวัดดีแจน”
“หวัดดี”
“มีไรเหรอ” เฟรนด์เอ่ยถาม
“เราเอาของกินจากเชียงใหม่มาฝากอะ” แจนยื่นกล่องให้เฟรนด์
คนตัวเล็กเปิดฝาออกดู “ไส้อั่วเหรอ”
“ช่าย พอดีเราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะมีของฝากมาให้เฟรนด์สักหน่อย ก็เลยแบ่งไส้อั่วที่พกติดมา เอามาให้ลองชิม”
“ขอบคุณมากนะแจน” เฟรนด์พูดแล้วยิ้มรับ
“ยินดีจ้ะ เอ้อ เดี๋ยวเย็นนี้แจนจะทำคุกกี้ด้วย เดี๋ยวจะเอามาให้ชิมนะ นี่ใช้ให้จัสท์ออกไปซื้อวัตถุดิบให้อยู่”
“อะ...อ่อ โอเคเลย ขอบคุณนะ”
“จ้า เดี๋ยวแจนไปก่อนนะ ขอกลับไปดูโฮสเทลต่อก่อน เดี๋ยวไม่มีคนอยู่แล้วแขกจะบ่นเอา” แจนยิ้มแล้วหันเดินออกจากบ้านของเฟรนด์ไป
เฟรนด์หยิบไส้อั่วในกล่องที่ปรุงสุกแล้วออกมาชิมแบบงงๆ คือก็เข้าใจว่าในอนาคตจะต้องเป็นเพื่อนบ้านกันไปอีกนาน แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจคือคนเราจะสามารถเฟรนด์ลี่และดูสนิทสนมกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันแค่ไม่กี่วันได้ขนาดนี้เลยเหรอ ปกติคนทั้งคู่ก็แทบจะไม่ค่อยได้คุยกันด้วยซ้ำ
เขาวางกล่องไส้อั่วลงที่ตะหน้าทีวีก่อนจะหย่อนตัวลงไปนั่งดูหนังที่เลือกค้างเอาไว้ต่อ เสียงพูดคุยของฝรั่งดังแว่วมาจากบ้านข้างๆ แต่เขาก็เริ่มจะชินขึ้นมาบ้างแม้จะยังรู้สึกรบกวนอยู่นิดหน่อยแต่ก็พอจะรับมือไหวเพราะความเคยชิน
แต่ยังไม่ทันที่หนังในทีวีจะฉายไปได้สักเท่าไหร่ เปลือกตาของคนตัวเล็กก็ค่อยๆ หนักขึ้นจนยากที่เขาจะฝืนต้านมันเอาไว้ได้ ยิ่งเจอลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศที่เปิดไว้แถมหนังท้องที่ตึงจากการที่ออกไปนั่งคาเฟ่กับโต้งมาก็ยิ่งทำให้เขานั้นอยากจะหลับขึ้นมาง่ายๆ ซะงั้น
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่แต่พอรู้สึกตัวอีกทีเฟรนด์ก็ไม่ได้ยินเสียงจากทีวีเสียแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พ่นออกมาจากแอร์บนผนังเขายกมือขึ้นขยี้เปลือกตาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“เชี่ยยย” เฟรนด์สะดุ้งตัวโยนรีบลุกขึ้นมานั่งเมื่อลืมตามาเจอหน้าของจัสท์นั่งจ้องตัวเองอยู่
“ตกใจเชี่ยไร ก็มึงไม่ปิดประตูบ้าน ถ้าเป็นโจรมึงโดนฆ่าตายไปละเนี่ย กูเตือนประจำ แต่มึงก็ชอบลืมปิดประตูบ้านประจำเหมือนกัน”
“เอออ บ่นยาวเลยนะ แล้วมีไรป่ะเนี่ย” เฟรนด์เอ่ยถามพลางหันไปมองหน้าแจนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“แจนทำคุกกี้มาให้ ที่บอกไว้เมื่อตอนบ่าย” แจนยื่นกล่องใส่คุกกี้ให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณนะ” เฟรนด์รับมาแล้ววางไว้ที่โต๊ะ
“ลองชิมดูหน่อยสิเฟรนด์ แจนตั้งใจทำมากเลยนะ” หญิงสาวเอ่ยย้ำ
“อ่อ...” เฟรนด์ตอบรับแบบงงๆ ก่อนจะหยิบกล่องคุกกี้มาเปิดแล้วคว้าเอาคุกกี้มาเข้าปาก
“เป็นไงมั่ง” แจนเอ่ยถามเฟรนด์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“อื้อ อร่อยนะ ซอฟท์คุกกี้เหรอ”
“ไม่เชิง พอดีโฮสเทลมีแต่ไมโครเวฟ แจนเลยลองใช้แทนเตาอบ อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็พอกินได้เนอะ”
“อร่อยแล้ว ขอบคุณนะแจน” เฟรนด์บอกแล้วยิ้มกว้างให้แจนที่ยืนอยู่ตรงหน้า “นั่งก่อนสิ” คนตัวเล็กขยับที่นั่งให้หญิงสาวหย่อนตัวนั่งลง
“ค่อยยังชั่วหน่อย คิดว่าเฟรนด์จะไม่ชอบซะแล้ว”
“แจนเขาตั้งใจทำมากเลยนะ เขาบอกว่าอยากจะสนิทกับมึง” จัสท์พูดแทรกขึ้น
“หื้ม? กับกูเนี่ยนะ” เฟรนด์อุทานขึ้นพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“ช่าย ก็แจนเห็นว่าเฟรนด์น่ารักดี อีกอย่างก็เป็นเพื่อนกับจัสท์ด้วย ถ้าสนิทกันไว้ก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่หรอ”
“อ่อ...” เฟรนด์ตอบรับด้วยใบหน้านิ่ง
“นี่เฟรนด์ไม่พอใจเราหรือเปล่า” แจนถามอย่างสงสัย
“เอ้ย! เปล่าๆ ทำไมคิดงั้น”
“ก็เห็นไม่ค่อยพูดไรเลย ถามคำตอบคำ”
“...”
“ไอ้เฟรนด์มันก็เป็นงี้แหละ เดี๋ยวสนิทกันมันก็พูดเยอะขึ้น” จัสท์ช่วยเสริมเมื่อเห็นว่าเฟรนด์นิ่งไปไม่ยอมพูดอะไรต่อสีหน้าประดักประเดิดจนไปไม่เป็น
“ช่าย ปกติพูดเยอะอยู่” เฟรนด์ยิ้มแห้งๆ ออกมาขณะพูด
จริงๆ เขาทำตัวไม่ถูกต่างหาก ทั้งที่ในใจมันเจ็บจนจุกเพราะภาพตรงหน้ามันบาดตา ทั้งที่พยายามหลบหน้าแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่วายเดินเข้ามาหากันถึงในบ้าน แม้มันจะรู้สึกหน่วงๆ ในใจแต่เขาก็ไม่อยากกลายเป็นคนที่ไร้มารยาท การที่ต้องเผชิญหน้ากับคนที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บในใจด้วยใบหน้าเป็นมิตรนั้นก็อาจจะยากเกินไปสำหรับเฟรนด์ เขาจึงทำได้เพียงไม่ชักสีหน้าหรือแสดงอาการโศกเศร้าให้อีกฝ่ายเห็น
“มาๆ มาถ่ายสตอรี่กันดีกว่า” แจนคว้ามือเฟรนด์ให้เขยิบเข้ามาใกล้
“อ่อ ได้ๆ”
“บุมเมอแรงนะ” แจนบอกก่อนจะยกมือถือขึ้นกดถ่ายบูมเมอแรงในสตอรี่ “ลองเช็คดูก่อนว่าได้มั้ย”
“ได้นะ เราไม่ติดเลย ลงไปเหอะ” เฟรนด์ชะโงกไปมองนิดหนึ่งแล้วเอ่ยบอก
“งั้นแจนขอไอจีเฟรนด์หน่อย”
“มา เดี๋ยวเราพิมพ์ให้” เฟรนด์รับมือถือที่อีกฝ่ายยื่นมาให้แล้วพิมพ์ชื่อแอคเคาท์ของตัวเองลงไปก่อนจะส่งมือถือคืนให้กับเจ้าของ
“โอเค แจนแท็กไปละ”
“อื้อ”
เฟรนด์หันไปหยิบมือถือที่วางเอาไว้ที่โซฟาขึ้นมากดปลดล็อกแล้วเข้าหน้าแอพลิเคชั่นอินสตาแกรมแล้วกดเปิดที่กล่องข้อความก็เห็นแอคเคาท์ของเจนแท็กสตอรี่มาจึงเปิดขึ้นดูแล้วกดรีโพสสตอรี่นั้น
“แจนกดฟอลไปละนะ” หญิงสาวเอ่ยบอก
“อื้อ เราฟอลกลับละ”
“เย่ เราสนิทกันละนะ” แจนยิ้มกว้างแล้วหันไปหาจัสท์ที่นั่งนิ่งแล้วยิ้มตาม
เมื่อไหร่จะกลับกันไปสักที...
เฟรนด์ได้แต่นึกอยู่ในใจแต่ไม่รู้เพราะอีกฝ่ายอ่านใจเขาออกหรือเพราะมันเป็นจังหวะที่บังเอิญ เพราะแจนก็ขอตัวกลับบ้านพอดีส่วนจัสท์น่ะเหรอ ทำเพียงแค่เดินตามหลังแจนไปเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอะไร เห็นแบบนี้ก็เดาได้ไม่ยากว่าบ้านนี้แจนคงเป็นใหญ่จนจัสท์ไม่กล้ามีปากมีเสียงแน่ๆ
คนตัวเล็กกดปิดทีวีและแอร์เพื่อที่จะขึ้นไปนั่งวาดรูปที่ชั้นสองแต่ยังไม่ทันจะเดินขึ้นบันไดพ้นชั้นแรก เสียงริงโทนจากมือถือก็ดังขึ้นมาเพื่อแจ้งเตือนว่ามีสายเข้า เขาหยิบมือถือขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสายจากเพื่อนสนิทที่เพิ่งจะออกไปเจอกันมาเมื่อตอนสาย
ไอ้โต้ง (ฟาร์มไก่)
เขาบันทึกชื่อเพื่อนเขาไว้แบบนั้นเพราะตอนแรกที่รู้จักกันมันดันชื่อซ้ำกับเพื่อนในห้องอีกคน ก็เลยต้องเขียนฉายาต่อท้ายเพราะบ้านมันทำฟาร์มไก่
“ฮัลโหลว่า” เฟรนด์เอ่ยเสียงพูดหลังจากกดรับสาย
(มึงไปรู้จักกับแจนได้ไงวะ)
“มึงรู้จักเขาด้วยเหรอ”
(เออดิ มันเคยเป็นแฟนเก่าญาติกู)
“เชี่ย จริงป่ะเนี่ย”
(เออดิ)
“โลกกลมสัส”
(แล้วไปรู้จักมันได้ไง)
“ก็คนนี้แหละแฟนไอ้จัสท์”
(เชี่ยยยยย คนที่มึงเล่าอะนะ)
“เออ คนนั้นแหละ”
(กูก็ไม่คิดว่าจะเป็นแจนเดียวกัน อิห่า ระวังตัวไว้หน่อยนะมึง)
“ทำไมอะ”
(มันนิสัยไม่ค่อยดี ชอบเข้าหาคนอื่นเพราะผลประโยชน์อะ อาจจะมาเกาะกระแสมึงขายขนมร้านมันก็ได้ ใครจะไปรู้)
“หรอวะ แต่นางก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับกูนะเว้ย”
(ยังไม่ออกลายอะดิ)
“ขอบใจที่มาเตือนละกันมึง กูขอดูไปก่อนนะ ถ้านางไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับกูก็ปล่อยไป ไม่อยากตัดสินคนจากคำพูดคนอื่นอะ”
(แล้วแต่มึงเลย กูแค่มาบอกเฉยๆ ไม่อยากให้เพื่อนกูโดนรังแก)
“เออๆ ขอบใจมาก”
(เค กูวางละ จะไปทำงานต่อ)
“เจอกันมึง”
สายถูกตัดไปทิ้งไว้เพียงแค่ความสงสัยเคลือบแคลงในสิ่งที่ได้ยิน ลำพังตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะถูกชะตากับแจนสักเท่าไหร่ อาจเพราะเข้ามาเป็นศัตรูของหัวใจเขาแต่เพราะว่าเพิ่งจะได้เจอกันไม่นานเขาเลยไม่อยากตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่พอมาได้ยินคำบอกเล่าจากปากของโต้งเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้เขาคิดไปกันใหญ่ว่าที่แจนเข้ามาหาจัสท์เพราะผลประโยชน์อะไรบางอย่างหรือเปล่า
ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะยังไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องของแจน แต่เขาเองก็เริ่มที่จะสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับตัวแจนให้หนาเพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีอยู่แล้ว เพื่อที่ว่าจะได้มีปราการไว้ป้องกันหากในอนาคตเรื่องที่โต้งพูดมันกลายเป็นความจริงขึ้นมา